"น่าน"จังหวัดที่ใครๆก็อยากมาเยือน..รวมถึงเราด้วย^^ด้วยความที่เป็นเมืองท่ามกลางหุบเขา มีธรรมชาติสวยงาม และมีที่เที่ยวน่าสนใจเยอะมากๆ และนี่คือสถานที่ที่เราไปเก็บความประทับใจมาา ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ, วังศิลาแลง, อุทยานแห่งชาติดอยภูคา+จุดชมวิว 1715, น้ำตกสะปัน, บ่อเกลือสินเธาว์, ร้านอาหารปองซา, ถนนลอยฟ้า1256, กาแฟบ้านไทลื้อ+ลำดวนผ้าทอ, Cocoa Valley Cafe, ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน, วัดพระธาตุเขาน้อย, วัดภูมินทร์, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, วัดมิ่งเมืองเสาหลักเมืองน่าน, ร้านอาหารเฮือนฮอม, ร้านของหวานป้านิ่ม, Workboxes Cafe, หอศิลป์ริมน่าน
ทั้งหมดนี้กับทริป 3 วัน2 คืนค่าา^^
ติดตามภาพถ่ายอื่นๆได้ที่^^
Instagram>> https://bit.ly/2KnnmfP
เพจ>>https://www.facebook.com/wejourneys
เราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่ 6.30น. โดยรถยนต์จาก จ.เชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึง อ.ปัว จ.น่านค่ะ ทริปนี้เราเริ่มเที่ยวจากนอกเมืองเข้ามาในเมือง
ที่แรกเราขอไปอร่อยฟินกับสารพัดเมนูเห็ดที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ กันก่อน ร้านอาหารเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่
ที่นั่งทานข้าวก็จะมีทั้งในบ้านและนอกบ้าน โซนด้านนอกอยู่ท่ามกลางดงไผ่ บรรยากาศร่มรื่นมากๆส่วนเมนูที่เราสั่งก็นี่เลย พิซซ่าเห็ด ซุปครีมเห็ด เห็ดหอมอบซีอิ๊ว
มีชิงช้าให้นั่งเล่นถ่ายรูปชิลๆด้วยนะ ที่จริงวิวด้านหน้าจะเป็นทุ่งนาค่ะแต่เราไปช่วงเกี่ยวข้าวพอดีเสียดายมากๆ^^
จากฟาร์มเห็ดมีอีกสถานที่นึง ที่ไม่ไกลกันมากคือ วังศิลาแลง สามารถเดินไปได้ ระยะทางประมาณ 600เมตร
เราสามารถเดินลงเป็นด้านล่างได้แต่ต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อยเพราะบางช่วงจะชันค่ะ
วังศิลาแลง เป็นที่ที่ถูกขนามนามว่าเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองปัวเลยนะเพราะที่นี่มีลักษณะเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่ถูกกระแสน้ำพัดวน จนเกินการกัดเซาะเป็นเวลานาน จึงทำให้หินเกิดเป็นทรงกระบอก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า 'วัง 'นั่นเอง เราค่อยๆใต่ลงไปด้านล่างจนตัวเปียกไปครึ่งนึง55 แต่ไม่เป็นไรเพื่อรูปสวยๆและได้ชมธรรมชาติแบบใกล้ๆอ่ะเนอะ
หลังจากชมความงามของวังแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไปที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคากันค่ะ
ระหว่างทางเราจอดแวะชมต้นชมพูคากันสักนิด แต่เสียดายว่าช่วงนี้ดอกยังไม่บาน จะบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ของทุกปี เพราะชอบอากาศหนาว
เราขับรถต่อมาเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิว 1715 อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ขอบอกว่าวิวสวยมากก
