การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากมือลั่นตั๋วโปร ไปเนปาล!!! เนปาลในความทรงจำคือ หิมาลัย และเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ หลังจากที่จองตั๋วโปรเรียบร้อยก็เริ่มหาข้อมูล รีวิว ส่วนใหญ่มีแต่คนบอกว่าประเทศนี้น้องๆอินเดีย ผู้หญิงเดินทางคนเดียวอันตราย และการเดินทางไปประเทศนี้ค่อนข้างลำบาก แต่ด้วยตั๋วที่จองไปแล้วนั้นเลยต้องไป การพจญภัยในดินแดนหิมาลายัน จึงเริ่มขึ้น...

เริ่ม!!!!

เดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไฟลท์ 11.30น. บินตรงสู่สนามบินตรีภูวัน เมืองกาฐมาณฑุ ประมาณ 14.00 จริงๅใช้เวลาประมาณ 3 ชม แต่วันที่เราไปอากาศไม่ค่อยดี ทำให้การเดินทางใช้เวลา 4ชม กว่าๆ

พร้อม!!!!

อาหารบนเครื่อง เป็นอาหารเนปาลต้อนรับการเดินทาง รสชาติอร่อย หอม เนย ใจนี่ตื่นเต้นที่จะได้ลองลิ้มชิมรสอาหารเนปาลมากๆ

วิวริมหน้าต่าง เห็นภูมิประเทศที่สวยงาม มองเพลินมากค่ะ ใครเดินทางแนะนำให้นั่งช่วงกลางวัน จะได้เห็นอะไรสวยๆระหว่างทางเยอะมาก

หลังจากที่เครื่องบินวนอยู่นาน กว่าจะ landing พอเครื่องบินทะลุเมฆลงมา สิ่งที่เห็นคือตึก บ้านเรือง เรียงกันสีสันสวยงาม มองๆไปเหมือนบ้านตุ๊กตา เสียดายที่วันนั้นฝนตก แสงน้อย และอยู่บนเครื่องถ่ายรูปไม่ชัดเลยค่ะ

จาการวางแผนคือจะต้องถึง สนามบินกาฐมาณฑุตอนบ่าย2 และจะต้องเดินทางต่อไปยังเมืองโพคารา ซึ่งเป็นเมืองที่ติดหิมาลัย แล้วห่างจากกาฐมาณฑุไป 200 กม ใช้เวลาเดินทาง 6 ชม. แล้วเราเลยได้ทำการจองรถแท็กซี่เอาไว้ ที่นี่แท็กซี่ก็ดุดันเราต้องใจแข็งมากๆ ถ้าใครไม่จองไว้ต้องต่อราคาดีๆเลยนะคะ

ปล.ที่นี่ทุกอย่างต้องต่อราคา

นี่คือรถแท็กซี่ของเรา คันเล็กน่ารัก จุ๋มจิ๋ม

เมืองกาฐมาณฑุหลังฝนตก ห่างจากสนามบินไม่มาก

แวะเติมลมยางหน่อย เพื่อความปลอดภัย คนขับบอกว่าเราต้องลงเขา ผ่านถนนไม่ดี ทางโค้งต้องเช็คลมยาก เป็นร้านลมยางแบบดูแลตัวเองไม่มีคนทำให้ แล้วเอาตังไปวางไว้

ถนนจากกาฐมาณฑุ ไปโพคารา มีเส้นทางเดียว เป็นทางลงจากเทือกเขากาฐมาณฑุ เป็นเส้นทางคดเคี้ยวยาวถึง 160 กม.ตลอดการเดินทาง เสียวตลอด การแซง การเข้าโค้งรถสวนกัน บีบแตร และมีรถบรรทุกตลอดทาง บางคันไม่มีไฟท้าย นี่บอกเลยหลับไม่ลงตลอดทาง ใครจะมาเส้นนี้แนะนำให้มาตอนกลางวัน เลยจ้ากลางคืนนี่เสียวมาก

