สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้ว ทริปกวางโจว ทริปที่เราต้องปรับทัศนคติก่อนไป เพราะความแตกต่างของประชาชนที่นู่นกับเราค่อนข้างแตกต่างกัน อย่างที่เราเห็นจากข่าวบ้าง เจอกับตัวบ้าง ทริปนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เราไป สามารถเข้าไปดูทริปแรกได้ ซึ่งจะมีบอกรายละเอียดไว้มากๆ เราจะให้รายละเอียดให้ได้มากที่สุด เพราะคนที่ไม่เคยไป ชาวกวางโจวส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ที่เราไปหาเจอก็จากที่เขามารีวิวๆ กันนี่แหละ จึงต้องการแบ่งปันประสบการณ์กับคนที่ต้องการไป ขอบอกเลยว่า อินเตอร์เป็นสิ่งที่สำคัญและช่วยคุณได้มาก แต่อย่าไปคาดหวังว่าเปิดเน็ตไปที่นู่นแล้วจะเร็ว คือมันเหมือนเล่นเน็ตสมัยก่อน กว่าจะโหลดเสร็จเราหลับก่อน หากใครมีข้อมูลที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ไวๆที่กวางโจว บอกเราบ้างน้าา
และเนื่องจากอินเตอร์เน็ตมีสภาพดังกล่าว เราจึงต้องเตรียมข้อมูลไปให้มากที่สุด อะไรแคปได้แคป แผนที่ ภาพที่พัก สถานที่ๆจะไป ชื่อสถานีรถไฟใต้ดิน ชื่อถนน อาหารที่อยากกิน คำศัพท์ภาษาจีนที่คิดว่าช่วยเราได้แน่ๆ ชื่ออาหาร เป็นต้น
[กระทู้เดิมตามไปเก็บข้อมูลกันได้ที่นี่ค่ะ http://pantip.com/topic/34885250]
ทริปนี้เราไปกันสามคนค่ะ นอกจากเราและพี่สาว เรายังพาแม่ไปด้วย เราไปช่วงหน้าร้อน สบายกระเป๋าหน่อย ไม่ต้องแบกเสื้อกันหนาวหนักๆติดตัว และด้วยเราปรับทัศฯคติมาแล้วว่าต้องเจออะไรบ้าง ตอนเที่ยวเรามีความสุขมากขึ้นว่ะ คือเราพยายามเข้าใจ หาเหตุผลว่าทำไมคนจีนถึงทำแบบนี้ แบบนั้น ซึ่งประชากรที่เยอะ เป็นสิ่งที่ควบคุมยาก และความแออัดของประชากร ทำให้ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด มาครั้งนี้ เราบอกดได้เลยว่า ไม่ใช่เราทำใจไว้แล้วเราจึงยอมรับได้ แต่คนของเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมากจริงๆ จะพัฒนายังไง เราจะค่อยๆ อธิบายตามภาพไปนะคะ
รอบนี้เราจองโรงแรมใกล้ๆที่เดิมแต่เขยิบขึ้นมาใกล้หน่อย อยู่ใกล้ถนนปักกิ่งแบบข้ามถนนไปถึงเลย เดินไปหน่อยก็เป็นไห่จูสแควร์ ป้ายรถบัสสนามบิน เลยไปอีกก็เป็น One link ขายของกุ๊กกิ๊ก กิ๊ฟช็อปทั้งตึก
ลงจากสนามบินก็มารอขึ้นรถบัสเหมือนเดิม สาย A2 สนามบิน-ไห่จูสแควร์ คนละ 21 หยวน
คุณนายแม่ก็นั่งรอรถบัสไป
