หนี หหหหหหหหหห่าว ไต้หวัน ห่างหายไปนานกับการเขียนบันทึกการเดินทาง ตั้งแต่ย้ายมาทำงานญี่ปุ่นก็แทบจะไม่ได้เขียนบันทึกการเดินทางเลย ทั้งๆที่เดินทางในญี่ปุ่นก็บ่อยอยู่นะ จริงๆก็ยังมีบันทึกที่กำลังเขียนอยู่แหละ แต่แค่ยังเขียนไม่เสร็จ เพราะถูกความขี้เกียจครอบงำมานานแสนนาน ฮ่ะๆๆ บันทึกนี้เน้นหนักที่เดินเขานะ อาจจะไร้สาระและอาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการตามรอยเท่าไหร่นัก แหะๆ
ครั้งนี้จึงกลับมาเขียนบันทึกการเดินทางอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเดินทางที่แตกต่างออกไปจากที่ผ่านๆมา เพราะครั้งนี้ออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกกับเพื่อน (ที่ผ่านมาคือลุยเดี่ยวตลอดเลย) มันเป็นไปได้ยังไงที่ครั้งนี้มีเพื่อนไปเที่ยวต่างประเทศด้วย มันอะเมซิ่งเกินคำบรรยายจริงๆ
งั้นขอเท้าความก่อนเลยว่ามันไปมายังไงครั้งนี้ถึงได้มีเพื่อนออกเดินทางด้วย ประเด็นคือช่วงที่ทำงานอยู่ญี่ปุ่น กำลังวางแพลนจะลาพักร้อนกลับไทย เพราะอยากเลี่ยงช่วงสิ้นปีที่คนต่างเดินทางกันไปเที่ยวต่างประเทศ ก็เลยบอกเพื่อนว่า จะกลับไทยนะ นัดเจอกันที่เชียงใหม่หน่อยไหม มันตรงกับหยุด3วันที่ไทยพอดี ตอนนั้นก็มีเพื่อนทักไลน์มาว่าไปเที่ยวไต้หวันกันไหม ตอนนั้นคือแบบเห้ย ใช่เหรอวะ จริงเหรอวะ เป็นไปได้เหรอวะ ฮ่ะๆๆ มันมีคำถามผุดขึ้นมาบนหัวเยอะแยะมากมาย ปนกับโคตรความประหลาดใจที่เพื่อนแม่งออกตัวชวนไปเที่ยวต่างประเทศ ละมันก็ชวนถูกคนไง เหมือนมันจะรู้ว่าถ้าชวนกูแล้ว โอกาสที่กูจะไปเที่ยวด้วยเนียะมันสูง เพราะแม่งชอบการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วไง
โอเค ไหนๆเพื่อนก็ชวนมาแล้ว เก็บไว้พิจารณาหน่อยละกัน จากนั้นก็เริ่มวางแพลนละว่ากลับไทยวันไหนถึงวันไหน อยู่บ้านกี่วัน นัดเพื่อนคนอื่นๆวันไหน บินไปไต้หวันวันไหน กลับญี่ปุ่นวันไหน โอ้โหหหห มันไม่ได้ง่ายๆเลยนะที่จะเครียแพลนให้ลงตัวแบบราบรื่น เท่ากับว่าเวลาที่จะได้กลับบ้านก็เหลือน้อยลง
หลังจากเครียแพลนตัวเองลงตัวแล้ว เริ่มหาตั๋วเครื่องบินกันและมันคืองานยากที่สุดของแพลนกลับไทยครั้งนนี้เลย เพราะต้องจองตั๋วแยกเที่ยวบินหมดเลย KIX > CNX, CNX > BKK, BKK>TPE, TPE>KIX เท่ากับว่าครั้งนี้ซื้อตั๋วเครื่องบินแยกเป็น 4 ไฟลท์ กันเลยทีเดียว จากที่จองไปกลับญี่ปุ่น ><เชียงใหม่ ราคาไม่ถึงหมื่น พอต้องแยกไฟลท์แล้วล่อไปเกือบ 2 หมื่นบาทเลยนะ
วิวเมืองเชียงใหม่กับหมอกยามเช้าที่เวลา 07:00 น. เขียวๆแบบนี้ดูแล้วสดชื่นมาก คิดถึงเชียงใหม่
อุปสรรคมันเริ่มตั้งแต่จองตั๋วเครื่องบินกันแล้ว รอกันจนชะล่าใจ จองล่วงหน้าเดือนเดียว ราคาตั๋วก็ขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกจะจองไฟลท์กรุงเทพไทเปพร้อมๆกัน แต่เหมือนเว็บไซต์จองตั๋วแม่งมีปัญหา ตอนนั้นราคาตั๋วของ CHINA AIRLINES คือถูกสุดละ ของตัวเองแม่งจองเสร็จละ เพื่อนยังเกี่ยงราคาตั๋วอยู่ แต่กูไม่รอแล้ว เพราะกูรอไม่ได้ เพราะจองตั๋วไทเปโอซาก้าเรียบร้อยก่อนแล้ว ดังนั้นราคาไหนก็ไม่สน ต้องรีบจองไวส้ก่อนที่ราคามันจะพุ่งเสียดฟ้าแบบไม่ลดอีก สุดท้ายมาจองให้เพื่อนอีกทีราคาตั๋วล่อไปหมื่นห้าาาาาาาแล้ว ฮ่ะๆๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อยยากเที่ยวก็ต้องทุ่มล่ะวะ เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว จัดไปเรียบร้อย