มองเห็นเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดสายตา
หลังจากชมความงามของขุนเขาเมืองน่านแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่ อ.บ่อเกลือค่ะ เราจองที่พักไว้ที่ อุ่นไอมาง ณ สะปัน เราได้บ้านเป็นหลัง คนละ1200บาท ต่อคน ต่อคืน รวมอาหารเช้า-เย็น
มองออกไปจากระเบียงจะเห็นวิวลำธารแบบนี้เลย^^
พอไปถึงก็เย็นแล้ว คุณป้าที่ดูแลที่พักบอกว่าวันนี้ค่ำๆมี ตลาดสะปัน เราเลยได้โอกาสปั่นจักรยานไปเที่ยวกัน
ปั่นไปนิดเดียวค่ะ ประมาณ 200เมตร เป็นตลาดเล็กๆอบอุ่นๆมีชาวบ้านออกมาขายของกิน และมีเสื่อปูให้เรานั่งกินข้าวกันบนสะพานกับบรรยากาศดีๆมองเห็นทิวเขา
นั่งได้สักพักก็กลับไปทานข้าวที่ที่พักกัน
Day2
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า มาเดินเล่นรอบๆที่พักสูดอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาและหมอกจางๆ
นั่งเล่นจนได้เวลาอาหารเช้า คุณป้าเตรียมอาหารไว้พร้อม หน้าตาหน้าทานทั้งนั้นเลย แถมใครไม่อิ่มเติมได้ไม่อั้นเลยนะอิอิ
ทานข้าวเสร็จแล้ววันนี้เรามีแพลนปั่นจักรยานไปน้ำตกสะปันกันค่ะ
ระหว่างทางที่ปั่นไปน้ำตก มีเด็กๆในหมู่บ้านเดินเล่นกันอยู่ ทุกคนยกมือไหว้สวัสดีเราตลอดทางเลย และย้ำว่าทุกคนจริงๆเป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ เสียดายว่าไม่ทันได้ถ่ายรูปความน่ารักของน้องๆมาให้ดูกัน^^ เราปั่นกันมาไม่นานก็มาถึงทางเข้าน้ำตก น้ำตกสะปัน มีทั้งหมด 3 ชั้น
บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย มีน้ำไหลตลอดปี จากปากทางเข้าเราเดินมาประมาณ600เมตร ก็จะถึงน้ำตกชั้นในสุด
ใช้เวลานิดหน่อยแต่พอไปถึงแล้วคุ้มมากๆ มีแอ่งน้ำสามารถลงเล่นได้
สายๆเราเช็คเอาท์แล้วไปเดินทางต่อไปที่บ่อเกลือสินธุ์เธาว์ ไปถึงได้เวลาอาหารเที่ยงพอดีเราเดินไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารชื่อเก๋ไก๋ว่า “ปองซา" ที่ตั้งอยู่ใน บ่อเกลือวิว รีสอร์ท(Boklua View Resort)เป็นร้านที่บรรยากาศดีมากๆเพราะติดกับติดภูเขาและแม่น้ำด้วยนะ
เราสั่งเครปเกลือ ไก่ทอดมะแขว่น และแกงเขียวหวานปลาดุกทอดกรอบ ทั้งหมดเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติอร่อยทุกอย่างเลย
อิ่มกันแลัวเราเดินกลับไปที่ บ่อเกลือสินเธาว์ ที่นี่เป็นเกลือบนภูเขาแห่งเดียวในโลกเลยนะ^^ และวิธีการต้มเกลือของที่นี่ยังถูกสืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วอายุคน โดยที่ทุกๆ ขั้นตอนก็ยังคงเรียบง่ายและที่สำคัญวิธีการต้มเกลือสินเธาว์แบบโบราณ ยังคงหาชมได้ที่บ่อเกลือเพียงแห่งเดียวเท่านั้นอีกด้วย
และบริเวณรอบๆจะมีชาวบ้านนำสินค้าที่ทำจากเกลือไม่ว่าจะเป็น สบู่ สปาเกลือ และของที่ระลึกต่างๆมาวางขาย สามารถแวะซื้อเป็นของฝากกันได้ค่ะ
จากบ่อเกลือเราเดินทางกันต่อ โดยใช้เส้นทางหลวง 1256 ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปกันที่
