ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเราอยากจะพาแม่เที่ยวต่างประเทศดูซักครั้ง แม่อายุเกือบๆจะ 70 แล้ว เดินไกลๆไม่ค่อยจะไหว ดังนั้นเราจึงมองหาประเทศที่เดินทางง่าย บินไม่นานเอาแบบที่บินตรงได้จากเชียงใหม่ ที่สำคัญราคาต้องไม่แพง มีตัวเลือกดีๆหลายๆประเทศ แต่เมื่อเทียบราคาตั๋วเครื่องบิน ความสะดวกสบายในการเดินทางและใช้ชีวิตตลอด 3 วัน 2 คืนแล้วละก็ เราเลือก มาเก๊า เป็นคำตอบสุดท้ายครับ



นี่คือแผนการท่องเที่ยวของเรา เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆในการวางแผนเที่ยวมาเก๊าครับ
.
DAY1
สนามบินมาเก๊า - The Venetian - The Parisian Macao - เข้าที่พักโรงแรม Sofitel Macau - fisherman's wharf - โชว์นำพุ Wynn Hotel
.
DAY2
ร้าน casa de cha long wa - ตลาด Red Market - วัดเจ้าแม่กวนอิม - วัดอาม่า - จตุรัสบาร่าห์ - จตุรัสเซนาโด้ - โบสถ์เซนด์โดมินิก - ถนนหมูแผ่น - ซากโบสถ์เซ็นปอลล์ - ถนนแห่งความสุข(happy street)
.
DAY3
โคโลอาน - ทาร์ตไข่ลอร์ดสโตร์ - โบสถ์เซ็นฟรานซิสซาเวียร์ - ลอร์ดสโตร์คาเฟ่ - หมู่บ้านโคโลอาน - รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมริมทะเล(ตรงข้ามMGM) - มาเก๊าทาวเวอร์ - ร้านห่าน Chan Kong’s kei - Studio City Hotel - สนามบินมาเก๊า



ตัวอย่างทีเซอร์คลิปเที่ยวมาเก๊าด้วยตัวเอง 3 วัน 2 คืน ทาง YouTube ความยาว 2 นาที



คลิปเที่ยวมาเก๊าด้วยตัวเอง 3 วัน 2 คืน ทาง YouTube ความยาว 57 นาที

การเดินทางครั้งนี้เราทดลองเช่าเก้าอี้รถเข็นพับได้สำหรับผู้สูงอายุไปด้วยครับ น้ำหนักเพียง 6 กิโลกรับ สามารถเอาขึ้นเครื่องบินได้เลยโดยที่ไม่ต้องโหลด เจ้าหน้าที่ของสนามบินและเจ้าหน้าที่ของแอร์เอเชียดูแลผู้สูงอายุที่มีรถเข็นดีมากๆครับ เปิดช่องทางพิเศษให้ เก็บรถเข็นและนำรถเข็นมาให้ ที่ประทับใจสุดๆก็คือเจ้าหน้าที่แอร์เอเชียอัพเกรดที่นั่งของแม่ให้เป็นแบบที่นั่งสะดวกสบายขึ้นครับ โดยเฉพาะขากลับเชียงใหม่ ได้ที่นั่งหน้าสุดฮ๊อตซีทแบบไม่ต้องเสียงเงินเพิ่มกันเลยทีเดียว ประทับใจมากจริงๆครับ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้สปอนเซอร์ในการเดินทางครั้งนี้แต่อย่างใดนะครับ

เราเคยเที่ยวมาเก๊าแค่ 1 วัน เมื่อคราวไปฮ่องกงเมื่อหลายปีก่อน บอกตรงๆเลยว่าครั้งนั้นอยู่ในบ่อนคาซิโนซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่รู้เป็นอะไรมือขึ้นซะเหลือเกิน ทำให้ติดอยู่ในคาซิโนหลายชั่วโมงเลยทีเดียวครับ เอาจริงๆแล้วก็เหมือนไม่ได้เที่ยวมาเก๊าเลยนะครั้งนั้น ยิ่งมารู้ทีหลังว่ามาเก๊ามีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะมากๆ ทำให้เราตัดสินใจไม่ยากเลยที่จะมาเยือนมาเก๊าอีกครั้ง ยิ่งมีบินตรงจากเชียงใหม่ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ราคารวม ไป – กลับ แล้วตกแค่คนละ 3,950 บาทเท่านั้นเอง



DAY1

เราเดินทางเช้ามืดจากเชียงใหม่ถึงมาเก๊าสายๆประมาณ 10 โมง เรายังเช็คอินที่โรงแรมไม่ได้ เราจึงนั่งรถชัตเตอร์บัสฟรีของเวเนเชียนเข้าไปเที่ยวเล่นหาอะไรกินกันก่อน ผ่าน ตม. มาอย่างง่ายดาย เดินออกจากสนามบินก็เจอรถบัสเลย แต่ละโรงแรมก็จะมีรถบัสฟรีมารับนักท่องเที่ยวทำให้เราประหยัดค่าเดินทางไปได้มาก นั่งรถบัสได้ไม่ถึง 20 นาทีก็เข้าสู่ เดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า ที่นี่มีบริการรับฝากกระเป๋าราคาใบละ 30 MOP พอฝากสัมภาระตัวปลิวแล้วเราก็เข้าไปเที่ยวเล่นถ่ายรูปบริเวรที่เป็นคลองเวนิสจำลองกันอยู่นาน ว่าแล้วก็เริ่มคันไม้คันมืออย่างลองเสี่ยงโชคดูบ้าง แต่คราวนี้มือไม่ขึ้นเลยครับ หรือเพราะเครื่องเล่นแต่ละอย่างมันปรับเปลี่ยนใหม่หมดทำให้เราไม่คุ้นเคย ขอจบย่อหน้านี้แบบหล่อๆเลยนะครับว่า การพนันไม่เคยทำให้ใจริงๆครับ










