สวัสดีค่ะ
มานำเสนอรีวิวญี่ปุ่นกับที่พักแบบที่เรียกว่า เรียวกัง ค่ะ ตั้งใจแรกจะรีวิวส่วนของโรงแรม แต่ระหว่างทางแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ มีวิวที่สวยเยอะแยะ เลยเก็บระหว่างทางมาแชร์กัน
เราเดินทางข้ามกัน 3 จังหวัดค่ะ ขออนุญาตใช้รูปของติวเตอร์ตู่มาประกอบ
จากรูปเริ่มต้นที่ Tokyo (หัวใจหมายเลข 1) ข้ามไปจังหวัด Tochigi (หัวใจหมายเลข 2) จุดสิ้นสุดอยู่ที่จังหวัด Fukushima (หัวใจหมายเลข 3)
ลองใช้กูเกิ้ลแมพดู ระยะทางทั้งหมดประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร การเดินทางทริปนี้เราขึ้นรถไฟแล้วไปเช่ารถขับกันต่อ ตามแผนที่บอกใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง แต่ทริปเราแวะเก็บจุดท่องเที่ยวระหว่างทางด้วย เราไปกันแบบสโลว์ค่ะ
เริ่มต้นออกเดินทางจากโรงแรมในโตเกียว ย่าน Gotanda Station ขอเริ่มจากสถานีนี้เลยแล้วกัน
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟ Yamonote Line ไปลง Shinagawa Station แล้วเดินตามป้ายชานชาลาที่ 5 เพื่อไปขึ้นรถไฟ Ueno-Tokyo Line ไปลงที่ Utsunomiya
หลังจากนั้นเราเช่ารถขับกันต่อค่ะ เพื่อสะดวกในการเดินทาง เท่าที่ทราบมีรถไฟต่อ แต่เท่าที่ไม่ทราบ คือ ไม่รู้สายไหน ต่อที่ไหน และไปยังไง
ได้รถมา 1 คัน เราใช้เส้นทาง Nichi-en Momiji Line
ระหว่างทางมีจุดแวะเที่ยวเป็นระยะๆ ค่ะ ทริปเราไม่รีบ เจออะไรน่าสนใจเราก็แวะไปเรื่อยๆ เมื่อเริ่มไต่ภูเขามาเรื่อยๆ จะเห็นว่าไบไม้เริ่มเปลี่ยนสีบ้างแล้ว
แวะแรกที่น้ำตก Taiko Oroshi อยู่ในเขตจังหวัด Tochigi
จากลานจอดรถ เดินเข้าไปอีก 100 เมตร ตามป้าย
แต่เป็น 100 เมตรที่ไต่ระดับนิดหน่อย
ยิ่งใกล้น้ำตก อากาศยิ่งเย็นขึ้น เตือนนะคะสำหรับใครที่เดินทางช่วงเข้าหน้าหนาวให้เตรียมชุดให้พร้อม เพราะหนาวจริง จขกท.มาจากโตเกียว คิดว่าหนาวกว่าในเมืองนิดนึงก็เตรียมมาระดับหนึ่ง เอาจริงมันหนาวกว่านั้นเยอะง่ะ
เป็นน้ำตกเล็กๆค่ะ เดาได้ไม่ยากว่าน้ำจะเย็นแค่ไหน
จบจากน้ำตกที่แรกเราก็เดินทางกันต่อ
ยิ่งสูงขึ้น เราเห็นไบไม้เปลี่ยนสีมากขึ้น และอากาศก็เย็นขึ้น แง๊............
