เข้าสู่หน้าฝนที่ฝนตกกระหน่ำเป็นอุปสรรคในการเที่ยวอีกครั้ง เลยของัดรีวิวเก่าเก็บช่วงหน้าฝนปีที่แล้ว

ออกมาปัดฝุ่นใหม่ เพราะฉะนั้น ถ้าเจอวันที่ในรีวิวเป็นเดือนสิงหาคม ไม่ต้องตกใจนะ เพราะเป็นของ "ปีที่แล้ว"จ้า

ด้วยความที่ทักษะภาษาอังกฤษต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เงินในกระเป๋านี่ยิ่งแล้วใหญ่ แต่อยากไปเที่ยวต่างประเทศไง

กางแผนที่โลกแล้วก็เหลือแค่แถบอาเซียนเนี่ยแหละ ไปที่ไหนดีล่ะ ???

ปีนังละกัน รีวิวเยอะ หาข้อมูลง่ายดี

เมื่อความอยากไปต่างประเทศแต่ราคาเหมือนเที่ยวเมืองไทยพุ่งพล่าน

ประกอบกับพี่สิงโตปล่อยตั๋วโปรโมชั่นไปหาดใหญ่ราคาถูกยิ่งกว่าบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างเกาหลี

มาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ เราจึงไม่รอช้าชวนน้องชายไปเที่ยวตามประสาพี่น้องกันครั้งแรกในชีวิต

ทริปนี้ มีแผนทุกอย่างพร้อม แบบที่มั่นใจมากว่าทริปนี้จะราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยไปเที่ยวมา

แต่พอถึงเวลาจริงๆ ข้อมูลที่เตรียมมาก็ไม่พอ ลืมไปหลายอย่าง พลาดที่เที่ยวในหลายที่

ไม่ได้กินครบทุกอย่าง ถ่ายรูปบ้างไม่ถ่ายบ้างตามอารมณ์ แล้วก็เจออะไรบังเอิญในหลายๆที่

เพราะฉะนั้น ทริปนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการข้อมูลในการท่องเที่ยวแบบละเอียดยิบนะจ๊ะ

“ออกไปหลงทางกันเถอะ"


DAY1 : 5 สิงหาคม 2558

เราบินไฟลท์ 09.50 น. เพราะขี้เกียจตื่นแต่เช้า เป็นไงล่ะ เลือดนักเดินทางพุ่งปรี๊ดมั้ย?

แต่ก็รีบมาสนามบินตั้งแต่ยังไม่ 9 โมง เพราะเข็ดกับพี่สิงโตคราวก่อนที่เกทไกลลิบจนต้องวิ่ง 100 เมตร

เป็นยูเซ็ม โบลท์ ไปให้ทัน Final Call จนหอบลิ้นห้อย

ใกล้ถึงหาดใหญ่แล้วก็จะเจอวิวภูเขาและน้ำทะเลแบบนี้

วิวนี้เรานั่งที่นั่งแถวที่ 33 เพราะอยากได้ปลายปีก ทอดกรอบๆ จิ้มน้ำจิ้มไก่ ผิด!!! เพราะอยากได้ปลายปีก

ไม่ให้วิวมันโล่งไป แต่ต้องหลบขอบหน้าต่างนิดนึง ขากลับเลยจองแถว 34 แล้วก็กะว่านี่น่าจะเป็นที่ประจำในไฟลท์อื่นๆด้วย

มาถึงสนามบินหาดใหญ่ช้ากว่าเวลาที่กำหนด จากแผนที่จะเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ราคาประหยัด

นั่งรถสองแถวไปขึ้นรถตู้ เลยต้องนั่งแท็กซี่เพื่อไปให้ทันรถตู้รอบ 12.30 น. ค่าแท็กซี่

เหมาไปในตัวเมืองหาดใหญ่ 250 บาท อะ อ้าวว มิเตอร์ล่ะพี่ มีมิเตอร์ทำไม

จากหาดใหญ่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง ผ่าน ตม. เข้ามาเลย์ ขึ้นทางด่วน หลับแล้วหลับอีก

จนในที่สุดก็มาถึงสะพานนี้ แปลว่าจุดหมายปลายทางเราอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

พี่รถตู้วนส่งทุกคน จนถึงคิวสุดท้ายเป็นเรา ที่โรงแรม Tune Downtown Penang จากนั้นก็กดลิฟท์ขึ้นไปที่ล็อบบี้ ชั้น 2

เรา : ยื่นพาสปอร์ตพร้อมใบจองที่ปริ๊นมาจากอีเมล

พนักงาน : @#$%^&*()_ ฟอ ตู ไน้

เรา : คะ? (คะทำไมวะ) อะ เอ่อ Yes!

รับกุญแจแล้วก็เดินจากไปด้วยความงง เอาล่ะเหวย เปิดทริปมาก็เจอแบบนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่จะเป็นยังไงเนี่ย

คือนี่โง่ภาษาอังกฤษก็จริง แต่ก็ฟังซีรี่ส์ฝรั่งออกบ้าง ฟังข่าวภาษาอังกฤษพอเข้าใจ

แต่เจอสําเนียงและสปีดการพูดของพนักงานโรงแรมเข้าไป นอยไปครึ่งวันอะ บอกเลย

ห้องที่เราจองเป็นห้อง เตียงคู่ ไม่มีทีวี ไม่มีหน้าต่าง ไม่มี Wi-fi มีพัดลม ซื้อแอร์เพิ่ม 24 ชั่วโมง + ของใช้ในห้องน้ํา

ในราคา 2 คืน 148 ริงกิต

*** เนื่องจากห้องมันแคบมาก ยืนถ่ายนี่แทบจะสิงผนังห้อง เราเลยต้องถ่ายหลายรูปมาต่อกัน ซึ่งก็ต่อไม่เนียนด้วย 55555

ห้องน้ำจะเป็นประตูกระจกฝ้า แต่ก็ไม่ได้ใสสว่างฟ้าแจงจางปางอะไรขนาดนั้น

เอาเป็นว่าไม่ได้วาบหวิวละกัน มีไดร์เป่าผมให้ แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง ส่วนอาบน้ำก็เป็น Rain Shower

หลายคนอาจชอบ แต่เราสารภาพเลยว่าไม่ค่อยถูกชะตากับนางเท่าไหร่ ไอ้น้ำแรงมันก็ดีอยู่หรอก แต่ห้องน้ำมันแคบ

อาบยังไงโดยไม่ใส่หมวกคลุมผมแล้วผมไม่เปียก ไม่สามารถจริงๆ

**รูปนี้ถ่ายตอนจะ Check out แล้ว สภาพห้องเลยเละอย่างที่เห็น

เอาข้าวของกองๆไว้บนเตียงแล้ว ก็ออกปฎิบัติภารกิจแรกของเราเลยดีกว่า นั่นคือ หาของกิน!!!

เรา : มันมีโต้รุ่งตรงโรงแรมซันเวย์เว้ย ของกินเพียบ พี่อ่านรีวิวมา

เป็นงายยยยยยย....เปิดทริปมาต้องแกรนด์ ต้องมั่นใจ เราหาข้อมูลมาอย่างดี มาเที่ยวต่างประเทศไม่ใช่อุปสรรค

เราเป็นพี่ ต้องเป็นผู้นําให้น้อง

ตัดภาพไป......

เราสองคนยืนมองป้ายโรงแรมซันเวย์ กับเบื้องหลังที่เป็นถนนว่างเปล่า ไหนโต้รุ่ง ไหนของกินนนนนนน!!!

ตอนอ่านรีวิวก็ไม่ได้เช็คว่ามันเปิดกี่โมง ปิดวันไหน แต่ตอนนี้ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันโล่งมาก

และเงียบมากจนอยากจะนั่งวิปัสสนา ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ 6 โมงเย็นแล้ว เอาไงต่อล่ะทีนี่ ซิมก็ไม่ซื้อกัน เพราะงก

ตั้งใจไว้แล้วว่าทริปนี้จะไม่ซื้อซิม เสิชหาข้อมูลไปต่อไม่ถูก เดินไปเรื่อยๆก่อนละกัน ค่อยว่ากันอีกที

ถนนเส้นนี้จะมีร้านเค้กอยู่ร้านนึง คนขายดี๊ดี ยิ้มหวานทะลุกระจกออกมานอกร้าน นี่มัวแต่ตื่นเต้น

จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายทะลุกระจกไปที่เคาท์เตอร์ข้างในสุดของร้านก็กะไรอยู่ เลยได้แต่หันไปบอกน้องชาย

ซึ่งมันหันมามองหน้าเราอย่างรู้ทันอยู่ก่อนแล้วว่าอีพี่สาวต้องมองแน่ๆ สมกับเป็นน้องชั้นจริงๆ

ส่วนชื่อร้าน จำไม่ได้ค่ะ ถ้าใครไปฝากเดินหาตั้งแต่แมคโดนัลด์ถึงสะพานลอย แล้วจดชื่อร้านหรือถ่ายรูปมาฝากหน่อยนะ 5555