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและรอจนวันเดินทาง มันวุ่นวายมาก กูไม่อยากจะเล่า แต่ไม่เล่าไม่ได้ อยากให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่สนามบิน ฮ่ะๆๆ เช้าตรู่ของวันเดินทางวันแรก ตรูบินจากเชียงใหม่ไฟลท์ 06:40 ถึงสุวรรณภูมิประมาณ 8 โมงนิดๆ ก็นั่งนอนรอเพื่อนไป ไปแลกเงินรอ รอวนไป คือขึ้นไปเช็คเรียบร้อยแล้วว่าเคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินอยู่แถวไหน ประมาณ 09:30น. โทรหาเพื่อน โอเคมาถึงสนามบินแล้ว กำลังหาที่จอดรถ รอแล้วรอเล่ามันก็ยังไม่โผล่หัวมา โทรหาแม่งก็ไม่รับสายอีก เคาน์เตอร์เช็คอินปิด10โมงเว้ยเห้ย มันก็ยังไม่อ่าน กูก็ได้แต่เร่งมัน ล่นเว้ยล่นนนนนนน แปลว่า วิ่งเว้ยวิ่งงงงงงงงง
จนตอน10โมงนิดๆ คนที่มารอเช็คอินคนอื่นๆ (ไฟลท์ต่อไป) มาต่อแถวกันแล้ว ก็เลยไปถามพนักงานว่ายังทันไหม ตอนนี้รอเพื่อนอีกคน พนักงานบอกว่า เคาน์เตอร์ปิดแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวเช็คให้อีกทีนะคะ ค่อยโล่งอก จนเวลา 10:10 น. เพื่อนลากกระเป๋าเดินมาสบายใจเฉิบ กระเป๋าลากมึงเนียะจะใหญ่ไปไหนนนน อหหหหหห ฮ่ะๆๆ รีบกวักมือเรียกมัน จนมันวิ่งมา หันไปหาพนักงานเท่านั้นแหละ "ตกเครื่องแล้วค่ะ" ห๊าาาาาาาา ตอนนั้นคือแบบสตั๊น พูดไรไม่ออก ส่งพาสปอร์ตต่อให้กับพี่อีกคน เขาบอกว่า "ให้น้องกลับมาอีกทีตอน 12:00น. ถ้ามีที่นั่งว่างก็จะได้ไปกับเที่ยวต่อไป แต่ไม่รับประกันว่าจะมีว่างให้ไหม เพราะวันนี้คนเดินทางเยอะมาก น้องต้องรอลุ้นอีกทีนะคะ"
ตอนนั้นก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ไม่มีสิทธ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น เพราะเป็นฝ่ายผิดเอง ไหนๆก็ไหนๆละ มาลุ้นอีกทีละกันวะ เหลทอเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ ไปหาข้าวกินเติมพลังก่อนละกัน พอใกล้เวลาก็ไปรอบริเวณหน้าเคาน์เตอร์อีกที สักพักพี่คนเดิมก็เรียกขอพาสปอร์ต ตอนนั้นคือลุ้นมาก พนง.ก็ดิวกันไปมาว่าคนนั้นคนนี้มาเช็คอินยัง ถ้ามาเช็คอินสายจะเอาน้อง2คนนี้ไปแทนที่ จนพนักงานบอกมาว่า อาจจะไม่ได้ไปแล้วนะคะ ตอนนั้นก็แบบ เอ่อ คงตกเครื่องไม่ได้ไปจริงๆละวะ เลยคุยกับเพื่อนว่าถ้ามันสามารถไปได้แค่คนเดียว มึงก็ไปเลยละกัน ยังไงมึงก็ต้องไปไต้หวัน เพราะตั๋วบินกลับญี่ปุ่นของมึงคือต้องบินจากไต้หวัน
จนหมดเวลาเช็คอินไฟลท์นี้แล้ว พนักงานเลยบอก มีคนไม่มีเช็คอิน งั้นพี่ให้น้อง2คนไปแทนนะคะ น้องรีบเอากรัเป๋าเดินทางไปผ่านช่องพิเศษแล้วไปที่เกทขึ้นเครื่องด่วนเลยนะคะ ได้ยินแล้วแบบโอ้โหหหหหใจชื่นนนนนนน เท่านั้นแหละรีบเร่งสปีดเท้าทันทีเลย จนทันเครื่องและได้ออกเดินทางในที่สุด ต้องขอบคุณ พนักงาน CHINA AIRLINES สำหรับทุกความช่วยเหลือในครั้งนี้ ได้ที่นั่งแยกกัน แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น ฮ่ะๆๆ ไปละ ซียูไต้หวัน
เฮ้ วัทซัพพพไต้หวันนนนนน พี่เดินทางมาถึงไทเปโดยสวัสดิภาพแล้ว วันนี้เหนื่อยมากละ ซื้อตั๋วนั่งรถไฟเข้าไปในเมืองกัน ขึ้นรถไฟก็พลาดอีกละ คือมันจะมีสายที่ดิ่งตรงไทเปโดยหยุดเพียงไม่กี่สถานี แต่ดันไปขึ้นรถไฟสายที่จอดทุดสถานีซะงั้น เหมือนเวลาเยอะเนอะ ราคาก็เท่ากัน แต่พลาดเอง ฮ่ะๆๆ
