จางเจียเจี้ย ดินแดนอวตาร เกินกว่าจินตนาการจะหยั่งถึง
ตามที่ได้บอกไว้ว่าแม้เราจะอยู่ที่เมืองจางเจียเจี้ย แต่สำหรับอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อวตารนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่ หากแต่ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า วู่หลิงหยวน (Wulingyuan) ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เราจึงต้องเดินทางไปเมืองแห่งนั้น โดยมีรถประจำทางออกจากสถานีขนส่งเมืองจางเจียเจี้ยทุกชั่วโมง
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองวู่หลิงหยวน เมืองนี้เล็กและเงียบสงบมาก แม้จะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยที่โด่งดังระดับโลก แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้คึกคักไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว สาเหตุคงเป็นเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ซึ่งมากับทัวร์ เลือกที่จะพักในตัวเมืองจางเจียเจี้ยที่อยู่ไม่ไกลและเจริญกว่าแทน ผู้คนที่นี่จึงดูมีน้ำใจและเป็นกันเอง อย่างเหล่าซือ (อาจารย์) ซึ่งเป็นคนดูแลโรงแรมที่เราเลือกพัก ก็น่ารัก คุยเก่งและใจดีมากๆ เพราะนอกจากจะบอกทางไปอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยแล้ว ยังออกค่าแท็กซี่ให้เราอีกในราคา 5 หยวน
อุทยานแห่งชาติจางเจียงเจี้ยมีความสำคัญในฐานะเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศจีน โดยทางการจีนประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปีพ.ศ.2525 มีพื้นที่มากถึง 480 ตารางกิโลเมตร พื้นที่มากขนาดนี้เส้นทางท่องเที่ยวในอุทยานจึงมีหลายเส้นทาง หากจะเที่ยวให้ครบทุกเส้นทางคงต้องใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ แต่เรามีเวลาไม่มากนัก จึงเลือกเที่ยวในเส้นทางไฮไลท์ โดยวันนี้เที่ยวชมในโซนทิศใต้ของอุทยาน เริ่มที่เส้นทางภาพวาดสิบไมล์ (Ten-mile Gallery) หรือที่บริษัททัวร์หลายแห่งจากเมืองไทยตั้งชื่อไว้เพราะพริ้งว่า เส้นทางภาพวาดหมื่นลี้ เป็นที่แรก
จากจุดจำหน่ายบัตร เราเดินเข้าสู่สถานีรถของอุทยาน ที่นี่มีหลายเส้นทางให้เลือกตามจุดหมายที่จะไป รถของอุทยานพาเราลัดเลาะหุบเขาและเลียบไปตามทะเลสาบอันกว้างใหญ่สู่จุดเริ่มต้นของการชมภาพวาดหมื่นลี้ ทีแรกก็เดากันไปต่างๆนานาว่า ภาพวาดหมื่นลี้คืออะไร จะเหมือนภาพวาดสมัยก่อนประวัติศาสตร์แบบที่ผาแต้มบ้านเราหรือเปล่า แต่กลายเป็นว่า ภาพวาดหมื่นลี้ที่ว่านี้คือภาพแห่งทิวเขารูปทรงแปลกตาที่ทอดตัวยาวเหยียด เหมือนอย่างกับภาพวาดของศิลปินจีนที่รังสรรค์ภาพความจริงของธรรมชาติให้งดงามราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
การชมทิวเขาที่เป็นเหมือนดั่งภาพวาดมีให้เลือก 2 รูปแบบคือ การนั่งรถไฟรางเดียว ที่สะดวกสบายเพราะไม่ต้องเดินให้เมื่อยขา แต่อาจต้องเสียเวลารอต่อคิวนานหน่อย กับการเดินทอดน่องไปตามทางเดินที่ขนานกับรางรถไฟ ที่สามารถซึมซับความงดงามของขุนเขาได้มากกว่า
เส้นทางเดินทอดยาวพาดผ่านไปตามขุนเขานั้นแต้มเติมความเขียวขจีด้วยแมกไม้และความงดงามของมวลดอกไม้สีขาว สีเหลือง และสีชมพู สร้างความสวยงามให้กับการมองเห็นเป็นยิ่งนัก อีกทั้งขุนเขาเองก็มีรูปทรงที่แปลกตาชวนให้จินตนาการว่าเจ้าขุนเขาเหล่านี้มีรูปร่างเหมือนอะไร จนเมื่อเส้นทางสิ้นสุด ขุนเขาอันเป็นปลายทางจึงเผยรูปร่างแสนงดงามให้ได้เห็น โดยเป็นเขา 3 ลูกพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เพราะชาวจีนมองแล้วมีจินตนาการว่าเหมือนผู้หญิง 3 คน จึงตั้งชื่อว่า เขา 3 อนงค์ ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกสวยน่ายลไปเสียทุกมุมมอง