เอาล่ะ ได้เวลาเดินต่อ หยิบข้อมูลที่เตรียมมาอย่างดี!! มีทุกอย่าง ยกเว้น......สายรถเมล์

เนื่องจากแผน A ล่ม เราเลยต้องใช้แผน B คือไปกินข้าวเย็นที่ Red Garden กัน

ว่าแต่... มันไปยังไงล่ะ ก็บอกแล้วไงว่ามีแต่รายละเอียดสถานที่ การเดินทางไม่มี งั้นก็เดินไปเรื่อยๆละกัน ถือว่าชมเมือง

เค้าว่ามาปีนัง ห้ามพลาด “ชาก๋วยเตี๋ยว" เราสั่งมาจานเดียวในราคา 5.8 ริงกิต ของน้องชาย

เพราะเราเพิ่งอิ่มโอนิกิริที่ตุนมาจาก 7-11 ที่ดอนเมือง

เฮลโล๊ววววว นี่คืออะไร เส้นผัดแฉะๆ นี่ขึ้นชื่อแล้วหลอ? คุณหลอกดาววว

กินเสร็จฝนก็เทลงมา ก็วิ่ง เดิน ข้าม กระโดด หลบฝน เข้าซอกโน้น ออกตึกนี้ตึกนี้

เหมือนเล่นเกมส์ฮิวโก้กับพี่โม้นายังไงยังงั้น นอกจากไม่มีข้อมูลการเดินทาง.....ร่มก็ไม่มีนะจ๊ะ

เดินจนไปเจอกลุ่มคนไทย เลยแอบย่องตามเค้าไปจนมาโผล่ 7-11 ถนนจูเลีย

เมื่อฝนที่พรําเริ่มหยุดลง สายตาเราก็มองไปเห็นอะไรบางอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม สวรรค์ทรงโปรด

ราวกับเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เห้ย!!! นั่นมัน Lok Lok เราพุ่งตัวไปหน้าร้านด้วยความเร็วสูง

Lok Lok จะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก ลูกชิ้น เต้าหู้ หลายๆอย่างเสียบไม้

โดยไม้แต่ละสีราคาก็จะแตกต่างกันออกไป หยิบมาลวกในหม้อ แล้วก็ราดน้ําจิ้ม

น้ําจิ้มจะมีอยู่ 3 อย่าง คือสีดําๆเข้มๆ คืออะไรไม่รู้ ดูไม่มีใครแตะต้อง เราก็เลยไม่กิน

แล้วก็มีสีแดง อันนี้จะออกเผ็ดๆนิดนึง คือนิดเดียวจริงๆนะ เหมือนพริกเผา

แล้วก็น้ําจิ้มหมูสะเต๊ะ เรากินสีแดงกับหมูสะเต๊ะผสมกัน อร่อยดี

เราหยิบแล้วจุ่มกันสนุกสนาน เพลิดเพลินราวกับวิ่งเล่นในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ พอคิดตังค์เท่านั้นแหละ

13.2 ริงกิต เอิ่ม.... จริงๆมันก็ไม่แพง.....มั้ง ถ้าเทียบกับลูกชิ้นปิ้งในกรุงเทพ

แต่เราสองคนเป็นเด็กที่เกิดและโตที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอิสานตอนใต้ที่มีทีมฟุตบอลเสื้อสีน้ําเงิน

และมีร้านลูกชิ้นหมูทอดกระจายอยู่แทบทุกเสาไฟฟ้า โดยที่คุณสามารถกําแบงค์ 20 ไปก็อิ่มได้

ก็บอกเค้าไปสิว่าแกเป็นคนบุรีรัมย์!!! เออ นั่นแหละ พอมากินอะไรไม้ๆแบบนี้ในราคาคนละ 60 บาท

ก็ตกใจเบาๆ ซึ่งจริงๆ จะเอา Lok Lok ของมาเลย์มาเทียบกับลูกชิ้นบ้านเราทำไมก็ไม่รู้

แต่ถามว่ากินอีกมั้ย ทุกวันเลยจ้าาาาาาาาา

แผนวันแรกตั้งใจแค่มาถึงตอนเย็นแล้วหาอะไรกิน ก็สําเร็จลุล่วงไปแล้วกลับโรงแรมเถอะ

นี่ขนาดแพลนไว้ว่า วันแรกมาถึงเย็นๆ ไปหาไรกิน กลับห้องนอนเก็บแรงไว้เที่ยววันรุ่งขึ้นนะ ไปๆมาๆก็เดินไป

ตั้งแต่ 6 โมงถึง 5 ทุ่ม

“เริ่มเห็นแววทริปนี้แล้วรึยัง"


DAY2 : 6 สิงหาคม 2558


วันเที่ยวมาถึงแล้ว จะตื่นแต่เช้า จะเที่ยวให้ยับเลย!!!!

หราาาาาาาา กว่าจะตื่น อาบน้ําแต่งตัวเสร็จก็ 9 โมงกว่าแล้ว พออาบน้ํา แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฝนก็เทลงมา

แพลนที่จะไปกินติ่มซํายามเช้าก็พังครืนลงอีกครั้ง งั้นกินใกล้ๆก็ได้ ห้าง New World Park มีศูนย์อาหารกับ

Old Town White Coffee และ Starbuck อย่างหลังตัดทิ้งไปได้เลย คนระดับเรา ไม่(มีปัญญา)กินของพวกนี้หรอก

น้องชายเราสั่งเซท Nasi Lamak กับกาแฟ White Coffee มา

น้องชายบอกว่ากาแฟอร่อยดี แต่เบาไปนิด เพราะปกติมันกินกาแฟเข้มมาก ส่วนเรา กินกาแฟไม่ได้

งานนี้เลยขอบาย แอลไม่แพ้ แพ้คาเฟอีนจ้า หมั่นไส้ตัวเองในระดับนึง

อันนี้ Nasi Lemak เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย!!! ตีโต๊ะรัวๆ ซอยเท้าถี่ๆ มันอร่อยมากเว้ยแกกกกกกกกกกก

เราไม่เคยกินมาก่อน ไอ้พริกเผาแดงๆมันอร่อยมาก นี่อยากได้เป็นกระปุกใหญ่ๆซื้อกลับมาคลุกข้าวกินที่เมืองไทยเลย

ที่ไหนมีขายแจ้งเบาะแสหน่อย หรือมีร้านอาหารมาเลย์ในกรุงเทพเด็ดๆช่วยชี้เป้าให้ด้วย จะกราบงามๆ

ส่วนของเราสั่ง Sadine อะไรซักอย่าง กับ ชามะนาว ข้างในจะเป็นปลาซาดีนกับหอมแดงแล้วคลุกกับพริกเผา

น่าจะเป็นอย่างเดียวกับใน Nasi Lamak อันนี้ก็ดีงามมาก กลับมาว่าจะลองไปซื้อแป้งโรตี มากินกับปลากระป๋องบ้าง

รวมราคามื้อนี้อยู่ที่ 23.4 ริงกิต ถือว่าไม่แพงนะ เพราะร้านข้างนอกก็ตกจานละประมาณ 5-7 ริงกิต

รวมน้ำอีกก็เกือบๆ 10 ริงกิต

กว่าฝนจะหยุดก็ 11 โมงแล้ว แพลนวันนี้คือเดินเที่ยวรอบๆจอร์จทาวน์ นั่งเรือข้ามไป- กลับ Butterworth

แล้วตอนเย็นก็ไปปีนังฮิลล์กัน ความดีงามพระรามเก้าของที่นี่อีกอย่างคือ มีรถเมล์ฟรี

“รถเมล์ฟรี นั่งสบาย จอดตรงป้าย ไม่ทิ้งไว้กลางทาง"

แต่คันนี้ไม่ฟรีนะ ถ้ารถฟรีจะเขียนว่า CAT

จุดหมายปลายทางของเราคือ ป้าย 15 เพื่อไปเริ่มต้นเดินเที่ยวกันที่มัสยิด Kapitan Keling หรืออยากไปเที่ยวที่อื่น

ในรถก็จะมีบอกหมดว่า แต่ละป้ายมีอะไรเที่ยวบ้าง อยากให้รถเมล์ไทยมีแบบนี้บ้าง ที่สำคัญรถเมล์ฟรีที่นี่ก็มีแอร์จ้าาาา

แต่.....หลงอีกแล้ว หลงเป็นรอบที่ร้อยล้าน เดินวนไปวนมา จากผู้เชี่ยวชาญเส้นทางในเมืองไทยถนนเส้นไหนไป

ไหน ทะลุซอยอะไรรู้หมด มาที่นี่เดินซ้ำทางเดิม 3 รอบก็จำไม่ได้ ทางมันไม่ได้มีอะไรยากนะ ผิดที่คนค่ะ

จากที่วางแผนว่าจะมาเก็บ Street Art วันที่ 3 ไหนๆผ่านแล้วก็ถ่ายไปเลยละกัน

เดินไปจนเจอรูปยอดนิยม สงสัยรูปนี้จะนิยมจริง เพราะด้านหลังที่เรายืน มีร้านของที่ระลึกมาวางขายด้วย