อาหารข้างทางที่คนขับรถจอดให้กิน เพราะเราหิวมาก มันคือผัดมาม่าผสมถั่ว กะหล่ำ พร้อมชาร้อนอีกถ้วย อากาศที่นี่หนาวมาก และฝนก็ตกอีก บอกได้เลยหนาวจับใจ

เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เราเดินทางไปสูโพคารา ถึงที่พักที่จองทาง agoda เอาไว้ตอน ห้าทุ่มกินมาม่าที่พกจากเมืองไทย แล้วรีบนอนด้วยความหนาวเย็น ที่เลือกhostel นี้เพราะวิว ที่จะเห็นยอดเขา มัจฉาปุชเร (Fishtail) แห่งเทือกเขาหิมาลัยได้อย่างชัดเจน

เช้านี้เราจึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปดูวิวบนดาดฟ้า...

.

.

นั่นไงยอด fishtail โอ้โห!!!!!! มันช่างสวยงามไม่รู้จะบรรยายความฟินยังไง

เมืองโพคารา เป็นเมืองนึงมี่เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางสาย trekking ที่จะเดินเส้นทาง ABC อันโด่งดังจะต้องมาที่นี่ แต่เราจะไม่เดินนะคะ 5555 ร่างกายไม่พร้อม และไม่ได้เตรียมตัว เราเลยจะเดินชมเมืองนี้กันค่ะ

เมืองนี้แตกต่างจากกาฐมาณฑุมากค่ะ สะอาด เป็นระเบียบ เมืองเล็กๆน่ารัก

ร้านค้าตามตึก ตามหัวมุมจะจัดร้านให้ดูแน่น แต่เป็นเรียงตัวเป็นระเบียบ รถคันเล็กๆ เมืองที่เงียบ สงบ ที่นี่ฮิตขี่มอไซค์ยี่ห้อดังสัญชาติอังกฤษอย่าง Royal Enfield มากๆ

เดินๆอยู่ผ่านร้านอาหารเช้า ท้องก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลยแวะกินซะหน่อย


อาหารเนปาลแบบ original เป็นแป้งทอด ใส้ข้างในเป็นไก่ สามารถเลือกได้จะเอาไส้ผัก ไก่ หรือ เนื้อ มีซอสเปรี้ยวมาให้จิ้มคู่อร่อยมาก ภาชนะที่นี่เขาใช้ถ้วยใบไม้ ปั๊มอัดเป็นรูปถ้วย ที่นี่การใช้พลาสติกน้อยมากๆ หลังจากท้องอิ่ม เริ่มเดินสำรวจเมืองต่อ

เมืองนี้เป็นเมืองธรรมชาติ ที่มีทั้งวิวภูเขา และวิว ทะเลสาบ โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่และสวยงามชื่อ Fewa lake คนที่นี่บอกว่า เนปาลแบ่งระดาบพื้นที่เป็น 3 ระดับ คือพื้นราบ ภูเขาสูง และ หิมาลัย

วิวริมทะเลสาบเฟวา ที่นี่มีระบบการจัดการขยะอย่างดีมาก ขยะพลาสติกนี่มีน้อยมากๆ

อีกมุมนึงของทะเลสาบ ถ้าเช้าๆนี้จะมีกิจกรรมพายเรือชมทะเลสาบ แต่เราไม่นั่งเรือค่ะเราอยากขี่มอไซค์ชมเมือง ตอนแรกคิดว่าบ้านที่อยู่ริมเขานี่เขาขึ้นไปยังไง เป้าหมายคือหาทางขึ้นเขาลูกข้างหน้าในภาพ เลยถามคนแถวนั้นว่าเราสามารถขี่มอไซค์ได้ไหม พอเขาบอกได้ เราเลยหาร้านเช่ามอไซค์ทันที

ROAD TRIP IN POKHARA

เส้นทางเลาะริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ อีกด้านเป็นภูเขา ขดเขี้ยวยาวไป