ลงรถบัสก็เดินเลาะฟุตบาทขึ้นมาเลย ไม่ใช่เดินไปทางเซเว่นนะ เดินตามทางมาเรื่อยๆ มันจะมืดๆ นิดนึง เป็นตึกแถวโค้งตามแนวถนน Taikang Lu พ้นจากตรงนั้นก็จะเจอตึกใหญ่ๆ หน้าตึกเขียนว่า Grand Continental Service Apartment ตึกนี้แหละค่ะที่ครั้งที่แล้วเรามาฝากท้องที่ Four Season คร่าวๆ ตึกนี้ประกอบด้วยหลายอพาร์ตเม้นท์ ที่เราจองไว้คือ Sunny Private Apartment Hotel Of Grand Continental อยู่ฝั่งขวาของตึก ในขณะที่ตอนนั้นเป็นเวลาตีหนึ่งกว่า เช็คอินบาร์ดูใหม่เหมือนเพิ่งรีโนเวท เช็คอินเสร็จ ก็ได้คีย์การ์ดมา พุ่งไปชั้น 18 เปิดลิฟต์มา สะพรึงนิดๆ ทำไมมียันต์จีน เดินออกจากลิฟต์หาห้องพัก ก็เดินตามทางไป มองไปสุดทางมีประตูบานใหญ่ น่าจะเป็นห้องสวีท ที่สะพรึงกว่าคือมียันต์จีนสีแดงยาวๆแปะที่ประตู 2 ฝั่ง ภาวนาในใจ ห้องอยู่ไหน ไม่อยากอยู่ใกล้ เดินไล่เลขห้องไป แจ็กพ๊อต!! ได้ห้องข้างๆเลยจ้า
เราไม่ได้ถ่ายภาพโรงแรมหรือห้องนอนมานะ เพราะกลัวยันต์สีแดง 555 ห้องนอนโอเคอยู่ กว้างมากกกกกกกกกกกกกกกก นอนสามคน มีสามเตียง เก้าอี้เล็ก เก้าอี้น้อยอีก ส่วนห้องน้ำ ก็กว้าง แต่มืด และยังคงความสะพรึงเล็กน้อย ภายในมีตู้เย็น อ่างล้างจาน เตาไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า รวมๆแล้วถือว่าโอเคอยู่ค่ะ
นี่คือวิวจากอพาร์ตเม้นท์
ตื่นเช้ามา คิดสิว่าเราจะไปกินข้าวที่ไหน แน่นอนไปที่ Four Season เรากินไม่ยาก แต่บางอย่างที่กวางโจวเรากินไม่ได้ การเดินทางนั้นไม่ยากค่ะ ลงลิฟท์มาชั้น 1 แล้วเดินไปขึ้นลิฟต์ฝั่งซ้ายของตึกไปที่ชั้น 8 ถึงละ!! ขึ้นไปก็หารูปภาพเลยจ้า ใครมีดิคเปิดดิค ถ้าสามาถสื่อสารจะด้วยภาษาอะไรก็ตาม พยายามขอเมนูเล่มใหญ่ๆสีดำหนานิดๆ แล้วชีวิตจะสุขสบาย ในนั้นมีภาพประกอบ คำอธิบายภาษาอังกฤษ และราคา คนที่นี่ดื่มชาเก่ง และชาก็อร่อยดีนะ เราชอบ
มาดูรีวิวอาหารที่นี่กันดีกว่า เราสั่งมานิดหน่อย รีวิวรวมกันสองวันเลยเนาะ มากินที่นี่สองวันเลย
อย่างแรกเป็นสองหอยผัดน้ำเยิ้มกับหมูสามชั้น อร่อยดีค่ะ กินกับข้าวสวยร้อนๆที่นี่อร่อย ข้าวสวยที่นี่อร่อยค่ะ เหมือนข้าวหอมมะลิ
ต่อมา มันฝรั่งผัดเหมือนข้างบนกับอะไรซักอย่างเหมือนหนังหมู รถชาติใกล้ๆกับข้างบน
ต่อมา
บะหมี่เกี๊ยว รสชาติแปร่งๆ จืดๆ ปะแล่มๆ กินแล้วไม่ยินดียินร้าย ไม่ดีไม่แย่ ให้เยอะมากค่ะ กินไม่หมด
อันนี้ชอบมาก แผ่นเต้าหู้ทอดห่อไส้ข้างในมีวุ้นเส้น ไชเท้าประมาณนี้ ราดน้ำหวานๆ รสชาติติ่มซำบ้านเราค่ะ
ฮะเก๋านะฮะ ข้างในกุ้งตัวเบอเริ่มเลย กินจนเลี่ยนกุ้งเลย
และอีกอย่าง เป็นขนมจีบกุ้งลูกใหญ่มาก ไม่สามารถตักเข้าปากคำเดียวหมด ต้องแบ่งครึ่ง
ตบท้ายด้วยขนมที่ตอนแรกสั่งไปเพราะเข้าใจว่าเป็นขนมเปี๊ย พอมาเสิร์ฟ เจ๋งกว่าที่คิด
