เลห์ ลาดักซ์ เมืองที่พี่ปุ่นเปิดรูปให้ดูเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนที่เห็นรูปครั้งแรก “อู้หูววว สวยจังงงง”
รูปนั้นเป็นรูปถนนที่มีภูเขาอยู่ด้านหน้า ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน
ไผ่ผู้ไม่ค่อยจะทนหนาวซักเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นภูมิแพ้ ผิวแห้งขั้นสุด แถมขี้หนาวอี๊ก ก็คิดมาตลอดว่า
“เราจะไปที่นี่ไหวเหรอวะ”
แต่นะ ประเทศที่อยู่ใน list ดวงคนมันจะได้ไปมันก็ต้องได้ไปล่ะนะ
อยู่ๆ ‘พี่มล’ พี่สาวใจดีบ้าพลัง (และบ้าเที่ยว) ก็พิมพ์ในกรุ๊ปออฟฟิศว่า “ไปเลห์กันมั้ย ใครไปบ้าง”
เท่านั้นแหละ เราไลน์ไปบอกพี่ปุ่นทันที และเราก็ตกลงใจแล้วเริ่มซื้อตั๋วเครื่องบินกันเดือนกุมภา
โดยที่เราจะเดินทางกันเดือนตุลาคม ซึ่งพอลองไปหาข้อมูลเลห์ช่วงตุลาคม ก็พบว่าเป็นช่วง Autumn
ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆ แถมเป็นช่วงกำลังเข้าหน้าหนาว อากาศไม่น่าจะหนาวมากเท่าเดือนเมษายน (คิดว่านะ)
สรุปแล้วทริปนี้เรามีด้วยกัน 4 คน คือ
❆ ไผ่และพี่ปุ่น ผู้เตรียมขนกล้องไป
❆ พี่มล ผู้จัดการทุกอย่างในทริปนี้ ตั้งแต่จองตั๋วเครื่อง ที่ต้องโทรข้ามประเทศไปคุยกับแขก (ซึ่งสำเนียงฟังยากโคตร), จองและดีลกับโรงแรมให้จัดโปรแกรมทัวร์ให้, หาข้อมูลร้อยแปดพันเก้าและไปซื้อยาที่จำเป็นมาให้
❆ พี่เจี๊ยบ คู่หูพี่มล กองเสบียงของเรา อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของกิน ถามพี่เจี๊ยบได้ ร้านใน IG นี่พี่เจี๊ยบสั่งมาชิมหมดละนะ 5555
สำหรับไผ่ 4 คนนี่กำลังดีเลย เคลื่อนตัวง่าย ไม่ต้องคอยรอกัน เวลานั่งรถไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องอัดกัน
เรื่องของที่ต้องเตรียมไปไผ่ทำเป็นคลิปวีดีโอไว้ให้แล้ว ไปดูตาม link นี้ได้เลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายทริปนี้
● ตั๋วเครื่องบินเราจองของ Jet Airway ทั้งจากกรุงเทพ – เดลีห์ และจากเดลีห์ – เลห์ลาดักซ์นะคะ 15,045 บาท
แนะนำให้จองสายการบินเดียวกันนะคะ เพราะว่าไฟลท์ที่เลห์จะเลื่อนบ่อยมาก ถ้าจองต่างสายการบินเค้าจะไม่รับผิดชอบนะ
● ค่าที่พัก + รถพร้อมคนขับที่จะพาเราเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์ที่เลห์ เป็นเวลา 15 วัน 25,450 บาท
ถ้าวันที่พักโรงแรมในตัวเมืองเลห์จะรวมอาหารเช้า ส่วนถ้าวันที่พักนอกเมืองจะรวมอาหารเช้าและเย็นค่ะ
● ค่าทำวีซ่า คนละ 2,764 บาท
ซึ่งพวกเรายื่น Visa Online นะคะ ทำบนเว็ป ง่ายมาก รอแค่ 1 วันก็มี email ตอบกลับว่า approve แล้ว อไรจะเร็วขนาดน๊านน
● ค่า Pocket Money ที่แลกไป (รวมเที่ยวอินเดียอีก 2 วันแล้ว) 10,000 บาท
=> สรุปแล้วทริปนี้อยู่ที่คนละ 53,259 บาทค่ะ
เนื่องจากทริปนี้ไปยาวนานมากกก ตั้ง 15 วัน ไผ่ขอแบ่งเป็น Part ๆไปนะคะ
รีวิวนี้จะขอเริ่มที่การเที่ยวรอบๆตัวเมือง Leh ก่อนนะคะ
พร้อมแล้วไปกันเลยยย
Day 1:
ไผ่ตื่นมาขึ้นเครื่องไฟล์ 5:40 จริงๆอย่าเรียกว่าตื่น เรียกว่าไม่ได้นอนเลยดีกว่า วิวข้างหน้าต่างที่ทุกคนใฝ่ฝัน
ไผ่ไม่เห็นอะไรเลย เพราะหลับค่ะ! 555 และแล้วเครื่องก็มาถึงเลห์ตอน 7 โมงเช้า ใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงครึ่งเอง
ไผ่ก็เพิ่งมาได้ อู้หูววว กับวิวของเลห์ก็ตอนลงจากเครื่องนี่ล่ะค่ะ พอเดินลงเครื่องมา เค้าก็จะมีรถมารับเข้าTerminal ซึ่ง
“อ้าว ถึงแล้วเหรอ”
555 คือสนามบินเลห์เล็กมากกกค่ะ แบบว่าไม่ต้องเอารถมารับก็ได้ เดินไปเองก็ด้ายยย
แต่คิดไปคิดมา ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนลงจากรถเดินเข้า Terminal ระยะทางแค่ 10 ก้าว เราก็เจออากาศเย็น –1 °C เข้ามากระทบหน้าจนชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่นี่มันแค่เริ่มต้น บอกแล้วใช่มั้ยว่านี่มันช่วงเข้าหน้าหนาว อากาศจะเย็นลงเรื่อยๆในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่ หึ หึ หึ
พอรอรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เดินออกมาด้านนอก ก็เจอกับคนขับรถที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้
นอกจากวิวแล้ว อีกหนึ่งความประทับของเลห์ก็คือคนและบริการนี่แหละค่ะ คือที่นี่พอเราเจอคนขับแล้วปล่อยกระเป๋าได้เลยนะ เค้าเอารถมารับ 2 คัน
คันนึงเค้าจัดแจงยกกระเป๋าเราขนไปเรียบร้อย ส่วนเราก็เดินตัวปลิวนั่งรถอีกคันนึง
ตอนนี้ตื่นแล้วจ้า เราก็มอง 2 ข้างทาง ถนน บ้านเมืองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แปลกตาดี
แปปเดียวเราก็มาถึงที่พักของเรา ชื่อว่า ‘Padma Hotel’
ต้องบอกว่ารูปทรง การตกแต่งของโรงแรมที่นี่จะหน้าตาคล้ายๆกันค่ะ มีเอกลักษณ์และน่ารักมากๆ
มาถึง Brickey ผู้จัดการโรงแรม คนที่พี่มลดีลทุกอย่างกับเค้า ก็มาต้อนรับเรา
Brickey พาเรามาที่ห้องอาหารก่อน ไม่ได้พาไปที่พักแฮะ Brickey บอกว่ายูพักทานอาหารกันก่อนเลย แล้วเดี๋ยวเค้าจะมาคุยเรื่องโปรแกรมทัวร์ด้วย ส่วนกระเป๋าพนักงานจะยกไปไว้ที่ห้องให้
ซึ่งที่ห้องอาหารโอ้โห…นี่เราอยู่เลห์จริงรึเปล่า นี่มันคนไทยล้วน!