เริ่มหิวขึ้นมาแล้ว อันที่จริงเราอยากจะปล่อยให้หิวแบบสุดๆเพราะร้านอาหารต่อไปที่เราจะเข้าไปรับประทานนั้นเป็นอาหารบุฟเฟ่นานาชาติชื่อดัง ร้านแบมบู (Bambu Restaurant) เข้าไปถ้ามราคาพนักงานบอกว่า หัวละ 250 MOP ซึ่งก็ตกประมาณ 1000 บาท เห็นเราลังเลๆพนักงานก็เสนอโปรโมชั่นต่างๆนาๆ มาเรื่อยๆ เช่นใช้บัตรสมาชิกของเวเนเชี่ยนได้ลดราคา แต่ที่ถูกที่สุดแล้วคือราคาโปรโมชั่นจากบัตร มาสเตอร์การ์ด ครับ คนแรกเต็มราคา คนที่ 2 ครึ่งราคา จากที่จะต้องจ่าย 4 คน 1000 MOP ก็ลดเหลือแค่ 775 MOP ลดไปเยอะเหมือนกันนะครับ ใครไปร้านแบมบู อย่าลืมถามเอาส่วนลดแบนี้ด้วยนะครับ ประหยัดไปได้เยอะเลย


ไลน์บุฟเฟ่ในร้านแบมบู จัดว่าคุ้มค่าเกินราคามากๆ หมูกรอบ เป็ด ห่าน อย่างดี ซาซึมิปลาดิบคุณภาพดีมาก ขนมของหวานต่างๆดีมาก โดยเฉพาะนมตุ๋นอร่อยมากจริงๆ แต่ผิดหวังนิดหน่อยตรงที่ดูจากรีวิวจะมีขาปูชิ้นใหญ่ๆให้กินด้วยแต่คราวนี้ไม่ยักกะมี แต่โดยรวมแล้วอาหารอร่อยมากครับ ถือว่าได้กินอาหารฮ่องกงมาเก๊าครบทุกอย่างในมื้อเดียว



ออกจาก เดอะเวเนเชี่ยนเราเดินไปถ่ายรูปที่หอไอเฟลจำลองของเดอะปารีเซียน ซึ่งก็อยู่ติดๆกันเลยครับ ก็แน่ละเค้าเจ้าของเดียวกัน มีทางในตึกเชื่อมหากันแต่ถ้ารีบๆไม่อยากเดินไกลแนะนำให้เดินออกมาข้างนอก ใช้ทางเดินนอกอาคารจะใกล้กว่าครับ แม้ว่าจะยังไม่มีบารมีได้ไปมหานครปารีส แต่การมาเห็นหอไอเฟลจำลองที่มาเก๊าแห่งนี้ก็ทำให้เราทั้งครอบครัวตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เค้าจำลองมาได้เหมือนมาก (รู้ได้ยังไง ยังไม่เคยเห็นของจริง) ฉากหลังที่เป็นตึกสไตล์ยุโรป ทำให้ถ่ายรูปสนุกขึ้นอีกเป็นกอง






ถึงเวลาจะต้องเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมซักที ให้เจ้าหน้าที่ที่เดอะเวเนเชี่ยนเรียกแท็กซี่ให้ (ที่มาเก๊านี้ดีอย่าง เจ้าหน้าที่หน้าโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการเราตอลด อยากได้แท็กซี่ก็แค่พูดว่า แท็กซี่พลีสสส ง่ายและสะดวกสบายมากครับ) มุ่งหน้าสู่ โรงแรมโซฟิเทลมาเก๊า ลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอิน เราจองจาก อโกด้า ได้ราคา 3900 บาทต่อ 1 คืน อาจจะคิดว่าราคาค่อนข้างสูง ผมก็คิดว่าราคาค่อนข้างสูงเหมือนกันครับ แต่จะมีซักกี่ครั้งที่เราจะได้พักโรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมืองใหญ่ ในราคาไม่ถึง 4000 บาทแบบนี้ ที่มาเก๊าโอกาสดีๆแบบนี้มีให้คุณแทบจะทุกโรงแรมครับ เกือบทุกโรงแรมเป็น 5 ดาว และแต่ละโรงแรมก็ลดราคาจัดโปรโมชั่นเรียกลูกค้ากันน่าดู



การเข้าพักในโรงแรมโซฟิเทล ทำให้เราประทับใจตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปเช็คอิน มีเวลคัมดริงค์เล็กๆน่ารักๆ น้องพนักงานสาวสวยบอกบอกว่า ห้องแบบที่เราอยากได้ไม่มี ถ้าเราไม่ถือสาว่าห้องจะต้องติดกันละก็ น้องจะอัพเกรดให้ให้พี่แบบฟรีๆ มีเหรอครับที่เราจะไม่เอา

เปิดประตูห้องเข้าไป ก็ต้องร้องว้าววววว (ร้องว้าวววว....หนักมาก มีคลิปในยูทูปเป็นหลักฐานยืนยัน) ห้องพักกว้างขวางหรูหรา อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ มีทีวีติดที่ปลายอ่าง ให้คุณนอนแช่น้ำร้อนจิบไวน์ดูทีวีได้สบายๆ ที่ภรรยาผมเจาะจงเอา โซฟิเทล เพราะว่า ที่นี่มีอุปกรณ์อาบ พวกแชมพูสบู่ครีมนวด ของ ล๊อกซิแทน แบรนด์หรูจากฝรั่งเศส อันที่จริงผมก็ไม่รู้จักหรอกครับ แต่ทางโรงแรมมีขวดเล็กให้ใช้ฟรีๆ 4 ขวดและเปลี่ยนขวดใหม่ให้ทุกวัน ยังไม่ทันจะถ่ายรูปเสร็จภรรยาผมคว้า 4 ขวดนั้นเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไวเลยครับ ในห้องมีชุดคลุมอาบน้ำ สลีปเปอร์ ตู้เซฟปกติ มีเครื่องชั่งน้ำหนัก เตารีด ไดร์เป่าผม ครบครัน สำหรับผู้ชายอย่างผมคงจะต้องตื่นเต้นกับเครื่องชงกาแฟเนสเปรสโซ่ มีบริการให้ใช้กันแบบไม่คิดเงินเพิ่ม ปลั๊กไฟก็ใช้ได้สบายเหมือนบ้านเราเลยครับ วิวที่หน้าต่างก็เป็นวิวแม่น้ำสวยงาม สรุปแล้วว่าประทับใจโรงแรมโซฟเทลที่มาเก๊ามากๆครับ ลืมบอกไปว่าอยู่ตรงข้ามกับถนนแห่งความสุข Happy Street และสามารถเดินจากโรงแรมไปจัตุรัสเซนาโด้ได้เลย ระยะทางประมาณ 700 – 800 เมตรเท่านั้นครับ