เหมือนเค้าเอาแป้งไปทำเอ็นเส้นๆเหมือนเส้นบะหมี่แล้วเอามาขดๆ สอดไส้ข้างในหวานๆ อร่อยๆ
อิ่มท้องเสร็จเราก็ไปหาแหล่งช็อปปิ้งกันต่อเลยค่ะ ออกจากตึกมา ข้ามถนนไปตึกนี้เลยจ้า ใต้ตึเป็นรถไฟใต้ดิน มุ่งหน้าไป Wanjia Wholesale Building ตึกขายเสื้อผ้าที่ราคาถูกกว่าไป๋หม่า เปิดแต่เช้า เที่ยงบ่ายก็ปิดแล้ว
มารอบนี้ หลังจากเราได้ปรับทัศนคติ พูดง่ายๆคือเตรียมใจมาบ้างแล้ว เรามองเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านมากขึ้น ในมุมที่เราไม่เคยมอง เราเข้าใจพวกเค้ามากขึ้นและไม่โกรธโมโหเหมือนทริปแรกที่มาด้วยความไม่เข้าใจ
ด้วยประชากรที่เยอะ ทำให้ต้องขวนขวายทำงานเพื่อเลี้ยงปากท้อง การกระทำที่คนอื่นอาจมองว่านิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว อาจเป็นทางรอดเดียวของเขา
ตึกอาศัยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้
น่ารักมั้ยคะ
ขออนุญาตมาต่อพรุ่งนี้นะคะ
@ดำมอมแมม ราคาอาหารไม่ค่อยแพงนะ เราจำไม่ค่อยได้อ่ะค่ะ ราคาประมาณ 30-40 หยวนต่อจาน น้ำชาดำ 1 กา ประมาน 150 บาทค่ะ เสื้อผ้าก็ตามฤดูเลยค่ะ ไปหน้าร้อน หน้าหนาว การต่อราคานั้น ถ้าตามร้านทั่วไปต่อให้เค้าด่าได้เลยค่ะ ให้ราคามาร้อยนึงต่อไปเลยนี่สิบสามสิบ ลองดูค่ะ ลองเดินหนี เด่วเค้าจะเดินมาเรียก แต่ถ้าอย่าง Wanjai มาถูกอยู่แล้ว อาจได้ลดนิดๆหน่อยๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณค่ะ
มาต่อๆ ออกจาก Wanjai เอ้อ ลืมบอกว่า Wanjai อยู่สถานี Shaheding นะคะ ทางออก A
สำหรับการขึ้นรถไฟใต้ดิน จะสะดวกมากถ้าซื้อเป็นบัตรเติมเงิน แล้วค่อยเอาไปคืนที่สถานีที่เค้าบอกไว้ โดยมีเวลาทำการจำกัด เปิดถึงแค่ 4 โมงเย็น อดคืนเงิน เราต้องแบกบัตรใต้ดินกลับมาไทย 555 พูดเหมือนหนัก
(ถ้าอันไหนเราไม่มีบอกลองไปดูในกระทู้เก่าได้จ้า จะละเอียดกว่านี้ กระทู้นี้ เรามาย้ำมุมมอง )
ก็ขึ้นใต้ดินมาลงที่ตลาดไป๋หม่า ทางออก D4 ย่านนี้เป็นแหล่งเสื้อผ้าที่เหมือนแพลตตินัม แต่ Wanjai จะเหมือนโบ๊เบ๊ขายส่งหนักๆ ที่นี่มีของหลากหลายค่ะ ทั้งเสื้อผ้าและอาหารการกิน ตึกใหญ่มากค่ะ และล้อมรอบด้วยร้านค้าเต็มไปหมด สามารถเดินวนเป็นเลขแปดได้เลยค่ะ
ของกินข้างทางเรายังไม่ค่อยได้ซื้อกินนะ ก็ยอมรับว่ามีคิดบ้าง 555 คนจีนเป็นสูบบุหรี่าจัด ถ้าหากมาแล้วคนเป็นภูมิแพ้พกผ้าปิดจมูกมาด้วยก็ดีค่ะ เดินเลยไป๋หม่าไปจะเป็นย่านขายพวกชุดชั้นใน
ผ่านร้านรวงเหล่านี้ค่ะ เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นตึกใหญ่ๆ ข้างหน้า เดินเข้าไปข้างในได้เลยจ้า มีหลายชั้น ลองเดินสำรวจดู มีแต่แต่ชุดชั้นในเด็กไปจนถึงชุดชั้นในผู้หญ๊ายยยผู้ใหญ่