พอถึงสถานีป้ายสุดท้าย Taipei Main Staion ก็เปิดกูเกิ้ลแมพเดินไปหาที่พัก ตอนจองก็คิดว่าเดินไม่น่าไกลมากนะ แต่พอเดินจริงก็ไกลพอสมควรเลยนะ สงสัยจะเหนื่อยด้วยก็เลยรู้สึกว่ามันไกล ทริปนี้ไม่ได้พัก Hostel เพราะเพื่อนไม่เคยพักและไม่โอเคที่จะพัก ฮ่ะๆๆ เลยต้องเลือกพักโรงแรมแทนละกัน RF LINSEN HOTEL มันเหมือนอยู่ในย่านญี่ปุ่นนะ คือร้านอาหาร ร้านเหล้าญี่ปุ่นเยอะมาก ถามว่าได้เข้าร้านไหนไหม ไม่เลย ฮ่ะๆๆ
พอเดินไปถึงที่พักก็มีน้องคนไทยชื่อ เอิร์ท มารออยู่หน้าโรงแรมแล้ว คือรู้จักกันในทวิตเตอร์แล้วมาอินสตาแกรม เป็นคนชอบเที่ยวเหมือนกัน สายลุยเหมือนกัน เที่ยวด้วยกันได้ก็เลยนัดเที่ยวกัน มื้อเย็นวันนี้ให้น้องมันพาไปเลยละกัน เดินคุยซะเพลินจนเดินเลยสถานีรถไฟไง เอ้า เดินย้อนกลับดิ ฮ่ะๆๆ พากันไปย่านซีเหมิน ออกสถานีมาปุ๊บนี่ร้องโอ้โหกันเลยทีเดียว โอ้โหที่คนเยอะมาก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
คนแม่งเยอะมากกกกก ร้านอาหารก็เต็มไปด้วยคน หาร้านยากเย็นสุดๆ จนไปจบที่ร้านชาบูชื่อออกญี่ปุ่นด้วย Hakkai Shabu ไรสักอย่างนี่แหละ ราคาถือว่าสบายกระเป๋าเลยนะ ไม่แพงเมื่อเทียบกับกรุงเทพ ญี่ปุ่น บุฟเฟ่ต์2ชั่วโมงมั้ง
คืนนี้ต้องมาตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกัน จนกินเสร็จก็ยังสรุปกันไม่ได้ว่าจะไปไหนกัน แต่ที่เกริ่นๆกันคือไปปีนเขา Teapot Mountain ใจจริงคือแม่งโคตรอยากไป เห็นรูปที่คนอื่นไปมาแม่งเจ๋ง วิวแจ่มมาก ต้องหาทางไปให้ได้ ฮ่ะๆๆ พอได้เวลาก็แยกย้ายกันกลับที่พักตัวเอง น้องก็แยกอีกทาง ส่วนกูกับเพื่อนก็กลับอีกทาง เป็นไงล่ะ ขึ้นรถไฟผิดสาย ดูป้ายแล้วคือ เอ้า ไปทางไหนวะเนียะ ลงก่อนๆ นั่งย้อนกลับไปสถานีเดิมอีกทีแล้วตั้งหลักใหม่ ฮ่ะๆๆๆ
กลับถึงที่พักก็คุยกันอีกว่าพรุ่งนี้ไปไหนดีวะ กูดูออกละว่าไอ่แม็กมันคงไม่อยากไปแน่ๆ ฮ่ะๆๆ แต่ใจกูแม่งอยู่โน่นละ กูต้องหาทางไปให้ได้ จนต้องงัดไม้เด็ดออกมา โดยบอกมันไปว่า เห้ย วันพูกเฮาไปปีนเขาครึ่งวันกันป๊ะ ละช่วงบ่ายก่อปิ๊กมาแอ่วในเมืองรวดแอ่วในเมืองอีกวันที่เหลือ ละมันก็โอเคด้วย รีบบอกไอ่น้องเอิร์ทพรุ่งนี้ปีนเขากัน น้องก็โอเครับทราบ สรุปได้แพลนตามนี้ คืนนี้นอนพักเก็บพลังก่อนละ
เวลากลางวันบริเวณรอบๆโรงแรมก็จะประมาณนี้ ร้านขวามือนี่ร้านอ่ะไรวะ อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก อิอิ
06:30 นาฬิกาปลุกให้ตื่นแล้ว ง่วงเง้วยง่วง อยากนอนต่อ นัดน้องไว้ 07:10 จะไปทันไหมล่ะทีนี้ ฮ่ะๆๆ น้องบอกเวลารถบัสออกเวลานี้ๆ กูก็ดูเวลาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถไฟ ยังไงก็ต้องทันแน่ๆ
จนไปถึงสถานีที่นัดกันแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถบัส ขึ้นปุ๊บรถออกพอดี เอ่อเป๊ะจริงว่ะ ทีนี้ก็นั่งรถกันยาวๆชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทางก็ชมวิวไปเพลินๆ บรรยากาศบ้านนอกนี่คล้ายๆญี่ปุ่นเลย
และแล้วก็มาถึงปลายทางที่(เกือบ)ยาวไกล เส้นทางแม่งโคตรคดเคี้ยวใช่เล่นเลยนะ ลงเขาแล้วเจอโค้งคือมีเสียวนะเว้ย ฮ่ะๆๆ ยังไม่ได้กินข้าวเลย หาไรกินก่อน เดี๋ยวจะไม่มีแรงเดินขึ้นเขากัน พอกินอิ่มก็ได้เวลาเริ่มเดินขึ้นเขาละ เจอกันยอดเขาทีพอท อยากเห็นวิวด้านบนละว่าเป็นไง