เรานั่งรถของอุทยานเพื่อเดินทางต่อไปยังเส้นทางแส้ทอง (Golden whip stream) จุดเด่นของเส้นทางนี้คือการเดินลัดเลาะไปตามธารน้ำใส ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขารูปทรงแปลกตา ซึ่งยิ่งใหญ่และอลังการกว่าขุนเขาแห่งภาพวาดหมื่นลี้เสียอีก เส้นทางสายนี้มีระยะทางยาวไกลถึง 5,700 เมตร ใช้เวลาเดินแบบซึมซับความบริสุทธิ์ของผืนป่ายาวนานหลายชั่วโมง
เราเดินไปตามเส้นทางที่ถูกทำไว้อย่างดี โดยเลียบเลาะไปตามลำธารใสบริสุทธิ์ สองข้างทางโอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจีให้ความรู้สึกสบายตาเมื่อได้มอง เลยถัดไปเป็นขุนเขาสูงตระหง่านที่มีรูปทรงที่แปลกตายิ่งนัก ยิ่งเดินลึกเข้าไปจึงยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยความใสสว่างของแผ่นฟ้า ความใสสะอาดของผืนน้ำ และความใสบริสุทธิ์ของสายลมที่พัดผ่าน ผสมกับแสงแดดอ่อนๆที่สร้างความรู้สึกสดชื่นให้กับชีวิต
สายน้ำยังคงพาเราให้หายลับเข้าไปในผืนป่า ยิ่งสองเท้าก้าวพาร่างกายเข้าไปลึกมากเท่าใด ทิวทัศน์แห่งขุนเขาก็ยิ่งตระการตามากขึ้นเท่านั้น จนเหมือนประหนึ่งว่านี่คือดินแดนแห่งอวตารที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้
เข็มวินาทีหมุนวนไปกว่าหมื่นรอบ กับระยะทางที่ก้าวเดินผ่านไป 5,700 เมตร เราจึงมาถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางแส้ทอง ณ ที่แห่งนี้ถูกสร้างเป็นสวนดอกไม้ที่แสนสวยงาม ทั้งดอกท้อที่ออกดอกสีชมพูเข้ม ตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของขุนเขา ดอกซากุระที่แง้มกลีบบานท้าทายกับสายลม และมวลดอกไม้อีกนานาพันธุ์ ที่ต่างผลิบานเหมือนเป็นการโบกมือลาให้กับผู้มาเยือนที่กำลังจากไปด้วยความประทับใจยิ่ง
เรานั่งรถประจำทางที่จอดรอรับนักท่องเที่ยวจากอุทยานฯเพื่อกลับสู่ตัวเมืองวู่หลิงหยวน สำหรับอาหารเย็นของวันนี้สร้างความหวาดเสียวให้กับเรามิใช่น้อย เพราะบรรดาร้านอาหารนั้นต่างมีเมนูเปิบพิสดารอยู่ทุกร้าน ไม่ว่าจะเป็นแมงป่อง คางคก เราจึงสั่งอาหารพื้นๆอย่างเนื้อไก่ แต่เราก็ต้องร้องเสียงหลงแล้วรีบยกมือห้ามเจ้าของร้านทันที เพราะแกเปิดกรงที่ขังไก่ฟ้าที่ยังมีชีวิต เพื่อจะจับมันไปเชือดต่อหน้าต่อตา สุดท้ายเย็นนี้เราจึงเลือกอาหารมังสาวิรัติ ที่มีเพียงเต้าหู้ ผัดผัก และสาหร่าย
วันรุ่งขึ้นเราออกจากที่พักแต่เช้า เพื่อซึมซับความสวยงามของอุทยานจางเจียเจี้ยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จุดหมายวันนี้อยู่ในโซนทิศเหนือของอุทยาน เริ่มจาก ภูเขาเทียนสือ (Tianzi) ไฮไลท์อันดับ 1 ของอุทยาน เนื่องจากเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อวตาร ทำให้นักท่องเที่ยวต่างเฮกันมายังสถานที่แห่งนี้
หลังจากนั่งรถของอุทยานไปยังสถานีเคเบิลคาร์ สิ่งที่เห็นคือแถวที่ต่อกันยาวเหยียดเป็นงูเลื้อย ทีแรกคาดคะเนดูด้วยสายตากับอัตราการเคลื่อนตัวของแถวแล้วก็พอทำใจได้ แต่ที่ไหนได้ เมื่อเราค่อยๆเดินไปตามการเคลื่อนตัวของแถวไปยังด้านบน จึงพบว่าที่เห็นจากด้านล่างนั้นเป็นแค่งูเขียวหางไหม้ แต่แถวที่ต่อกันไปตามขั้นบันไดนี่สิ คืองูตัวใหญ่ระดับอนาคอนดา ดูแล้วแทบไม่เห็นอนาคตเลยว่าเราจะได้ขึ้นไปยังสถานีเคเบิลคาร์ที่อยู่ด้านบนได้เมื่อไหร่ แถมระหว่างการต่อแถวยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีนบางคนเห็นแก่ตัวแซงแถวหน้าตาเฉย แต่ที่น่าแปลกคือ ชาวจีนที่ถูกแซงกลับไม่ได้ว่าอะไรสักคำ!