ใช่ค่ะ เลห์เป็นเมืองที่โคตรจะ Popular สำหรับคนไทยไปแล้ว ที่นี่คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก
อาหารเช้าวันนี้เป็น Breakfast Buffet อ๊ะ คนที่นี่เป็น Vegetarian ซะส่วนใหญ่นะคะ
เพราะฉะนั้นอาหารเช้าที่นี่ก็จะไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ เน้นไปที่ไข่ และขนมปังปิ้ง แต่สิ่งที่เราตื่นตากันคือ
ที่นี่มีไข่เจียวแบบไทยด้วย! พี่มลเลยอดไม่ได้ที่จะถามเค้า
พี่มล: “คุณทำไข่เจียวแบบนี้ได้ยังไง”
กัปตันห้องอาหาร: “มีแขกชาวไทยสอนเราทำ”
อ๋อออ อย่างนี้นี่เอง เห็นรึยังคะว่าคนไทยมากันเยอะขนาดไหน ถึงขึ้นไข่เจียวไทยถือเป็นเมนูอาหารเช้าของที่นี่ด้วย!
อีกความน่ารักคือ ระหว่างที่เรานั่งอยู่ คุณกัปต้นห้องอาหาร เค้าก็เอาชานมร้อนกับคุกกี้มาเสิร์ฟ
เรารู้สึกว่าการต้อนรับและบริการที่นี่มันเป็นกันเองและดูแลเราแบบจริงใจมากๆ
พอเราทานกันอิ่มแล้ว Brickey ก็เดินมาคุยกับเรา วันแรกเค้าจะให้เรานอนพักทั้งวัน
อย่าเพิ่งซ่าไปกระโดดโล้ดเต้น หรือเดินเล่นทั่วเมือง เนื่องจากที่เลห์อยู่สูงหนือระดับน้ำทะเลมากๆ
อ๊อกซิเจนที่นี่จะค่อนข้างน้อย คนที่ราบอย่างเราต้องนอนปรับสภาพให้ร่างกายเคยชินก่อน ใครที่มาแล้วไม่พัก
มีความเสี่ยงจะเป็น ‘โรคกลัวความสูง’ ในที่นี้ไม่ใช่ไม่กล้ามองลงไปข้างล่างจากที่สูงๆ นะคะ
มันคืออาการที่ร่างกายปรับสภาพกับอากาศน้อยๆในที่สูงแบบนี้ไม่ได้ แล้วก็ป่วยในที่สุดค่ะ
เพราะฉะนั้นอยากเที่ยวอย่างมีความสุข เชื่อเค้าค่ะ นอน!
ส่วนไผ่ไม่ต้องบอกค่ะ นอนเองเลย ง่วงมาก! 555
**ส่วนใหญ่แนะนำต่อๆกันให้ทานยา Diamox เพื่อช่วยปรับสภาพร่างกาย ต้องทานก่อนมาถึงเลห์ 2 วัน เช้า 1 เม็ด เย็นอีก 1 เม็ด สำหรับแก๊งค์เราก็ทานกันไว้ทุกคนค่ะ แต่! เราไม่ใช่หมอนะคะ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทานกันนะคะ เพราะสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันเน้อ
นี่คือห้องพักค่ะ สภาพเตียงอาจจะเละไปบ้าง เพราะพี่ปุ่นได้รื้อผ้าห่มไปพันตัวเองเป็นไข่ม้วนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอก้อนๆบนที่นอนนั่นแหละค่ะ
พื้นไม้ที่ห้องพักเย็นเฉียบมากค่ะ เค้าเลยต้องมีรองเท้าแตะไว้ให้ใส่ในห้อง แต่ไอที่ว่าพื้นห้องเย็นเฉียบแล้ว
พื้นห้องน้ำเย็นกว่าจ้า คือเอาเท้าไปแตะไม่ได้เลย มันทำมาจากหิน เยอะเข้าไปถึงกระดูกเลย
Heater เครื่องใหญ่อย่าคิดว่ามันจะอุ่นเหมือนที่ญี่ปุ่นนะคะ มันทำได้แค่ช่วยบรรเทา
ความอุ่นที่แท้ทรูคือผ้าห่มหนักๆบนเตียงค่ะ มุดตัวเข้าไปแล้วรอให้ความร้อนจากร่างกายเรามันแผ่ไปทั่วผ้าห่ม
เมื่อนั้นแหละ เราจะไม่อยากย่างกรายออกจากผ้าห่มอีกเลย 555
Heater ที่นี่เค้าเปิดปิดเป็นเวลานะคะ
ช่วงเช้า: 6:00 – 9:00 น.
ช่วงเย็น: 18:00 – 23:00 น.
เค้าให้หลับเราก็หลับค่ะ ตื่นมาอีกทีเกือบ 4 โมงเย็น พี่มลก็มาเคาะห้อง ชวนกันเตรียมตัวไปเดินตลาด Leh Market กัน นี่คือวิวที่มองเห็นจากทางเดินหน้าห้องพักค่ะ หน้านี้มันสวยจริงๆ!
โรงแรมเราตั้งอยู่ไม่ห่างจาก Leh Market นัก เดินไปได้ค่ะ เวลาเดินก็ค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวหายใจไม่ทัน
เอาจริงๆเดินเร็วไม่ได้หรอก มันหนาว!
ระหว่างทางเดินไป เราก็เล็งร้านอาหารไว้ เผื่อมาทานวันหน้า
ระหว่างทางที่เดินมาก็จะมีร้านขายของอยู่ 2 ข้างทางเรื่อยๆค่ะ
และแล้วเราก็มาถึง Leh Market กันแล้ว เฮ้ยยย มันดีกว่าที่คิดไว้ คือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว ไม่ได้ Local อย่างที่คิดนะ!