เย็นวันนั้นเราออกไปเที่ยวใกล้ๆ fisherman wharf ไปดูโชวน้ำพุหน้าโรงแรม ซึ่งจะมีทุกๆ 15 นาที โดยที่เมื่อเวลาที่ลงท้ายด้วย :30 จะเป็นการแสดงชุดใหญ่แสงสีเสียงอลังการตระการตามากๆ ก่อนกลับห้องเราแวะทานอาหารร้านที่คนมาเก๊าแนะนำ อาหารหร่อยมากแต่เสียดายที่เราอ่านชื่อร้านไม่ออกจริงๆ ร้านอยูเยื้องๆกับโรงแรมแกรนลิสบัวเลยครับ










ทริปนี้เราพาแม่ที่เป็นผู้สูงอายุไปด้วยครับ และได้ทดลองเช่าเก้าอี้รถเข็นแบบพับได้ไปใช้งานด้วย
ใช้งานดีมากๆ จึงทำรีวิวเอาไว้ เผื่อใครจะพาผู้สูงอายุไปเที่ยวอาจจะเป็นประโยชน์ครับ




DAY 2

วันที่ 2 เราพยายามตื่นให้เช้าขึ้น เรียกแท็กซี่พาเราไปยังตลาดเช้า เร้ดมาร์เก็ต (Red Market) เป็นตลาดสดของชาวมาเก๊าที่อยู่ในตึกอิฐสีแดงสวยงาม ภายในตลาดก็ไม่ต่างอะไรกับตลาดสดบ้านเราครับ ถ้าใครอยากเห็นวิถีชิวตของชาวมาเก๊าที่เป็นอยู่กันจริงๆก็ต้องมาที่นี่เลยครับ ที่เด็ดกว่าตลาดเช้าก็คือ ร้านน้ำชาหล่งวา (Casa De Cha Long Wa) ที่อยู่ตรงข้ามตลาดนี่แหละครับ ร้านอยู่บนชั้น 2 ของอาคาร ที่นี่ให้บริการน้ำชาร้านหลากหลายชนิด มีติ่มซำร้อนๆที่เราสามารถเดินไปเลือกหยิบได้ด้วยตัวเอง และก็มีอาหารต่างๆให้เลือกในเมนูอีกมากมาย อันที่จริงร้านนี้เป็นร้านขงอคนท้องถิ่น คนที่มาตลาดตอนเช้าก็จะแวะจิบชา ทานติ่มซัมทักทายพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกัน คุณลุงเจ้าของร้านใจดีมากๆยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราเร้อมกับแนะนำวิธีการสั่งอาหารให้เป็นอย่างดี ติ่มซัมด้วยความที่มาร้อนๆทำกันสดๆ ซาลาเปาไส้หมูอร่อยมากๆ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกบะหมี่ข้าวผัดและอาหารอื่นๆให้บริการอีกมาก ลูกค้าส่วนมาก็เป็นชาวมาเก๊าโดยเฉพาะผู้สูงอายุมากันเยอะมากและทุกคนดูจะรู้จักกันหมดแลดูมีความสุขมากจริงๆ ร้านนี้นอกจากอาหารจะอร่อย ได้เห็นวิถีชีวิตแท้ๆของชาวมาเก๊าแล้วก็ยังประทับใจคุณลุงเจ้าของร้านที่บริการดีมากๆแถมยังลดราคาให้เราอีกนิดนึงด้วยนะ



ออกจากร้านชาหล่งวาเราสามารถเดินไปยังวัดเจ้าแม่กวนอิมได้เลย ก็เปิดกุ๊กเกิ้ลแมพไป ถามทางคนมาเก๊าไป พื้นที่บริเวรนี้เหมือนเป็นชุมชนที่คนอยู่กันจริงๆ ไม่เหมือนย่านโรงแรมหรูหรือบ่อนคาซิโนใหญ่ๆ มีร้านค้าตามข้างทาง เราเดินกันไปเพลินๆม่นานก็ถึงวัดเจ้าแม่กวนอิม วัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องสุขภาพอยากจะพาแม่มาขอพรให้สุขภาพแข็งแรง การเดินเข้าประตูวัดใช่ว่าจะดนิสุ่มสี่สุ่มห้าได้นะครับ ก้าวเข้าต้องก้าวเท้าซ้าย ขาออกให้ก้าวออกด้วยเท้าขวานะ สิ่งที่คาดหวังไว้ก็จะเป็นจริงดังเราอธิษฐาน ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นจริงรึเปล่าแต่เมื่อมาแล้วเราจะลองทำก็ไม่เสียหายอะไร ที่วัดก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการบูชา กลิ่นธุปลอยล่องตลบอบอวลยิ่งสร้างความน่าเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น วัดนี้คนไม่แน่นมาก มีชาวมาเก๊าเข้ามาสักการะประปราย ให้เวลาเราได้นั่งพักชมบรรยากาศอันเงียบสงบของวัดได้ชั่วครู่






เราโบกแท็กซี่เดินทางต่อไปยังจัตุรัสบาร่า ที่นั่นเป็นที่ตั้งของวัดชื่อดังของมาเก๊า นั่นคือวัดอาม่านั่นเอง วัดอาม่าเป็นวัดที่มีอยู่มายาวนาน สร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนที่จะมีเมืองมาเก๊าเกิดขึ้น จึงทำให้เป็นวัดที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าที่มาของชื่อมาเก๊านั้น มาจากบริเวณวัดอาม่าแห่งนี้นี่เอง ในอดีตจะมีอ่าวที่ชื่อว่า A Ma Goa (อาม่าก๊อก) แปลว่า อ่าวของอาม่า จึงเพี้ยนมาเป็นชื่อ มาเก๊า ในปัจจุบัน

