Day 1
ก่อนที่จะออกเดินทางครั้งนี้เราตั้งคำถามไว้กับตัวเองถึง “ เบตง...มีดีอะไร ทำไมใครไปแล้วจะต้องรักมัน ”
มันเป็นคำถามที่ทำให้เรายอมเดินทางถึง 20 ชั่วโมงเพื่อไปหาคำตอบ หลายคนคงตั้งคำถามกลับว่าจำเป็นไหมที่ต้องเดินทางตั้ง 20 ชั่วโมง ใช่ครับมันไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณมีเวลา คุณลองขึ้นรถไฟดูแล้วจะเข้าใจว่าเหตุผลอะไรถึงต้องยอมเสียเวลาถึง 20 ชั่วโมงในการเดินทาง
มันเป็นอย่างนึ่งที่จะทำให้คุณได้ใช้เวลาช้าๆอยู่กับตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อที่คุณจะได้เตรียมตัวที่จะเปิดรับกับสิ่งที่จะหาคำตอบ ใช่ครับเราปล่อยเวลาที่เร่งรีบทั้งหมดให้เวลากับตัวเองไปตลอด 16 ชั่วโมงของการนั่งรถไฟ เพื่อจะเปิดที่ว่างในการหาคำตอบครั้งนี้
Day 2
รถไฟของเราสุดสายที่หาดใหญ่ ที่นี้เป็นที่ๆจะต่อรถตู้อีก 4 ชั่วโมง พาเราไปถึงตัวเมืองเบตง ยิ่งระยะทางใกล้ถึงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน อยู่ๆเราก็เกิดวิตกกังวลซะงั้น จากข่าวที่มักจะได้ยิน จากคนรอบข้างทัก จนขนาดที่กำลังขึ้นรถไปนั่งบนรถตู้นั้นเกิดตัวเกรง แล้วเหมือนจะเป็นลม ได้พี่ๆที่คิวรถตู้หาดใหญ่มีน้ำใจมากๆ มาช่วยกันเอายาดมมาให้แล้วพาเราไปนอนที่ห้องพยาบาลประจำสถานีขนส่งคิวรถตู้ และจัดการเลื่อนเที่ยวรถไปเบตงออกไปให้ ขนาดที่เราดีขึ้นก็ได้นั่งคุยกับคุณหมอที่ประจำที่นั้น ซึ่งเค้าก็บอกกับเราให้ไม่ต้องกังวล มันไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นข่าวนำเสนอหรอก และไม่เคยเกิดเหตุการณ์ร้ายๆกับนักท่องเที่ยวเลยคนในพื้นที่รู้กันดี จนเราดีขึ้นเลยได้ไปขึ้นรถตู้ที่พี่เค้าจัดรอบใหม่ไว้ให้
ระหว่างนั่งรถตู้บอกเลยว่าเมารถจริงๆและไม่ใช่เราคนเดียว ก็เป็นกันเกือบๆทุกคนเพราะผ่านโค้งมากมาย ยังคิดในใจว่าจะรอดไหมนี้ จนในที่สุด ก็มาถึงจุดหมายซักที ขนาดที่ลงรถพี่คนขับยังคอยเป็นห่วงเราที่เกือบเป็นลมเมื่อเช้าอยู่ถามตลอด เราได้แต่ขอบคุณแล้วบอกกับพี่เค้าว่าไม่เป็นไรแล้ว แล้วก็แบกกระเป๋าใบใหญ่เดินหาที่พักภายในเมือง
เมืองเบตงเป็นเมืองที่ค่อนข้างเล็กนะครับเดินวนแปบเดียวก็รอบเมือง ระหว่างเดินหาที่พักก็แอบๆส่องๆสถานที่ต่างๆไปเรื่อย ใครที่ไปเที่ยวที่นี้ถ้าเกิดไม่ค่อยได้ยินคนพูดไทยหรือไม่ค่อยทักเราเป็นคนไทย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่นี้นักท่องเที่ยวส่วนมากเป็น คนจีนมาเล แล้วก็มีคน มาเลยู บ้างส่วนคนไทยวันแรกที่ไป เราไม่เจอเท่าไหร่นะ
ที่พักที่เราเลือก เป็น Hostel เล็กๆเพิ่งเปิดมาได้ปีกว่าชื่อ Foto Hostel สิ่งที่ตัดสินใจเลือกที่นี้เพราะโลเคชั่นของที่นี้ไม่ไกลตัวเมือง สามารถเดินไปหาของกินได้สบายๆ ช่วงวันที่เราเข้าพัก มีลูกค้าของที่นี้เข้าพักเช่นกัน เป็นกลุ่มทริปครอบครัว และมีเราที่เป็นลูกค้า Work in เพียงคนเดียวที่ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเค้าเลยได้ยึดทั้งห้องกันไป
หลังจากเช็คอินเก็บของเรียบร้อย เราได้เจอกับพี่เจ้าของ Hostel พี่เค้าถ้าและจัดการให้เราเกือบทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถ แพลนออกไปเที่ยว แต่สำหรับวันแรกนี้แค่เดินทางมาถึงก็เหนื่อยแล้ว เลยขอไปกินข้าวร้านที่พี่เค้าแนะนำ ชื่อร้าน “ต้า เหยิน” ซึ่งเราเองก็สั่งตามที่พี่เค้าบอกว่ามาคนเดียว 2 อย่างก็พอ