เดินได้ไม่ทันไรหอบแดกละ เหนื่อยเอาเรื่องอยู่นะ ช่วงเดินขึ้นบันได(ทางสบาย)นี่แม่งเหนื่อยสุดละ ทางโหดๆนี่แม่งเดินสบาย
เดินขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงจุดพัก เริ่มเห็นวิวทะเล อื้อหือออออ มันสวยมากกก จากตรงนี้ขนาดนี้แล้วด้านบนจะขนาดไหนล่ะเนียะ ถ่ายรูปให้หายเหนื่อยหน่อยละกัน ใกล้ถึงยอดทีพอทละ เอ๊ะ ทำไมถึงไวจังวะ เดินยังไม่ถึงชั่วโมงเลย ฮ่ะๆๆ เอ่อ ทำไมถึงไววะ งง ดูแผนที่แป๊บ เห้ยยังมีต่อนี่หว่า เหมือนดูแผนที่แล้วมันไม่มีปลายทางอ่ะ มันให้เดินไปเรื่อยๆ ฮ่ะๆๆ อ่ะเดินๆตามมันไปละกัน
คนมาเดินเขาทีพอทนี่ก็เยอะเหมือนกันนะ เรียกว่าเดินเขาก็จริง แต่สาวๆใส่ชุดแต่งตัวมาเหมือนโดนแฟนหลอกว่าจะพาไปเที่ยวทุ่งดอกไม้ แต่ได้มาปีนเขายังไงยังงั้น ฮ่ะๆๆ ปีนเขาครั้งนี้มันจะมีบางช่วงที่ต้องไต่หิน ไต่เขาแบบร่วงคือเจ็บนะหรือไม่ก็อาจร่วงหน้าผาไปเลยก้ได้นะ
ใครไม่ไหว ใครกลัวความสูงไม่แนะนำให้มานะ ต้องใจกล้าเท่านั้นถึงจะปีนเขาสนุก แต่ส่วนตัวไม่ใช่ปัญหาเพราะชอบเรื่องความท้าทายอยู่แล้ว เพื่อนๆก็มักจะเรียกอยู่แล้วว่า มึงนี่มันเหมือนลิงจริงๆเลยนะ ไม่รู้มันชมหรือด่านะ แต่คิดบวกว่าชมละกัน ฮ่ะๆๆ
เอาละถึงจุดอันตรายของการปีนเขาครั้งนี้แล้ว กูปีนผ่านสบาย ไร้ความกลัว แต่ แต่ แต่ น้องเอิร์ท กับ ไอ่เพื่อนแม็กนั้นต้องใช้เวลาต้องรวบรวมความกล้าในการปีนจุดนี้กันเลยทีเดียว แม็กบอกกูถอยดีกว่า กลัวร่วง ฮ่ะๆๆ อ่ะๆมึงรออยู่นี่ละกัน กูขอไปส่องไปถ่ายรูปว่าบนนี้มีอะไรบ้าง
ถามเอิร์ทว่าไหวเป่า มาไหม มันมาเว้ย มาทั้งที่กลัวๆ ฮ่ะๆๆ ดูในรูปอาจจะไม่น่ากลัว ต้องมาเห็นของจริงนะ จากนี้ไปก็คือเดิน ไต่ ปีน เดิน ไต่ ปีน ยาวๆ
เส้นทางเดินเขาขึ้นลงก็จะประมาณนี้ ใครไม่ถนัดก็ไต่เชือกขึ้นลง ใครคล่องก็เดินวิ่งลงได้สบายมาก ฮ่ะๆๆ
เขาอีกฝั่งก็มีทางเดินเขาเหมือนกันนะ แต่มันไกลมากคงไม่มีเวลาไปทางนั้นละแหละ วันนี้เดินแค่เขาฝั่งนี้ก็พอละ เพื่อนเหนื่อยละ เดินไปชมวิวไป อากาศสดชื่นมาก หมอกลอยกระทบหน้าแบบฟินนนนนนนนโคตรๆ อัดเข้าไปในปอดเยอะๆ ฮ่ะๆๆ
คนอื่นๆที่เดินไปล่วงหน้าก็เยอะมากนะ แต่ทำไมเดินไปเรื่อยแล้วเริ่มเห็นคนน้อยลงวะ งง หายไปทางไหนกันหมด มันก็แทบไม่มีทางอื่นให้ไปเลยนะ ฮ่ะๆๆ ตอนนี้คือคิดแต่ว่ากลับทางไหนวะ ต้องเดินไปทางไหนวะ หรือจะเดินย้อนกลับ แต่ย้อนกลับก็ดูไม่โปรว่ะ เพราะไม่มีใครเดินย้อนกลับมาทางเดิมเลย ฮ่ะๆๆ เอาวะเดินต่อไปเรื่อยๆ มันต้องมีทางลงดิ เหงยหน้ามองไปสุดทางคือหมอกกกกกกทั้งนั้นเลย
เดินๆไปก็ถึงอีกจุดที่ต้องไต่เชือกขึ้นข้างบน น่าจะเป็นจุดที่สูงที่สุดละ ห้ามร่วงนะเว้ย ร่าวงคือคนที่ต่อคิวขึ้นตามก็ร่วงไง ฮ่ะๆๆ ตอนนี้คือมองไปทางไหนก็หมอกๆๆๆ มองไม่เห็นวิวด้านล่างเลย แอบเสียดายที่อดเห็นวิวสวยๆจากด้านบน
เดินเขาตั้งนานลืมไปว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปหมู่เลย จัดไปสักรูประหว่างนั่งพักบนยอดเขา หาทางกลับ ฮ่ะๆๆ
ส่วนจุดนี้บอกตรงๆเลยว่า งง ใจ เพื่อนกับน้องมากว่าทำไมไม่เดินปกติ จะไต่เชือกทำไม เพราะมันเดินปกติได้ แค่ต้องระวังอย่าให้หงายหลังแค่นั้นเอง ฮ่ะๆๆ แต่ก็ยังคงไต่เชือกเดินทางยากๆมา ฮ่ะๆๆ (ลุงข้างหลังต่อคิวอยู่นะเห้ย ให้ไวหน่อยๆ เดี๋ยวลุงจะรอไม่ไหวนะ ฮ่ะๆๆ)
เอ้าาาาาาาา นี่เปลี่ยนมุมมาถ่ายรูปแล้วก็ยังข้ามมาไม่หมดอีก ลุงแบบอะไรของพวกเอ็งวะงี้ ฮ่ะๆๆ