จากที่ไปซื้อชุกดชั้นในแล้ว เราก็เดินย้อนกลับมาที่ไป๋หม่า หิวข้าวไง จะอะไรล่ะ มุ่งไปที่ Chois Coffee เจ้าเดิม เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน มีน้ำแข็งไสด้วย เลิฟที่สุดละ ร้านนี้ตั้งอยู่ในตึกฝั่งตรงข้ามกับที่เราเดินกันมาที่ไป๋หม่า
มาดูหน้าตาอาหาร
สั่งอาหารแล้วก็ได้กระดิ่งมา กระดิ่งดังก็ไปรับอาหารที่เคาน์เตอร์
ตบท้ายด้วย น้ำแข็งใส แต่น้ำแข็งมันไม่ละเอียดอ่ะ แบบที่เกาหลีอร่อยกว่า
ระหว่างที่กินอย่างเมามัน ก็มีทีมงานเดินมาเคลียร์ทาง หน้าร้าน อ่าา มีเดินแบบจ้า คนก็มามุงดูกัน เราเหมือนได้นั่งติดขอบเวที แชะภาพหนุ่มนายแบบจีนมาได้ประมาณนี้ ถือว่าโอคอยู่น้าา
ถัดมา เราจะไปที่ใหม่ ตลาดค้าส่งชุดชั้นใน มีตั้งแต่ถุงน่องธรรมดายันชุดตกไข่ ใส่แล้วสามีไม่ให้ออกจากบ้าน 555 การเดินทางคือ ออกไปนอกตึกี่เรากินข้าวก่อนค่ะ
มองหาแลนด์มาร์คใหญ่ๆ กว้างๆ อยู่ทางซ้ายมือ เดินตรงขึ้นไป
เดินผ่านหอนาฬิกาไป จะเจอสี่แยกใหญ่ๆ ก็ข้ามฝั่งไป เดินเลี้ยวซ้ายลอดอุโมงค์ถนนไป เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ถึง แต่ด้วยความเหนื่อยบ้าจากการเดินและช็อปปิ้ง เราจึงนั่งแท็กซี่ และด้วยความไม่รู้จุดหมายให้พี่แท็กซี่พาไปดีกว่า
นั่งไปแป๊บนึง ยังไม่ทันหายใจออก ถึงละจ้า
เข้าไปตึกนี้เลยจ้า เน้นขายกระเป๋า เครื่องหนัง มีตั้งแต่โนเนมยันมีชื่อ เพลิดเพลินละลานตามากค่ะ เราลองเดินไปถามกระเป๋าร้านนึง เค้าก็บอกมีสต๊อค ให้พี่สาวเค้ามา แล้วอาเจ๊ก็พาเดินออกจากตึกไปทางข้างๆตึก
เดินเลาะไป จริงๆแนะนำว่าถ้ามาคนเดียวสองคน อย่าไป เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าจะพาไปไหน เจ๊ก็พาขึ้นตึกแถวไปชั้นสอง มืดๆ ทะมึนๆ เริ่มลังเลใจว่ายังไงต่อดี กลับคงไม่ทัน พอเจ๊เปิดประตูห้องเท่านั้นแหละ โอ้โห นางเปิดเป็นเอ๊าท์เล็ทในห้องเลยจ้า มีกระเป๋าเกือบทุกชื่อ ราคาโอเค ใบละพันกว่าบาท เจ๊คุยกับแม่รู้เรื่อง การมีแม่พูดภาษาจีนได้เป็นอะไรที่เลิศมาก แม่พูดแต้จิ๋ว อ่า คนบ้านเดียวกัน เจ๊ก็คัยไปยาวๆ นางเป็นเจ้าของกิจการ พอเสร็จนางพาไปอีกที่นึง เป็นเหมือนอพาร์ตเม้นท์ มีรปภ.เฝ้าใต้ตึก ก่อนเข้าตึก มีวัยรุ่นจีนกลุ่มนึงคอยสแกนต้นทาง เจ๊ให้ผ่านถึงผ่านได้ เจ๊พาขึ้นไป เปิดห้องปุ๊บ เป็นเอ๊าเล็ทเสื้อผ้ารองเท้าจ้า
เราก็ไม่เอา เดินออก เจ๊ก็ไม่ได้ว่าไร แต่หน้าตาผิดหวังนิดหน่อย
เดินกลับผ่านตึกนี้เพ้นท์สีน่ารักดี
เดี๋ยวเย็นๆมาต่อค่า
งานยุ่งมากเลยจ้า มาต่อแน่นอน ภายในคืนนี้ ตอนนี้เขียนลงเวิร์ดอยู่ค่า ขอโทษด้วยค่า