ภาพจากภาพยนตร์เรื่องอวตารมีให้เห็นตลอดทาง เป็นการเรียกน้ำย่อยไปในตัว โดยภาพที่เลือกมาติดนั้นล้วนเป็นภาพที่ถ่ายทำจากภูเขาเทียนสือทั้งสิ้น จนชักไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลระดับโลกนั้น เป็นเพราะเทคนิคการถ่ายทำ หรือจากความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถรังสรรค์ได้ทัดเทียม
ยืนรอไปรอมาก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีเสียงเพลงแว่วมา แถมยังมีเสียงเฮฮาจากด้านบน จนเมื่อเราเคลื่อนตัวไปถึงยังจุดนั้นจึงได้เห็นว่าทางอุทยานฯเอาชุดคาราโอเกะมาตั้งไว้เพื่อบรรเทาความเครียดจากการต่อแถว จึงมีชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ฆ่าเวลาและความเครียดด้วยการร้องคาราโอเกะ ส่วนคนที่ต่อแถวก็กลายเป็นคนดูที่เฮฮาไปกับลีลาการร้องเพลงของนักร้องสมัครเล่นจนเหมือนเปิดมินิคอนเสิร์ตกันทีเดียว
เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง สถานีเคเบิลคาร์จึงอยู่ตรงหน้า แล้วอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเคเบิลคาร์ก็พาเราเหินฟ้าไปตามสายเคเบิลที่พาดผ่านหุบเขาที่ปกคลุมด้วยความเขียวขจีของเรือนยอดไม้ สู่เหล่ากลุ่มภูเขารูปทรงแปลกตา เหมือนประหนึ่งหลุดเข้าไปยังโลกอีกใบที่สวยงามตระการตากว่าโลกที่เราคุ้นเคย
เมื่อเคเบิลคาร์พาเราถึงสถานีด้านบน ก็ได้เวลาที่เราจะได้ใช้สองขาเดินไปตามจุดชมวิวเลียบเลาะหน้าผาที่ทอดยาว เพื่อชมทิวทัศน์อันแปลกตาของภูเขาเทียนสือ โดยมีลักษณะเป็นแท่งๆ ยอดแหลมบ้าง ยอดตัดบ้าง ชวนให้นึกถึงฉากในภาพยนตร์เรื่องอวตาร ที่ตัวเอกของเรื่องขี่นกยักษ์บินโฉบไปโฉบมา ผ่านยอดเขาหลายยอด ที่แต่ละยอดต่างพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จะมีความต่างก็เพียง ของจริงนั้นไม่มีภูเขาที่ลอยได้อย่างในภาพยนตร์ เพราะนั่นคือจินตนาการที่มีอยู่เฉพาะในดินแดนแห่งอวตารเท่านั้น แต่แค่ภาพเหล่ากลุ่มภูเขาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าโดยมีม่านหมอกบางๆก็สร้างความอัศจรรย์ให้กับสายตามนุษย์เดินดินจนต้องยืนตาค้างมองภาพอันแสนงดงามและยิ่งใหญ่ไปเสียนาน
เราเดินทางต่อไปในเส้นทางหยวนเจียเจี้ย (Yuanjiajie) การไปถึงนั้นต้องนั่งรถของอุทยานไปตามถนนที่ทอดยาวผ่านขุนเขา แน่นอนว่าเราต้องต่อแถวในการรอขึ้นรถอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ดูแล้วไม่ยาวเหยียดเหมือนตอนรอขึ้นเคเบิลคาร์ แต่ยังคงมีการแซงคิวแบบไม่เกรงใจใครของชาวจีนปรากฏให้เห็น ดีที่เจ้าหน้าที่ที่จุดนี้เข้มงวดมาก หากใครหน้าไหนคิดแซงคิวเป็นได้โดนด่าแบบไม่เกรงใจ