เดินไปเรื่อยๆก็เจอจุดที่น่าไปถ่ายรูป เป็นหน้าผาลึกเลย มองอยู่ว่าจะไปถ่ายรูปดีไหม เลยถามน้องมันว่า ถ่ายรูปให้พี่หน่อย พี่จะไปนั่งตรงหน้าผานั่นนะ เห้ย อย่าเลยพี่ นั่นคือเสียงห้ามของเอิร์ท ก็เลยตอบกลับไปว่า เอาน่า ถ้าพี่ไม่ได้ไปถ่ายตรงนี้แม่งมันจะค้างคาใจว่ะ และแล้วก็เดินเข้าไปตรงหน้าหา ตอนยืนคือแบบหวิวๆมากๆ แต่ก็ผ่านออกมาได้สบาย
น้องมันถามว่าพี่ไม่กลัวตกเหรอ ชีวิตมีโอกาสแค่ครั้งเดียวนะ ก็เลยตอบกลับไปอีกว่า ก็เพราะชีวิตมีโอกาสครั้งเดียวนี่แหละถึงต้องทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ สาระก็มา ฮ่ะๆๆ แต่โอกาสมันไม่ได้มีเสมอไปนะ สำหรับใครก็ตามที่อยากทำอะไรแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่น อะไรที่ทำแล้วมีความสุขอ่ะ ทำเลย ชีวิตคนเรามันสั้น ต้องใช้ให้คุ้มค่า
หมอกลอยปกคลุมทั่วยอดเขาเลย แทบไม่เห็นวิวด้านล่างเลย ได้อย่างเสียอย่างเนอะ
ตอนนี้คือหาทางกลับลงเขาอย่างเดียว แต่ก็ทำได้แค่เดินไปเรื่อยๆตามเส้นทาง (ความจริงกำลังสนุกเลย) แต่ถ้าจะให้ย้อนกลับก็คงไม่ไหวแล้ว เพราะตอนนี้เดินมาไกลโคตรๆแล้ว ตรงอย่างเดียวละกัน
เปิดดูแผนที่เรื่อยๆก็เจอเหมือนทางลงเขากลับไป ซึ่งนั่นคือทางเดินของเขาอีกฝั่งที่บอกว่าวันนี้คงไม่ได้ไปแน่ๆ เพราะเวลาน้อย
เดินมาเรื่อยๆจนถึงป้ายแผนที่ ดูสักหน่อย เน็ตเริ่มไม่ดีละ ดูแผนที่ยากละทีนี้ โอเค เดินไปตามทางละกัน เห็นคนอื่นเดินไปทางนั้นก็เดินตามเขาละกัน เขาคงลงเขาละแหละ
จนเดินมาถึงทางลงเขาที่เป็นบันไดทอดยาววววววลงเขาเรื่อยๆ อยู่ตรงนี้เห็นเขาทีพอทที่ไปปีนมาด้วย คือเดินมาโคตรไกลเลยและทางเดินลงเขาที่เป็นบันไดคือดคตรๆของโคตรทรมานเลย มันปวดเขามาก ต้องเลี่ยงเดินทางปกติที่ไม่ใช่บันได ฮ่ะๆๆๆ
และแล้วก็เดินลงมาถึงข้างล่างแล้ว มิชชั่นคอมพรีทละเว้ยยยยยย ระยะทางเดินทั้งหมดประมาณ13กม. แบะตลอดการที่เดินมาคือเป็นการเดิน ปีน ไต่ บนสักเขาตลอดทางไง ไม่คิดว่าจะผ่านมันไปได้ เพื่อนบ่นแล้วบ่นอีก กูมาไต้หวันเพื่อมาปีนเขาเหรอวะเนียะ มันใช่เหรอ (ประมาณนี้) เอาน่า ประสบการณ์เว้ย ฮ่ะๆๆ หาข้าวกินแล้วนั่งรถกลับในเมืองกันต่อ ครั้งนี้ไม่ได้แวะหมู่บ้าน Jiufen เพราะคนเยอะมากกกกกกก เยอะแบบเยอะโคตร เดินเบียดกัน ต่อคิวกันขึ้นรถเมล์ ไม่ไหวๆ กลับเข้าไปในเมืองละกัน นั่งรถยาวๆ
พอกลับถึงตัวเมือง ดูเวลาอีกที อุ่ย 4โมงแล้วว่ะ บอกเพื่อนไปว่าขอครึ่งวันไปเดินเขา ฮ่ะๆๆๆ ที่ไหนได้ล่อไปเกือบทั้งวันเลย มันมาอ่านเจอนี่มันด่ากูนะเนียะ ฮ่ะๆๆ จากนั้นก็แยกทางกับน้อง น้องมันคงเหนื่อยจะกลับไปพักผ่อน ฮ่ะๆ ไว้เจอกันคืนนี้ละกัน
ส่วนกูและเพื่อนแม็กก็ยังมีเวลาก่อนค่ำ งั้นไปเดินเล่นรอบๆละกัน ไปไหนดีวะ ไปตึกไทเป101กันดีกว่า
เดินไปเรื่อยๆตามแผนที่แล้วจะเจอเอง ฮ่ะๆๆ เอ่อเดินในเมืองมันไม่บ่นเว้ย มันเดินสบายใจเฉิบเลย นั่นไงงงงงเจอตึกแล้ว เริ่มเข้าใกล้แล้วล่ะ เดินผ่านสวนสาธารณะอะไรไม่รู้ คนอยู่กันเต็มเลย เขาออกมานั่งเล่นกันตรงนี้ มีมาเล่นว่าวกันด้วย เห็นว่าวลอยขึ้นแล้วเห็นตึกไทเปด้วย มันเจ๋งดี รีบยกกล้องมาถ่ายเลย
เดินไปเดินมาจนเพลิน ค่ำซะละ ก่อนเข้าที่พักได้ลองเดินไปดูรอบๆว่ามีร้านไหนน่าสนใจบ้าง ที่เล็งๆไว้คือร้านเหล้าสไตล์ญี่ปุ่น งั้นกลับโรงแรมไปอาบน้ำ แต่งตัวแล้วค่อยไป