และนี่คือสิ่งแรกที่เราพุ่งเข้าไปหา นั่นคือเนื้อแกะเสียบไม้ปิ้งค่ะ นี่เป็นเมนู Local ที่เราอยากจะแนะนำตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่เราจะกลับ เราก็อยากจะแนะนำอยู่ เป็นเมนูที่อร่อยมากกกกก และราคาโคตรถูก ไม้ละแค่ 40 รูปี (20 บาท)
ร้านเค้าจะขาย 3 อย่างนะคะ คือ แกะปิ้ง ไก่ปิ้ง และคิบับแกะ ซึ่งเนื้อไก่จะแพงกว่าแกนะคะ อยู่ที่ไม้ละ 50 รูปี (25 บาท) งงอ่ะเด้ ทำไมไก่แพงกว่าว้าาา 555
พ่อค้าเค้าจะเรียกคนไป พูดเหมือนท่องบทสวดอะไรซักอย่างอ่ะค่ะ
“Mutton Chicken Mutton Chicken Lamb Kibab” พูดอย่างเนี๊ยะเร็วๆ แล้ววนไปเรื่อยๆ
อันนี้เราไป Search มาด้วยความสงสัย เผื่อมีคนสงสัยเหมือนเรา
Mutton คือเนื้อแกะที่โตเต็มวัย ส่วน Lamb คือเนื้อลูกแกะ ค่ะ
พอปิ้งเสร็จแล้ว เค้าก็จะรูดวางไว้บนแป้งนาน แล้วตักซอสเครื่องเคียงให้ คืออย่างที่บอก แกะปิ้งอร่อยมากกก
ส่วนซอสแล้วแต่คนค่ะ มันจะมีรถเปรี้ยวนิดๆเอาไว้ตัดเลี่ยน พี่ๆบอกว่าอร่อย แต่เราชอบทานแกะเพียวๆมากกว่า
อ่ะ นี่ค่ะ พิธีกรรมก่อนทาน แกะปิ้งร่วมสาบาน นี่คือซื้อกันมาแค่ไม้เดียว เอามาชิมลางก่อนไง 555
ทานเสร็จกก็เดินกันต่อค่ะ ระหว่างทางเราจะเจอน้องหมานอนขดตัวกันอยู่เยอะมากกก ที่เลห์หมาเยอะมากค่ะ
หมาที่นี่จะตัวใหญ่มาก แล้วก็ขนปุยๆ ไม่ดุเลยซักกะตัว หรือมันไม่มีอารมณ์จะขยับตัวท่ามกลางอากาศหนาวอย่างนี้นะ 555
วันนี้วันแรกนี่ อะไรก็ตื่นตาไปหมดอ่ะค่ะ เจออะไรก็ถ่ายเก็บไว้ไปทั่ว
เจอขนมอะไรหน้าตาแปลกนิดแปลกหน่อยก็ถ่ายดะ 555
ที่ Leh Market จะมีคุณยายหลายคนเลยมาปูเสื่อขายผัก ผลไม้ข้างทางกัน
ตลาดวันนี้ค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว
ที่นี้ก็ถึงเวลาต้องหาร้านอาหารเพื่อทานข้าวเย็นกันแล้ว วันแรกก็ต้องสุ่มละล่ะค่ะ หันซ้าย หันขวา เอ้า ร้านนี้ละกัน ชื่อว่าร้าน Pasa เป็นร้านสีเขียวๆ ตั้งอยู่บนชั้น 2 ภายในร้านน่ารักเลยค่ะ พนักงานเดินยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
เมนูอาหารที่นี่ไม่เยอะ แต่สำหรับการทานวันแรก เมนูเท่านี้ถือว่าเยอะพอให้เราลองของใหม่ๆแล้ว เราสั่งมา 3 อย่างทานด้วยค่ะ เป็นข้าวผัด 2 อย่าง และ Chicken Tikka รสชาติ ถือว่าผ่านเลย!
Day 2:
วันนี้เรามีออกไปทัวร์ช่วงบ่าย Brickey นัดแนะเราให้มาเจอกับคนขับรถตอนบ่ายสอง ช่วงเช้าก็เลยเป็นช่วง Free ของเราไป เช้านี้พี่มลนัดเรา 8 โมงเช้า เพื่อมาทานข้าวเช้าพร้อมกันที่โรงแรม เมนูวันนี้ยังคงเป็นข้าวต้มและอาหาร Vegetarian เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากไข่เจียวไทยเป็นไข่ต้ม
และนี่เป็นวิวเช้านี้จากมุมห้องอาหารของโรงแรมค่ะ สวยมากๆ
พอทานเสร็จทุกคนก็แยกย้ายไปเตรียมของ เช้านี้เราออกเดินสำรวจเมืองเลห์กัน พี่ปุ่นพร้อมคนแรก นางก็เลยเดินไปถ่ายรูปเล่นด้านล่างโรงแรม นี่เป็นสวนผักที่โรงแรมเค้าปลูกไว้ค่ะ เป็นสวนแบบมินิๆ น่ารักดี
ส่วนนี่เป็นอีกหนึ่งวิวที่ถ่ายได้จากทางเดินหน้าห้องไผ่ค่ะ
พร้อมกันแล้วก็ออกเดินจ้า วันนี้เราลองเดินไปตามถนนอีกเส้นนึงที่เมื่อวานเราไม่ได้เดินผ่าน
นี่เราไม่รู้เพราะว่าข้างทางมันแปลกตา เราเลยรู้สึกว่ามันสวย หรือมันสวยจริงๆกันนะเมืองนี้
ลูกไผ่: “เง้อออ ไอติม! ร้านนั้นเค้าขายไอติมอ่ะค่ะ”
อาจจะสงสัยกันว่า จะตกใจอะไร ก็ร้านเค้าขายไอติม คือ จะไม่ตกใจหรอกค่ะ ถ้าอากาศมันไม่หนาวขนาดเน้!
คือตอนนี้ไม่รู้อุณหภูมิเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆ มันติดลบแน่ๆ!
วันนี้เราเลือกเดินตามซอยเล็กๆที่เป็นถนนทางลาดค่อนข้างชันลงไป ถนนเส้นนี้มีร้านขายของบ้างประปราย และที่แน่นอนคือมีร้านขายผ้าแคชเมียร์และพ่อค้าค่อยทักเรียกเราเข้าร้านตลอดทาง คือที่เลห์จะมีร้านขายผ้าแคชเมียร์เยอะมากกกกค่ะ ตั้งติดๆๆๆกันเลย
และแทบทุกร้านจะมีพ่อค้าคอยเรียกเราหน้าร้าน “แคชมิน่า” “Good quality” “Please come inside”
และหลายๆร้านก็ทัก “สวัสดีครับ” “คุณสวยครับ”
เชื่อรึยังคะ ว่าคนไทยมาที่นี่เยอะแค่ไหน 555
แต่เส้นนี้จะไม่คึกคักเท่าถนนที่ Leh Market นะคะ ที่นี่จะมีบ้านคนอยู่ด้วยประปราย
ส่วนคุณคนนี้น่าจะเป็นช่างซ่อมเสื้อหนัง นอกจากผ้าแคชเมียร์แล้ว เสื้อกันหนาวแบบ out door กับเสื้อหนัง รวมถึงอุปกรณ์กันหนาวแทบทุกอย่าง หมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าปิดปาก เพียบค่ะ!
ใครที่คิดว่าเสื้อกันหนาวที่ขนมาไม่พอ ไม่ต้องห่วง มาสอยที่นี่ได้เลย ราคาไม่แพง
เราเดินกันลงไปเรื่อยๆลึกพอสมควร จนทุกคนเห็นตรงกันว่าข้างหน้าน่าจะไม่มีอะไรละ เดินกลับเถิด เพราะขาเดินลงมาน่ะมันโอเค แต่ขาเดินกลับที่ต้องเดินขึ้นเนี่ยน่าจะเอาเรื่องอยู่ 555
อีกอย่างที่นี่มีขายค่อนข้างเยอะ คือพวกหิน เครื่องประดับและพวงกุญแจจากธิเบตค่ะ
ตอนที่เราเดินกลับมาแถวตลาด เค้ากำลังจัดร้านอยู่พอดีเลย
พอมองไปที่ถนนหลักของตลาด
ลูกไผ่: “เค้ามุงอะไรกันอ่ะคะ”
พี่ปุ่น: “ไม่รู้แฮะ”
ว่าแล้วทุกคนก็ปรี่เดินเข้าไปดู ดูเหมือนเค้าจะมีงานอะไรซักอย่างที่ถ่ายทอดทางทีวีด้วย
เพราะเราเห็นเค้าตั้งกล้องกันไว้หลายตัวเลย ละเหมือนมีผู้ใหญ่คนสำคัญ (มั้ง) ของที่นี่อยู่ในงานด้วย
ด้านหน้าลานจะมีนักเรียนนั่งเรียงแถวกันอยู่ ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่า ถ่ายรูปได้รึเปล่าหว่า แต่นั่นแหละ
ถ้าเค้าจะตั้งกล้องไว้ถ่ายทอดกันเยอะขนาดนี้ กล้องน้อยๆของเราก็คงได้แหละ
พอยกกล้องมาแล้วก็ไม่ได้มีใครเดินมาห้าม อ่ะ โอเค ถ่ายได้ 5555
เด็กผู้หญิงที่เลห์หน้าตาน่ารักกันมากๆ แต่ออกจะขี้อาย เวลาเรายกกล้องน้องจะหลบหน้าหนี
แต่เวลาเดินสวนกับเราน้องจะทักทาย “Hello” ด้วยหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ซะส่วนใหญ่เลย
ละสายตาจากลานกิจกรรม หันกลับไปมองถนนเลห์ตอนกลางวันชัดๆวันนี้ แม้แต่ที่ตลาดก็เห็นมีวิวตื่นตาแบบนี้ให้เห็น
แต่วันนี้เราไม่เดินตลาดหลักค่ะ วันนี้เราจะไปสำรวจอีกตลาดนึงซึ่งคนที่นี่เรียกว่า ‘Local Market’
ฝั่งนี้จะมีร้านรวงอัดแน่นกว่าตลาดหลักเยอะเลย และสิ่งแรกที่ดึงความสนใจไผ่ก็คือนี่เลยค่ะ
ซากแกะที่แขวนกันไว้โต้งๆ แร่กันสดๆ ตั้งเรียงกันหลายร้านเลย นอกจากซากแกะจะโจ่งแจ้งแล้ว
กลิ่นก็เช่นกัน….