ป้ายนิทรรศการอะไรซักอย่าง ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปดูอีกนั่นแหละ รู้สึกอาทิตย์หลังจากที่เรากลับมา

จะมีนิทรรศการหลายอย่างในปีนังเลย เสียดาย

ตอนนี้มัสยิดที่ตั้งใจมาถ่ายก็ลืมไปเลย เปลี่ยนแผนมาเดินถ่าย Street Art ไปเรื่อยๆดีกว่า

บอกแล้วไง ทริปนี้แหกแผนตลอด

Hop On - Hop Off ไม่รู้ราคาและรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น เพราะดูจากแดดแล้ว จ้างให้ก็ไม่นั่งหรอก

หลังจากเดินอ้อมโลก ในที่สุดก็เจอมัสยิด ซึ่งงงงง อยู่ซ้ายมือของป้ายรถเมล์ ที่เราเดินไปขวามือ

แล้วก็วนเป็นวงกลมหนึ่งรอบถ้วน ดี๊ดี

“ร้อนว่ะ ไป City Hall เลยปะ"

ความตั้งใจจะมาเดินถ่ายรูปอย่างแน่วแน่ต้องยอมแพ้ให้กับพี่แดด ขนาดเราใส่หมวก แว่นกันแดด

มีพัดลมแบบพกพาที่หอบหิ้วมาจากสําเพ็งก็เอาไม่อยู่ คือมันร้อนมากจริงๆ แดดเผาวัวตายควายล้ม

ร้อนจนต้องร้องขอชีวิต เหงื่อนี่ไหลจนอยากจะสร้างฝายเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง โบสถ์เอย วัดเอย

ที่ตั้งใจจะมาถ่ายรูปตอนนี้ไม่สนละ ขอขึ้นรถเมล์แอร์เย็นๆก่อนละกัน

แต่!!! แต่อีกแล้ว แปลว่าอะไร? แปลว่าหลงอีกแล้ว นั่งมอง City Hall ผ่านกระจกรถเมล์ไปต่อหน้าต่อตา

น้องชายหันมามองตาปริบๆ ด้วยความที่เราเป็นพี่สาวที่วางแผนทริปมาทั้งหมด เลยเก๊กหน้าให้นิ่งที่สุด

แล้วบอกน้องไปเท่ๆว่า “เฮ้ย!! เดี๋ยวลงป้ายหน้าก็ได้"

ธนาคาร Standard Chartered...... นครธน ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทําไมเวลาเห็นคําว่า Standard Chartered

สมองมันจะสั่งการคําว่า นครธน ตามท้ายมาด้วยเสมอ

ย่านนี้จะเหมือนเป็นศูนย์ราชการและสํานักงานต่างๆ เราชอบตรงที่จอร์จทาวน์มีความเป็นเมือง

ที่ยังคงอนุรักษ์สิ่งเก่าๆไว้ ไม่ใช่อนุรักษ์แต่คนในท้องที่อยู่ไม่ได้ เมืองไม่พัฒนาไปไหน แต่ที่นี่ความเป็นเมืองยุคใหม่

มันอยู่กับสิ่งเก่าๆได้อย่างลงตัว ทุกคนยังขับรถไปทํางานทุกเช้าตามปกติ ในขณะที่นักท่องเที่ยวก็เดินชมเมืองเก่าๆ

ที่เค้าใช้อยู่อาศัย หรือทํางานกันจริงๆ

เดินมาจนถึง Chew Jetty หมู่บ้านประมงที่เค้าเคลมกันว่าเก่าแก่ คือมันควรจะเก่าแก่ไง

แต่ที่นี่ดูเซ็ทอัพที่สุดในบรรดาที่ท่องเที่ยวทั้งหมดแล้ว เราเดินดูแบบผ่านๆ เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ

ส่วนตัวคิดว่าเกาะเกร็ดน่าเที่ยวกว่า!!!

ดูจากแผนที่เหมือนที่นี่จะใหญ่มาก แต่พอมาจริงๆ ไม่มีอะไรเลย มีร้านน้ำมะพร้าว ไอติมทุกเรียน

แล้วก็ร้านของฝากอยู่ 3-4 ร้าน

จุดหมายต่อไปคือขึ้นเรือเฟอรี่ข้ามไปยัง Butteworth ค่าเรือจากฝั่งจอร์จทาวน์ข้ามไปฟรี!!! แต่ข้ามกลับมา 1.2 ริงกิต

แถมท่าเรือมี Free Wifi ความเร็วต่ำให้เล่นด้วยนะเออ

ข้ามมาฝั่ง Butterworth เพิ่งเคยมาเห็นตัวเป็นๆ ปกติเห็นแต่ชื่อตอนอยู่บนรถเมล์ที่จอดให้รถไฟผ่านตรงประดิพัทธ์

ไอ้เราก็มโนไว้ดิบดีว่ามีรถไฟจากบ้านเรามาถึงที่นี่ มันต้องเจริญมากแน่ๆ แต่พอไปถึง ก็พบกับความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น

มันมีแค่ท่าเรือ ท่ารถ สถานีรถไฟแค่นั้นจริงๆ

กลับเหอะ ถือซะว่านั่งเรือพักเท้าที่แสนระบมกับให้ลมตีหน้าเพลินๆละกัน

มาถึงไฮไลท์ของทริปนี้ “Penang Hill หรือ Bukit Bendara" ที่เราตั้งใจตั้งแต่ก่อนมาแล้ว

แต่ก็แอบเผื่อใจลึกๆว่า จะเหมือนจุดชมวิวบ้านเราป่าววะ แบบที่เดินข้ึนบันไดไปร้อยกว่าขั้น

หอบจนลิ้นห้อยแทบจะเลียหัวเข่าตัวเองได้ เพื่อไปเจอศาลาเล็กๆ แล้วก็มีตัวอักษรลอยตัวขนาดใหญ่เท่าฝาบ้าน

สีสันสดใส บังต้นไม้ บังวิว บังภูเขาหมด!!! นี่ขอบ่นเลย คือจะไปดูวิวไง ไม่ได้ไปดูป้ายจุดชมวิวโว้ยยยย!!!!!

ใจเย็นโน๊ะ กลับมาที่ปีนังก่อนโน๊ะ เอาน่า.... ไหนๆมาแล้วก็ไปซักหน่อยเหอะ

การเดินทางไปปีนังฮิลล์ นั่งรถเมล์สาย 204 จาก Jetty หรือจาก Komtar ก็ได้ ไปลงสุดสาย ราคาคนละ 2 ริงกิต

ในระหว่างนั่งรอรถที่ Jetty ก็เห็นลุงคนนึงเดินมาทักครอบครัวที่นั่งรอรถข้างหน้าเราที่เป็นคนไทยเหมือนกัน

เราแอบฟัง เอ๊ย!! บังเอิญได้ยิน ก็ได้ความว่า ลุงเป็นทหารเรือมาเลย์แต่ต้องไปทํางานหรือไปติดต่องานที่สัตหีบ

อยู่ที่นั่นหลายปีจนพูดไทยได้ ตอนนี้แกเกษียณแล้วเลยกลับมาอยู่ปีนัง เฮ้ย!!! นี่มั่นใจนะว่าบังเอิญได้ยิน

ไม่ได้แอบฟัง พอครอบครัวนั้นลุกไป

ลุงก็หันมาหาเรา 2 คน

ลุง : คนไทยใข่มั้ย?

เรา : ค่ะ/ครับ

ลุง : จะไปไหนกัน

เรา : ปีนังฮิลล์ค่ะ

ลุง : เดี๋ยวรอสาย 204 ตรงนี้แหละ คนไปเที่ยวเยอะนะ

ลุง : แล้วมาจากจังหวัดไหนล่ะ?