จุดแวะที่สองของเรายังอยู่ในเขตจังหวัด Tochigi คือ น้ำตก Shira Taki เป็นน้ำตกเล็กๆ เล็กกว่าที่แรก แต่ตรงนี้วิวสวยกว่า และที่สำคัญมีร้านขนมให้แวะกิน
น้ำตกอยู่ข้างๆ ร้านของกิน (พอหัวหน้าทริปเรียกเข้าร้านกินเท่านั้นแหล่ะ น้ำตกก็ช่างมัน)
มาดูหน้าตาของกินกันค่ะ เป็นขนมเล็กๆ กินแก้หนาวไม่ได้กินกะอิ่ม จากรูป
1. โอะชิรุโขะ (ถั่วแดงอะซึกิ+โมจิ) อารมณ์เหมือน ถั่วแดงร้อนบ้านเรา
2. มิโสะคอนยักขุ (Konnyaku ราดมิโสะ) หนึบๆ เหมือนกินเส้นบุก แต่อันนี้มาในรูปแบบก้อนๆ แทน จืดๆ แต่ได้รสซ๊อสที่ราด ใครทันผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ คอนยักกี้ บ้าง นั่นแหละ รากศัพท์น่าจะมาจาก คอนยักขุ
3. คอนยักขุดังโงะ (ลูกชิ้น Konnyaku กินกับมัสตาร์ด) อันนี้เหมือนเมื่อกี้เลย แต่ทำเป็นลูกชิ้นแทน จิ้มกับมัสตาร์ด จิ้มน้อยจะจืด แต่ถ้าจิ้มเยอะจะขึ้นตาเลย
กินไปพร้อมกับน้ำชา แก้หนาวได้ดีเหมือนกัน
ไปชมวิวด้านนอกกันค่ะ ที่นี่วิวดีกว่าน้ำตกแรก เพราะอยู่สูงขึ้นมาอีกหน่อย ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีชัดขึ้น และมีวิวมุมสูงที่มองเห็นได้ไกล
ถ้าช่วงพีคนี้คงสวยมิใช่น้อย
เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้พักใหญ่ๆ ค่ะ แล้วเดินทางกันต่อ อย่างที่บอก ยิ่งสูง ใบไม้ก็ยิ่งสวย ระยะทางไกลๆ นั่งไปไม่มีเบื่อค่ะ ช่วงนี้เอาภาพวิวสองข้างทางมาฝาก หลายๆ จุด สวยจนอยากจะหยุดถ่ายรูปแต่ด้วยเส้นทางที่ไม่เอื้อให้จอดแปะข้างทางแบบบ้านเรา
ถึงจุดแวะกันอีกที่ค่ะ กับ Hunter Mountain Shiobara เหมาะสำหรับช่วงหิมะลง เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาเล่นสกีกันค่ะ จากลานกว้างๆ ที่เห็นเมื่อหิมะลงจะขาวเต็มพื้นที่ อัญเชิญสาวกสกี สไลด์ ไถลกันได้อย่างสนุกสนาน
สำหรับช่วงที่หิมะยังไม่ลง เราได้เห็นสองผู้เฒ่ามานั่งเล่าความหลังกันใต้ต้นไม้แดง
จากวิวเมื่อกี้ ถ้ามองกลับหลังหันมา จะเห็นเป็นบ้านทรง...ทรง..อะไรก็ตามนี้แหล่ะ ด้านในมีขายของที่ระลึก และของกินน่ารักๆ เราเข้าไปดู แล้วสอยมาได้ 1 กล่อง (ซื้อมาลองกินเถอะค่ะ ไม่เกิน 500 เยน ระหว่างทางไม่มีไรทำ ก็นั่งงับไปเพลินๆ)
ที่นี่ให้บริการลิฟท์ขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนด้วย แต่ค่อนข้างแพงค่ะถ้ามาช่วงนี้อาจจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ผ่านค่ะผ่าน
เราออกเดินทางกันต่อ วิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 400 และตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 121
ด้วยเส้นทางลัดเลาะเขา ทำให้เราได้เจอกับทางคดเคี้ยวแบบเน้...