จัตุรัสบาร่าจะมีร้านขายของชำในตำนานอยู่ 1 ร้าน ร้านนี้ได้รับการรีวิมากมายว่ามีไอศครีมเวเฟอร์ที่อยู่ในซองรูปกล้องถ่ายรูป มาแล้วจะพลาดได้ไงละฮะ ขอลองซักชิ้นซิ ราคาชิ้นละ 11 MOP จะว่าอร่อยมั๊ยสำหรับผมก็คิดว่ารถชาติมันเฉยๆนะฮะ แต่มันได้บรรยากาศตรงที่มากินหน้าจัตุรัสบาร่านี่แหละ



ที่วัดนี้นักท่องเที่ยว กรุ๊ปทัวร์ค่อนข้างเยอะครับ แต่ก็ไม่ได้แน่นขนัดจนเกินไป วัดมีลักษณะเป็นเนินเขา ค่อยๆเดินขึ้นไป ค่อยๆสักการะไปเรื่อยๆสามารถขึ้นไปถึงยอดที่ป็นจุดชมวิวเมืองมาเก๊ามุมสูงได้อีกด้วย ความเชื่อสำคัญที่คนไทยอย่างเราๆมักจะต้องปฏิบัตินั่นก็คือ การนำธนบัตรไปลูบกับหินที่มีรูปแกะสลักเรือสำเภา เพื่อเป็นการขอโชคลาภครับ ทำไว้ก็ไม่เสียหายครับผม ส่วนจะสำเร็จดั่งที่ใจหวังไว้หรือไม่ต้องไปลองกันเอาเองครับ






ใกล้ๆกับจัตุรัสบาร่า จะมีร้านขายของฝากชื่อดัง KOI KAE BAKERY อยู่ 1 ร้าน อันที่จริงร้านนี้มีหลายสาขาทั่วมาเก๊านะครับ เราดูรีวิวมาว่าร้านนี้มีขนมให้ชิมฟรีมากมาย เราเริ่มจะหิวเบาๆแล้วซิ ลองแวะเข้าไปดูดีกว่า เราไม่คิดเลยว่าขนมคุกกี้อัลม่อนมันจะอร่อยขนาดนี้ บอกตรงๆว่าดูรีวิวในยูทูปแล้วมันก็ดูเป็นขนมคุกกี้ธรรมดาๆ มีทั้งหมด 2 แบบครับ แบบที่ทำโดยเครื่องจักรและทำด้วยมือ แบบที่ทำด้วยมือเค้าทำกันสดๆตรงนั้น อุ่นๆ อร่อยมากจนเราเผลอตัวเผลอใจซื้อขนมในร้าน KOI KAE ไปซะ 1 ถุงใหญ่ๆ


ช๊อปปิ้งกันจนลืมตัว เวลาล่วงเลยเข้ามาสู่ช่วงบ่ายแล้ว เราโบกแท็กซี่จากจตุรัสบาร่าเดินทางสู่จุดเช็คอินสำคัญสุดๆของมาเก๊าอีกแห่งหนึ่งนั่นก็คือ จัตุรัสเซนาโด ค่าแท็กซี่ 35 MOP ผมว่าสำหรับ 4 คน กับรถเข็น 1 คัน ถือว่าไม่แพงเลย ไม่นานเราก็มาถึงหน้าจตุรัสเซนาโด ช่วงบ่ายๆแบบนี้คนแน่นขนัด เรารีบมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารร้านดังของคนท้องถิ่นมาเก๊า WONG CHI KEI เป็นร้านอาหารสไตล์มาเก๊า ที่คนเยอะกันถึงขั้นต้องต่อคิว โชคดีคิวไม่ยาวมากเรารอไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งในร้าน สั่งเกี๊ยวกรอบ เกี๊ยวน้ำ และพอร์คช๊อพบันชิ้นใหญ่ๆมา อีก 1 ชิ้น อาหารทุกอย่างอร่อยสมคำร่ำลือ ราคาไม่แพง สมแล้วที่คนต่อคิวกันเข้าไปในร้าน เกี๊ยวกรอบไม่เหมือนที่เคยกินที่ไหนมาก่อน ชิ้นใหญ่ กรอบมากๆ เกี๋ยวน้ำกลมกล่อม ไส้เยอะเครื่องแน่น พอร์คช๊อบันคล้ายๆกับแซนวิชไส้หมูย่าง ที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากันแต่กลับอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ แนะนำว่าร้านนี้ไม่ควรพลาดจริงๆครับ




อิ่มท้องกันแล้วถึงเวลาสาวๆเข้าไปช๊อปปิ้งที่ร้าน SASA ใครเคยไปฮ่องกงคงจะรู้แล้วว่า ไม่ควรปล่อยภรรยาเข้าร้านนี้เพียงลำพังครับ เพราะนอกจะเวลาที่คุณจะหายไปอย่างต่ำๆ 1 ชั่วโมงแล้วละก็ อาจจะมีการรูดบัตรเครดิตของคุณอย่างเสียสติอีกด้วย ยังไงก็แล้วแต่ ความสุขของภรรยาใครจะกล้าไปขัดละครับ ผมรอข้างนอก ถ่ายรูปไปเรื่อยๆเพลินๆ สาวๆก็ช๊อปปิ้งเสร็จซักที่ SASA ที่นี่มี 2 สาขาอยู่ใกล้ๆกันเลย คนเยอะมากทั้ง 2 สาขา แต่ว่ากันว่าของถูกจริงๆนะครับ ใกล้ๆกับ SASA ก็ยังมี BOSSINI กับ GIODANO ที่ทำโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมอีก นี่มันแหล่งละลายทรัพย์ชัดๆ ช๊อปปิ้งกันจนลืมเข้าไปภายในโบสถ์เซนท์ดอมินิค รู้ตัวอีกทีประตูโบสถ์ก็ปิดซะแล้ว ได้แต่ถ่ายรูปกันที่ภายนอกอาคารเท่านั้นเอง เสียดายจริงๆ แต่แค่ภายนอกก็เหลืองอร่ามสวยงามมากๆแล้วหละครับ