แต่พอเข้าไปในร้านจริงๆคือ ร้านแคบมาก อีกทั้งมันชาร์จค่าหัวคนละ800NTD เดินออกร้านแล้วไปร้านใกล้ๆนี่แหละ บรรยากาศชิลๆ สบายๆดี
เมนูทอดนี้แหละรสชาติถูกปาก อร่อยที่สุดตั้งแต่มาไต้หวันละ อร่อยจริงๆ ราคาไม่แพง ยกนิ้วให้เลย
และแน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ เบียร์ นี่แหละ เบียร์หลังจากปีนเขามาเหนื่อยๆนี่คือสุดยอดมาก แก้เหนื่อยไปได้เยอะเลย จำไม่ได้ไปดื่มไปกี่แก้ว น่าจะ 5-6แก้วนี่แหละ ไม่เมา กำลังพอดี ฮ่ะๆๆ
และแน่นอนนี่คือมื้อร่ำลาของพวกเรา ขอบคุณน้องเอิร์ทที่เป็นไกด์พาพี่ๆไปเดินเขามา การเดินทางมักจะมีความทรงจำดีๆให้ได้จดจำแบบนี้แหละ ได้พบปะผู้คนแปลกหน้า จนกลายเป็นคนรู้จัก ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลับเที่ยวด้วยกันได้เหมือนคนรู้จักกันมาก่อนเลย ขอบคุณมากจริงๆ ไว้มาญี่ปุ่นเมื่อไหร่เดี๋ยวเป็นไกด์พาตะลอนให้เอง เอ้าชนนนนนนนนแก้วววววววววววว คืนนี้ลากยาวไปเกือบเที่ยงคืน ฮ่ะๆๆๆ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า คืนนี้แยกย้ายกลับไปพักผ่อน
เช้านี้ตั้งใจว่าจะไปเดินเขาช้างเพื่อชมวิวเมืองไทเป แต่ด้วยความขี้เกียจที่เข้ามาครอบงำตั้งแต่เช้า ทำให้หลับต่อจนเพลิน ส่วนไอ่แม็กก็แบกกล้องแล้วออกไปเดินเล่นรอบๆ เที่ยวในเมืองแบบนี้ไม่ถนักจริงๆ งั้นเก็บกระเป๋ารอเช็คเอ้าท์ละกัน
พอใกล้เที่ยงกำลังจะออกห้องก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สวัสดีครับ ใกล้เวลาเช็คเอ้าท์แล้วนะครับ จากนั้นก็ไปเช็คเอ้าท์ คืนกุญแจ แล้วพนักงานก็บอกว่าห้องเรียบร้อยแล้ว แต๊งกิ้ว ตอนนั้นคือยัง งง อยู่ว่ายังไม่ได้จ่ายค่าที่พักเลย ก็เลยถามว่า ผมจ่ายค่ที่พักละเหรอ พนง ก็บอกว่า จ่ายแล้วผ่านบัตรเดบิตเลขนี้ๆ เอ๊ะ จ่ายตอนไหนวะ ยอดเงินในบัญชีก็ยังอยู่ครบ ไม่มีตัดยอดเลย งง ต่อไป
จากนั้นก็ออกที่โรงแรมแล้วเดินไปสถานีรถไฟ Taipei Main Station เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บในล๊อกเกอร์ ถ่ายรูปหน้าสถานีไว้หน่อย ตอนเดินกลับมาจะได้ไม่หลงจุด พอเดินเข้าไปก็ไปถามพนักงานว่าล๊อกเกอร์เก็บกระเป๋าอยู่ทางไหน แล้วก็เดินไปตามทางที่พนักงานบอก พอไปถึงคือเต็มมมมมมม ไปทางไหนก็เต็มหมด เดินไปหลายที่มาก เต็มทุกที่เลย เหลือแต่ตู้เล็กๆซึ่งยัดกระเป๋าเข้าไปไม่ได้แน่q
ก็เลยเดินย้อนกลับไปถามพนักงานอีกว่ามีตรงไหนอีกไหม พนักงานก็บอกว่าลองเดินไปทางนี้ดูนะ แต่ฉันคิดว่าคงเต็มแล้วเหมือนกัน แต่ลองเดินไปดุได้นะ จากนั้นก็รีบตรงไปอีกทาง เดินไปเรื่อยๆเห็นตู้ละ เต็ม เดินไปอีกก็เต็ม จนเดินไปเรื่อยๆถึงหน้าสตาบัค เช็คดู เห้ยยังมีว่างอีกเว้ย รีบเก็บเป๋าแล้วเดินออกไปเที่ยวต่อ
ที่แรกของวันนี้คือ วัดหลงซาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม็กมันอยากไปมากที่สุด ทริปนี้มันมาเพื่อวัดหลงซานโดยเฉพาะเลยนะ ฮ่ะๆๆ
แต่ก่อนเข้าวัด ขอหาไรกินก่อน ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลย หมดเรี่ยวแรงไปกับการหาล๊อกเกอร์เก็บกระเป๋า ก็เลยเดินเข้าไปในซอยหน้าวัด ไปหาไรกินสักหน่อย เหมือนเมืองเก่าเลยนะ เจ๋งดี