เมื่อหันไปคุยกับ GPS เห็นว่าเราจะเจอกับโค้งกันไปอีกนาน (นี่ปาย ใช่มะ)
ช่างโค้งไป จังหวะไม่โค้งเราก็เก็บภาพกันค่ะ
จุดแวะต่อมา เรียกว่า Tajima Michi-no-eki (Michi-no-eki แปลว่า Road station) เป็นจุดพักรถริมทางหลวง แนวๆ จุดให้บริการนักท่องเที่ยวของบ้านเรา แต่ของเค้าเด็ดกว่าตรงที่มีร้านขายสินค้าพวก ผัก ผลไม้ แล้วก็ของท้องถิ่นแบบคนพื้น ที่มาตั้งขายเอง (มีเก็บค่าที่มั๊ย ไม่แน่ใจ) ผัก ผลไม้ สดและถูก ไม่เหมือนบ้านเรา พาณิชย์เกิ๊น
เราแวะซื้อของกิน (อีกแล้ว) แล้วเดินทางต่อค่ะ เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 121 เราได้พบกับจุดที่ใบไม้เปลี่ยนสีแบบพีคๆ จนทำให้ต้องแวะเก็บภาพ
เต็มอิ่มกับสีสันพันธุ์ไม้แล้วเราเดินทางกัน ตามป้ายไปเมือง Shimogo
จุดหมายสุดท้ายก่อนเข้าที่พัก คือ Tou no Hetsuri ตั้งอยู่ในเมือง Shimogo จังหวัด Fukushima
มีที่จอดรถทั้งด้านนอก และด้านใน แต่ด้านในทางเข้าค่อนเข้าแคบเดินรถได้ทางเดียว แนะนำให้จอดไว้ด้านนอก แล้วเดินไปจะสะดวกกว่าค่ะ
ทางชันๆ ที่เห็นนั่นเป็นทางทางเท้าและทางรถ จะเห็นว่าค่อนข้างแคบ รถต้องหลีกกันวุ่นวาย
ลานจอดรถด้านใน มีพอประมาณ
ระหว่างเดินๆ อยู่เรามาพบกับสิ่งนี้ค่ะ คุ้นๆ กันมั๊ย มันคือ คอนยักขุแบบเดียวกับที่กินที่น้ำตก (จำไม่ได้ สไลด์เม้าส์ขึ้นไปเลยค่ะ คห.ต้นๆ) ที่น้ำตกเรากินแบบต้ม แต่อันนี้แบบปิ้ง รสชาติเหมือนเดิมที่เพิ่มเติม คืออันนี้หนึบกว่า ส่วนตัวชอบอันนี้มากกว่า
ถัดไปนั่น ปลาย่างค่ะ งงๆ ย่างมาจะกินยังไง ถือไปคนละไม้ เดินกินไปงี้ เค้าว่า ก็แทะไปดิ ใครๆ ก็แทะกัน เอ่อ..เอามา ไม้นึง
Tou no Hetsuri ลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน เกิดจากการกัดเซาะตามธรรมชาติ ด้านล่างเป็นแม่น้ำอะไรไม่รู้ไหลผ่าน มีสะพานไม้เชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน ตัวสะพานนี่ไม่เท่าไหร่ ตัวเชือกที่ยึดสะพานดีกว่า ค่อนข้างแกว่ง ขอให้ทุกท่านใช้สติและสองเท้าก้าวย่างอย่างมั่นคง (โอเวอร์ตลอดอ่ะ)
จบจากการไต่บันไดแกว่งๆ เราเดินทางกันต่อเพื่อเข้าที่พักค่ะ เข้าสู่เมืองแห่งออนเซน
ตามเส้นทาง GPS ว่าไว้ ซ้ายๆ ขวาๆ เราก็มาถึงค่ะ กับ Higashiyama Onsen
ที่จอดรถจะเป็นอีกที่ (ที่ที่เราก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน) ให้ขนกระเป๋าลงหน้าโรงแรม แล้วทางพนักงานจะเอารถไปจอดให้เอง