เรา : บุรีรัมย์ค่ะ

หลังจากนั้นลุงก็สปีคแขมร์มาแบบคอมโบเซ็ทจ้าาาาาา จริงๆเราก็ฟังภาษาเขมรออกนะ

แต่ภาษาเขมรที่คนกัมพูชาพูดกันจริงๆ มันจะเร็วๆ ห้วนๆ แล้วฟังยากกว่าที่คนอิสานตอนใต้พูดเยอะ

ซึ่งลุงก็พูดเป็นสําเนียงนั้น เราเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ลุง แต่ก็ดีใจนะ เพราะไม่คิดว่าลุงจะรู้จักบุรีรัมย์ด้วย

จากนั้นคุณลุงก็พาเราไปขึ้นรถเมล์เสร็จสรรพเลย อยากจะขอบคุณลุงเป็นภาษาเขมรจริงๆ แต่คิดไม่ออก 5555

รถเมล์ที่นี่แทบทุกคันจะผ่านตึกคอมต้า เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่อยากไปขึ้นที่ Jetty

ก็มารอที่คอมต้าก็ได้นะ แต่ถ้าช่วงเวลาเลิกเรียน คงต้องลุ้นเอาว่าจะมีที่นั่งมั้ย

ซึ่งพอรถจอดที่คอมต้า คุณลุงคนเดิมที่นั่งหน้าสุด ก็ทักทายเด็กนักเรียนทุกคนที่เดินขึ้นมา

ราวกับรู้จักกันแต่ชาติปางก่อน เฮ้ย!! เอาดีๆ นี่ลุงเป็นใคร ดาราปะ หรือนักการเมือง ทำไมรู้จักคนเยอะจัง

ระหว่างทางไปปีนังฮิลล์เราจะผ่านแฟลต หรืออพาร์ทเม้น เต็มไปหมด

คนส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตกันอยู่ที่นี่มากกว่า อยู่ในย่านทีเราท่องเที่ยวกัน ซึ่งคุณลุงก็ลงแถวนี้เหมือนกัน

ยังไม่ได้ขอถ่ายรูปลุงเลย

Penang Hill หรือ Bukit Bendara

ลงรถมาเจอคุณลุงคนเดิม ลงมาทีหลัง เอ้ย!!! ลุงมาได้ไง ลุงลงไปแล้วอะ แล้วลุงขึ้นมาใหม่ตอนไหน

ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้วว่าลุงเป็นใคร อยากรู้ว่าลุงใช่คนจริงๆรึป่าวแค่นั้น


ราคาตั๋วรถรางไป-กลับ ของชาวต่างชาติ ราคาคนละ 30 ริงกิต แต่ถ้าขึ้นหลัง 1 ทุ่มจะเหลือครึ่งราคา

ขอแนะนําสําหรับคนที่อยากไปเก็บแสงเย็น หรือถ่ายไฟ ขึ้นตอน 1 ทุ่มก็ได้นะ ประหยัดดี

เพราะเราขึ้นไปตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง กว่าพระอาทิตย์จะตก ฟ้าจะมืดก็ 2 ทุ่มแหน่ะ รู้งี้ไม่รีบขึ้นมาดีกว่า เปลืองตัง 5555

วิวจากรถรางที่ขึ้นไปข้างบนปีนังฮิลล์ อยากได้มุมสวยๆถ่ายรูปแบบคนอื่นบ้าง เลยจ้องมอง ที่นั่งท้ายสุดของขบวน

เพราะหน้าสุดมีคนขับบังอยู่ แต่ก็ไม่ทันคู่รักชาวตะวันออกกลาง ไม่เป็นไร มีที่ว่างตั้งเยอะ กระจกก็กว้าง ถ่ายได้สบาย

ก้มหน้าก้มตาเซ็ทกล้อง เล็งมุม เตรียมจะถ่าย time-lapse

ฟรึ่บ !! เอ๊ะ ทําไมต้นไม้ต้นนั้นออกลูกเป็นไอติม เงยหน้ามาเจอครอบครัวชาวจีนที่โช้งเช้งกันอยู่ข้างๆ

ที่มีคุณพ่อคอยดันลูกที่ดูกล้าๆกลัวๆ ให้ไปยืนเกาะราวเหล็กข้างหน้าพร้อมทำหน้าพยักเพยิดที่แปลความได้ว่า

'ไปยืนดูวิวตรงนั้นสิลูก' คือจะเอาขายื่นไปขวางเด็กไว้ก็จะดูใจร้าย จะบอกพ่อแม่เด็กก็พูดจีนไม่ได้

คลังคำจีนในสมองตอนนี้นอกจาก 'หนีห่าว' แล้วก็มี 'ต้าชั่ว เท่อชั่ว ปู๋ย่าวหลาย อู๋ลู่หว่อเตอเหม่ย' แค่นั้นแหละ

เอาเป็นว่าเพื่อเปิดโลกจินตนาการของเด็ก ผู้ใหญ่อย่างเราต้องเสียสละ ....สินะ

อากาศข้างบนที่นี่ต่างกับข้างล่างอย่างสิ้นเชิง แนะนําว่าพกเสื้อแขนยาวหรือเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วยก็ดี

เพราะเราเจออากาศร้อนๆข้างล่าง แล้วขึ้นไปเจออากาศเย็นๆข้างบนนี่เล่นเอาภูมิแพ้เราถามหา

น้ํามูกเราโผล่เซย์ฮัลโหลปีนังฮิลล์กันเลยทีเดียว

ขึ้นมาถึงก็ไปเดินเล่นรอบเกาหลี กุญแจนี่มีทุกที่จริงๆ

รักกันมากใช่มั้ย หึหึ!!! หรี่ตาแล้วจินตนาการภาพในหัวว่าเอามือเด็ดแม่กุญแจทีละอัน

แล้วขยำจนกลายเป็นผุยผงดูความคิดสิ น่ากลัวมากกกก

ขอหาของว่างรองท้องก่อน เพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยง เนื่องจากกินข้าวเช้าไปตอน 10 โมง

กิน Ice Kajang ก่อนละกัน เดี๋ยว Cheldul ค่อยไปกินร้านดัง เรายืนด้อมๆมองๆดูรูปภาพอยู่นาน

เพราะแต่ละอย่างเหมือนยกโซนผลไม้ในห้างมาวางโปะบนจาน จนเจ้าของร้านเดินมาแล้วพูดว่า

“น้ําแข็งใสมั้ยคะ?" นี่สะดุ้งโหยง แล้วจัดการสั่งในทันที การพูดภาษาไทยนี่มีผลต่อการตัดสินใจจริงๆนะ

หน้าตา Ice Kajang จะเป็นน้ําแข็งไส โปะไอติม ถั่วแดง ข้าวโพด และลูกชิด มันก็อร่อยอยู่หรอก

ถ้าาาาาา น้ําราดมันไม่ใช่ 'ซาสี่' แต่อันนี้มันก็เจือจางประมาณนึง เลยพอกินได้

' บางทีก็อยากรู้ว่า คนที่กินซาสี่ ซุปไก่สกัด แล้วก็น้ํามะเขือเทศได้นี่ จิตใจเค้าทําด้วยอะไร ?'

ก่อนมาเที่ยวตั้งใจว่าจะมาถ่ายที่นี่ตอนพระอาทิตย์ตก แสงน่าจะสวย แต่พอเดินเที่ยวจนเหนื่อยเลยคิดว่า

ถ่ายอะไรก็ได้ แสงไหนก็ได้ ช่างมัน เหนื่อยแล้ว ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น งอแงจนอยากจะลงไปดิ้นที่พื้น

แต่พอขึ้นมาถึง น้องชายที่ดูจะเฉยๆกับทีนี่ในตอนแรกก็ออกอาการระริกระรี้ชอบใจใหญ่

เลยบอกว่าขออยู่ถ่ายแสงไฟตอนกลางคืนได้ปะ เราก็ตกปากรับคํามันไปส่งๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็มืดแล้ว ไม่เป็นไร แต่ที่ไหนได้

คุณคะ พระอาทิตย์ที่นี่ตกตอน 2 ทุ่มคร่าาาาา เอาวะ ไม่อยากผิดคำพูด รอๆไปเหอะ

อากาศเย็นสบายจะตาย ปลอบใจตัวเอง ฟืดดดดดดดดดด สูดน้ำมูกแรงๆรอบที่ 37

ในระหว่างรอ อากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ คนก็ขึ้นมาเตรียมเก็บภาพกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางคู่หนุ่มสาวก็มานั่งจู๋จี๋กัน

แต่บางคู่หนุ่มกับหนุ่มเนี่ยสิ แม่คะ หนูรักเค้า แต่เค้ารักกัน ฮืออออ T^T

นี่รอแล้ว รอเล่า พระอาทิตย์ก็ไม่ตกให้ซักที จะเอาโทรศัพท์มาเช็ค FB แบบคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ซื้อซิม

กิจกรรมของสองพี่น้องระหว่างรอก็คือ แกๆๆๆบ้านนั้นเปิดไฟแล้ว

คือยืนลุ้นกันนาทีต่อนาที และแล้วพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า ภาพที่เรารอคอยก็มาถึง

หูยยยยยยย ของจริงมันสวยมาก โรแมนติกมากกกกกก จนคิดว่าถ้ามีแฟนนะ......ก็จะไม่พาแฟนมา

เพราะตั้งกล้องถ่ายทั้งรูป ทั้ง Timelape กัน 2-3 ชั่วโมง กันอย่างบ้าระห่ำ ถ้าพาไปมีหวังกลับมาเมืองไทยผู้ชายทิ้งแน่คร่าาา

แต่เสียดายที่เราไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป ช่วยกันประคองกล้องก็แล้ว กลั้นหายใจจนจะขาดใจตายก็แล้ว

ภาพเลยออกมาสั่นๆนิดนึง แต่มันสวยจริงๆนะ วิวแบบนี้กับอากาศไม่น่าเกิน 20 องศา ฟินสุดแล้วจริงๆ

พอได้ภาพที่เราต้องการก็กลับกัน เพราะตอนนี้ข้างบนเริ่มเงียบ คนเริ่มทะยอยกันกลับหมดแล้ว

และเราก็กลัวไม่มีรถกลับเข้าเมือง ถึงแม้จะหาข้อมูลมาว่ารถเมล์หมด 22.30

แต่สถานการณ์ที่ไปเดินหลงตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเนี่ย ไม่กล้าไว้ใจข้อมูลตัวเองอีกแล้ว