บรรยากาศริมทาง มีทุ่งนา เลี้ยงวัว บรรยากาศเหมือนแคชเมียร์เลย


ตลอดเส้นทางขี่มอไซค์ จะมีผู้คนอาศัยอยุ่ตลอดทาง ไม่ขาดช่วงเลย บ้านเรือนที่นี่จะอยูเรียงกันเรียบทะเลสาย บางหลังตัดเขาขึ้นไปเรียงกันเป็นชั้นๆ รูปทรงจะเป็นหินมาเรียงต่อกัน แล้วใช้ดินมาฉาบหินอีกที โดยปกติการผสมดินเพื่อฉาบจะผสมตามสัดส่วนเพื่อให้ดินช่วยเป็นตัวยึดประสาน แต่ดินของที่นี่เป็นดินที่มีทั้งปูน ยิปซัม และ แร่เหล็ก ในธรรมชาติ เลยสามารถผสมน้ำแล้วฉาบได้เลย สีของดินก็จะสีแดง(Red Ochre) สีเหลือง ( Yellow ochre) บ้านเก่าๆที่นี่เลยมีโทนสี ที่เป็นเอกลักษณ์ บ้านที่นี่มีทั้งใช้วิธีแบบโบราณ และใช้สมัยใหม่ อันนี้ถ้าใครชอบดูสถาปัตยกรรม วิถีชีวิต แนะนำให้ขี่มอไซค์เล่นเลยค่ะ จะเจออะไรดีๆเยอะค่ะ

ชอบป้าสองคนนี้มาก นั่งเม้ากันใต้แสงแดดอุ่นๆ

ที่นี่มีอีกอย่างที่น่าสนใจคือเสียงแตรรถ เสียงแตรรถที่นี่ไม่ได้มีเสียงเดียวแบบบ้านเรานะ เป็นเมโลดี้ ฟังแล้วไม่รู้สึกโกรธเลยที่โดนบีบแตรใส่

แวะกินน้ำโค้กแปป ที่นี่โค้กต้องกินใหม้หมดนะ ไม่มีใส่ถุง ที่นี่ไม่มีน้ำแข็ง ร้านนี้ร้านค้าเก่าในหมู่บ้าน คุณลุงเจ้าของร้านหน้าตาเหมือนฝรั่งเลย น่าจะมีเชื้อสายอารยัน เปอร์เซีย แขกขาว คนแถวนี้หน้าตาดีนะต่างจากแขกอินเดียเลยแหละ

ถ่ายรูปกับรถ สะพาน สักเล็กน้อย ถึงตรงนี้ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ งงมาก ทางเป็นตรงไปเรื่อยๆ ไม่มีทางถึงภูเขาเลย ดูยาวเป็นอินฟินิตี้มากๆ เลยตัดสินใจกลับเพราะกลัวจะถึงค่ำ

ถามทางเด็กๆเหล่านี้ ได้แต่ take a photo 5555 น่ารักมากๆๆ

หนูน้อยกับถั่วในถ้วยของเขา

เป็นบ้านที่ชอบมากๆเลยหลังนี้

ในที่สุดเราก็หาทางขึ้นเขาลูกเล็กๆลูกนึงได้ ทางมันทุลักทุเลมาก ที่ความสูงระดับนึง เราได้วิวนี้ของ โพคารามา เพราะจุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการ road trip ตะลอนทั้งวันเลยเข้านอนเร็วเพื่อพรุ่งนี้เช้าต้องตื่น ตี4 เพื่อที่จะไปเจอหิมาลัยกันที่เขา Sarangkot การเดินทางไป Sarangkot จาก Pokhara ไปง่ายมาก รถแท็กซี่ไปส่งและเดินขึ้นประมาณนึง หรือจะนั่งรถไปถึงจุดชมวิวเลยก็ได้