เดินเข้าไปได้ไม่ทันไรก็เหลือบไปเห็นขนมไรไม่รู้น่ากินดี ก็เลยสั่งมากินดูสักหน่อย สั่งไป2ชิ้น ชิ้นละ15บาทมั้ง รสชาติก็ไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ก็กินได้ แต่ไอ่แม็กมันยังไม่กิน เพราะมันบอกว่ายังกินไม่ลง อยากอ้วก มึงหาห้องน้ำให้กูที ฮ่ะๆๆๆ น่าจะอาการหลังการดื่มเบียร์ของมัน
เดินๆไปก้เจอป้ายชี้ทางไปห้องน้ำ เดินไปเรื่อยๆ ระยะทางก็แอบไกลอยู่นะ พอเดินไปถึงเท่านั้นแหละ โอเพ่น 1PM-6AM งานงอกแล้วไงล่ะ จะไปหาห้องน้ำได้ที่ไหนอีก ก็เลยแนะนำมันให้อ้วกลงถังขยะ ฮ่ะๆๆ
พอไม่เจอห้องน้ำก็เลยเดินย้อนกลับไปผ่านร้านชามุก งั้นก็แวะซื้อชาไข่มุกดื่มหน่อยคนละแก้ว พอกินชาไข่มุกเข้าไปเท่านั้นแหละ เหมือนอาการมันจะดีขึ้น ไม่ถามหาห้องน้ำแล้ว ฮ่ะๆๆ
งั้นก็ไปหาข้าวกินกัน อยากกินไรที่มันเป็นอาหารไต้หวันหน่อย เอาแบบโลคั้ลๆหน่อย เดินผ่านร้านคล้ายๆ ข้าวขาหมู ข้าวหน้าเป็ดไรพวกนี้ เดินเข้าไปสั่งอาหารที่ร้าน เห็นเมนูเท่านั้นแหละสตั๊นไปอีก มีแต่ภาษาจีน อ่านออกเฉพาะ หมู ไก่ ไรงี้ ภาษาอังกฤษไม่มีกำกับและคนขายก็พูดภาษาอังกฤศไม่ได้ เอาแล่วววววววว ต้องดึงสกลิภาษาจีนที่เคยเรียนเมื่อสมัย ม.ต้น มาใช้สื่อสาร เอ่อ ภาษาจีนกูแม่งก็ยังใช้การเอาตัวรอดได้เว้ยเห้ย เพื่อน อึ้ง เลยทีนี้ ฮ่ะๆๆๆ
จากนั้นก็ได้เวลาไปวัดหลงซานกันแล้ว เดินไม่ไกลแป๊บๆก้ถึง เอามึงเข้าไปเลย เข้าไปไหว้ ไปขอพรให้เต็มที่ไปเลยเพื่อน เดี๋ยวกูเดินดูรอบๆรอละกัน เดินเข้ามาในวัดหลงซานนี่คือแบบคนโคตรเยอะ ตอนนั้นคือนึกถึงวัดพระแก้วเลย บรรยากาศเดียวกัน เดินแทบจะเบียดกันชนกันเลยทีเดียว
พอเสร็จจากวัดหลงซาน สถานีต่อคือ อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก Chiang Kai-Shek Memorial Hall เดินทางไปไม่ยากจากวัดหลงซาน ลองเปิดบนแผนที่ดูนะ จำไม่ได้เหมือนกัน ฮ่ะๆๆ
ที่นี่ก็คนเยอะเช่นกัน จะถ่ายรูปมุมไหนก็มีคนติดเข้ามาด้วยตลอด แต่มันกว้างมากๆ เป็นเที่ยวสถานที่แบบนี้ไม่เป็นจริงๆ เดินแป๊บๆก็เบื่อ เพราะมันไม่มีไรให้ท้าทายเหมือนเข้าป่าเขา ฮ่ะๆๆ
สถานีต่อไปคือ วัดซินเทียง คือไม่ได้วางแผนมาก่อนหรอกว่าวันนี้จะไปไหนๆ มีแค่วัดหลงซานที่วางแผนไว้ นอกนั้นก็หาๆเอาอีกที ก็เลยมาลงเอยที่วัดนี้ นั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมาลงสถานีซินเทียง
หลังจากไปวัดซินเทียงก็คิดไม่ออกละว่าจะไปไหนต่อดี ฮ่ะๆๆ เอาไงต่อดีวะ ไปไหนต่อดี คือคำถามที่ต้องถามกันตลอด ไม่ชินจริงๆกับการต้องถามนั่นถามนี่ เพราะที่ผ่านมาคือเดินทางคนเดียวมาตลอด แต่มากับเพื่อนมันก็สนุกไปอีกแบบ
ไม่รู้จะไปไหนกันละ เดินไปเรื่อยๆ ก็เย็นแล้ว งั้นหาข้าวกินก่อน หมดแรงอีกละ มื้อนี้ก็กินนี่เลย ข้าวหน้าหมู ซึ่งดูจากหน้าร้านมันน่ากินมากๆ เนื้อนุ่มๆงี้ ป่ะสั่งกินสักหน่อย คำแรกที่กินเข้าไปคือ อื้อออหือออออ มันแข็งโป๊กเลย เคี้ยวเนื้อจนปวดกรามหมด ฮ่ะๆๆ แต่แม่งกินหมดไง หิว เสียดายเงิน เอ่อลืมบอกก่อนมาร้านนี้ไปสั่งชาไข่มุกมาเว้ย เป็นรสชาติ Taiwan traditaional taste งี้ก็เลยสั่ง ดื่มคำแรกก็แทบอ้วก ทิ้งมันไปทั้งแก้วที่ร้านข้าวนี่แหละ กินต่อมีหวังอ้วกหนักแน่นอน ฮ่ะๆๆ
งั้นขอแก้ตัวที่ร้านชาไข่มุกนี่หน่อยละกัน จริงๆคือไม่ได้ติดชาไข่มุกเลยนะ แต่มีเพื่อนๆและพี่ๆคอยยุว่า เห้ยๆไปชิมชาไข่มุกแล้วมารีวิวหน่อยดิ ไปร้านนี้ดิ เจ้านี้ดิ ไปกินหน่อยๆ ฮ่ะๆๆ งงใจเลย อ่ะจัดแก้วนี้ไปหน่อย ร้านนี้คนไม่เยอะเลย ไม่ต้องต่อคิวยาวเหมือนญี่ปุ่น ชิลๆ แป๊บๆก้ได้มาละ เอาจริงๆรสชาติชาไข่มุกไทยนี่อร่อยกว่าจริงๆ มุกก็แยกไม่ออกว่าแตกต่างจากไทยยังไง ฮ่ะๆๆ กินๆไปก้พอละเนอะ