มื้อเย็นวันนี้เรากินแถวๆ ถนน Chulia อยู่ Tune Hotel แต่เดินมากินข้าวที่จูเลีย 2 วันเลย เก๋มั้ยล่ะ

เดินๆดูมีอยู่ 3-4 ร้าน แถวร้านบะหมี่คนก็แน่น เดินผ่านร้านชาก๋วยเตี๋ยวอยู่ 2-3 รอบ

จนคุณลุงพูดภาษาไทยสําเนียงจีนๆว่า

“ผัดไทย หยักกินมัย"

เราเลยตัดสินใจว่า ร้านนี้แหละ ลุงพูดไทยได้ น่าจะอร่อย เกี่ยวกันมั้ย? บอกแล้วว่ามันเป็นจิตวิทยา

ไปต่างถิ่นแล้วเค้าพูดภาษาเราได้ เราจะตัดสินใจง่ายขึ้น ทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเมื่อกี๊แหละ

ชาก๋วยเตี๋ยวคุณลุงราคาจานละ 4.5 ริงกิต มีกุ้ง หอย มันถูกมากกกกก แล้วก็อร่อยมาก

กลิ่นไข่ที่มันไหม้นิดๆ มันหอมกลิ่นกระทะ แล้วเส้นแห้งๆ ไม่มันเยิ้ม กับอาหารทะเลสดๆ เอออออออ

เชื่อแล้วว่าขึ้นชื่อ ไอ้ที่กินที่ red garden ก็ลืมๆมันไปละกัน

ระหว่างรอชาก๋วยเตี๋ยวคุณลุงเลยซื้อปอเปี๊ยะสดร้านข้างๆมากินด้วย

Chulia Street ไป Tune Hotel 900 เมตร

“นั่งรถเมล์เหอะแก พี่เดินไม่ไหวละ" แล้วรถเมล์สายไหนล่ะ?

เออนั่นสิ ลืมคิดไปเลย ขอแนะนําเลยว่าถ้าใครจะไม่ซื้อซิมก็จิ้มเอาจาก google map แล้วแคปหน้าจอไว้เถอะ

มันมีบอกหมดเลยว่าป้ายไหน สายอะไรผ่านบ้าง แต่เราไม่ได้ทําไง เดินขึ้นรถไปถามคนขับเค้าก็ไม่เข้าใจ

ยืนรออยู่นานจนท้อ เหนื่อยก็เหนื่อย ยืนทะเลาะกับน้องชายจนแทบจะโชว์มวยไทยสู่สายตาชาวโลกตรงนั้นแล้ว

ก็เลยเอาวะ เดินมาทั้งวันแล้ว อีกแค่ 900 เมตรจะเป็นไรไป

ภาพสุดท้ายในวันนี้ ก่อนที่แบตกล้องจะหมดจนดับไปพร้อมกับร่างกายเราที่จะดับตาม แต่เหนื่อยแค่ไหน

ก็ยังมิวายสอยเบียร์เจ้าถิ่น ไทเกอร์เบียร์จากเซเว่นข้างล่างโรงแรม ขึ้นมากินในห้อง

พร้อมกับมโนภาพว่ากำลังนั่งจิบเบียร์เย็นๆอยู่บนปีนังฮิลล์


DAY 3 : 7 สิงหาคม 2558

วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องย้ายโรงแรม จาก Tune Hotel ไป House of Journey

เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศนอนแบบแบ็คแพ็คเกอร์บ้าง

แต่ก็แอบหวั่นกับห้องน้ํารวม 2 วันแรกเลยขอนอนโรงแรมปกติก่อนละกัน

“แล้ว house of journey มันอยู่ตรงไหนวะแก"

"แหะๆ" คือคำตอบเดียวที่เราตอบน้องชายได้ในตอนนั้น

เราลืมเสิชที่อยู่มาอีกแล้วหลอ? ในกระดาษที่ปริ๊นมาทั้งหมดก็ไม่มี มีแต่ข้อมูลที่จําได้ในหัวอยู่แล้ว

ไม่รู้จะปริ๊นมาทําพระแสงเลเซอร์อะไร เราเลยให้น้องลงไปเสิชคอมข้างล่างในระหว่างที่เราโบกหน้าอยู่

ที่นี่จะมีคอมให้ใช้โดยมีโควต้าแค่ห้องละ 30 นาที

ได้ข้อมูลมาเรียบร้อยก็ไปกินข้าวเช้ากันที่ One Corner Center ออกจากโรงแรม Tune ให้เลี้ยวซ้าย

เดินไปเรื่อยๆจนเจอ Nagore Square เดินทะลุเข้าไปเจอแยก แล้วจะเห็นศูนย์อาหารอยู่ทางซ้ายมือ

น้องเราสั่งบะหมี่ที่คล้าย Asam Laksa แต่เป็นน้ำซุปเหนียวๆดำๆ ส่วนเรากินข้าวมันกันไก่ ที่อร่อยมากกกก

ไก่นุ่ม ไม่ตบแบนเป็นกระดาษ A4 70 แกรม แบบร้านถ่ายเอกสารหน้าโรงเรียน แล้วก็สั่งพวกเต้าหู้ทอดมากิน

รวมทุกอย่างมื้อนี้ ประมาณ 15 ริงกิต ถูกมากกก อร่อยมาก ประทับใจมากก และรูปที่เอา Gopro ถ่าย ไฟล์ดันมีปัญหา

เสียใจมากกกกกก ทึ้งผมตัวเอง T^T

กลับมา Check-Out แล้วก็นั่งรถเมล์ สาย 206 ไปลงป้าย 7-11 จูเลีย

แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วออกไปเดินเล่นกันก่อน บ่าย ๆ ค่อยกลับมาใหม่

วันนี้เราต้องไปเก็บ Town Hall , City Hall แล้วก็โบสถ์ กัน

ตอนแรกก็ว่าจะนั่งรถเมล์ไป Jetty เพื่อไปต่อรถเมล์ฟรีไปลง City hall แต่ดูจากแผนที่

เดินไปก็แค่ 700 เมตรเอง เดินก็ได้ ไอ้ 500 เมตรเอง 700 เมตรเองนี่รวมกันหลายเองก็หลายกิโลละ

เห็นปะ ถ้านั่งรถเมล์ไป เราอาจจะไม่ได้เจอวิวแบบนี้ก็ได้.....รึป่าว 5555

โบสถ์ที่นี่มีต้นไม้ต้นใหญ่ที่เย็นกว่าอากาศข้างนอกมาก จนคิดว่าถ้ามีเสื่อให้เช่าแบบเมืองไทย

คงปูนอนกันตรงนั้นไม่ไปไหนแล้ว

เดินจากโบสถ์มาอีกหน่อยก็จะเป็น Town Hall

City Hall

วันที่ 3 เรี่ยวแรงเริ่มถดถอย จากวันแรกเดินได้ยาวๆ 3-4 กิโลเพลินๆ

วันนี้เดินไปพักไปแทบจะทุก 500 เมตร เลยขอนั่งพักเอาแรงตรงนี้ซักแป๊บ

นั่งรถเมล์ฟรีไป Komtar เพื่อจะไป Hin Bus Depot กัน

ถึงแล้ว Hinbus Depot แกลลอรี่ของศิลปินที่วาดภาพ Street Art ทั่วเมืองปีนัง มาถึงแหล่งขนาดนี้

จะถ่ายรูปให้สาสมใจเลยทีเดียว

“และนี่คือภาพที่ระลึกจากทางรายการ" อยากจะทำเสียงภูมิใจแบบอาต๋อย ไตรภพในรายการทูไนท์โชว์

แต่นี่คือภาพเดียวที่ได้จากที่นี่ เดินเข้าไป ทุกคนกําลังเตรียมงานอะไรบางอย่างอยู่ มีนั่งร้าน ถังสี ไม้กระดาน

และผู้คนทํางานอย่างขะมักเขม้น เรายืนเป็นอากาศธาตุอยู่ซักพัก ไม่มีใครสนใจ จนบางทีก็สงสัยว่าเอ๊ะ

หรือเราตายไปแล้วแต่ไม่รู้ตัววะ ทำไมไม่มีใครมองเห็นเราเลย สาสมใจมั้ยล่ะแก!!!