ถนนลอยฟ้า นิดนึงค่ะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ อำเภอปัวกันอีกครั้ง
ที่ต่อมาที่เรามาแวะเติมคาเฟอีนกันคือ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ เป็นร้านกาแฟติดริมนาข้าวแฝงไปด้วยบรรยากาศแบบไทลื้อดั้งเดิม ไปนั่งเล่น นอนเล่น รับลมเย็น มองดูวิวนาข้าวและขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้าชิลสุดๆ
ใกล้กันจะเป็นร้านลำดวนผ้าทอ เป็นร้านขายของที่ระลึก ผ้าทอไทลื้อและผ้าอีกหลายแบบ ซึ่งขายกันเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน
ช่วงบ่ายเรามีอีกที่นึงในปัวที่เราต้องแวะคือ Cacao Valley Cafe ร้านกาแฟบรรยากาศดีๆที่ตั้งอยู่ภายในรีสอร์ท
ทุกเมนูทำจากช็อคโกแลตแท้ๆจากต้นโกโก้ที่ ที่นี่ปลูกเอง รสชาติขมนิดๆ หวานละมุน ทานคู่กับผลไม้เปรี้ยวหน่อยๆเข้ากันมากๆ
ภายในร้านมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoorค่ะ เราได้ที่นั่งด้านนอก ดีว่าวันนี้อากาศเย็นสบาย นั่งกันเพลินจนลืมเวลาเลย
เรากลับเข้าไปนอนในตัวเมืองน่าน ในคืนที่ 2 ค่ะ เราเลือกพักที่ Kaampuju Rooms & Cafe คืนละ 700บาท สำหรับ2คน มีอาหารเช้า(ห้องน้ำรวม) เป็นบ้านไม้แบบไทยๆ สะอาด ตกแต่งน่ารักดีค่ะที่สำคัญใกล้ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน สามารถเดินไปได้เลย
เราเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้วไปเดินเล่นถนนคนเดินกัน
ที่ถนนคนเดินจะเปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีขายทั้งอาหารเหนือ สินค้าพื้นเมือง ผ้าพื้นเมือง ของที่ระลึก เราสามารถเดินซื้อของกินแล้วไปนั่งทานที่ลานหน้าวัดภูมินทร์ได้ ซึ่งตรงนี้ก็จะมีการแสดงดนตรีให้ได้ชมกัน บรรยากาศดีมากๆ
Day3
หน้าตาของอาหารเช้าวันนี้ที่แสนจะเรียบง่าย แต่อร่อยและอบอุ่นใจ^^กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปไหว้พระกัน
เราเช็คเอาท์แล้วมุ่งหน้าไปที่ วัดพระธาตุเขาน้อย อยู่ในตัวเมืองน่าน ขับรถไม่ไกล ขึ้นเขานิดหน่อยแนะนำขึ้นให้ขึ้นมาช่วงเช้าๆ จะได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ
บริเวณลานชมทิวทัศน์ ได้ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูงถึง 9 เมตรที่มีความสวยงามมากๆ และจากด้านบนนี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่านได้อีกด้วย
จากวัดพระธาตุเขาน้อยเราขับรถมาเที่ยวชมอีกหนึ่งวัดที่เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของ จ.น่านค่ะนั่นคือ วัดภูมินทร์ แต่เดิมชื่อว่า "วัดพรหมมินทร์”ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้างวัดค่ะ
ความพิเศษของวัดแห่งนี้คือวิหารหลวงเป็นทรงจตุรมุขตั้งอยู่บนนาคสะดุ้งขนาดใหญ่เทินพระอุโบสถไว้บนกลางลำตัว
ภายในวัดยังมีภาพจิตรกรรมฝาพนังที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คน วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี ในยุคล้านนา ต้นรัตนโกสินทร์ ได้เป็นอย่างดี