ในขณะที่พี่ๆเดินนำกันไปด้านหน้าแล้ว ไผ่ก็หันไปเจอตรอกเล็กๆที่ดูมีความน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก
พี่ปุ่น: “เดินเข้าไปสิ”
ว่าแล้วไผ่ก็เลยตะโกนเรียกพี่มลกับพี่เจี๊ยบให้เข้ามาด้วยกัน
ในตรอกนี้สองข้างทางจะเป็นร้านชา อารมณ์เหมือน ‘สภากาแฟ’ บ้านเราเลยค่ะ
สุดท้าย มาถึงนี่แล้วต้องลองซักหน่อย ว่าแล้วเราก็ไปนั่งร่วมโต๊ะที่มีผู้ชาย 2 คน และคุณลุงคนนี้นั่งอยู่
ดูท่าเราจะไปนั่งประกบคุณลุงตามที่นั่งที่มีเหลือ ตอนแรกคุณลุงแกเลยดูประหม่าทำท่าจะลุก พวกเราเลยรีบบอก
“ไม่เป็นไรๆค่ะ” แกเลยนั่งต่อ
ว่าแล้วเราก็สั่งชานมร้อนมาคนละแก้ว นั่งจิบแก้หนาว นั่งๆไปพี่ปุ่นที่นั่งข้างคุณลุงก็เริ่มยกกล้องมาถ่ายแก
แล้วยื่นกล้องให้แกดูรูป แกก็พยักหน้าแล้วก็ยิ้ม ไผ่เลยเอามั่ง 555 คุณลุงแกน่ารักมากค่ะ
จิบชาหมดแก้วแล้วเราก็เดินลึกเข้าไปสำรวจในซอยอีกหน่อย
แล้วก็ไปเจอร้านที่น่าสนใจ นั่นก็คือร้านทำแป้งนานนั่นเอง
แป้งนานเรียกว่าเป็นอาหารหลักของคนอินเดียและชาวเลห์ไปแล้วค่ะ เค้าชอบเอามาทานกับแกง
สำหรับคนที่ไม่เคยทานอาหารอินเดีย แป้งนานก็จะคล้ายแป้งโรตีค่ะ แต่ว่าบางแล้วก็ไม่รุ่ย ไผ่ก็เคยแต่ทาน
ก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละว่าวิธีทำเค้าทำกันงี้ ในร้านจะมีผู้ชาย 2 คน คนนึงนวดแป้ง ส่วนอีกคนแพคแป้งนานที่เสร็จแล้ว
จากที่ดูหลังจากที่เค้านวดและปั้นแป้งเป็นแผ่นๆแล้ว
เค้าก็จะเอาแป้งไปแปะไว้ที่ผนังของหลุมที่หน้าตาคล้ายๆโอ่งขนาดใหญ่ ซึ่งข้างล่างเค้าน่าจะก่อไฟไว้ให้หลุมนี้ร้อนตลอดเวลา เพื่อทำให้แป้งสุก จากนั้นก็เอามาแพ็คขายค่ะ
เรา 4 คนก็ไปรุมถ่ายรูปกันใหญ่เลย สุดท้ายพี่มล คนดีของสังคมเลยเกรงใจ อุดหนุนแป้งนานสดๆจากเตาเค้ามา
ผลสรุปคือมันเยอะเกิน ทานไม่ไหว เลี่ยนแป้งนาน นางเลยต้องถือนานเดินไปตลอดทาง
ขอไว้อาลัยให้กับพี่มลและแป้งนานของเค้า 5555
พอเดินเข้ามาในซอยเรื่อยๆ เราก็จะพบว่ามันมีร้านชาแบบสภากาแฟนั่นอยู่เพียบเลยเว้ย!
เดินๆไปเราก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า
ลูกไผ่: “ที่นี่เค้ามีโรงพยาบาลมั้ยอ่ะคะ ไผ่ไม่เห็นเห็นเลย”
พี่เจี๊ยบ: “น่าจะมีนะ เหมือนตอนเดินผ่าน พี่เห็นอยู่”
ไม่ทันขาดคำเดินมาอีกนิด
พี่มล: “อ้าว นี่ไงคลินิก”
เออ จริง อืม….คลินิกจริงๆด้วย……
สุดทางแล้ว เราเลยลองเดินไปอีกทางกันดูดีกว่า ฝั่งนี้ร้านรวงอัดแน่นกว่าอีกฝั่งนึงอี๊กกกก ของเพียบ!
และเท่าที่พี่มล พี่เจี๊ยบหยุดดูร้านตุ้มหู เราว่าของที่ Local Market นี่น่าจะถูกกว่าตรงตลาดหลักอีกนะ
เดินไปเรื่อยๆ เราก็เจอของอย่างนึงหน้าตาคล้ายๆระฆังแต่หมุนได้ มีทั้งอันเล็ก อันใหญ่ตั้งอยู่ข้างถนน สิ่งนี้คือ Prayer Wheel หรือที่ทางธิเบตเรียกว่า Mani Wheel เป็นวงล้อที่ชาวเลห์จะมาหมุนกันจนเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยเวลาที่หมุนต้องหมุนตามเข็มนาฬิกานะ
ระหว่างเดินอยู่เราก็เจอสาวน้อยชาวเลห์วิ่งเล่นอยู่ เลยขอถ่ายรูปหน่อย พอเรายกกล้องถ่าย หนูน้อยก็แอคท่าให้ถ่ายใหญ่เลย ชอบถ่ายรูปนะเราน่ะ 555
เราเดินหลุดจาก Local Market จนจะถึงทางที่เป็นทางออกเมืองแล้ว 555 เดินกันมาไกลมาก
แต่เราก็ยังเดินกันต่อ แล้วก็มาเจออีกตลาดเล็กๆ ตรงนี้เค้าเน้นขายผ้าห่มค่ะ
ผ้าห่มที่เป็นขนๆของที่นี่ดูไม่หนามากเหมือนผ้านวม แต่อุ่นสุดๆบอกเลย
เดินลึกเข้าไปสุดตลาด เราก็จะเริ่มได้เห็นวิวจากมุมสูง ที่เป็นตัวเมืองแซมไปด้วยต้นไม้เปลี่ยนสีสูงชะลูด
มันสวยมาก!