เดินตากแดดมาขนาดนี้ รูปก็ไม่ได้ถ่าย งั้นก็กลับไปตั้งหลักที่คอมต้าก่อนละกัน

เพราะคอมต้าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองใช่ปะ? ป่าว !! เพราะคอมต้ามีแอร์

ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ขอแอร์ด่วน

ภารกิจของเรา นอกจากจะกินของ Local ของที่นั่นแล้ว อีกอย่างคือการกินของที่บ้านเรามี

แล้วจะดูว่าที่นั่นแตกต่างกันยังไง นั่นก็คือ คือ คือ KFC นั่นเองงงง

สภาพ Rice Wrap ซึ่งเหมือนแป้งโรตีห่อด้วยข้าวแกงกะหรี่อะไรซักอย่าง แล้วก็มีก้อนไก่ชืดๆอยู่ตรงกลาง

ตอนนี้คิดถึง KFC ที่เมืองไทยขึ้นมาจับใจ ฉันจะไม่ด่า ไม่จู้จี้ ไม่วอแว ที่เธอไม่หั่นไก่ในข้าวยําไก่แซ่บแล้ววว

ตอนนี้สภาพร่างกายของเราสองคนไม่ไหวแล้ว พลังชีวิตเหลือขีดแดง

เลยตัดสินใจกลับไปเช็คอินที่โรงแรมแล้วเอนหลังซักพัก แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ระหว่างเดินไปอีก 100 กว่าเมตร

เพื่อไปป้ายรถเมล์ แล้วนั่งไปลง 7-11 จูเลีย แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร กับเดินจากนี่ไปที่พัก 600 เมตร เอาอะไร?

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก.....

เออ!! เดินก็ได้วะ อ่านมาถึงตรงนี้ต้องกราบขอโทษทุกคนจริงๆ ที่ไม่สามารถให้ข้อมูลในการเดินทาง

ภายในตัวเมืองจอร์จทาวน์ ได้เลย เพราะสองคนเดินเท้าล้วนๆ เอาเป็นว่าถ้าอยากตามรอยเรา

เตรียมรองเท้าที่ใส่สบายๆไปก็พอ

ห้องพักของเราจะอยู่อีกตึกหนึ่ง ไม่ใช่ตึกในรูปข้างบน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันต่างกันยังไง

แต่คิดเอาเองว่า เราจองเป็นห้องส่วนตัว เลยอาจจะได้อยู่ตึกนี้ ถ้าจองแบบ Dorm อาจจะได้อยู่อีกตึกนึง มั้งนะ

ห้องเราเป็นห้องเตียงเดี่ยว มีแอร์ พัดลม ไดร์เป่าผม ทีวี ห้องน้ํารวม ส่วน Wi-fi ต้องลงไปเล่นที่ล็อบบี้

หลังจากที่ทิ้งตัวลงบนเตียง ก็ไม่มีการขยับส่วนใดของร่างกายแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีรูปห้องซักรูปเลย

15.30 แล้ว พวกแกมาเพื่อล่า Street Art กันไม่ใช่หลอ แล้วนี่อะไร สองพี่น้องนอนเปื่อยบนเตียง

ตอนนี้รูปอะไรไม่สนทั้งนั้น อยากนอน อยากได้เคาท์เตอร์เพน อยากเอาตีนแช่น้ำอุ่น ไอว๊อน ไทยมัสสาจจจจจจจ

แต่สุดท้ายก็ต้องงัดร่างตัวเองออกไปถ่าย Street Art ส่วนที่เหลือกัน

ถึงแม้ร่างกายเราตอนนี้ คำว่า “เปลี้ย" น่าจะจำกัดความตามสภาพเราได้ใกล้เคียงที่สุด

ทางที่เราเดินก็เป็นทางเดิมที่เราเดินในทุกๆวันที่ผ่านมานั่นแหละ

เพราะแยกนี้เราเดินผ่านน่าจะรอบที่ 3 ได้แล้วมั้ง และ 2 ใน 3 ก็ผ่านมาเพราะหลงทาง

ตอนเดินงงอยู่ตรงแยก แอบได้ยินคุณลุงสามล้อพูดว่า “ให้ช่วยมั้ย"

ไม่รู้ว่าคุณลุงเค้าพูดจริงๆ หรือเราเหนื่อยจนหูฝาด แต่ก็ดีนะ ที่เค้าไม่มาตื้อ มาวอแวกับเรา

เดินมาตามทางที่เมื่อวานที่เราเดินแล้ว แต่เราไม่เบื่อเลย เพราะรูปวาดที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมตึก

ยิ่งเดินก็ยิ่งสนุก เอ๊ะ!!! รูปนี้ทำไมเมื่อวานหาไม่เจอ เอ๊ะ!! รูปนี้ถ่ายไปรึยัง

เห็นมั้ยว่าการแหกแผนของเรามีประโยชน์จะตาย ,,,เอ้อ แก้ตัวน้ำขุ่นๆแบบนี้ล่ะ

รูปวาดบางรูปหลบอยู่ในซอกหลืบ ตามมุมเล็กๆ ตามผนังบ้านคน ที่เค้าอาศัยอยู่กันจริงๆ

เดินเข้าออกประตูบ้านและดูเฉยเมยกับนักท่องเที่ยวมาก ลองมาเป็นบ้านฉันสิ

นี่จะขายลูกชิ้น ปลาหมึกย่าง น้ำตาลสดหน้าบ้านเลย คอยดู

บรู๊ชลีแอนด์เดอะแมวสะดุ้งโหยง ภาพจริงๆดูซีดและเลือนลางมากไม่ต่างจากเมคอัพบนหน้าเรา

ที่โดนแดดเผาตอนนี้ นี่ยืนจ้องอยู่นานกว่าจะเห็นว่าเอ้ออ มันมีแมว 2 ตัวเว้ยย

รูปยอดนิยมอีกรูป คนต่อคิวเยอะมาก เราเลยขอยอมแพ้ ขนาดแค่จะถ่ายภาพเฉยๆ

ไม่ได้ไปถ่ายคู่กับภาพ ก็ยังไม่สามารถเลย

รอแล้วรอเล่า หมวยเล็กผ่านไป คู่รักก็มา อาม่าก็ถ่าย ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอีสองพี่น้องคู่นี้

เลยถ่ายกับกำแพงข้างๆพอละกัน

ออกจากโซนนั้น ก็จะมีเหมือนแกลลอรี่อะไรซักอย่างอยู่ตึกตรงหัวมุม แต่มันดูเงียบๆ งงๆ

มีฝรั่งสองคนนั่งอยู่ไม่พูดไม่จา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือเค้าแค่เข้ามาหลบร้อน

เราเลยได้แค่ด้อมๆมองๆ แล้วก็ออกมาแบบงงๆ

เดินไปเรื่อยๆ เห็นแก๊งคนจีนเดินไปทางไหน เราก็ตามไป

ภาพนี้เมื่อวานเราก็ถ่ายมาแล้ว แต่ตอนนั้นมีรถจอดอยู่เต็ม เลยไม่สังเกตเห็นหนูยักษ์ที่หลบเจ้าแมวอยู่ที่มุมตึก

เพราะฉะนั้น ใครมาที่นี่ต้องสังเกตดีๆ เพราะบางภาพบางภาพอาจซ่อนอยู่ เหมือนมาเล่นเกมส์ล่าขุมทรัพย์เลย

รูปนี้อยู่หน้าร้านทาร์ตไข่ ที่ไม่รู้ว่าใช่ร้านเดียวกันกับที่เค้าร่ำลือกันรึเปล่า

เราเดินเข้าไปส่องๆ ว่าจะซื้อ แต่เห็นแถวยาวจนออกมานอกร้าน เลยขอผ่านละกัน

ของโปรดของทริปนี้ คือ Lok Lok มา เจ้านี้อยู่หน้า Chew Jetty เรามาตามรีวิวเหมือนกัน

เมื่อวานที่มาหาร้านไม่เจอ วันนี้เจอแล้วเลยขอชิมซักนิด ร้านนี้จะราคาถูกกว่าที่ถนนจูเลีย

มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดเพิ่มมา แต่ว่าไม้ก็เล็กตามราคานั่นแหละ ร้านนี้จะเปิดประมาณ 4 โมงเย็นนะ

เพราะตอนเราไปเค้ากำลังตั้งร้าน มิน่าล่ะ เมื่อวานมาตอนบ่ายถึงไม่เจอ

รูปนี้ไปเจอตอนจะเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ ในแอพบอกว่ามีป้ายอยู่ตรงนี้ ก่อนถึง Jetty

เราขี้เกียจเดินแล้วเลยรอตรงนี้แหละ แล้วก็หันหลังไปเจอพอดี

ยืนรอรถเมล์อยู่นาน แต่ก็ไม่มีรถเมล์คันไหนจอด จนเห็นแก๊งคนจีนข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามกันเยอะ

เลยลองข้ามไปดูว่ามีอะไร และแล้วก็เจอกับรูปนี้อันโด่งดัง อยู่ข้างโกดังที่คนงานกำลังทำงานกันอยู่

ตรงข้ามมีมอเตอร์ไซค์คนงานจอดเรียงราย และกองพาเลทวางสุมๆอยู่นี่สินะ เรียลไปอีกกกกก

จริงๆ ถ้าคนมีแผนที่ภาพวาดอาจจะตามเก็บทุกรูปได้ไม่ยาก ซึ่งแผนที่ก็มีแจกอยู่ทั่วไป

และเราก็หยิบมา แต่เราเลือกจะโยนทิ้งไว้ที่ห้องพัก จะว่าขี้เกียจก็ใช่ แต่เดินมั่วก็สนุกไปอีกแบบนะ

เดินมาถึง Jetty ตอนเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว พรุ่งนี้จะต้องกลับแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปกิน Chendul

เจ้าดังที่ใครๆเค้าก็กินกันเลย ป่านนี้จะปิดยังวะ กินแล้วเดี๋ยวต้องไป Gurney drive ต่อจะอิ่มมั้ยวะ?