เราเดินทางมาถึงเขาSarangkot ตอนตี5 ครึ่ง มืดมาก ถามบังว่าฝั่งไหนคือตะวันขึ้น บังมันหลอกให้เรายืนฝั่งี่เป็นเมือง แต่ดีนะที่เราไม่เชื่อบัง เราเห็นมันจับจองพื้นที่ด้านหน้าเลยเดาว่าฝั่งนั้นต้องเป็นหิมาลัยแน่ๆ ฮึฮึ บังหลอกข้าไม่ได้หรอก ร้ายกาจมาก

นั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นอยูประมาณ ชั่วโมงนึง หิมาลัยก็ค่อยๆปรากฏต่อสายตา

ภาพยอดเขามัจฉาปุชเร ค่อยๆปรากฎต่อสายตา วินาทีนั้นรู้สึกเลยว่า "หิมาลัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม"

สิ่งที่ทำคือนั่งมองหิมาลัย ซึมซับ บรรยากาศ และจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้ในความทรงจำ


มานั่งกินกาแฟที่บ้านชาวบ้าน จิบกาแฟ ในอ้อมกอดหิมาลัย ไม่มีอะไรสุนทรีย์ไปกว่านี้แล้ว

บ้านที่เราไปนั่ง เขาเลี้ยงแพะไว้หลายตัวเลย คนที่นี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวแวะมาบ้างแต่เขาก็ยังดำรงชีวิตไปตามวิถีชีวิตเดิมๆของเขาไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเพื่อการท่องเที่ยว

เจ้าของบ้าน ไม่ยอมให้ถ่ายรูปวิ่งหนีตลอด เขากำลังอุ้มเบบี้แพะ เพื่อเอามันมากินอาหาร

พอลงจากเขา Sarangkot เราได้เจอกับสิ่งที่เราตามหาตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ ก่อนมาที่นี่เราได้อ่านหนังสือเล่มนึงที่เขียนเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้ แต่เขียนเมื่อนานมาแล้ว เราพยายามตามหาหมู่บ้านในภาพ ที่เห็นยอดเขามัจฉาปุชเรแบบนี้ เราคิดว่าตอนแรกเราคงไม่เจอแล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นคือถนนเส้นนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายๆสิ่งเปลี่ยนไปแต่ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ ยอดเขามัจฉาปุชเร ที่อยู่เคียงข้างคนหมู่บ้านนี้

ต่อไป...หลังจากที่ฟินกับเมืองโพคาราแล้ว ต่อไปเราต้องกลับไปที่กาฐมาณฑุ เพื่อนั่งเครื่องกลับไทย ครั้งนี้เราเดินทางในเวลากลางวัน เพื่อเห็นวิวระหว่างทาง ที่นี่เหมือน...เช้าอยู่ตลอดแม้เวลาจะปาไปเกือบเที่ยง

วิวข้างร้านอาหารที่แวะกินข้างทาง

ร่ำลาเมืองโพคารา มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง กาฐมาณฑุ

.

.

.

ก้าวแรก...ที่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล เป็นเมืองที่มีความวุ่นวายสูงมาก ความน่าสนใจของเมืองนี้คือสถาปัตยกรรม ที่สวยงามโดยช่างฝีมือ ตรอกเก็กที่เต็มไปด้วยตึกที่สวยงาม

ชอบการจัด display ของร้านค้าที่นี่มาก บางร้านนี่มีขนาด 1x1 เมตรแต่สามารถจัดร้านให้ดูมีระเบียบและน่าซื้อมากๆ

เดินทั่วเมืองตามตรอกต่างๆ จะเป็นตึกทรงสูง2-3 ชั้น สร้างตามความสูงชันของพื้นที่ เรียงตัวกันสวยงาม มีสีสันที่หลากหลาย

อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศเนปาล คือ durbar square kathmandu หรือชื่อสันสกฤตว่า วสันตปุรทรวารเกษตร (वसन्तपुर दरवार क्षेत्र) ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า พระราชวังเก่าของกาฐมาณฑุ จัตุรัสกาฐดูร์บาร์มีสถาปัตยกรรมและงานฝีมือของช่างชาวเนวาร์อายุหลายร้อยปี แต่อาคารหลายแห่งเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2015 ตอนที่ไปหลายอาคารปิดซ่อมเลยเข้าไปดูเล็กน้อยเท่านั้น