ถ้าเย็นนี้เอาลงทันจะเอาลงเลยค่า
ขอบคุณมากๆค่าที่ติดตาม
ต่อค่ะ จากนั้นเรา ก็กลับที่พักค่ะ
เอาของที่ซื้อมาบางส่วนไปเก็บห้อง บางส่วนเราต้องไปเอาในวันถัดไปหรืออีกสองวัน เพราะของบางอย่างเขามีแหน้าร้านโชว์ สต็อคต้องรอมาส่ง ออกจาก Baiyun ตึกกระเป๋าและเครื่องหนัง ก็เดินย้อนทางเดิม ถ้าเหนื่อยก็ขึ้นแท็กซี่ เดินทางรถไฟใต้ดินมาที่ถนนไป่จิงลู่ หรือถนนปักกิ่ง ย่านแหล่งวัยรุ่นและร้านรวง อารมณ์ประมาณ สยาม เมียงดงน่ะค่ะ ข้างทางมีร้านขายขนม เครื่องดื่มทานเล่น ขายเสื้อผ้าของใช้ตั้งแต่ถูกยันแพง
มันจะเป็นทางเดินยาวๆ มีโคมไฟจีนประดับ พอเดินมาจนสุด เราก็จะไปหาข้าวเย็นกินกันค่ะ ร้านเดิม มาถึงประเทศจีน ก็ต้องกินอาหารญี่ปุ่นสิ!! ใช่หรอ 555 เดินตรงไปค่ะ จะเจอห้างที่ขายจิวเวลรี่ข้างในเยอะๆ
เดินผ่านก่อนถึงห้าง มีงานเทศกาลเกี่ยวกับประเทศไทยด้วย ชะโงกไปดูข้างใน หวังจะเห็นของโอท็อปเรามาต่างแดนบ้าง ถึงกับอึ้ง! ไหนฟระ มีแต่ของจีน
เดินต่อไป เจอตึกดังกล่าว ก็ขึ้นบันไดเลื่อนข้างหน้าไปชั้นสองเลยค่ะ เดินเลี้ยวขวาตรงไป เจอร้านนี้เลยจ้า
ไปถึงเค้าก็จะมีชาข้าวมาให้ในซองคนละซอง น้ำร้อนเติมฟรี อร่อยหอมในโพรงจมูกมากค่ะ
มาสั่งอาหารกัน พนักงานที่ร้านพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ
ราเมนทะเล รสชาติหรอ เอาจริงป่ะ... กินไปได้ 3 คำ 555 จืดมาก และกลิ่นหน่อไม้ดองแรงมาก และเครื่องปรุงที่มีก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ปล่อยมันไป... ปล่อยออกปายยย.....
เซ็ตเครื่องเคียงกินเล่น อร่อยๆ กินได้ สั่งได้ ไม่อันตราย 555
หอยเชลล์กะทะร้อนใส่หอมแดงเยอะๆ อร่อย ผ่าน!
ราคาอาหารก็ 30-40 หยวน แล้วแต่ค่ะ
อิ่มละ ไปเดินเล่นกัน
เดินย้อนกลับมาทางเดิม ตึกรามบ้านช่องเขาสวยดีค่ะ เราชอบ ออกแนวโบราณ วินเทจๆ ผสมกับตึกใหม่ๆ ที่บ้านเราน่าจะทำแบบนี้บ้างนะ
ภาพตอนกลางวัน
เดินเข้ามาที่ถนนปักกิ่ง
คนมุงเยอะมากค่ะ ร้านเหล่านี้คือร้านอะไร ตามไปดู
ร้านนี้ชื่อ "ไทย" ขายน้ำมะม่วงสุก และปลาหมึกยักษ์ ที่ตอนนี้มีที่สยามแล้วนะ มันเหมือนกันเลยอ่ะ แต่ของสยามตรงหลังดิจิตอลเกตเวย์เค้าบอกมาจากฮ่องกง ปลาหมึกนั้นนน อร่อย ผ่าน! ใหญ่มาก ใหญ่เท่าหน้าแม่เราเลย 555 ตามภาพ (ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกะพี่สาวนะ)
อ่า มาเจออีกร้าน คนมุงต่อแถวยาวมาก ต้องเข้าไปดู
