วันนี้ผมขอเป็นตัวแทน น้าเอ๋ อดุลย์  พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยว จ. นครพนม กันบ้างนะครับ.....เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน นับเป็นเมืองชายแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยความสวยงามของทิวทัศน์ มีความหลากหลายของวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ รวมทั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมีพระธาตุพนมเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมือง หลากหลายประเพณี ที่เป็นเสน่ห์ทางวัฒนธรรมและศาสนา ของคนไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ดั่งเช่นคำขวัญ ของจังหวัดนครพนม "พระธาตุพนมค่าล้ำ วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภา งามตาฝั่งโขง จรรโลงวัฒนธรรม เชื่อมโยงอินโดจีน"

สำหรับอุปกรณ์ถ่ายภาพทริปนี้ใช้ Canon 5DMk3 + 16-35 + 24-70 +70-200

เพื่อน ๆ สามารถติดตาม เรื่องเที่ยวทั่วประเทศไทยเพิ่มเติมได้ที่  www.museumthailand.com
แหล่งรวบรวมข้อมูล เรื่องราวประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวไทย ได้เลยครับ

ทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน ทอดตัวยาวเหยียดสุดสายตา เป็นฉากหลังอันงดงามของสายน้ำโขงที่ กั้นกลางระหว่างพรมแดนไทยลาว สายลมเอื่อยๆ ล่องตามลำน้ำเย็นสดชื่น ... นี่คือความประทับใจแรกที่ได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้ “นครพนม    

ก่อนจะหลงใหลไปกับความงดงามของธรรมชาติริมแม่น้ำโขง บริเวณหน้าเมืองนครพนม จนลืมเวลา ผมอยากรู้จักเมืองนครพนมให้ลึกซึ้งขึ้นสักหน่อย จึงขับรถเลาะเลียบริมแม่น้ำโขงขึ้นไปทางทิศเหนือ ตามถนนสุนทรวิจิตร ไม่ไกลนักก็ได้พบอาคารทรงสถาปัตยกรรมตะวันตกสวยงามสะดุดตา ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า)  เดิมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของ พระยาอดุลยเดชสยามเมศวรภัคดีพิริยพาหะ ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก ก่อสร้างระหว่างปี  พ.ศ.  2455-2457  โดยช่างชาวเวียดนาม ชั้นบนและล่างไม่มีเสา และไม่มีการตอกตะปูแม้แต่ดอกเดียว ใช้การเข้าเดือยไม้

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2470  พระยาอดุลยเดชฯ ได้ขายอาคารหลังนี้ให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้เป็นที่พักของผู้ว่าราชการจังหวัด ในราคา 2 หมื่นบาท และเมือวันที่ 12-13 พ.ย. 2498  ในหลวงรัชกาลที่9และสมเด็จพระราชินี  เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ทางจังหวัดจึงจัดให้จวนแห่งนี้เป็นที่ประทับแรม  
    ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน  และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดนครพนม
    พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มีความสวยงามโดดเ่ด่น ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เพราะได้รับอิทธิพลในรูปแบบการก่อสร้างจากฝรั่งเศส ช่วงสมัยสงครามอินโดจีน แม้จะมีอายุที่เก่าแก่มากแล้ว แต่ยังคงรักษาสภาพและความสวยงามต่างๆ ไว้ได้อย่างดีและยังคงความสวยงามจนถึงปัจจุบัน  

ในปัจจุบันปรับปรุงให้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาวนครพนม  และมีนิทรรศการ "ภาพเล่าเรื่อง" ในอดีตของเมืองนครพนม

พอเข้ามาด้านในตัวอาคาร เราจะได้รับรู้กับเรื่องราวมากมายของเมืองนครพนมแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดแสดงภาพถ่ายที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนมทั้งประวัติศาสตร์และเรื่องราวความทรงจำของเมืองนครพนม , หอเกียรติยศพ่อเมือง ย้อนตำนานอาคารแห่งความทรงจำ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมหลังเก่า และภาพถ่ายของผู้ว่าฯ นครพนมตั้งแต่คนแรกถึงคนปัจจุบัน , เรื่องราวความหลากหลายทางวัฒนธรรม การสืบสานประเพณีและเชื่อมสายสัมพันธ์ของผู้คน 2 ฝั่งโขง , ที่สำคัญที่สุด นิทรรศการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งการจัดแสดงห้องที่ประทับเมื่อครั้งเสด็จเมืองนครพนม ในคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน 2498