จําได้คร่าวๆว่าอยู่แถวสะพานลอย จะไปไงดีวะ? เอาวะ!! มาแล้ว ก็ไปกินซักหน่อย

ถ้าปิดก็ไป Gurney เลย เป็นไง 16 คำถามกับเงินรางวัล 1 ล้านบาทมั้ยล่ะ?

ถ้าคุณมี 3G หรือวางแผนมาอย่างดี คุณจะไม่มีทางได้ตั้งคําถามแบบนี้แน่นอน ยัง!! ยังอีก! ยังไม่หยุดแก้ตัวอีก 5555

เรานั่งรถเมล์ฟรี นั่งรถฟรีเพราะไมรู้ว่าลงตรงไหน กลัวขึ้นรถเสียตังค์แล้วบอกคนขับไม่ถูก 5555

มาลงก่อนถึงสะพานลอย แล้วก็เดินมาเรื่อยๆ เจอคนพลุกพล่านตรงไหน ร้านก็อยู่ตรงนั้นแหละ

คิวยาวมาก ทั้งๆที่ไม่มีที่นั่ง ส่วนร้านตรงข้ามมีที่นั่ง ร้านโล่งเชียว

แอบเห็นคนขายร้านโล่งๆมองแรงไปฝั่งตรงข้ามเหมือนกัน

Chendul จะเป็นลอดช่องน้ํากะทิใส่ถั่วแดง ราคาถ้วยละ 2.5 RMY มันก็อร่อยดีนะ

แต่คาดหวังลึกๆว่ามันจะว้าววววกว่านี้ อุตส่าต์ว่าจะตักเข้าปากแล้วอื้อหืมมมมม เล่นใหญ่แบบในโฆษณาผงปรุงรสก็อดทำ

นั่งรถเมล์สาย 103 จากคอมต้า จนมาถึง Gurney Paragon จริงๆต้องลง Gurney Plaza

ที่อยู่เลยไปอีกป้าย แต่คนขับเค้าเคาะเป็นสัญญาณ ซึ่งเราก็แปลสัญญาณนั้นเอาเองว่าให้ลงตรงนี้

หรือจริงๆเค้าอาจจะแค่อารมณ์ดีฮัมเพลง เคาะจังหวะ ชมนกชมไม้ก็ได้

ถนนแถวนี้ต้นไม้เยอะมาก ชอบจัง

Gurney Plaza เป็นห้างใหญ่ริมทะเล อารมณ์ประมาณเซ็นทรัลบ้านเรา

เป็นแหล่งละลายทรัพย์ของคนรวยย่านนี้ ดูจากโรงแรม คอนโดรอบๆ แล้วก็รถหรูเต็มไปหมด

ริมถนนก็มีคนขับพอร์ช เปิดกระจกให้น้องหมาไซบีเรียนนั่งเอาหูโต้ลม ชมวิวเมือง

เอากะเค้าสิ อะไรชีวิตจะดีขนาดนั้น อิจฉาหมามาก จุดนี้

แล้วเราก็มาถึงตลาดโต้รุ่งริมทะเลที่ใหญ่ที่สุดแล้วววว

คิดอะไรไม่ออกก็สั่งหอยทอดจานเล็กมา 2 จาน ราคา จานละ 15 ริงกิต สั่งเสร็จเดินถือกลับมาที่โต๊ะแล้ว

เพิ่งคิดได้ว่า ในรูปจานเล็กมันจานละ 10 ริงกิต ไม่ใช่หลอวะ?

เออ เอาเหอะ ตอนนี้หิวมาก เมื่อยมาก ขอเก็บแรงไว้เคี้ยวอาหารดีกว่า

หูวววววว หอยทะลัก สดมาก น้ําจิ้มแดงๆที่เหมือนเต้าหู้ทอดเมื่อเช้าก็อร่อยมาก

น้ำจิ้มนี่ถือเป็นไอเท็มเด็ดของที่นี่พอกับน้ำจิ้มไก่บ้านเราเลย กินกับอะไรก็อร่อย

รีบกิน รีบลุก เพราะตอนนี้ฟ้าครึ้มมาก เลยเดินไปหลบในห้างก่อน ที่บอกว่าเหมือนเซ็นทรัลคือเหมือนจริงๆ

ชั้นบนเป็นโรงหนัง ชั้นใต้ดินเต็มไปด้วยขนมหวาน และชานมไข่มุก

พอฝนหยุดก็กลับดีกว่า เดินต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ตอนนี้ปวดขาจนแทบจะก้าวไม่ออก

ป้ายรถเมล์ ถ้ามาจาก Gurney Drive ให้เดินไปเจอวงเวียนน้ําพุ

เลี้ยวซ้ายไปจนเจอแยกที่มีแมคโดนัลให้เลี้ยวขวา แล้วรอรถเมล์สาย 101 (สายนี้ผ่าน 7-11 จูเลียด้วย)

แต่เราเดินย้อนกลับไปที่ห้าง แล้วต้องเดินไปป้ายรถเมล์นี่ไกลมาก เดินจนขาลากเลย ไม่รู้ว่ามีป้ายอื่นที่ใกล้กว่านี้

แล้วมีรถเมล์เยอะกว่านี้มั้ย? เพราะป้ายที่เรารอ นานๆรถเมล์จะผ่านที นั่งรอกันจนเบื่อเลยทีเดียว

นั่งรถเมล์ขากลับผ่านอะไรรู้มั้ย ถนนหน้าโรงแรม sunway ของกินเพียบ คนตรึมเลยจ้าาา

แล้ววันที่เรามามันหายไปไหนกันหมดฟระ พรุ่งนี้จะกลับแล้วด้วย ได้แต่นั่งมองรถแล่นผ่านไปตาปริบๆ

กลับมาถึงห้อง อาบน้ำ ว่าจะนอน แต่ไหนๆมี Wifi แล้วก็ขอลงไปนั่งเล่นซักนิด ขาดโลกโซเชียลไป 2 วันเต็ม

ขออัพเดทหน่อย แล้วก็ออกไปจัด Lok Lok ก่อนนอนกันอีกนิดหน่อยละกัน


DAY 4 : 8 สิงหาคม 2558


เป็นการตื่นเช้าที่ทรมานที่สุดอีก 1 วัน เพราะเราดันลั่น กดจองไฟล์ทจากหาดใหญ่กลับกรุงเทพตอน 5 โมงเย็น

ไอ้เราก็คิดว่าจะกลับรถตู้รอบ 12.00 (ตามเวลามาเลเซีย)จากปีนังทันไง แต่พี่ที่ KST บอกว่าให้กลับรอบ 8.00 ดีกว่า

ที่ House of Journey จะมีชา และกาแฟ ให้กินฟรีตลอด ส่วนตอนเช้าจะมีขนมปังกับแยมมาตั้งตอน 7 โมง

กินเสร็จก็นั่งรอรถตู้มารับที่โรงแรม จะกลับแล้วจริงๆหลอ

08.00 รถก็ยังไม่มา

08.30 ก็ยังไม่มีวี่แวว

เราเริ่มออกไปนั่งรอข้างนอกแล้ว แดดจะร้อนก็ไม่แคร์ ตอนนี้กลัวไม่ได้กลับบ้านมากกว่า

08.45 ท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วน รถก็ยังไม่มา

ตอนนี้เราสองคนเริ่มนอย จะตกรถป่าววะ เค้าจะลืมมารับเราป่าววะ จนต้องไลน์ไปถาม

ยังไม่ทันที่พี่เค้าจะตอบ รถก็มาจอดตรงหน้า รอดตายแล้วโว้ยยยยยยยยยย

รถออกจากจอร์จทาวน์ประมาณ 9 โมง ถึงหาดใหญ่ประมาณ 13.30

เพราะมาถึงด่านสะเดาตอนเที่ยงเจ้าหน้าที่ไปพักกันหมด เปิดแค่เคาท์เตอร์เดียว

มาถึงเราก็ฝากกระเป๋า แล้วเดินไปกินลูกชิ้นถนัดศรี

จากนั้น เดินไปตลาดกิมหยง เพื่อนั่งรถสองแถวไปสนามบิน แล้วก็บินกลับกรุงเทพไฟลท์ 17.05 น.

เดินกันจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ

18.30 พระอาทิตย์ที่นี่ตกเร็วจัง ที่ปีนังจะตกยังนะ

ยังไม่อยากกลับเลย.......แต่ชอบความรู้สึกนี้นะ ความรู้สึกที่ไม่อยากกลับ

ดีกว่าไปเที่ยวแล้วคิดว่ากลับเหอะ ไม่มีอะไรทําแล้ว

แล้วก็ชอบความรู้สึกเหนื่อยจนสลบไป เพราะช่วงเวลาที่เกลียดที่สุดของเราคือ

การกลับจากไปเผชิญโลกภายนอก แล้วมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียว

“ขอบคุณนะ ปีนัง"
"ขอบคุณแกด้วย ไอ้น้องชาย"


"W a l k A r o u n d"

22.6 กิโลเมตร กับเวลา 4 วัน 3 คืน อาจจะไม่มากมายสําหรับใครบางคน

แต่สําหรับคนที่ไม่เคยออกกําลังกายเลยยยยย อย่างเรา

มันคือระยะทางที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะเดินได้ หรือเพียงแค่วันแรกที่เราเดินไป 4.5 กิโลเมตร

นั่นก็เกินคาดแล้ว มันเลยทำให้เราต้องย้อนกลับมาดูตัวเลือกที่เที่ยวที่ต้องเดินโหดๆ

ที่เราตัดทิ้งไปครั้งก่อนๆกลับมาดูใหม่ และทริปหน้าก็อยากเดินทำลายสถิติอยู่เหมือนกัน

และในยุคที่เราทุกคนเที่ยวด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งทัวร์ รีวิวท่องเที่ยวมีมากมายหลายร้อยรีวิว

ข้อมูลในการเที่ยวต่างๆก็หาง่ายมากขึ้น ทําให้เราเลือกที่จะค้นคว้าให้มากที่สุด เพื่อป้องกันความผิดพลาด

หรือปัญหาเฉพาะหน้าให้มากที่สุด แต่การเที่ยวครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่า บางทีทิ้งข้อมูลในมือ เอาความพร้อมเก็บไว้ที่บ้าน

ลองหลงทางดูบาง ออกนอกเส้นทางดูบ้าง หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดูบ้าง

ก็ทําให้เรื่องราวระหว่างทางมันชัดขึ้น และพอนึกถึงทุกครั้งก็ยังจํามันได้

“การเผชิญสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความไม่รู้ น่าจดจําเสมอ"

หลายคนที่ไป อาจจะไม่ต้องเดินเยอะเท่าเราก็ได้ นั่งรถสบายๆก็ได้

แต่ถ้าคุณยังพอมีแรงอยู่ ลองเดินเถอะ แล้วจะเห็นอะไรมากขึ้น


" บ่นมาเยอะแล้ว เลยเอาข้อมูลที่เราอ่านจากรีวิวอื่นๆ
หรือข้อมูลที่เราเดินไปมั่วๆแล้วเจอมา มาฝากกัน
เดี๋ยวจะหาว่ากระทู้นี้ไม่มีประโยชน์ 5555 "

1. การเดินทาง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากรุงเทพ ถึง หาดใหญ่ / ปีนัง

• รถไฟ กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ

• รถทัวร์ กรุงเทพ - หาดใหญ่ แล้วต่อรถตู้ หาดใหญ่ - ปีนัง

• เครื่องบิน ดอนเมือง - ปีนัง มีของสายการบินแอร์เอเชีย

• เครื่องบิน ดอนเมือง - หาดใหญ่ แล้วต่อรถตู้ หาดใหญ่ - ปีนัง

เราเลือกวิธีนี้เพราะประหยัดที่สุด

เนื่องจากได้ราคาตั๋วดอนเมือง - หาดใหญ่

มาในราคาโปรของ Thai Lion Air ในราคา เที่ยวละ 395 บาท

• รถตู้เราใช้บริการของ KST Travel ขาไปรอบ 12.30 น.

ขากลับรอบ 08.30 (ตามเวลามาเลเซีย)ราคาไป - กลับ คนละ 750 บาท

(ถ้าเที่ยวเดียว 400 บาท รถตู้รับ - ส่ง ถึงที่พักเลย)

จากสนามบินหาดใหญ่ ไปออฟฟิศ KST

• รถสองแถว เดินออกจากอาคารผู้โดยสาร จะเห็นรถสองแถวจอดอยู่

นั่งไปลงตลาดกิมหยง แล้วเดินต่อไป KST ราคาคนละ 30 บาท

• รถลีมูซีนสนามบิน เที่ยวละ 320 บาท แต่ตอนนี้เราเห็นราคาโปรโมชั่น

ไป-กลับ สนามบินหาดใหญ่ - ตัวเมืองหาดใหญ่ 500 บาท ไม่รู้ว่ามีถึงวันไหนนะ

• รถแท็กซี่มิเตอร์ เราเลือกใช้วิธีนี้ขาไป เพราะเวลามีน้อย เป็นราคาเหมา ไปในตัวเมืองหาดใหญ่ก็ 250 บาท

• ขากลับ รถสองแถว ให้เดินไปที่ตลาดกิมหยง เดินไปตรงแยกไฟแดง จะมีธนาคารกสิกรอยู่หัวมุมขวามือ

ให้ข้ามไปรอฝั่งนั้นแล้วเดินเลยธนาคารกสิกรไปหน่อย เพราะเรารอตรงธนาคารเลย

รถสองแถวจะอยู่กลางถนนเพื่อเลี้ยวขวา แล้วกวักมือเรียกให้เราวิ่งไปขึ้น เรียกว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ค่าโดยสารก็ 30 บาทเหมือนกัน

2. ที่พัก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้• Tune Downtown Penang

• ห้อง Double bed ไม่มีหน้าต่าง + แอร์ 24 ชั่วโมง + เครื่องใช้ในห้องน้ํา ทั้งหมด 2 คืน ราคา 148 ริงกิต

ที่นี่ไม่มีFree Wi-Fi ถ้าซื้อเพิ่มวันละ12 ริงกิตต่อวัน

• House of Journey อันนี้จะอยู่โซน 7-11 ถนนจูเลีย

ห้อง Twin Bed จองผ่านทางเว็บ Hotelsworld ราคาคืนละ 100 ริงกิต จ่ายผ่านทางเว็บไป 12 ริงกิต

ที่เหลือไปจ่ายตอนเช็คอิน + ค่าประกันกุญแจอีก 10 ริงกิต (ได้คืนตอนเช็คเอาท์)

ที่นี่จะเป็นห้องน้ํารวมทั้งหมด มีชา กาแฟให้กินตลอด และมีขนมปังกับแยมให้ทุกเช้า

พื้นที่นี่จะเป็นพื้นไม้ เดินทีลั่นทั้งบ้าน แล้วเสียงจากข้างนอกเข้ามาเยอะมาก

แต่ดึกๆที่นี่ก็เงียบ มี Free Wifi แต่ไม่แรงมาก เล่นได้เฉพาะตรงเคาท์เตอร์

3. การเดินทางภายในเมืองปีนัง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้• มีทั้งรถเมล์ฟรี CAT และรถเมล์เสียตังค์ ดูสายรถเมล์ได้จาก

http://www.rapidpg.com.my/journey-planner/route-maps/

• ค่ารถเมล์ส่วนใหญ่จะ 1.4 ริงกิต ภายในตัวเมือง ถ้าออกไป Penang Hill ราคา 2.00 ริงกิต

ต้องเตรียมตังค์ให้พอดี รถเมล์ที่นี่ไม่มีทอน

4. ของกิน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้• ตลาดโต้รุ่ง Sunway Hotel

• Lok Lok จะอยู่เยื้องกับ 7-11 จูเลีย ถ้าหาไม่เจอก็หาเซเว่นก่อนละกัน

• Chendul อยู่ปากซอยใกล้สะพานลอยตรงหัวมุมคอมต้า สังเกตที่มีคนเยอะๆ ก็ที่นั่นแหละ

5. Trick&Trip

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้• เวลามาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชม.

• ปลั๊กที่ปีนังใช้แบบ 3 ขา ควรเตรียมตัวแปลงไปด้วย ถ้าไม่มี ที่โรงแรม Tune ก็มีขาย

จําไม่ผิดราคาน่าจะ 200 กว่าบาท หรือหาซื้อตามมินิมาร์ทก็ได้

เราเห็นที่ร้าน Snoopy ตรงข้าง 7-11 จูเลีย ราคาไม่ถึง 100 บาท

• มินิมาร์ทจะมีโปรโมชั่น และราคาบางอย่างถูกกว่า 7-11

อย่างเช่นพวกเบียร์ ซื้อร้านข้านอกจะถูกกว่านิดหน่อย

• 7-11 ที่นั่นของน้อยมาก ถ้าเทียบกับไทย อย่างตอนแรกเราลืมซื้อเสื้อกันฝนไป

กะว่าจะไปซื้อ 7-11 ที่ใต้โรงแรม ก็ไม่มีขาย

• น้ําอัดลมประป๋องแบบหยอดตู้ราคาถูกกว่า 7-11

• โหลด app “Maps.me" เป็นแผนที่แบบออฟไลน์ แต่เราต้องโหลดแผนที่ของเมืองนั้นมาก่อน

ช่วยได้เยอะมาก โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อซิมแบบพวกเรา

สรุปค่าใช้จ่าย

ถ้าใครไม่เดินแบบเรา ก็จะมีค่ารถเมล์เพิ่มมาอีกไม่เกิน 100 บาท

*** ทริปนี้และข้อมูลทั้งหมดเป็นช่วงเดือนสิงหาคม 2558 ****

ความคิดเห็น