สำหรับ Higashiyama Onsen ตั้งอยู่เมือง Aizu-wakamatsu ตัวโรงแรมมีด้วยกัน 2 ส่วน/อาคาร Chiyotaki (จะตั้งอยู่สูงกว่า ได้วิวมุมสูง) กับ Shintaki (ได้วิวหมู่บ้าน) ชอบวิวแบบไหนลองเข้าไปเลือกชมดูค่ะ ตามเว็บไซต์ http://www.kutsurogijuku.jp/english/index.html
เราพักกันที่ Shintaki เวลาเชคอิน บ่ายสาม และเชคเอ้าท์ 11 โมง
ราคาห้องพักจะรวมอาหารเช้า และเย็น (อาหารแบบ kaiseki) ไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากขนสัมภารกลงจากรถแล้ว เข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ พื้นที่ชั้น 1 ส่วนเชคอินไม่กว้างขวางนัก แบ่งส่วนหนึ่งเคาน์เตอร์ อีกส่วนเป็นชุดรับแขกสำหรับนั่งพักผ่อน และมีหลืบนิดๆ จัดเป็นร้านขายของที่ระลึก
ถัดจากส่วนโต๊ะรับแขกไป จะเป็นโซนเสื้อผ้า เครื่องประดับค่ะ ตรงนี้ทางโรงแรมจัดไว้ให้สำหรับแขกผู้หญิงได้เลือกชุดยูกาตะไว้ใส่เดินเล่น นอนเล่น สีสันหลากหลาย ผ้าพื้น ผ้าลาย ลายน้อย ลายพร้อย ลายพราง (อันหลังไม่มี) เลือกกันจนมึน เพื่อนบอก “สีเหมือนผ้าปูที่นอนบ้านเรา"
“เดี๋ยวนะ !!!!" O_o
คุ้ยผ้ากันจนพอใจ กลับมาเรื่องเชคอินค่ะ ระหว่างรอเราได้น้ำชาเป็นเวลคัมดริ๊งค์ แก้หนาวกับอากาศด้านนอกได้ดี (แต่หนาวๆ แบบนี้ ยกมาให้ทั้งกาเลยจะดีมาก)
เชคอินเรียบร้อยพาไปสำรวจห้องพักกัน ตัวอาคารนี้มี 5 ชั้น ใช้ลิฟท์ 1 ตัว ข้างๆ กับเคาน์เตอร์เชคอินเลย ติดกับลิฟท์วางชุดอีกแบบสำหรับแขก หยิบกันไปคนละ 1
เลขที่ออก 4...2...7
เปิดประตูเข้าไป ทางเดินค่อนข้างมืด ด้านซ้ายนี่มี 2 ประตู ด้านขวา 1 ด้านหน้าอีก 1 (ตอนแรกนึกว่าด้านหน้านั่นกำแพง) ห้องนอน ไม่ซ้ายก็ขวามั๊ง
ข้างๆ ประตู ด้านหนึ่งจัดวางของประดับเล็กๆ อีกด้านเป็นตู้ พร้อมรองเท้าแตะ
เปิดไล่ไปดูทีละประตู ซ้ายแรกเลยเป็นห้องน้ำ เฉพาะหนักเบา ชักโครกระบบอุ่นตรูดตามปกติ
ประตูถัดไป เป็นตู้เก็บเครื่องนอน ใครหนาวมากขนลงมาถมตัวเลยค่ะ
จบด้านซ้าย ด้านขวาเหลืออีกบาน ตอนแรกนึกว่าห้องนอนแนะหละ อย่างที่บอกนึกว่าขนาดห้องมีเท่าที่เห็นค่ะ เปิดออกมา
อ้าว....ไม่ใช่ เป็นส่วนของห้องอาบน้ำ ที่แบ่งเปียกกับแห้งไว้ชัดเจน
ส่วนแรกหน้าประตูเลยเป็นส่วนของอ่างล้างหน้า ที่มีอุปกรณ์ประกอบครบ (แอบเสียดายเค้าว่าครีมทาผิวหอมมากกกกก)
ส่วนเปียกกั้นด้วยประตูบานเล็กๆ ด้านในมีอ่างอาบน้ำเล็กๆ เก้าอี้น้อยนั่งอาบน้ำ
ส่วนห้องนอน คือประตูด้านหน้า ที่คิดไปเองว่าเป็นผนังนั่นแหล่ะฮ่ะ
ด้านในกว้างขวาง สามารถม้วนหน้าได้ 3 รอบ