และเราก็เหลือบไปเห็นวัดที่อยู่ด้านบนสูงๆนู้นนน แต่ปัญหาคือ “ทางขึ้นมันอยู่ตรงไหนว้าาา”
พอดีระหว่างทางที่เดินมา เราเห็นตรอกนึงที่เค้าย้อมผ้าอยู่แล้วเหมือนมีทางเดินทะลุไปได้ ตอนเดินผ่านรอบแรกไม่มีคน ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปกลัวเป็นพื้นที่ส่วนตัวเค้า แต่พอเดินกลับมาอีกรอบเลยโผล่หน้าไปถามผู้ชายที่กำลังย้อมผ้าอยู่
ลูกไผ่: “คือเราอยากไปวัดอ่ะค่ะ ต้องเดินไปทางไหนเหรอคะ”
เค้าก็ชี้ไปที่ประตูอีกด้านนึงที่เค้าย้อมผ้าอยู่ สรุปก็คือเดินทะลุพื้นที่ตรงนี้ของเค้าไปได้ แต่พอเดินผ่านประตูปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ทำไมมันดูเหมือนเป็นทางตันหว่า แถมพอมองลงไป เราก็เจอผู้หญิงชาวเลห์ 2 คนเดินผ่านประตูมา แล้วก็ถลกกระโปรงลงไปนั่งยองๆข้างๆกัน เฮ้ย!
ลูกไผ่: “นี่เค้าบอกทางเราผิดป่ะคะนี่ เอ่อม…ที่นี่เป็นที่ที่เค้าขึ้นมาฉี่กันป่าว”
พี่มล: “นั่นดิ”
เอ่อม…ฉี่กันโจ่งแจ้งกันอย่างนี้เลย แถมนั่งคุยกันด้วย เดี๋ยวนะ!
ว่าแล้วเราก็เดินกลับทะลุผ่านทางชายย้อมผ้าไป
พี่มลได้เดินนำหน้าไปถามทางจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายผ้าห่มแทนแล้ว
จริงๆมันเป็นบันไดทางขึ้นเป็นกิจจะลักษณะเว้ย! ไม่ต้องไปเดินปีนทางที่เค้าไปฉี่กัน! 555
ไอมุมข้างล่างที่ว่าสวยแล้ว บนนี้สวยกว่าอี๊กกกก
เรายืนถ่ายรูปกันตรงนี้จนพอใจ ดูเวลาแล้วก็ได้เวลาที่เราต้องไปหาข้าวกลางวันทานแล้ว เพราะเดี๋ยวนัดคนขับรถไว้ที่โรงแรมตอนบ่ายสอง
วันนี้เราเลยเดินย้อนไปตรงทางกลับโรงแรม แล้วตั้งใจว่าจะทานร้านอาหารใกล้โรงแรม ทานเสร็จจะได้เดินกลับใกล้ๆ เพราะนี่ก็เหลือเวลาก่อนนัดไม่มากเท่าไหร่ มื้อนี้เราเลือกทานที่ร้าน ‘Gesmo’
ร้านนี้เมนูเยอะและค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งอาหารอินเดีย จีน อิตาเลียน ธิเบต
แถมมีเบเกอรี่ เป็นเค้กกับคุกกี้อยู่เป็นตู้เลย!
พอเรานั่งปุ๊ป ก็มีพนักงานหนุ่มชาวเลห์ หน้าตาดีเดินมาต้อนรับด้วยหน้าตายิ้มแย้ม และโคตร friendly
รู้สึกเหมือนโปรยเสน่ห์เล็กๆด้วย (คิดไปเองป่าวว้า 555) พอสั่งอาหารเสร็จ
ลูกไผ่: “พนักงานหน้าตาดีนะคะนี่ แถม friendly ด้วย”
พี่เจี๊ยบรีบตอบมา: “ใช่มะ พี่ก็มองอยู่”
พี่มล: “แหม….นังชะนีพวกนี้”
เดี๋ยวกลับบ้านแล้วมาต่อนะค้า
มาต่อจากที่ทานข้าวกลางวันที่ร้าน Gesmo นะคะ
และแล้วเราก็แบกพุงอิ่มแปร้กลับโรงแรมไปเจอกับคนขับรถของเรา และพร้อมออกเดินเที่ยวช่วงบ่ายนี้
วันนี้เราจะไปด้วยกัน 3 ที่ ตอนแรกไผ่ก็สงสัยอยู่ว่า ออกบ่าย 2 ไปตั้ง 3 ที่เลยเหรอ!
แต่พอนั่งรถไปก็ อ้ออ…แต่ละที่มันไม่ได้ไกลอย่างที่คิด นั่งรถแพพเดียวก็ถึง ที่แรกของเราวันนี้คือ
- Leh Palace
ที่นี่เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเขา สามารถมองลงไปเห็นวิวเมืองเลห์จากมุมสูงค่ะ ที่นี่มีค่าเข้าด้วยนะคะ
สำหรับชาวต่างชาติ 100 รูปี (50 บาท) และคนอินเดีย 15 รูปี (7 บาท)
ซึ่งถ้าโชว์ Passport จะได้สิทธิพิเศษจ่ายในราคาเดียวกับคนอินเดียนั่นก็คือแค่ 15 รูปีค่ะ
ข้างในปราสาทออกจะมีความลึกลับซับซ้อนมากค่ะ คือมีช่องมีรูปให้เดินไปโผล่ทางโน้น ทางนี้
ส่วนทางขึ้นก็จะเป็นบันไดชันมากๆ
ที่นี่ฝุ่นค่อนข้างเยอะมากกกค่ะ อย่างไผ่นี่ก็กินฝุ่นเข้าไปเยอะ แบบลมแรงไง พัดมาทีก็หอบฝุ่นเข้าปากเราไปด้วย
แบบขนาดเดินออกมานี่ยังมีฝุ่นเป็นขนมทานเล่นให้กดกรุบๆอยู่ในปากอยู่เลย 555
ถ้าใครมีผ้าก็พกไปปิดปากด้วยนะคะ แบบพี่มลผู้เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์งี้ๆ จะได้ไม่ต้องกินฝุ่นแบบไผ่ 555
ที่นี่ถ้าจำไม่ผิดมีทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกัน แต่เดินไปเดินมา อ้าว นี่ชั้น 8 แล้ว เหรอ 555
บนชั้น 8 นี่เราจะสามารถเห็นวิวได้เกือบ 360 องศา วิวอีกด้านสวยมากค่ะ เป็นต้นไม้สีเหลืองกับภูเขาหิมะ สวยสุดๆ
ระหว่างที่ไผ่ พี่ปุ่น พี่มล ต่างแยกย้ายหามุมถ่ายรูปของตัวเอง หันไปอีกที อ้าว พี่เจี๊ยบ!
คือมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย มารุมขอถ่ายรูปกับพี่เจี๊ยบจ้าาา คือเอาจริงๆ จะเกริ่นให้ฟังฟังนิดนึง พี่เจี๊ยบนี่ Popular กับชาวอินเดียตั้งแต่อยู่เดลีห์ละ เดินเที่ยวที่ไหนก็จะมีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปด้วย แบบ Celeb มาก เค้าว่ากันว่าคนอินเดียชอบคนหน้าหมวย “ต่อไปเรียกพี่ว่าอุรัสยานะ” พี่เจี๊ยบกล่าว 5555
ผ่านที่แรกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไปแค่ 1 ชั่วโมง แล้วเราก็ไปยังที่ๆ 2 ของวันนี้ นั่นก็คือ
- Namgyal Tsemo Monastery
สิ่งแรกที่จะได้เห็นเมื่อลงจากลงรถที่นี่ก็คือธง 5 สีที่ถูกผูกโยงกับยอดอีกฝั่ง เป็นเส้นไหวพริ้วไปตามลมหลายๆเส้นแบบนี้ค่ะ
บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตอนเค้าเอาไปผูกนี่เดินเอาไปผูกกันยังไง!?