เราตั้งใจจะเดินไปเรื่อยๆจนถึงซากโบสถ์เซนท์พอล แม้ระยะทางจะไม่ไกลจากจัตุรัสเซนาโด แต่ต้องขอเตือนว่าทุกท่านต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ที่จะมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เซนท์พอลจริงๆ เพราะว่าร้านรวง 2 ข้างทางมันช่างล่อตาล่อใจซะเหลือเกิน ที่นี่ทุกๆท่านคงจะรู้จักกันดีว่าเป็นแลนด์มารค์สำคัญของมาเก๊าเลยก็ว่าได้ ที่นี่คือโบราณสถานอันมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่หลงเหลือไว้เพียงผนังด้านหน้าของโบสถ์เท่านั้น ผู้คนเนืองแน่นตลอดเวลา ด้านหน้าโบสถ์จะเป็นเนินบันได เสริมให้ซากโพสถ์เซนท์พอลดูสวยสง่ามากยิ่งขึ้น ด้านล่างของโบสถ์จะมีรูปประติมากรรม ชายชาวโปรตุเกสยื่นดอกบัวให้หญิงสาวชาวจีน อันเป็นสัญลักษณ์ว่า โปรตุเกสได้คืนมาเก๊าให้กับจีนแล้วนั่นเอง





เอาละเช็คอินถ่ายรูปกันเป็นที่เรียบร้อย เราจะตั้งใจช๊อปปิ้งจริงๆแล้วนะ เราซื้อของฝากที่ร้าน KOI KAE อีกแล้ว สาขาใกล้ๆกับซากโบสถ์เซนท์พอลนั่นแหละ เราซื้อไปประมาณ 500 MOP เห็นจะได้ ท่านไหนที่ซื้อเยอะๆหลายๆร้อยแบบนี้ ท่านลองต่อรองราคาหรือขอของแถมดูนะครับ เพราะผมได้ลดราคาและได้ของแถมมาเยอะพอสมควรเลยแหละ





หลังจากใช้พลังงานไปมากท้องก็เริ่มหิวอีกครั้ง เราตั้งใจจะเดินกลับโรงแรมโดยใช้เส้นทางถนนแห่งความสุข HAPPY STREET ซึ่งเป็นถนนที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยห้องแถวแบบจีน เราไปถึงประมาณ 1 ทุ่มแล้ว ร้านรวงปิดไปเยอะแล้วหละ แต่ไปเจอเข้ากับร้านเล็กๆร้านหนึ่งที่ยังเปิดอยู่ หน้าร้านมีป้ายมิชลินไกด์ติดซะด้วย ไม่ถึงกับได้ดาวของมิชลินแต่ก็เป็นร้านที่ดีมากพอที่มิชลินจะแนะนำ มองเข้าไปข้างในคนเยอะพอสมควร อาหารเป็นประเภทอาหารมาเก๊า หมี่เหลืองแห้งไข่กุ้ง บะหมี่เกี๊ยว และตีนหมูตุ๋น อาหารรสชาติดี โดยเฉพาะตีนหมูตุ๋นเปื่อยนุ่มอร่อยมากๆ และราคาก็ไม่ได้แพงแตกต่างจากร้านอื่นๆ แต่ร้านนี้ชื่อร้านเป็นภาษาจีนทั้งหมดเราเลยมาสามารถจะจดจำชื่อร้านนี้ได้ จำได้แค่ว่า อาม่าเจ้าของร้านใจดีมากๆ

จากนั้นเราเดินไปเรื่อยๆไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงโรงแรมโซฟิเทลมาเก๊า หน้าโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อเล็กๆชื่อว่า CIRCLE K เป็นร้านสะดวกซื้อดั้งเดิมของฮ่องกงมาเก๊า ร้านเล็กขนาดที่คนเข้าไป 4 – 5 คนก็เต็มร้านแล้วหละ เราอยากลองอาหารให้ร้านสะดวกซื้อดูบ้าง ว่าจะอร่อยแตกต่างจากที่จีน ฮ่องกง หรือญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง ผมหยิบข้าวกล่องแช่แข็งมา 1 กล่อง จ่ายเงินแล้วอุ่นไมโครเวฟด้วยตัวเอง ปรากฏว่ามันอร่อยมากครับ เป็นข้าวหน้า หมูและตีนไก่ผัดเต้าซี่ อร่อยระดับร้านอาหารเลยแหละ หลังจากที่โดนแต่บะหมี่เหลือง กับเกี๊ยวน้ำมา 2 วัน โดนข้าวกล่องนี้เข้าไป กับเครื่องดื่มขมๆเย็นๆ นอนหลับสบายเลยฮะ