ขนาดห้องเค้าแบ่งตามพื้นที่เสื่อ (8, 10 และ 12 ผืน) ห้องที่จองไว้เป็นขนาด 10 มีห้องน้ำในตัว ถ้าแบบ 8 จะเล็กกว่า และเป็นห้องน้ำรวม
มีตู้เสื้อผ้าแอบอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ด้านในสุดจัดวางโซฟานั่งเล่น 2 ตัว สำหรับจิบชา ชมวิว
สำรวจของภายในห้องกันค่ะ บนโต๊ะ จัดวางเอกสารแนะนำโรงแรม และขนม ให้เรียกว่าอะไรดี มีเวลคัมดรี๊งค์แล้ว อันนี้ เวลคัมอีท แล้วกัน เหมือนขนมเปเล่ บ้านเรา (รู้จักใช่มั๊ยคะ ข้อมูลดักแก่)
ติดกับหน้าต่างจัดวางชุดกาน้ำร้อน และอุปกรณ์ชงชา (ไม่ได้ชิม)
ส่วนอาหารเย็นต้องแจ้งทางโรงแรมเลยว่าสะดวกมากินตอนกี่โมง มีช่วง 18.00, 18.30 หรือ 19.00 น. เดาว่าที่แบ่งช่วงเพื่อความสะดวกในการเตรียมอาหาร และไม่ให้ห้องอาหารดูแออัดเกินไป ทางไปห้องอาหาร เป็นเส้นทางเดียวกับไปออนเซนค่ะ แต่อยู่ในสุดเลย เดินตามมาเรื่อยๆ จะดูมืดๆ นิดนึง
ภายในห้องอาหาร ถ่ายมาเฉพาะส่วนเคาน์เตอร์ ตรงนี้จะเป็นส่วนวางไลน์อาหารเช้า ส่วนด้านในมีแขกนั่งอยู่พอสมควรเลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดูค่ะ
มาดูหน้าตาเซ็ทอาหารเย็นกันค่ะ คนละ 1 เซ็ท ตอนแรกก็ว่าไม่เยอะ แต่เดี๋ยว...ก่อน...อย่าได้ประมาทไป
มีเมนูบอกรายการอาหารให้เสร็จ ใครใคร่อ่าน อ่าน ส่วนตัวใคร่จะอ่าน แต่อ่านมิออก
อาหารทั้งหมดมี 12 รายการ เดี๋ยวไล่ไปทีละเมนูค่ะ อาหารส่วนใหญ่เน้นผักที่ผ่านกรรมวิธีไม่นึ่ง ก็ต้ม ดีต่อสุขภาพ ใครชอบผักนี่เปรมเลย
1. น่าจะแนว appetizer บ้านเค้า
2. ฟองเต้าหู้ โดนมาหลายมื้อ ไม่เหม็นหึ่งๆกลิ่นเต้าหู้ จืดๆ กินเย็นๆ ก็อร่อยดี ใบไม้ที่ประดับกินได้นะ เรียกว่า Oba (โอบะ)
3. อันนี้ก็ยังเต้าหู้อยู่ ทำมาคล้ายๆ โยเกิร์ต แต่จืดๆ
4. แนวๆ ผักนึ่งซีอิ๊ว
5. ตอนแรกนึกว่าถั่วเขียวต้มน้ำตาลแบบบ้านเรา แต่ไม่ใช่ เหมือนกินข้าวต้มที่ไม่สุกมาก เคี้ยวหนึบๆ อร่อยดี มันคือเมล็ดข้าวสาลีเอามาต้ม รสชาติไม่หวานแหลมเหมือนขนมบ้านเรา
6. มาถึงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ สำหรับคนไม่กินเนื้อวัว ก็เป็นเมนูไก่ กินดิบๆ แบบนี้เลย
ไม่ใช่....เค้ามีเตาน้อยๆ สำหรับปิ้งย่างค่ะ แต่ไก่ดิบกินได้นะ (กินมาแล้ว)
สำหรับคนที่ทานเนื้อได้ ก็จะเสริฟเป็นเนื้อวัวแทน
7. ยังอยู่ในหมวดเนื้อสัตว์ คราวนี้เป็นเนื้อปลาค่ะ (ปลาอะรูมิไล้...ปลาอะไรมิรู้)
8, 9 และ 10 มาถึงอาหารประเภทน้ำๆ กันบ้าง มีซุป 2 แบบ เสริฟพร้อมข้าว