หลังจากกินข้าวกินน้ำ หาซื้อของเสร็จก็ล่อไป2ทุ่มกว่าๆแล้ว กลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปเอากระเป๋าแล้วเดินทางไปสนามบินเลยละกัน คืนนี้ไปนอนที่สนามบิน เพราะพรุ่งนี้มีบินไฟลท์เช้าทั้ง2คน ก็เดินไปสถานีปกติ เดินไปถึงก็มองหาทางที่เมื่อเช้าเดินเข้าไป แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับหน้าตาทางเข้าเลย เดินจนวนครบ1รอบของสถานีรถไฟ เดินเข้าไป เอ๊ะทำไมคนเยอะแบบนี้วะ ปกติเดินเข้าไปแล้วมันต้องมีต้นไผ่อยู่ด้านล่าง มันจะดูดีเหมือนสนามบินหน่อย แต่ทำไมนี่ไม่ใช่วะ เอ้าเดินอีกครั้ง เอ๊ะไม่ใช่ เริ่มสงสัยละว่าต้องผิดที่แน่ๆ ก็เลยเปิดรูปที่ถ่ายหน้าสถานีเมื่อเช้าขึ้นมาดู นั่นไง ผิดจนได้ มันต้องเป็นตึกเหมือนด้านบนนี้ ฮ่ะๆๆๆ จากนั้นก็เปิดแผนที่แล้วเดินไปสถานีนี้ ซึ่งมันก็ไม่ไกลจากสถานีนี้เลย ฮ่ะๆๆ สงสัยเที่ยวจนเบลอแน่ๆ พอไปถึงก็จ่ายเงินค่าฝากกระเป๋าแล้วเดินทางไปสนามบินกัน เหนื่อยและง่วงนอนมาก
พอถึงสนามบินนั่งๆนอนๆ พอตกค่ำๆหน่อยก็เริ่มหิวละ เปลี่ยนผ้าล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปดูศูนย์อาหารหน่อย ตอนนั้นยังเปิดอยู่2ร้าน ซึ่งมีร้านนี้ที่มีเมนูเหมือนกระเพาไข่ดาว ไก่ต้มข้าวมันไก่เลย งั้นจัดสักหน่อยเพื่อรสชาติจะไทย ฮ่ะๆๆ แต่ก็รสชาติไต้หวันอยู่ดี กินหมด พอกินเสร็จก็ไปหาที่นอนด้านบน ความจริงนอนในศูนย์อาหารตรงนี้ก็ได้ คนนอนกันเยอะมาก แต่กลิ่นอาหารก็แรงติดเสื้อเช่นกัน ก็เลยขึ้นไปหาที่นอนด้านบน
ไฟลท์บินกลับโอซาก้าคือ 06:40 Tigerair ส่วนไฟลท์บินกลับกรุงเทพของไอ่แม็กคือ 07:00 มั้ง ก็เลยคิดว่าไว้ตี5ค่อยไปเช็คอิน ไปๆมาๆหลับเพลินตี5กว่าๆแล้ว จริงๆมันเปิดให้เช็คอินตั้งแต่ตี3กว่าแล้ว ฮ่ะๆๆ ละเกตขึ้นเครื่องก้อยู่คนละฝั่งกัน เช็คอิน ตรวจสัมภาระเสร็จก็ต้องแยกกันไปคนละทางเลย ทริปนี้ก็จบที่นี่ ขอบคุณสำหรับทริปนี้นะไอ่เพื่อนยาก ไว้มีโอกาสกูจะพาไปลุยเขาอีก ฮ่ะๆๆๆ
เดินไปขึ้นเกตคือไปต่อแถวขึ้นเครื่องเลย ไม่ได้แวะนั่งหรือแวะไหนเลย ละเป็นกลุ่มสุดท้ายของไฟลท์ที่ขึ้นเครื่องด้วย ก็เลยสงสัยว่ากูเกือบสายขนาดตกเครื่องละเหรอเนียะ ฮ่ะๆๆ แต่ก็ไม่ตก เพราะทันขึ้นเครื่องพอดีเป๊ะๆ
ขึ้นเครื่องพร้อมเดินทางกลับไปทำงานญี่ปุ่นแล้ว หมดแล้วสำหรับวันหยุดพักร้อนของปีนี้ ไปทำงานญี่ปุ่นได้ยังไม่ถึงปีก้ลาพักร้อนกลับมาไทยแล้วเที่ยวไต้หวันต่อ ใช้วันหยุดได้คุ้มค่ามากๆละ
ขอบคุณผู้ร่วมทริป ไอ่เพื่อนแม็ก น้องเอิร์ท และขอบคุณไต้หวัน ทริปนี้เป็นทริปแรกในชีวิตที่มีคนไปร่วมทริแเที่ยวต่างประเทศด้วย ได้เรียนรู้หลายๆอย่างของการเที่ยวแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาคือเที่ยวคนเดียว เดินทางคนเดียวมาตลอด จึงชินการกับทำอะไรและตัดสินใจเองทั้งหมด แต่เที่ยวกับเพื่อนก็สนุกไปอีกแบบ เพราะได้หัวเราะ มีเพื่อนกิน มีเพื่อนคุยตลอดทางการเดินทาง
ไว้มีโอกาสแล้วจะกลับมาแก้ตัวและไปในที่ๆยังไม่เคยไปอีกแน่นอน แล้วเจอกันกับบันทึกการเดินทางต่อไป
ปิ ด ท ริ ป ไ ต้ ห วั น จ บ ข่ า ว
ล่ามติดเที่ยว
วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.24 น.