ในระหว่างเดินชมเรื่องราวต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน ผมเห็นนักเรียนเข้ามาทัศนะศึกษา และแอบได้ยินภาษาพูดที่ฟังดูแปลกหู จึงได้ถามกับเจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ว่าน้องๆเค้าพูดภาษาอะไรกันครับ ฟังดูบางคำก็คล้ายๆภาษาอีสาน แต่ไม่ใช่ เจ้าหน้าที่ผู้ใจดีก็ไขข้อข้องใจให้ผมได้กระจ่างว่า นั่นคือ”ภาษาผู้ไทย” เพราะเด็กนักเรียนกลุ่มนี้มาจากอำเภอเรณูนคร จึงถือเป็นแดนดินถิ่นผู้ไทย เจ้าหน้าที่ผู้ใจดีนั้นยังได้แนะนำผมเพิ่มเติมว่า หากสนใจหรืออยากรู้เรื่องราวของผู้คนชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดนครพนมซึ่งมีอยู่หลากหลาย ผมควรไปเยี่ยมชม หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี ผมไม่รอช้าชักอยากจะรู้เสียแล้วว่า “ผู้ไทยคือใคร” จึงรีบถามเส้นทางและไปต่อทันที

ระหว่างย้อนกลับตามเส้นทางเลียบริมแม่น้ำโขง ผมอดไม่ได้ที่จะแวะเช็คอิน ณ แลนด์มาร์คของจังหวัดนครพนม “จุดชมวิวพญาศรีสัตนาคราช” ซึ่งตระหง่านงามด้วยประติมากรรมพญานาค 7 เศียร ตั้งอยู่หน้าเมืองนครพนมริมแม่น้ำโขงท่ามกลางทิวทัศน์งดงาม

เยื้อง ๆ กันไม่ไกล ผมเหลือบไปเห็นป้ายร้านกาแฟ Coffee Wings โดดเด่นสะดุดตา เลยขอแวะจิบกาแฟและเติมพลังด้วยอาหารว่างเบาๆ สักหน่อย ก้าวแรกที่เข้ามาในร้านผมก็เห็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆ มากมายในร้าน ที่นี่คงเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาวของนครพนม

ว่าแล้วมาดูเมนูกันดีกว่า กาแฟลัตเต้ร้อน กับฮันนี่โทสต์ ขนมปังหนานุ่มชุ่มเนย เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมไอศครีมวานิลลาวิปครีมหอมมัน และชิ้นกล้วยหอม โรยหน้าด้วยครัมเบิ้ลกรอบมันหอมเนย ตบท้ายด้วย เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Chicken Wings ปีกไก่ทอดราดซอสน้ำผึ้งผสมกระเทียมหวานหอม

รองท้องจนอิ่ม เพื่อเดินทางไปเรื่องราวของผู้คนชาติพันธุ์และเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ที่ หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี
    "หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี” อยู่ห่างจากใจกลางเมืองนครพนม เพียง 7 กม. ตั้งอยู่ที่ ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม เปิดทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ 9.00 – 17.00 น. เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น. ที่นี่มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 20 บาท ส่วนผู้สูงอายุเข้าชมฟรีครับ ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็มาถึงที่นี่

หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ของชาวนครพนม โดยจุดที่สร้างอดีตเคยเป็นที่ประทับแรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชน ทหาร และตำรวจชายแดน ของจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2505 โดยเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมา ของพระราชวงศ์จักรี ประกอบไปด้วยพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ภาพวาดสีน้ำมันของ 9 รัชกาล นิทรรศการพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดนครพนม  พร้อมพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ  