Day 3

วันที่ 3 เราตื่นสายนิดหน่อย เช็คเอาท์เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ฟรอนท์ของโรงแรม เจ้าหน้าที่ที่โซฟิเทลใจดีเรียกรถแท็กซี่ พาเราไปยังโคโลอาน ที่นี่มีร้านทาร์ตไข่เจ้าแรกชื่อดังของมาเก๊าอยู่ นั่นคือร้าน ลอร์ดสโตว์นั่นเองครับ เช้านี้ยังไม่ทานอะไรเลยเราไม่รีรอเข้าไปจัดทาร์ตไข่ร้อนๆมา 1 กล่อง 6 ชิ้นทันที กัดคำแรกมันอร่อยมากจริงๆครับ แป้งกรอบเนื้อใข่ม่หวานอบจนหน้าไหม้นิดๆหอมอร่อยมากๆ และในไม่ช้าทาร์ตไข่ 6 ชิ้นก็หายวั๊บไปกับตา ที่นี่เป็นโรงงานและขายหน้าร้านครับ มีเครื่องดื่มน้ำผลไม้ชากาแฟให้บริการด้วย แต่ถ้ายังไม่หนำใจ เดินไปทางริมทะเลแล้วเลี้ยวขาวไปไม่ถึง 100 เมตรก็จะเจอะกับ ลอร์ดสโตร์คาเฟ่ ที่นี่เป็นร้านนั่งสบายแอร์เย็นมีอาหารเครื่องดื่มให้บริการ ที่โคโลอานนี้มีร้านอาหารทะเลอร่อยๆหลายร้านเลยครับ ดูจากรีวิวของลุงเด้งป้าไก่แล้วน่าทานมากๆ แต่ร้านเกล่านี้ค่อนข้างจะเปิดสายครับ 11 โมงโน่นแหละกว่าจะเปิดให้บริการ เราก็เลยจัดอาหารเช้าที่ร้านลอร์ดสโตรคาเฟ่นี่แหละ อาหารก็เป็นอาหารนานาชาติ และมีอาหารไทยด้วยนะเพราะเชฟที่นี่เป็นคนไทย พนักงานเสิรฟให้บิรการดีมากๆคุยกับลูกค้าสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศภายในร้านเหมือนเราไปเที่ยวบ้านเพื่อน ลูกค้าที่ไม่รู้จักกันก็สามารถคุยข้ามโต๊ะกันได้เลย ได้พบเพื่อนใหม่ๆ ได้คุยกับคนไม่รู้จัก มันทำให้เราเปิดโลกขึ้นอีกเยอะเลยครับ



อิ่มหนำสำราญเราก็พากันเดินไปยังจุดเช็คอินสำคัญของโคโลอาน นั่นคือโบสถ์เซนท์ฟรานซิสซาเวียร์ หน้าโบสถ์นี้แหละที่มีร้านอาหารทะเลอร่อยๆอยู่ ตัวโบสถ์เป็นสีเหลืองพาสเทลขนาดใหม่ใหญ่มาก ที่นี่เคยเป็นฉากหนึ่งในซีรี่ส์ดังเกาหลีเจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ถ้าผมจำชื่อไม่ผิดนะครับ เราสามารถเข้าไปภายในโบสถ์ได้เลย ภายในก็เหมือนโบสถ์เล็กๆทั่วไปครับ ไม่ได้ตกแต่งหรูหราอะไรมาก แต่เข้าไปแล้วรู้สึกเย็นละสงบอย่างบอกไม่ถูก





จากนั้นเราเดินชมหมู่บ้านโคโลอานครับ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บ้านก็หลังเล็กๆที่ไม่เหมือนสไตล์จีนเอาซะเลย บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นมาก บ้านแต่ละหลังก็ทาด้วยสีสันสวยงาม ใครที่ชอบถ่ายรูปผมว่าคุณสามารถอยู่ที่หมู่บ้านโคโลอานได้ทั้งวันเลยหละครับ




จากโคโลอานเราจับแท็กซี่ไปยังรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม แค่บอกแท็กซี่ว่าไป KUN YUM เค้าก็จะพาไปถูกที่ได้ไม่ยาก องค์รูปปั้นตั้งอยู่กลางทะเลบริเวณ Outer Harbour ทางใต้ของฝั่งมาเก๊า เป็นรูปปั้นทองสำริดสูงถึง 20 เมตร มีรูปแบบที่ผสมกันระหว่างจีนและยุโรป มีพระพักตร์คล้ายพระแม่มารี เป็นอีกหนึ่งในจุดเช็คอินหลักของมาเก๊า ใต้ฐานเจ้าแม่จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ สามารถหลบร้อนเข้าไปนั่งพักตากแอร์ด้านในได้ครับ ทีแรกแค่อยากมาไหว้สักการะเพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเอง แต่ดูจากรีวิวแล้ว มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจเอามากๆนั่นก็คือ ตรงสัญลักษณ์เลข 8 หรือ infinity ถ้าเราไปยืนตรงจุดกึ่งกลางที่เส้นถูกลากมาตัดกัน แล้วพูดหรือส่งเสียง หูของเราจะได้ยินเสียงสะท้อoอย่างมหัศจรรย์ แต่เมื่อคุณก้าวออกจากจุดนั้นเพียงก้าวเดียวเสียงก้องนั้นก็จะไม่ปรากฏ ทีแรกผมก็ไม่เชื่อน่าว่ามันจะเป็นไปได้ จนได้ไปลองกับตัวเองนี่แหละ จะเป็นหลักการทางฟิสิกส์บางอย่าง หรือจะเป็นความมหัศจรรย์ใดๆก็ไม่อาจทราบได้ อยากให้ได้ไปลองสัมผัสด้วยตังเองจริงๆครับ


เวลายังพอมีเหลือพอสมควรในช่วงบ่ายก่อนที่จะกลับไปเอาสัมภาระที่โรงแรม เราเตรียมสถานที่ไว้ 2 แห่งที่จะไปนั่นก็คือ ป้อมปราการเกียและมาเก๊าทาวเวอร์ เราเลือกสถานที่หลังเป็นที่เที่ยวต่อไป เพราะอยู่ไม่ไกลจากรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมและที่สำคัญคือแดดค่อนข้างร้อนหาที่เย็นๆเที่ยวดีกว่า นั่งแท็กซี่ไม่นานก็ถึง อันที่จริงจะเดินไปก็ได้ครับแต่พอดีเรามีผู้สูงอายุไปด้วย มาเก๊าทาวเวอร์ก็เป็นอาคารสูงเด่นเป็นสง่า สามารถมองเห็นได้จากเกือบจะทุกจุดของมาเก๊า เราลองไปถามราคาขึ้นไปชมวิวบนจุดชมวิวด้านบน ราคาค่อนข้างแพงครับ แต่ก็ยังไม่แพงเท่าขึ้นจุดชมวิวที่อื่นๆในโลก เช่น ในญี่ปุ่น ซึ่งราคาสูงกว่านี้มาก เจ้าหน้าที่เสนอโปรโมชั่น 2 ผู้ใหญ่ 1 ผู้สูงอายุ เกิน 65 ปี ตั๋วเซ็ทนี้จะราคา 330 MOP และซื้อตั๋วผู้ใหญ่ธรรมดาอีก 1 คน 165 MOP เอาละเราลองดูซักครั้ง อยากมีประสบการณ์ในการขึ้นจุดชมวิวจากตึกสูง ผมว่าที่นี่ถูกที่สุดแล้วหละ