ขายน้ำมะม่วงปั่น แต่ไม่ใช่เอามะม่วงสดๆไปปั่นนะ เขาเอาก้อนน้ำแข็งรสมะม่วงที่คงจะปั่นมาก่อนแล้วแช่แข็งนั้น มาใส่เครื่องทำน้ำแข็งใส โปะด้วยน้ำที่คาดว่าน่าจะเป็นกะทิ และโปะด้วยมะม่วงสุก คืออุปสงค์มากกว่าอุปทาน หลังๆมะม่วงสุกไม่ทัน มีเขียวๆก็มี ที่เหลืองๆอาจจะเปรี้ยวก็ได้นะ เหมือนบ้านเรา 555 บ่มสวยแต่สี เนื้อเปรี้ยว แต่คือแก้วใหญ่มาก แก้วนึงร้อยกว่าบาท แต่เราไม่กินอ่ะ คือดูตามวิดิโอแล้วกัน
กลับบโรงแรมนอน ร่างแหลก
วันถัดมาคือต้องไปเอาของที่สั่งไว้ ไม่มีไรมาก ตอนเช้าก็ไปกินที่ Four Season เหมือนเดิม แล้วก็ไปเอาของ
มีภาพทางเดินช่วงก่อนถึงที่พักมาให้
ถ้าตอนกลางคืนจะมืดมากและเปลี่ยวนิดๆ เดินด้วยความระมัดระวังและไม่ประมาทนะคะ
ขากลับจากไปเอาของ เรามาลงที่ Haizhu Square หน้าตาเป็นอย่างนี้นะจ้ะ มันคือย่านที่เราต้องมาขึ้นลงรถบัส
ตรงนี้จะมีร้านเบเกอรี่ แมคโดนัล ร้านเสื้อผ้า ตึกสวยๆ ด้วย ถ้าจำไม่ผิดทางออก B3 นะคะ
และมาที่ร้านเบเกอรี่ 85องศา เป็นร้านที่ราคาไม่ค่อยแพง ชามะลิแก้วละ 25 บาท อย่างอื่นก็ประมาน 50 บาท รสชาตใช้ได้ เราก็สั่งตามปกติ พี่สาวเราเห็นในโปสเตอร์เป็นลูกเกรปฟรุตในแก้วใหญ่ พอพนักงานทำให้เสร็จ โอ้โห มันไม่ใช่แค่ใหญ่ มันใหญ่มาก เหมือนแก้วเสลอปี้แก้วใหญ่สมัยก่อน
แล้วคือ เค้าใส่ลูกเกรปฟรุ๊ตลงไปทั้งลูก ในเรื่องของรสชาตินั้นก็ไม่เลว เปรี้ยวๆหวานๆ มีเนื้อเกรปฟรุ๊ต แต่ส่วนตัวเราว่ายังไม่ค่อยเข้มข้น
หลังจากนั้นเราก็กลับที่พักไปจัดของ เราไปสามวัน ก็เผื่อๆเวลา สำหรับคนที่ไปครั้งแรก หาข้อมูลและตัวช่วยภาษาจีนไว้ก็ดีถ้าพูดภาษาจีนไม่ได้
และภาพนี้คือ ฝั่งตรงข้ามกับที่เซเว่น ตรงไห่จูสแควร์ ที่เรามารอรถบัสไปสนามบิน โดยคุณจะต้องไปซื้อตั๋วตรงแถวหน้าร้าน 85 องศาเมื่อกี๊ค่ะ
รถมาตามตารางเวลา
จากการมากวางโจว เมืองค้าส่งสินค้าจากทุกมุมโลกในครั้งนี้ ที่เป็นครั้งที่ 2 ของเรา เราได้เปลี่ยนมุมมองความคิดต่อคนจีนไป เราได้เจอคนที่มีน้ำใจ คนที่เราเดินเหยียบเท้าเขาก็ไม่โกรธ เพราะเขาเป็นแบบนี้มาตลอด มันไม่ใช่เขานิสัยไม่ดี แต่สังคมมันหล่อหลอม มันเลยเป็นธรรมชาติของเขา เขาไม่รู้ว่ามันไม่ดี อย่าตำหนิพวกเขาเลยค่ะ
จากครั้งก่อนที่มา ไม่มีคนต่อคิวรถไฟใต้ดินเลย รปภ.ก็มาเตือนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ครั้งที่ พวกเขาต่อคิวค่ะ และมีรปภ.คอยมาตรวจดูเสมอ ไม่ให้ขวางคนออก
พวกเขากำลังปรับปรุงตัวอยู่ค่ะ ^^
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ เที่ยวให้สนุก มีสตางค์และสติเสมอค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบกระทู้ค่ะ
การเดินทางของหัวหอม
วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.05 น.