ชั้นสองของอาคารจะมีนิทรรศการจัดแสดงเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของแต่ละชาติพันธุ์ พื้นเมืองของจังหวัดนครพนม ซึ่งมีถึง 8 เผ่า 2 เชื้อชาติ จำลองชุดประจำของแต่ละชนเผ่า  ภาพถ่ายของงานบุญประเพณี วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ทีนี้ผมก็รู้แล้วแหละครับว่า คนผู้ไทยคือใครแถมยังได้รู้จัก ไทยโส้ ไทยแสก และชาวไทยชาติพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยครับ  

นอกจากนี้ที่นี่ยังรวมภาพพระธาตุประจำวันเกิด ทั้ง 7 วันที่อยู่ในจังหวัดนครพนมให้เราได้รู้ว่าเกิดวันไหนต้องไปไหว้พระธาตุอะไร   แถมยังมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว ผู้สนใจ อีกด้วย

ไม่ไกลกันนักกับหอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี คือ อาคารขนาดใหญ่อีกหลัง  นั่นคือ อาคารพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืด แหล่งรวมปลาน้ำจืดของแม่น้ำโขง แม่น้ำสงครามและแม่น้ำก่ำ กว่า 96 ชนิด ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ไฮไลท์ของที่นี่อุโมงค์ปลาขนาดใหญ่ ให้เรา สามารถชมความเคลื่อนไหวของปลา เหมือนเราได้ลงไปแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำโขงร่วมกับปลาตัวโต ๆ จริง ๆ นอกจากนี้ภายในอาคารยังประกอบด้วย จุดนิทรรศการเกี่ยวกับปลาแม่น้ำโขงหลากหลายสายพันธุ์น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่นี่มีห้องโสตทัศนศึกษาสำหรับฉายวีดีทัศน์ที่ทันสมัย และมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก ให้เราได้จับจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไปฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย จึงนับเป็นอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืดที่ทันสมัยซึ่งนอกจากจะให้ความรู้แล้วยังให้ความเพลิดเพลินอีกด้วย

ติดกับอาคารพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืด คือศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ภายนอกมีฐานต่าง ๆ เหมาะกับเด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ ในการทัศนศึกษา เช่น ฐานท้าปั่นนาวาล่าขุมทรัพย์วิทย์ ,ฐานเศรษฐกิจพอเพียง 1 ไร่ 1 แสน ,ฐานตามรอยพระยุคลบาท (ฝนหลวง) ,ฐานภาวะโลกร้อน โลกสวยด้วยมือเรา

ใครจะคิดล่ะครับว่า แค่ความอยากรู้ว่าคนผู้ไทยคือใคร จะทำให้ผมได้ความรู้เป็นของแถม อีกเยอะแยะมากมายในคราวเดียวครบครันเต็มอิ่มขนาดนี้เรียกว่าคุ้มสุด ๆ จริง ๆ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ จากความรู้ที่ได้ และทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษคือ เรื่องราวของคนเวียดนาม ปัจจุบันต้องเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” ซึ่งเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ของจังหวัดนครพนม  และมีอดีตความเป็นมาผูกพันกับผืนแผ่นดินไทยมายาวนาน โดยมีอดีตผู้นำประเทศเวียดนามผู้ยิ่งใหญ่ “โฮจิมินห์” เคยอาศัยตั้งรกรากอยู่ที่นี่

จากนั้นผมใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึง บ้านนาจอก หรือบ้านลุงโฮ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ได้มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ครั้งหนึ่งอดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม “โฮจิมินห์” ได้เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในราชอาณาจักรไทย เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงคราม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2467–2474 เนื่องจากอยู่ในช่วงระหว่างสงครามที่ต้องหนีออกมาจากเวียดนาม ลุงโฮและเพื่อนสนิทร่วมอุดมการณ์ ได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครพนม โดยต่างคนจึงได้ต่างหลบหนีแยกย้ายกันไปหลบภัยต่างถิ่น ก่อนมาถึงนครพนมลุงโฮเองก็ได้เดินทางโดยเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยมา รวมทั้งได้เปลี่ยนชื่อเรียกเพื่อเป็นการซ่อนตัวและไม่ให้ผู้ใดจำได้  

ปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาและเป็นสถานที่แสดงประวัติเกี่ยวกับลุงโฮ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวการใช้ชีวิตของลุงโฮที่ประเทศไทย  ในส่วนของบริเวณภายในบ้านนั้นเองจะมีต้นไม้นานาชนิดที่ลุงโฮได้ปลูกไว้ ได้แก่ ต้นมะพร้าว หมาก พลู กล้วย และชา ซึ่งมีบรรยากาศอันร่มรื่น รวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้ของลุงโฮ อาทิเช่น โต๊ะทำงาน และเครื่องตำข้าวที่ลุงโฮใช้ในการตำข้าว  หมู่บ้านนาจอกแห่งนี้ได้รับการจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม โดยได้มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติการทำงานและเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของท่านโฮจิมินห์ ห่างไปจากบ้านลุงโฮประมาณ 200 เมตร จะมีสถาปัตยกรรมตามแบบเวียดนามสวยงามสง่า ที่นั่นคืออนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ซึ่งเข้าไปแล้วเสมือนได้ไปเที่ยวเวียดนามจริงๆ เพราะมีบริการให้เช่าเครื่องแต่งกายชุดประจำเวียดนามเพื่อมาถ่ายรูปสวย ๆ กันอีกด้วย

ใกล้จะเย็นย่ำ แดดคล้อย ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่า สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3  ซึ่งเชื่อมระหว่างจังหวัดนครพนมกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว เป็นสะพานที่สวยที่สุด โดยเฉพาะช่วงแสงสุดท้าย จึงไม่ลังเลที่จะไปเก็บความทรงจำดี ๆ กับแสงสุดท้ายที่นี่ จากบ้านหมู่บ้านมิตรภาพไทยเวียดนาม บ้านนาจอก ผมมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองนครพนมอีกครั้ง และแยกกออกทางเส้นบายพาสทางไป อ.ท่าอุเทน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ก็ได้เห็นสะพานมิตรภาพที่มีเสาสะพานออกแบบสวยงามปลียอดรูปทรง คล้ายองค์พระธาตุพนมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครพนม ตั้งตระหง่านทอดตัวอย่างสงบข้ามลำน้ำโขง มีทิวเขาหินปูนอันสลับซับซ้อนของแขวงคำม่วน สปป.ลาว เป็นฉากหลัง ท่ามกลางแสงสีของท้องฟ้าที่ค่อย ๆเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ นับเป็นภาพอันน่าประทับใจของวัน

เหน็ดเหนื่อยกับการตระเวนเก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับเมืองนครพนมมาทั้งวัน ท้องเริ่มร้องเตือนอีกครั้ง ให้สมองและสายตาสอดส่าย หาร้านที่ถูกใจ เพื่อพักคลายให้หายเหนื่อยกับอาหารอร่อย ๆ

De Café Bar & Bistro ร้านอาหารบรรยากาศดีริมแม่น้ำโขง ใจกลางเมืองนครพนม ร้านสวยตกแต่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์สีเหลืองสดใสตัดกับตัวอักษรสีดำ เป็นร้านที่ผมเลือกที่พักผ่อนและอิ่มอร่อยทั้งบรรยากาศและรสชาดอาหาร ในมื้อค่ำแสนพิเศษในเมืองนครพนม ร้านนี้จัดได้ว่ามีอาหารหลากหลายสไตล์ โดดเด่นด้วยอาหารรสชาดจัดจ้านโดนใจ ยำสามกรอบ ปลาหมึกกรอบ กระเพาะปลาทอด คลุกเคล้าด้วยน้ำยำรสชาดจัดจ้าน ทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวาน ปูผัดพริกเกลือ กรรเชียงปูทอดผัดกับพริกเกลือกรุ่นหอมกลิ่นสมุนไพร ตบท้ายด้วย ซุปเปอร์ตีนไก่ ตีนไก่ตุ๋นจนเปื่อย น้ำซุปแซ่บสะใจ