อาคารไม้ในจัสตุรัสดูร์บาร์ งานแกะไม้เลอค่ามากค่ะ ต้องดู งานสวยวิจิตร และบริเวณรอบๆอาคารจะเป็นมุมโรแมนติกของหลายๆคู่


พระราชวังเก่า ได้ดูเพียงหลังเดียวเพราะที่เหลือปิดซ่อม ภายในพระราชวังเก่า ยังมีกุมารี ที่เป็นที่เคารพตามความเชื่อของชาวฮินดูอาศัยอยู๋ แต่จะออกมาให้เห็นเป็นรอบๆและห้ามถ่ายรูป

สิ่งที่ต้องระวังคือ คน!!! เราเข้าไปถามถางแปปเดียว แต่เขาตามมาเก็บค่าไกด์ อันนี้คือจากที่ประทับใจ หายไปหมดเลย ได้แต่คิดว่าเฮ้อออ ปล่อยไป ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุกเลย

หลังจากที่ออกจากพระราชวังก็ไปสู่อีกจุดหมายนึงที่ชาวพุทธให้ความสำคัญมาก นั่นก็คือ

วัดสยมภูวนาถ Swayambhunath Stupa หรือคนไทยเรียกวัดลิง มีลิงอยู่เยอะมาก

เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก กล่าวกันว่าน่าจะมีอายุถึง 2,000 ปี เลยทีเดียว สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ ในปี พ.ศ.963 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ ส่วนตรงฐานของสถูปซึ่งมีดวงตาเห็นธรรม หรือ Wisdom Eyes ของพระพุทธเจ้าอยู่โดยรอบทั้ง 4 ด้านสถูปสยมภูนาถตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก 3 กิโลเมตร ตัวสถูปตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆประมาณ 77 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลของหุบเขากาฐมาณฑุ จึงทำให้เห็นทิวทัศน์เหนือหุบเขาที่แสนงดงาม สถูปแห่งนี้เป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล อีก ทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดู โดยองค์การยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522

ดวงตาแห่งปัญญาทั้ง ๔ ด้าน ที่มองไปในทุกทิศ มีปริศนาธรรมที่ควรพิจารณาใคร่ครวญกับการใช้หลักในการดำรงชีวิตของสรรพสิ่ง ไม่ว่าสังคม ประเทศชาติ ศาสนา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ใด ถ้ายังประกอบด้วยปัญญา ความสันติสุขก็จะปรากฏอยู่ในสังคม ประเทศชาติ ศาสนา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์นั้น เพราะทุกชีวิตจะรู้ในหน้าที่ของตน เคารพและกระทำถูกต้องในหน้าที่นั้นๆ รวมทั้งเคารพในสรรพสิ่งอย่างเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยกัน เพราะการดำรงอยู่ของเรา ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งภายในและภายนอก ที่ช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ได้ ถึงแม้เราจะมีศักยภาพ ความสามารถเพียงใด เราก็ต้องพึ่งพาปัจจัยร่วมอีกมากมายจึงจะทำให้สำเร็จและปรากฏ

บริเวณรอบๆวัดจะมีเจดีย์น้อยใหญ่รายล้อมกว่า 700 องค์

เสร็จจากการเยี่ยมชมวัด ก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลาเมืองแห่งความสงบแห่งนี้ เมืองที่มีเสน่ห์น่าค้นหา

การแชร์ความทรงจำที่ดีอย่างนึงคือ การได้เขียนโปสการ์ดถึงตัวเอง

ขากลับ เครื่องบิน บินเทียบกับเทือกเขาหิมาลัย ที่มีแต่ความสุข...

ค่าใช้จ่าย

ตั๋วโปรไปกลับ 7500 บาท

ค่าใช้จ่ายในประเทศ 4500 บาท 5 วัน 4คืน

ความคิดเห็น