และที่พลาดไม่ได้คือการได้ถ่ายรูปคู่กับภาพ "ปู่ม่านย่าม่าน" เป็นที่ระลึก ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในวัดภูมินทร์เลยนะ
เดินชมวัดกันทั่วแล้ว เรามาแวะทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านเฮือนฮอม เป็นร้านอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อของที่นี่ บรรยากาศในร้านโปร่งโล่งสบายร่มรื่นด้วยต้นไม้
และด้านในยังมีที่นั่งที่จัดแบบขันโตกทำให้มีกลิ่นอายสไตล์ล้านนา
อิ่มกันแล้วก็ออกเดินต่อ ที่ต่อมาคือ ศาลหลักเมืองน่าน วัดมิ่งเมือง เดินมาไม่ไกลค่ะแค่ข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ถึงเลย
ภายในวัดมีศาลหลักเมืองน่าน ตัวอาคารเป็นศิลปะแบบน่านร่วมสมัย
เช่นเดียวกับตัวอุโบสถของวัดมีความโดดเด่นด้วยศิลปะปูนปั้นและด้านในยังมีภาพวาดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของชาวน่านสมัยก่อนอีกด้วย
จากวัดมิ่งเมืองเรามาแวะกิน บัวลอย กันที่ ร้านขนมหวานป้านิ่ม ร้านดังประจำเมืองน่าน ที่ใครมาแล้วไม่ได้ชิม ถือว่ามาไม่ถึง^^ เราเพิ่งรู้จากน้องที่ดูแลที่พักว่าร้านป้านิ่มย้ายไปที่ใหม่แล้วซึ่งตอนแรกจะอยู่ใกล้กับที่เราพักเมื่อคืนเลย ทำให้เราต้องเปลี่ยนแพลนนิดหน่อยคือมาวันนี้แทน แต่ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ร้านใหม่จะอยู่ทางไปสนามบินน่าน สามารถเปิด Goodgle Map แล้วเสิร์ชว่า "ของหวานป้านิ่มสาขาใหม่" รับรองว่าเจอแน่นอน ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถสะดวกสบาย
บัวลอย รสชาติไม่หวานจนเกินไป กะทิหอมอร่อยดีค่ะ
ก่อนกลับเราหาคาเฟ่นั่งพักกันสักหน่อย..เราเลือกมาร้านนี้ค่ะ Workboxes Cafe เป็นเล็กๆน่ารักดี ดูอบอุ่น มีมุมถ่ายรูปชิคๆ
ด้านในร้านตกแต่งโทนสีขาวดูสบายตา
มีทั้งเมนูขนม ไอศกรีม และเครื่องดื่ม
และแล้วก็มาถึงที่สุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะเราเปลี่ยนบรรยากาศมาเสพงานศิลป์กันที่ หอศิลป์ริมน่าน เป็นหอศิลป์ร่วมสมัยที่มีการจัดแสดงนิทรรศการศิลปกรรมร่วมสมัย ที่นี่เปิดทุกวัน 9.00-17.00น.(ปิดวันพุธ) มีค่าเข้าชมคนละ20บาท
บรรยากาศรอบหอศิลป์ สงบ ร่มรื่นเพราะล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่
ด้านในมีการจัดแสดงผลงานของศิลปินมืออาชีพและนิทรรศการสำคัญๆที่สัญจรมาจัดแสดง
หลังจากแวะกินกาแฟและเสพงานศิลป์กันก็ถึงเวลาเดินทางกลับค่ะ
•ค่าใช้จ่าย2วัน1คืน•
-ที่พัก อุ่นไอมาง ณ สะปัน บ่อเกลือ 1คืน 1200฿ต่อคน=1200฿
-ที่พัก Kaampuju Rooms & Cafe 1คืน 700฿หาร2=350฿
-ค่าเข้าสถานที่ = 20฿
-ค่าน้ำมันเดินทางจากเชียงใหม่1,800฿หาร2=900฿
-ค่าอาหาร+ของฝาก = 1200฿
=รวม 3,670฿ ต่อคน
::::ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการเดินทางและภาพถ่ายของเรานะคะ◡̈แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ:::
we journey
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 15.10 น.