ที่นี่เป็นวัดค่ะ เอาจริงๆตอนเราไป ไม่มีคนเลย!
แต่พอเดินขึ้นๆไปซักพักก็เจอพ่อหนุ่มชาวต่างชาติ 2 คน คนนึงเราจำได้ว่าเจอเค้าที่ Leh Palace (คือที่จำได้ เพราะเอาจริงๆ แต่ละที่มีนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่) แต่รอบนี้นางมีเพื่อนมาด้วย แล้วเพื่อนนางก็มาทักพี่เจี๊ยบ แล้วก็เดินตามพี่เจี๊ยบต้อยๆ เดี๋ยว! พี่ฝรั่งคะ ช่วยสนใจเพื่อนที่มากับพี่ด้วยเคอะ! ฮัดช่า! อย่าว่าไปนะค้า พี่เจี๊ยบไม่ได้ Hot กับแค่คนอินเดีย กับฝรั่งที่นี่นางก็ Hot!
“พี่ค้นพบที่ของพี่ละ” พี่เจี๊ยบกล่าวอีกครั้ง 5555
เอาจริงๆ พี่เจี๊ยบก็พยายามมองซ้ายมองขวา ส่งสายตาให้เพื่อน “มาช่วยกูออกไปที” แต่วิวที่นี่มันคงดึงดูดเกินไป นู้น พี่มลเพื่อนสนิทที่รักของพี่เจี๊ยบก็มัดสายตาตัวติดกับช่อง view finder ของกล้องแล้วถ่ายรูปอย่างมีความสุข
พี่มล: “เพื่อนจะ Hot พี่ก็ไม่อยากขัด”
มันใช่เหรอ! 5555
วันนี้ด้านบนสุดของ Namgyal Tsemo เค้าปิดไม่ให้ขึ้นไป เราก็เดินพากันเดินลงมาแล้วก็เจอหนุ่มน้อย 2 คน และจักรยานของเค้า เดี๋ยว! จักรยาน! ใช่ค่ะ น้องปั่นจักรยานขึ้นมา เชรดดดด มาได้ไงนี่ลูก! ซึ่งน้องน่ารักมาก เค้าเจอเราเดินมาเค้าก็ทัก “Hello” แล้วก็ยิ้มให้ เราก็เดินไปถาม
ลูกไผ่: “พี่ขอถ่ายรูปเรา 2 คนหน่อยได้มั้ยคะ”
น้องก็พยักหน้าแล้วตอบ “Yes”
เอร้ย น้องน่ารักมาก ถึงจะเขินๆ แต่นางก็ให้ถ่ายนะค้า
และก็มาถึงสุดท้ายของเราในวันนี้
- Shanti Stupa
เจดีย์สันติภาพ หรือเจดีย์ขาวใหญ่ๆ ที่หลายๆคนอาจจะเคยในหลายๆรีวิวนั่นแหละค่ะ
แต่ว่าพอมาถึงเราจะยังไม่เจอเจดีย์ขาวนี้หรอกนะคะ ต้องเดินขึ้นไปอีกนิด แต่ก่อนอื่นเราจะเจอร้านกาแฟ และมุมหลืบเล็กๆ ที่เราได้ยินเสียงคนไทยมาแต่ไกล มันเป็นอีกมุม view point นั่นเอง ว่าแล้วเราก็แลกกล้องผลัดกันถ่ายรูปหมู่ที่มุมนี้กันซักหน่อย พี่ที่เค้าถ่ายรูปให้เราใจดีมาก พยายามหันหามุมที่ถ่ายแล้วได้วิวสวยๆให้เราหลายรูปเลย ขอบคุณนะค้า ^^
ถ่ายเสร็จ เราก็เดินไปด้านบน และก็เจอเจดีย์ขาวขนาดใหญ่ และลานที่มองออกไปเห็นวิวอยู่รอบๆเจดีย์
คือที่เค้าวางที่นี่ไว้เป็นที่สุดท้ายและให้มาช่วงเย็นๆ เพราะว่าที่นี่เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่จะมาตั้งกล้องถ่ายพระอาทิตย์ตกดินกันค่ะ
แต่…โปรดดูฟ้าของเราวันนี้ค่ะท่านผู้ช๊มมมม….
ปิดสนิท แสดงแดดยังแทบลอดมาไม่ได้ บั๊ย…Sun Set ของฉัน 555
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการกลับมาทานข้าวใน Leh Market วันนี้เราเลือกทานร้าน Chef’s ซึ่งอยู่ตรงซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับร้าน Pasa เมื่อวานค่ะ ทานเสร็จก็พากันไปยืนหน้าร้าน Pasa เพราะเน็ตเค้าแรงมากก แต่อากาศวันนี้ก็หนาวมากกกเช่นกัน จนพี่เจี๊ยบเดินเข้าร้านไปดูชุดแคชเมียร์ใต้ร้าน Pasa เราเลยได้อานิสงค์ความอุ่น และพี่เจี๊ยบก็โดนชุดไป 1 ชุดจ้า
พี่เจี๊ยบ: “นี่ไม่ได้กะซื้อนะเนี่ย ถ้าไปเจอร้านอื่นถูกกว่านี้นะ 3 คนหารกันจ่ายให้พี่เลย”
5555
Day 3:
วันนี้เรานัดกัน 8 โมง เพื่อมาทานอาหารเช้าเหมือนเคย แต่วันนี้ไม่มี Buffet! เราก็งงๆ เอ๊ะ อะไรยังไง
พี่ๆคนไทยอีกโต๊ะ เค้าคงเห็นเราเอ๋อๆ งงๆ เค้าเลยบอกว่า “วันนี้เค้าให้สั่งในเมนูครับ”
แล้วซักพักคุณกัปตันห้องอาหาร ก็เอาเมนูมาให้เราบอกว่าวันนี้ไม่ค่อยมีคน เค้าเลยให้สั่งจากในเมนูแทน
คือที่โรงแรมเนี่ยจะมีคนเยอะเป็นบางวัน แต่วันที่ไม่มีคนไม่ใช่ว่าเค้ากลับกันแล้วนะคะ แต่ว่าเป็นวันที่โปรแกรมทัวร์ของบางกรุ๊ปเค้าต้องไปค้างนอกเมืองพอดี วันนี้เราก็เลยสั่งไข่เจียวไทย ไข่ต้ม และข้าวต้มมาทานกับเสบียงที่เราเอามากัน หลักๆก็หมูหยองอ่ะค่ะ 555
วันนี้เราจะไป 4 ที่ด้วยกัน ซึ่งยังคงเป็นพระราชวังและวัดที่อยู่รอบๆตัวเมือง แต่ Highligh ของเราวันนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เราไป แต่กลับเป็นทางที่เราผ่าน จะมีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ
ที่แรกของเราในวันนี้คือ
- Stakna Monastery
ถ้าเห็นคำว่า ‘Monastery’ ให้รู้ไว้เลยว่านั่นคือวัดค่ะ วันนี้อากาศอุ่นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย อาจจะเพราะวันนี้ฟ้าเปิด แดดเลยส่องเปรี้ยงให้ความร้อนได้อย่างเต็มที่ ดูเหมือนคนขับของเราจะเริ่มจากที่ที่ไกลที่สุดก่อน อ้อ มาถึงวันที่ 3 แล้ว คนขับของเราชื่อ ‘โนบุ’ นะคะ