11. เมนูสุดท้ายของอาหารคาว อะไรก็ไม่รู้ (ลืม) แต่น่าจะผักซัก 2 ชนิด
12. สุดท้ายที่ของหวานค่ะ อันนี้พีคสุด ในถ้วยนั่นมะเขือเทศที่กึ่งๆ มูส อร่อยมากกกกกกกก องุ่นก็กร๊อบ กรอบ ชอบอยากขอเพิ่ม
ปิดจบเรื่องอาหาร พาไปออนเซนกันค่ะ ที่นี่มีหลายบ่อ หลายโซน ทางเดียวกับไปห้องอาหาร แต่แยกซ้ายขวาแทน
บางเวลาจัดไว้เป็นออนเซนส่วนตัว แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และมีเวลาเข้าใจที่ชัดเจน อย่างในรูป เป็นแบบส่วนตัว 25 นาที 1000 เยน รอบตั้งแต่ 20.00-23.30 น. ส่วนแต่ละโซนมีการสลับการเข้าใช้ ชาย-หญิง เป็นเวลาเช่นกันค่ะ สังเกตได้จากป้าย ตัวหนังสือ หรือสีที่ใช้แทนสัญลักษณ์หน้าทางเข้า ถ้าตามรูป สีชมพูนั่นผู้หญิง สีฟ้าๆ นั่นผู้ชาย แต่ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ ให้เข้าไปใกล้ๆ ประตู แล้วฟังเสียงคนที่อยู่ด้านใน ถ้าโทนเสียงเดียวกะเราก็เข้าไป
แต่ละโซนบรรยากาศแตกต่างกันไปค่ะ ถ้ามีเวลาเดินเข้าห้องนู้นทีห้องนี้ทีก็น่าสนุกดี ไม่ได้ถ่ายรูปด้านในมา ขอใช้รูปจากเว็บไซต์แทนค่ะ
กลับมาถึงห้องที่นอนปูเสร็จเรียบร้อยพร้อมทิ้งตัวนอน
มาดูบรรยากาศยามเช้ากัน วิวจากหน้าต่างห้องพัก
แต่งชุดยูกะตะสวยๆ แล้วไปเดินเล่นกันค่ะ (ที่เพื่อนบอก ลายผ้าปูที่นอนนั่นแหล่ะค่ะ)
วิวและบรรยากาศ หน้าโรงแรม
มีแม่น้ำอะไรไม่รู้ไหลผ่าน ไม่อยากคิดว่าน้ำจะเย็นแค่ไหน ได้ยินแว้บๆ จากพนักงาน 8 8 น่าจะหมายถึง 8 องศา (ทักษะการฟังด้อยมาก)
เดินเล่นกันเพลินๆ ได้เวลาไปกินอาหารเช้า ไปค่ะไปดูไลน์อาหารกัน ห้องอาหารเช้าห้องเดียวกับห้องอาหารเย็น ไลน์อาหารค่อนข้างเยอะ
ตรงนี้เป็นไลน์ยาวที่สุด ส่วนใหญ่เป็นสารพัดผักดอง บอกเลยว่าไม่รู้ ขอใช้ภาษาแม่ค้า “อ่านตามป้ายค่ะ" นั่นแหล่ะค่ะ มีป้ายบอกชัดเจน
ถัดไปเป็นสลัด ผักสด น้ำสลัดก็อร่อย
ไลน์ถัดไป เป็นส่วนของข้าว ซุป เหมือนเดิมค่ะ “อ่านตามป้าย" สุดปัญญาจะอธิบาย
อีกโต๊ะจัดวางอาหารอีกแบบที่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ตามป้ายเลยค่ะ
เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่อาหารเช้าแบบญี่ปุ่น ขนมปังก็พอมี ชากาแฟ และน้ำผลไม้พร้อม
สุดท้าย น่าจะเป็นของหวานค่ะ
เป็นอันปิดจบการเดินทางสามจังหวัด และรีวิวที่พักของเราค่ะ
รีวิวหน้าเข้าสู่โหมดของกินเต็มขั้น
ไปกินไปเที่ยว - หญิงเฮเทกระจาด
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.45 น.