ขึ้นลิฟไป 58 ชั้น สูงประมาณ 200 กว่าเมตร ก็ถึงบริเวรจุดชมวิวครับ ผนังรอบๆเป็นกระจกใส่สามารรถมองเห็นวิวเมืองมาเก๊าได้ 360 องศา ที่พื้นมีส่วนหนึ่งที่เป็นกระจกใส บอกเลยว่าถ้าใครกลัวความสูงอาจจะไม่กล้าเดินบริเวรพื้นกระจกนี้ ผมเองก็ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะกล้าเอาเท้าไปเหยียบนะ สนุกดีเหมือนกัน เดินเล่นถ่ายรูปซักพัก ได้ยินเสียงคนฮือฮาเห็นกลุ่ม รีบเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตรงนั้นเป็นจุดกระโดดบันจี้จัมป์นี่เอง เราสามารถมองเห็นได้ที่ผนังกระจกและสามารถชมได้จากมอนิเตอร์ที่ถ่ายทอดสดอยู่ทุกครั้งที่มีคนกระโดด ดูแล้วก็สนุกตื่นเต้นดีครับ จากจุดชมวิวธรรมดาทีแรกเรายังคิดเสียดายเงินหลายร้อย MOP อยู่เหมือนกัน แต่พอขึ้นไปจริงๆแล้วผมคิดว่ามันคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์จริงๆครับ

หิวแล้วเราเรียกแท็กซี่ไปต่อที่ร้านห่านย่างหมูแดงหมูกรอบชื่อดังร้านหนึ่งของมาเก๊า ร้านนี้คนไทยหลายๆคนพูดชมเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยเด็ด ร้าน CHAN KONG KEI มีทั้งเซ็ทเล็กกลางใหญ่ มีเป็ด ห่าน หมูแดง หมูกรอบ เราเห็นโต๊ะข้างๆสั่งชุดใหญ่มาซึ่งมันใหญ่มากๆเรา 4 คนทางไม่หมดแน่ๆ เราจึงสั่งแต่ละอย่างมาในแบบจานเล็ก ราคาจานละ 50 MOP แล้วร้านนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ รสชาติดีมากๆ อร่อยล้ำมากๆ ไม่รู้จะบอกว่าอันไหนอร่อยที่สุด เป็ดดีมีมีกลิ่นสบ หมูกรอบก็กรอบอร่อย ยิ่งหมูแดงยิ่งอร่อยหอมกลิ่นรมควันรสชาติกลมกล่อมดีมากๆ ทานกับข้าวสวยร้อนๆแล้วอร่อยมากจริงๆ โอย...พิมพ์ไปก็หิวไปครับ ถ้าได้กลับไปมาเก๊าอีก ยังไงก็จะไม่ยอมพลาดร้านนี้อยากแน่นอน




เข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วให้เจ้าหน้าที่โรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ โรงแรมห้าดาวนี่ดีจริงๆครับ นี่เป็นครั้งแรกทีได้สัมผัสประสบการณ์โรงแรมห้าดาว บริการดีสุดๆไปเลย โรงแรมห้าดาวที่มาเก๊าไม่ได้แพงอย่างที่คิดนะครับ อย่างห้องที่ผมพักก็แค่คืนละ 3800 บาท มันก็อาจจะแพงกว่าปกติอยู่บ้าง แต่โอกาสที่จะได้สัมผัสโรงแรมระดับนี้ในราคาแค่นี้ผมคิดว่าที่มาเก๊าคุณสามารถทำได้ ยิ่งถ้าใครจองเก่งๆหรือติดตามโปรโมชั่นดีๆ อาจได้ห้องพักหรูในราคาไม่ถึง 3000 บาทก็ได้ครับ คุณแม่ติดใจโรงแรมเอามากๆจนอยากจะอยู่ต่ออีกซักคืน 2 คืนเลยทีเดียว

ช่วงเย็นๆจนถึงหัวค่ำของมาเก๊ารถติดมากๆ โบกแท็กซี่ยากมากๆ ยิ่งรถบัสไม่ต้องพูดถึง คนรอต่อแถวกันยาวเหยียด ทางโรงแรมก็ใจดีโทรเรียกแท็กซี่ให้เราแบบไม่คิดค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด ยังพอมีเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงก่อน ก่อนที่เราจะต้องขึ้นเครื่องประมาณ 3 ทุ่ม เย็นนี้เรายังพอมีเวลาแวะเที่ยวได้อีกจุด เราเลือกไปที่ STUDIO CITY ก็เป็นแรงแรมแนวคาสิโนหรูหราที่พึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน เห็นในรีวิวบอกว่าสามารถฝากกระเป๋าได้ไม่คิดเงินแต่เราหาจุดฝากกระเป๋าไม่เจอก็เลยลากกระเป๋าไปเรื่อยๆ ในอาคารก็พื้นเรียบๆลากได้สบายๆ ชั้นบนมีร้านอาหารให้รับประทานมากมาย ร้านภายในทั้งหมดเป็นสินค้าแบรนด์เนมที่หรูหราซะจนไม่กล้าเดินเข้าร้านเลยครับ เอาจริงๆที่เวเนเชี่ยนที่อยู่ติดๆกันร้านค้าน่าจะเข้าถึงและสัมผัสได้มากว่าที่ STUDIO CITY แห่งนี้