ขณะนั่งดูวิวอยู่บนรถ และแล้วพวกเราก็เห็นวิวที่โคตรจะตื่นตาสำหรับวันที่ 3 ของเรา นั่นคือ สะพานสีเขียวที่มีธง 5 สีผูกอยู่เต็มไปหมด ข้ามแม่น้ำ Indus หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘แม่น้ำสินธุ’ ที่สีฟ้าสด มีแสงระยิบระยัดบจากแสงแดดที่ส่องกระทบน้ำ โคตรสวยจนเราต้องบอกโนบุว่า
“เราขอจอดตรงนี้หน่อยได้มั้ยคะ”
พอกระโดดลงรถ พวกเราก็แตกกระจายไปคนละทิศละทาง ไปวิ่งถ่ายรูปตามมุมของตัวเอง 555
ข้างๆสะพานใหญ่สีเขียวนี้ มีสะพานสีขาวไม้สีขาวเล็กอีกอันทอดอยู่ด้านข้าง ซึ่งมีธง 5 สีผูกไว้เต็มสะพานเหมือนกัน
นอกจากบนสะพานแล้ว ขณะที่ไผ่กำลังเล็งกล้องไปทางวิวแม่น้ำด้านล่าง ก็เห็นพี่มลกับพี่เจี๊ยบปีนลงไปข้างเรียบร้อยแล้วจ้า พลางโบกมือ “ลงมาๆ” ช่างเป็นกลุ่มคน 4 คนที่ไม่สนวัดวาอารามและพระราชวังที่เค้าตั้งใจพามาเที่ยวเลย 555
โอ๊ย ข้างล่างนี้ก็วิวดีมากค่ะ คืออยู่ที่นี่กันจริงจังกว่าไปวัด กับพระราชวังเมื่อวานอีกค่า! 555
อยู่กันพอใจแล้วก็ปีนกลับไปที่รถ ไปในที่ที่ควรจะไปกันบ้าง แหมะวัดอยู่ข้างหน้าแค่เอื้อมแล้ว พอขึ้นมาถึง Stakna Monastey ลงจากรถ ก็พากันเดินไป ‘ถ่ายวิว’!
ยัง! ยังไม่เดินเข้าวัดอีก ไอพวกคนบาป! 555
นั่นไงสะพานที่เราหยุดถ่ายรูปเมื่อกี้
ถ่ายวิวกันพองาม ป่ะ เข้าวัดบ้างเถอะ!
Prayer Wheel เป็นสิ่งที่เราจะเจอได้แทบทุกที่ พอๆกับธง 5 สีเลยค่ะ
วันนี้ที่ Stakna ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยนอกจากเรา ด้านในตัววัดเงียบมากไม่มีคนเลย แม้กระทั่งลามะ
ด้านหลังของวัดยังมีการก่อสร้างอะไรซักอย่างเพิ่มเติมอยู่เลย เอาจริงๆ เลห์เป็นเมืองที่มีการก่อสร้างเยอะมาก
ไปที่ไหนเราก็เจอแค่สิ่งก่อสร้างแทบทุกที่เลย และแต่ละวัดส่วนใหญ่ก็จะมีการก่อสร้างเพิ่มเติมแทบทุกที่
และอีกอย่างที่หลังวัดมีก็คือ…วิวค่ะ 555 ซึ่งมันสวยมากกอีกแล้ว
รูปที่แต่ละคนมีในทริปนี้ก็เลยจะเป็นรูปถือกล้องถ่ายนู้นนี่ซะส่วนใหญ่ ไม่เน้นเห็นหน้านะ 555
จริงๆตั้งแต่ตอนที่เราลงจากรถ เราเจอลามะท่านหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งโนบุก็เดินไปคุยด้วย
ในระหว่างที่เราเดินถ่ายวิวกัน คือตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าเราสามารถถ่ายลามะที่นี่ได้รึเปล่า ก่อนกลับเราเลยเดินไปถามโนบุว่า
ลูกไผ่: “เราสามารถถ่ายรูปลามะได้รึเปล่าคะ”
โนบุ: “ได้นะครับ”
ลูกไผ่: “แต่เรา ต้องแบบถามท่านก่อนใช่มั้ยคะ”
โนบุก็ทำหน้างงๆแล้วบอกว่า: “อืม….ก็ใช่ ลามะบางคนอาจจะต้องขอก่อนจะถ่ายรูป”
ไผ่กับพี่ปุ่นก็เลยเดินไปหาลามะ แล้วขอถ่ายรูปท่าน ท่านก็ยิ้มแล้วก็พยักหน้า
เราก็เลยได้รูปลามะใจดีรูปนี้มาก่อนกลับ
- Matho Monastery
คือสถานที่ที่ 2 ของเราในวันนี้ อย่างที่บอกว่าวันนี้อากาศอุ่นกว่าวันก่อนๆ พอมาถึงที่ที่ 2
ไผ่กับพี่ปุ่นเลยทิ้งเสื้อกันหนาวตัวนอกไว้ในรถ พอเดินไปซักพัก ป๊าดดด ลมมาทีนี้ยะเยือกจ้า 555
วัดนี้ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นอีกแล้วนอกจากพวกเรา นี่คือวิวจากทางขึ้นวัดค่ะ ช่วงตุลาคมนี่มันดีจริงๆ ต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองเต็มที่เลย สวยมากๆ จากใจคนไม่เคยมีชีวิตในสถานที่ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีมาก่อน 555
ด้านในตัววัด Matho จะเป็นลานกว้างอยู่ตรงกลางวัด
ในส่วนของอารามนี่เราเข้าไปได้นะคะ แต่ว่าต้องถอดรองเท้า ก็เลยมีแต่ไผ่คนเดียวที่ขี้เกียจถอดรองเท้า เลยไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน ในส่วนของชั้น 2 ก็สามารถขึ้นไปได้ค่ะ แต่เห็นพวกพี่ๆเดินขึ้นไปแพพเดียวก็เดินย่องกันลงมา ถามเลยได้ความว่า อ้อ ด้านบนเค้าทำ workshop กันอยู่เลยไม่อยากไปกวนเค้า ลงมาดีกว่า
ตัววัดไม่ได้ใหญ่มากนัก เราเลยเดินไปถ่ายวิวจากด้านหลังตัววัดมานิดหน่อย
พอเดินกลับมา ก็เจอ 2 สาวชาวเลห์ที่ชวนพวกเราคุย
“Is this your first tim?” (“มาที่นี่ครั้งแรกเหรอ”) เป็นคำถามที่เราโดนถามบ่อยมาตั้งแต่มาที่นี่
ตั้งแต่พ่อค้าในตลาด เด็กน้อย และชาวเลห์แทบทุกคนที่คุยกับเราจะถามคำถามนี้กับเรา
เอาจริงๆก็คงเหมือนถ้าเราเจอชาวต่างชาติที่ไทย เราก็คงถามทุกคนว่า “Have you ever been here?”