ใช่ครับสั่งไป 2 อย่าง แค่ ไก่สับเบตง กับ ผักน้ำเบตง แล้วก็ข้าว 1 ถ้วย แถมย้ำเค้าไปด้วยว่า เราทานคนเดียว ของที่เล็กก็พอครับ รอไม่นานนัก เมนูที่สั่งมาวางตรงนี้ เห้ย นี้ที่เล็กหรอ คือเราพยายามกินมากที่สุดแล้ว สรุปคือเหลือ ผักน้ำอีกครึ่งจาน มาว่ากันที่รสชาติกันครับ ตามที่พี่เจ้าของโรงแรมบอก รสชาติแบบของคนเบตง ส่วนตัวเราว่าเราชอบนะ ในส่วนของเนื้อไก่ที่แน่นและนุ่มไม่เหนียว น้ำราดสูตรของเบตงก็อร่อยครับ ไม่หวานเกินกำลังพอดี อาจจะด้วยเป็นคนทานรสไม่จัดอยู่แล้วด้วยมั้ง ส่วนผักน้ำผัดออกมานุ่มดีดูเหมือนมัน แต่ไม่เลี่ยนครับ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จก็เจอฝนทักทายรอบแรกทันทีตกมานิดหน่อยประปราย เลยยืนรอฝนหยุดตรงหน้าร้านทำให้เราเหลือบมองไปเห็นซอยที่เป็นภาพวาด Street Art ของเบตง ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามันคงมีแค่นั้น แต่พี่เจ้าของ Hostel บอกว่ามันมีทั่วเมืองเลยลองเดินดู
สำหรับ ภาพวาด Street Art ของเบตง ไม่ใช่ภาพวาดเก่าที่มีมานานนะครับ แต่เกิดขึ้นเมื่อ ปี 60 นี้เอง ในงาน 111 ปี เล่าขานตำนานเมืองเบตง โดยกลุ่มศิลปินที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ได้แบ่งทีม เพื่อไปแต่งแต้มสีสัน ให้เมืองเบตง ทั้งหมด 11 จุด ทั้งบนผนัง กำแพง ใต้สะพาน และตัวอาคารหลายจุดรอบเมืองเบตง ที่สะท้อนวิถีชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชาวเบตง ซึ่งใครไปเที่ยวลองเดินถ่ายให้ครบทุกจุดนะครับ ตัวเราเท่าที่ไล่เช็ครูป น่าจะไม่ครบ แหะๆ
หลังจากนั้นเราก็กลับมานั่งพักที่ Hostel เพื่อรอเวลาค่ำๆว่าจะออกไปถ่ายรูปไฟช่วงกลางคืน ระหว่างรอได้นั่งคุยกับพี่เจ้าของ Hostel ซึ่งพี่เค้าเป็นกันเองมาก แนะนำแพลนท่องเที่ยวของวันพรุ่งนี้พร้อมจัดเวลาให้เราเรียบร้อย พอฟ้ามืดก็ได้เวลาออกไปถ่ายรูปไฟกลางคืนของที่นี้ แต่ก่อนที่จะออกไปถ่ายเราว่าจะขี่รถไปเติมน้ำมันเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะลุยออกนอกเมือง
จังหวะพอดิบพอดีขนาดที่เรากำลังจะออกจากอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ฝนที่ทักทายเราเมื่อเย็น ตอนนี้ก็กระหน่ำตกอย่างหนักจนเราติดอยู่ในอุโมงออกไปไหนไม่ได้ร่วมกับผู้เคราะห์ร้ายที่เข้ามานั่งพร้อมๆกันได้นั่งเล่นกันอยู่ในอุโมงนานมาก นานจนเราสามารถถ่ายไฟในอุโมงค์ไปมาถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่งคุยนั่งเล่นกับคนในอุโมงซักพักใหญ่ ทำให้รู้สึกว่าคนที่นี้เค้าน่ารักเป็นมิตรยิ้มแย้ม และอารมณ์ดีมากๆ พอฝนหยุดเราก็ได้ภาพเต็มที่เรียบร้อย สำหรับคืนนี้ก็คงจบที่ตรงนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปรอถ่ายทะเลหมอกทะเลหมอกอัยเยอร์เวงให้ทันพระอาทิตย์ขึ้น
***แนะนำสำหรับที่พักแบบ Hostel ครับ
Foto Hostel
Hostel นี้มีด้วยกัน 4 ห้อง รองรับได้ถึง 20 คน จะมากลุ่มหรือมาเดี่ยวก็สบายๆ บรรยากาศเหมือนไปนอนบ้านเพื่อน อยู่ใกล้กลางเมืองเบตงมากเดินเล่นสบาย
สิ่งอำนวยครับสะดวก Wifi แรง ,เครื่องทำน้ำอุ่น ,ห้องนั่งเล่นรวม ,ไมโครเวฟอุ่นอาหารกินเอง มีล็อคเกอร์เหล็กเก็บเครื่องใช้ส่วนตัวให้ทุกเตียงนอน
และที่นี้ไม่ใช่แค่ที่พัก คุณยังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย เพราะทางโฮสเทลได้จัดให้มีจอยทริปสำหรับคนที่มาพักด้วย เรียกว่าคุ้มค่าไปคนเดียวไม่ต้องกลัวเหงา
สัมผัสการพักผ่อนที่โฟโต้โฮสเทลที่ อ.เบตง แห่งนี้ด้วยตัวเอง หากวันใดแวะเวียนมาเบตงมองหาที่พักสบายๆ ชิลๆอยากพบเพื่อนใหม่ๆแลกประสบการณ์ท่องเที่ยว ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ โฟโต้โฮสเทลเลขที่ 39 ถ.รัตนกิจ อ.เบตง จ.ยะลา 95110ID Line : foker906 หรือ 0624151496 โทร : 087-8155906 (ฟก) หรือ 080-5659145 (กานต์)
JupiterEyesBlog
วันพฤหัสที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 16.27 น.