เพื่อความไม่ประมาท เราไปรอเวลาที่สนามบินเลยดีกว่า ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆครับ เย็นนี้รถติดมากๆ เพราะเป็นวันแรกที่เปิดสะพาน ฮ่องกง – มาเก๊า – จูไห่ เป็นวันแรก แต่เราก็ไปถึงสนามบินได้ก่อนเวลามากพอสมควร ซึ่งถือว่าโชคดีมากๆครับเพราะเราเจอปัญหาหลายๆอย่างที่นี่ และนำมาเล่าให้ทุกท่านได้อ่านเป็นประสบการณ์ครับคราวหน้าจะได้ไม่พลาดอย่างเรา

เข้าไปถึงแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้ออีกนิดหน่อยหลายๆอย่างน่าเอากลับไปกินที่บ้านเรามากๆโดยเฉพาะชาบรรจุขวด เราแกะกระเป๋าเอามาแพคอีกรอบเพราะเรามีคูปองน้ำหนักฟรีของบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพแอร์เอเชีย อะไรหนักๆก็โหลดฟรีไปให้หมดเลย พอไปถึงจุดเช็คอินชั่งน้ำหนักกระเป๋าเท่านั้นแหละ ปรากฏว่าคูปองที่ว่าใช้ไม่ได้ครับ เค้าระบุไว้ชัดเจนเลยครับว่าใช้ได้กับสนามบินภายในประเทศไทยเท่านั้น ผิดที่เราเองเราอ่านไม่ดีเองอย่าไปโทษใครครับ โดนซิครับ โดนไปอีก 500 MOP ค่าน้ำหนักกระเป๋า เสร็จไปเรื่องหนึ่งเจอเรื่องใหม่ทันที แม่ไม่สามารถระบุวันเกิดได้ครับ ซึ่งทำให้เหมือนว่าเรามีข้อมูลขาออกไม่ตรงกับตอนขาเข้าประเทศ คนต่างจังหวัดสมัยก่อนเค้าไม่ระบุวันเกิดครับระบุคร่าวๆแค่ปีเกิดเท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าตอนทำพาสปอร์ทแล้วใส่เป็น วันที่ 1 เดือน 1 แล้วตามด้วยปีเกิด แต่ในพาสปอร์ทแม่ระบุวันเกิดเป็น xx-xx-xx ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เค้าต้องโทรไปขอคำยืนยันจาก ตม.ประเทศไทยซึ่งก็ต้องใช้เวลารอยืนยันคำตอบอยู่ประมาณ 20 นาทีเลยเหมือนกัน

เสร็จไป 2 เรื่อง แม่เริ่มสีหน้าไม่สู้ดีด้วยความตกใจกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เราค่อยๆเข็นรถเข็นแม่ไปผ่านประตูเพื่อจะเข้าเกท รปภ พูดภาษาจีนใส่เราโช้งเช้งๆ สรุปได้ใจความว่าต้องเอารถเข็นไปสแกนใหม่อีกรอบ ว่ามีเครื่องยนต์กลไกอิเล็กทรอนิกส์อะไรรึเปล่า บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ จึงต้องนำไปสแกนอีกรอบ หมดไปอีก 20 นาที ดีนะที่เผื่อเวลาไว้ก่อนค่อนข้างเยอะ

ผ่านขั้นตอนวุ่นวายมากมาย ผ่านเข้าเกทมาได้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยายครับ เดินเข้าร้านไหนเค้าก็โค้งคำนับต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งๆที่พึ่งจะโดนตรวจอย่างหนักก่อนจะเข้ามา แต่ก็เข้าใจครับหน้าที่ของเค้า เค้าก็ต้องทำอย่างเต็มที่ ค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละจุดก็ไม่ยากครับและเจ้าหน้าที่ทุกคนก็พยายามช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี พอเช็คดินเข้าเกทมาแล้ว นอกจากร้านค้าปลอดภาษีมากมาย ก็ยังมีร้านอาหารให้บริการที่ ชั้น 2 อีกครับ อาหารก็อร่อยและไม่ได้แพงกว่านอกสนามบินแต่อย่างใด

ก่อนถึงเวลาขึ้นเครื่องครึ่งชั่วโมง แอร์เอเชียเรียกเราไปขึ้นเครื่องก่อนใครๆเพราะมีผู้สูงอายุที่มีรถเข็นมาด้วย และอัพเกรดที่นั่งของแม่และพี่สาวให้นั่ง HOT SEAT หน้าสุด โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตรงจุดนี้ผมประทับใจมากๆครับ เป็นการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่แอร์โฮสเตทบนเครื่องและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินร่วมกัน และคูปองสำหรับแลกเครื่องดื่มที่มีมุลค่า 60 บาทจากบัตรเครดิตธนาคารกรุงเพทแอร์เอเชียก็สามารถแลกเครื่องดื่มได้ตามปกติครับ เห็นชมเยอะแบบนี้ผมไม่ได้รับเงิน หรือได้ตั๋วฟรีจากทางแอร์เอเชียแต่อย่างใดนะครับ คือความประทับใจครั้งนี้ยากที่จะลืมจริงๆครับ

จบทริปมาเก๊า 3 วัน 2 คืนอย่างมีความสุขครับ แม่มีความสุข ลูกๆอย่างเราก็มีความสุขและอิ่มเอิบใจไปด้วย อาจจะเหนื่อยไปบ้างที่ต้องคอยพับและกางรถเข็น หรือยกรถเข็นใส่หลังรถแท็กซี่ (แท็กซี่มาเก๊าจะคิดเงินเพิ่มนะครับหากเรามีสัมภาระใส่หลังกระโปรงรถแต่ก็เพิ่มแค่ประมาณ 3 – 5 MOP เท่านั้นครับ ) ความลำบากแค่นี้มันดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอันมีความสุขของครอบครัว

ชาแนล YouTube คุณนายตื่นสาย
https://www.youtube.com/channel/UCbH9FK3FGnS4zb2Ncw61R5w?view_as=subscriber&pbjreload=10

Facebook คุณนายตื่นสาย
https://www.facebook.com/happylazylady/

สุดท้ายนี้ ขอให้ท่องเที่ยวกันให้สนุก มีความสุขกับคนที่คุณรักครับ



ความคิดเห็น