แพพๆก็มาถึงที่ที่ 3 ของวันนี้
- Stok Palace
เป็นพระราชวังที่ปัจจุบันราชวงค์เลห์ยังคงมาพักที่นี่อยู่เป็นครั้งคราว ขณะที่เรากำลังจอดรถ ก็มีรถอีกคันวิ่งพุ่งมาเทียบ แล้วก็พูดภาษาเลห์ คนขับเราก็เลยเปิดประตูรถลงไปคุยด้วย สรุปได้ความว่า ตอนนี้ Stok Palace ปิด ห้ามเข้า คือไผ่ก็ไม่แน่ใจว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เค้าปิดพอดี หรือว่าตอนนี้มีคนพักอยู่ข้างในนั้น เลยเข้าไม่ได้ แต่สรุปก็คือเราอดเข้าที่นี่ แต่ใกล้ๆ Stok Palace ก็มีอีกสถานที่ที่เราควรไป คือที่ตั้งของพระพุทธรูปองค์ใหญ่
ซึ่งตรงนี้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่เพียงอย่างเดียวจริงๆ ส่วนรอบๆก็จะเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิว ซึ่งลมแรงมากกกก และหนาวโคตรๆ
ว่าแล้วเราก็เลย move ไปที่ที่ 4 อย่างรวดเร็ว ที่ที่ 4 อยู่ค่อนข้างไกลจากที่ที่ 3 พอสมควร ให้ความรู้สึกเหมือนเรานั่งไปอีกเมืองนึงเลย ซึ่งระหว่างทางเอาอีกแล้วจ้า เราเจอสะพานข้ามแม่น้ำอีกแล้ว!
ซึ่งตอนลงรถมีคนกำลังต้อนฝูงวัวฝูงใหญ่ให้ข้ามถนน คนอื่นก็ยกกล้องถ่ายโช๊ะ แช๊ะ
ส่วนไผ่ผู้กำลังง่วนกับการล้วงกล้องโพลาลอยด์ลงมาอีกตัว วัวข้ามไปแล้ว ถ่ายไปทันจ้า…สวัสดี
เอาดีทางวัวไม่ได้ ถ่ายต้นไม้ก็ได้ฟระ! ความพิเศษของจุดนี้คือมีป่าต้นไม้เปลี่ยนสีอยู่ค่ะ นี่คือถ้าไม่มีธงนี่นึกว่าอยู่เกาหลี แล้วเคยไปเกาหลีเหรอไผ่? เปล่า ดูมาจากรูป 555
ด้านข้างก็จะเป็นสะพานไม้ที่อัดแน่นไปด้วยธง 5 สี
ที่พิเศษไปกว่านั้นคือวิว 2 ด้านของสะพาน คือแม่น้ำที่ทอดตัวผ่านต้นไม้สีเหลือง สวยมาก!
อ๊ะ ทีนี้แต่ละคนก็หารูแหวก เกาะสะพานถ่ายวิวกันไปค่ะ คือจะบอกว่าตรงสะพานนี้ลมแรงมากกก และโคตรหนาว นี่เป็นครั้งแรกที่ไผ่เริ่มคิดว่า เฮ้ย นี่ไง อยู่ใกล้น้ำมันก็จะหนาวโคตรๆอย่างนี้สินะ คือหนาวทั้งอากาศ หนาวทั้งลม แล้วคืนที่เราต้องไปนอนริมทะเลสาป เราจะไหวป่าวว้าาา
อีกฝั่งหนึ่งของสะพานก็จะเป็นป่าต้นไม้เปลี่ยนสี สวยมากๆ ตอนนี้เริ่มงงละว่าเราอยู่ประเทศอะไรกันแน่
หันกลับมามองสะพาน ฟ้าอึมครึมใช้ได้เลย จาก 3 วันที่อยู่ที่เลห์เนี่ย เราพบว่าตอนเช้าจะหนาวมาก แต่พอซัก 10 โมงครึ่งแดดมา อากาศจะเริ่มอุ่น แต่พอบ่ายปุ๊ปแดดจะหาย แล้วฟ้าจะปิดเปลี่ยนเป็นอึมครึมแบบนี้ทันที แบบเหมือนฝนจะตก แต่ก็ไม่ตก พวกเราก็แอบคิดกันเล่นๆนะ ว่าที่เลห์นี่มันมีฝนรึเปล่าหว่า หรือว่าถ้าตกก็ตกลงมาเป็นหิมะเลยนะ
และแล้วพี่มลก็เดินมาไล่ต้อนไผ่ให้ขึ้นรถ นี่น้องไง ไม่ใช่วัว!
เราก็นั่งรถน๊องแน๊งๆกันต่อไป ซักพักก็เห็นว่า ทางปิด! แบบว่าด้านหน้าทำถนนกันอยู่
เดี๋ยว! นั่งมาไกลมาก คือยังไง!?
ว่าแล้ว โนบุ ก็วิ่งลงจากรถ เดินไปคุยกับชาวบ้านตรงนั้น แล้วนางก็ยกที่กั้นถนนออก แล้วก็ขับเลาะไปด้านข้างตรงที่เค้ายังไม่ได้ขุด โห สุดยอดคนขับ!
- Spituk
ในที่สุดเราก็มาถึงซักที สถานที่สุดท้ายของเราวันนี้ ที่นี่เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนที่สูง ติดกับสนามบินค่ะ
วันนี้ภูเขาที่มองเห็นวัดให้ความรู้สึกเหมือน มอร์ดอร์ ในเรื่อง ‘The Lord of the Ring’ มากค่ะ แบบอึครึมมาก
นี่เซารอนกำลังเรียกกำลังพลให้ตามหาแหวนที่เลห์อยู่ใช่มั้ย!?
วัดนี้ต้องเดินขึ้น เดินขึ้น และเดินขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆ สำหรับไผ่ ไผ่ว่าวัดนี้เล็กมาก และแทบไม่มีอะไรเลย
ความทรงจำของไผ่ที่วัดนี้มีแค่ ‘วัดที่อยู่ติดสนามบิน’ และ ‘สนามบินเค้าห้ามถ่ายรูปนะ’
อ้อ วัดนี้เป็นวัดแรกที่พี่มลกับพี่เจี๊ยบได้มีประสบการณ์การเข้าส้มหลุม ซึ่งพี่ทั้งสองคนบอกว่า ไม่ได้แย่นะ แต่ต้องพยายามอย่าเอาอะไรติดตัวเข้าไป เพราะถ้าร่วงลงไปนี่ชีวิตจบนะค้า
ตอนแรกโนบุกะให้พวกเรามาทานข้าวกลางวันที่นี่ แต่ดูเหมือนที่นี่จะมีแค่ร้านมินิมาร์ท และร้านชาที่เราหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปจิบแก้หนาวซะหน่อย
แต่! เราโดนสกัดดาวรุ่งด้วยไอติมจ้าาา คือทุกคนเข้าไปรุมที่ตู้ไอติม ไผ่ก็แบบ
“เฮ้ย หนาวขนาดนี้จะกินไอติมกันได้ไง”
พอบอกว่าเป็นไอตินรส ช็อคโกแลต อะไรซักอย่าง บราวนี่ หรืออะไรไม่รู้ ชื่อน่าทานมาก ไผ่เลยไปแย่งพี่ปุ่นทาน เฮ้ย โคตรอร่อยเลย หนาว เหน่อ อะไร
บ้า…กินได้…..
...............................
ติดตาม EP ต่อไปเร็วๆนี้นะค้า เราจะเริ่มออกนอกเมืองกันแล้ว
ใครอยากรู้อะไรเพิ่มเติมเข้ามาคุยกันได้ที่นี่เลยค่า
https://www.facebook.com/wherewegopage/
...............................
Where We Go
วันพฤหัสที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.45 น.