ถึงจะอิ่มอร่อยจนเต็มที่กับมื้อค่ำ แต่มานครพนมทั้งทีถ้าไม่ได้ “ปากหม้อ” เดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง มีเจ้าถิ่นแนะนำว่า “ร้านข้าวเกรียบปากหม้อศูนย์หนึ่ง” ข้างร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขากลางเมืองนครพนม อร่อยมาก ผมจึงอดไม่ได้ที่จะแวะชิม แป้งปากหม้อบางใสนุ่มเหนียวใส่ไส้ด้วยหมูสับผัดกับต้นหอม กินกับน้ำจิ้มเผ็ดหวาน  แต่ถ้าเราสั่ง “ข้าวเกรียบปากหม้อ เราจะได้แผ่นข้าวเกรียบกรอบ ๆ ห่ออยู่ด้านนอกของแป้งบางใส และไส้รสชาติอร่อย นอกจากนั้นยังมีปากหม้อใส่ไข่ ปากหม้อไข่ดาว ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นตามสไตล์คนเวียดนาม

ดูเหมือนว่าจะกินจนอิ่มเกินไปละ พอดีกับเป็นวันศุกร์ ที่บริเวณหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ มีการจัดถนนคนเดินทุกวันศุกร์ เสาร์  ผมจึงเลือกไปเดินย่อยอาหารสักหน่อย ถนนสายเล็กเลียบริมโขงระยะไม่ไกล เดินสบายอากาศดีมีสินค้าหลากหลายทั้งสินค้าแฟชั่นและสินค้าพื้นเมือง และอาหารการกินเรียงรายสร้างสีสันให้กับทั้งคนนครพนม และคนแปลกถิ่นอย่างผมถือว่าเป็นการปิดทริป 1 วันในนครพนมได้สุดประทับใจ

ของแถมท้ายรีวิว อยากเชิญทุกท่าน มาเที่ยวเทศกาล งานประเพณีที่ยิ่งใหญ่  ของจังหวัดนครพนม ถ้าสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ทุกปีในเทศกาลวันออกพรรษา ที่นี่จะมีประเพณีไหลเรือไฟที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เรือไฟสุดอลังการกว่า 20 ลำจะล่องลอยเหนือแม่น้ำโขง เป็นภาพที่สุดประทับใจ....ดูรีวิวนี้จบแล้ว รีบจองตั๋วเดินทาง และ โรงแรมล่วงหน้าได้เลยครับ  ใกล้วันเทศกาล ห้องแน่นทุกปี รับประกันความประทับใจจริง ๆ  

ประเพณีไหลเรือไฟที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เรือไฟสุดอลังการกว่า 20 ลำจะล่องลอยเหนือแม่น้ำโขง...ออกพรรษาปีนี้ไม่ควรพลาดนะครับ

และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องห้ามพลาดในการมาเยือนนครพนม นั่นคือการได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของ ชาวผู้ไทย โดยเฉพาะที่ อำเภอเรณูนคร ต้องหาโอกาสไปชมการการฟ้อนผู้ไทยที่งดงาม มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยท่วงท่ารำ พร้อมสักการะองค์พระธาตุเรณูอันศักดิ์สิทธิ์

และเหนือสิ่งอื่นใด การได้มากราบพระธาตุพนม พระบรมธาตุอันเก่าแก่อายุกว่าพันปี ซึ่งเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของประชาชนสองฝั่งโขง คือสิริมงคลสูงสุด ที่ทุกคนเมื่อได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้พึงกระทำ และที่นี่คือนครแห่งความสุข “นครพนม”

ขอกล่าวคำอำลาด้วยภาพ ครอบครัวช้างน้อย จากด่านชายแดน – แขวงท่าแขก สปป. ลาว ครับ...แล้วเราจะพบกันใหม่ครับ...ขอให้ทุกท่านโชคดี

ความคิดเห็น