ลักษณะเส้นทางท่องเที่ยวหยวนเจียเจี้ยนั้นคล้ายๆกับเส้นภูเขาเทียนสือ คือการเดินชมวิวตามหน้าผา แต่มีความต่างตรงที่ ลักษณะภูเขาของหยวนเจียเจี้ยเป็นภูเขาลูกใหญ่ๆ ไม่ใช่เป็นแท่งๆแล้วพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าเหมือนเทียนสือ สำหรับจุดเด่นของที่นี่คือสะพานหินธรรมชาติ โดยเขาตั้งชื่อว่า No.1 National Bridge in the world ดูๆไปแล้วคล้ายๆสะพานหินธรรมชาติที่เมืองอู่หลง ที่เราเพิ่งไปชมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพียงแต่การเดินเที่ยวชมที่อู่หลงนั้น เราเดินชมจากด้านล่าง โดยสะพานหินนั้นทอดตัวเหนือศีรษะเรา แต่ที่นี่เขาทำทางเดินให้เราเดินบนสะพานหิน ตำแหน่งตรงกลางของสะพานสร้างเป็นศาลเจ้า เดินไปชมวิวเบื้องล่างไปก็อดทึ่งในธรรมชาติไม่ได้ที่รังสรรค์ความงดงามและยิ่งใหญ่ตระการตาได้ขนาดนี้
เพราะเวลาในการเดินทางมีจำกัด จากหยวนเจียเจี้ยเราจึงเลือกที่จะเดินทางสู่เบื้องล่างโดยใช้บริการลิฟท์ที่ทอดตรงสู่สถานีรถประจำทาง แทนการนั่งรถบัสของอุทยานฯที่ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งเวลารอนานนับชั่วโมง
รถประจำทางพาเรามาส่งที่ตัวเมืองวู่หลิงหยวน ณ จุดนี้มองย้อนกลับไปเห็นภูเขานับร้อยนับพันลูกของอุทยานจางเจียเจี้ยพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายหมอกเริ่มแผ่ตัวอีกครั้ง เสมือนหนึ่งกำลังซ่อนขุนเขานี้ให้หายไปจากสายตามนุษย์ แม้โลกใปนี้จะถูกสำรวจไปแทบทุกซอกทุกมุม แต่ก็เชื่อว่าบนผืนดินอันกว้างใหญ่ยังคงมีความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติซุกซ่อนไว้ เสมือนหนึ่งดินแดนแห่งอวตารที่ยังคงเก็บงำความงามและความบริสุทธิ์ไว้อย่างนิรันดร์
ตลอดเวลาแห่งการเดินทางเวลาที่ผ่านมาสร้างความทรงจำที่ดีให้กับผมมากยิ่งนัก แต่การเดินทางกับเพื่อนที่คุ้นเคยใกล้หมดลงทุกที หลังจากเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น ชีวิตการเดินทางของผมก็จะเปลี่ยนรูปแบบสู่การเดินทางเพียงคนเดียว ที่แม้จะเงียบเหงาบ้างในบางที แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ผมจะได้รู้จักตัวเองมากกว่าที่เคย
ข้อมูลการเดินทางและเข้าชม
อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยตั้งอยู่ในเมืองวู่หลิงหยวน ห่างจากตัวเมืองจางเจียเจี้ย 32 กิโลเมตร มีรถประจำทาง และรถไฟวิ่งระหว่าง 2 เมืองนี้ตลอดทั้งวัน
การเข้าชมอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยมีบัตรเข้าชมให้เลือก 2 แบบคือ แบบ 7 วันราคา 298 หยวน กับแบบ 3 วันราคา 245 หยวน (รวมค่ารถวิ่งรับส่งจากที่ทำการอุทยานไปยังเส้นทางท่องเที่ยวต่างๆในอุทยาน)
ค่าเคเบิลคาร์ขึ้นภูเขาเทียนสือ 52 หยวน
ค่าลิฟท์ลงจากหยวนเจียเจี้ยสู่สถานีรถประจำทางด้านล่าง 56 หยวน
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.50 น.