อย่าปล่อยให้ความเครียดจากงาน มาทำให้พื้นที่แห่งความสุขของคุณหายไป
ลองพักจากงานแล้วออกเดินทางไปเปิดมุมมองใหม่ ๆ
เก็บเอาความเครียดทิ้งไป หันมาเก็บเกี่ยวความสุขจากการพักผ่อนกันที่ ‘จังหวัดอุดรธานี’
อุดรธานี เป็นหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองแห่งดินแดนอีสาน ที่มากมายด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ .. สำหรับรีวิวชุดนี้ เราจะพาทุกคนมาพักผ่อนกันแบบ 2 วัน 1 คืน กับความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคกันค่ะ ตามกันมาได้เลย
Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปอุดรธานี 2 วัน 1 คืน
Day 1 : ออกเดินทางจากกรุงเทพ > คำชะโนด > อำเภอเมือง
Day 2 : อำเภอเมือง > เดินทางกลับกรุงเทพ
วันแรกของการเดินทาง : 16 พฤศจิกายน 2562
จุดเริ่มต้นของทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อนที่ทำงาน เพื่อไม่ให้เบียดเบียนวันทำงาน แพลนเราจึงจำเป็นต้องไปในวันเสาร์-อาทิตย์ .. ครั้งนี้ เราจองผ่านแอพลิเคชั่น Taveloga โดยจองตั๋วเครื่องบินพร้อมจองที่พักพร้อมกันไปเลยในแอพเดียว สะดวก กดจองง่าย แถมมีโปรส่วนลดให้ด้วย (ไม่ได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใด รีวิวจากการใช้งานจริงแล้วรู้สึกพึงพอใจ จึงอยากบอกต่อ)
เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยสายการบินนกแอร์ เวลา 05.55 น. ถึงสนามบินอุดรธานีเวลา 7.00 น. เราใช้เวลาบินประมาณ 50 นาทีก็ถึงจุดหมายกันแล้ว และนี่เป็นวิวปีกเครื่องบินจากที่นั่ง 54K .. ที่เราเลือกบินไฟลท์เช้าเพราะจะได้มีเวลาเดินทางต่อไปยังคำชะโนดเลยค่ะ ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของทริปนี้ ..
จากสนามบินเราต้องไปขึ้นรถที่ สถานีขนส่งเก่าจังหวัดอุดรธานี เพื่อไปขึ้นรถโดยสารคันสีส้ม อุดร-บ้านดุง .. วิธีที่จะออกจากสนามบินมาตัวเมืองก็มีหลายวิธี เช่น เช่ารถขับเองจากบริษัทรถเช่า, เหมาแท็กซี่ราคา 200 บาท หรือจะนั่งรถตู้ คนละ 80 บาท แต่ 3 วิธีข้างต้นนั้น ‘เราไม่เลือก’ .. แต่เราเลือกที่จะเดินออกมาเรียกรถสามล้อหรือสกายแลป (เคยนั่งครั้งนึงตอนไปเที่ยวเชียงคาน) ที่เข้ามาส่งผู้โดยสารแล้วกำลังกลับออกไป เราเลยได้ในราคา 150 บาท เรามา 3 คนตกคนละ 50 บาท ซึมซับบรรยากาศยามเช้ากันหน่อย ~ อากาศดี๊ดี
เมื่อมาถึง บขส.เก่าจังหวัดอุดรธานี เราเดินตรงมาซื้อตั๋วเพื่อไปยังบ้านดุง ซึ่งค่าโดยสารจะอยู่ที่ 45 บาทต่อคน ให้นั่งไปจนสุดสายจนถึงสถานีขนส่งบ้านดุง รถเราออกเวลา 8.30 น. ถึงที่บ้านดุงประมาณ 10.00 น. แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายจะได้ไม่โดนแดดค่ะ
จาก บขส.บ้านดุง เราต้องเหมาตุ๊กๆต่อเพื่อไปยังคำชะโนด ซึ่งห่างกันประมาณ 18 กม. ราคาเหมา 200 บาท ถ้ามาหลายคนก็หารๆกันค่ะ คุ้มกว่า .. สองข้างทางที่จะไปยังคำชะโนด มีขายบายศรีหลากหลายรูปแบบ ราคาก็ตามแต่ละขนาดและความประณีตของบายศรี
คำชะโนด ตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดศิริสุทโธคำชะโนด เป็นวัดที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคและเป็นทางเชื่อมต่อเมืองบาดาล ปกครองรักษาโดยพญานาคราชปู่ศรีสุทโธและองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี และมีตำนานลี้ลับอันโด่งดังที่เป็นที่รู้จัก จนถูกมาสร้างเป็นภาพยนตน์อย่างเรื่อง ‘ผีจ้างหนัง’ .. เรามาซื้อพานบายศรีกันก่อน .. เราเลือกพานบายศรีแบบสองเศียร สำหรับขอพรบารมี ราคา 199 บาทค่ะ
บริเวณทางเข้า เป็นเส้นทางเดียวที่เข้าไปยังป่าคำชะโนด การเข้าไปสักการะต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไปเท่านั้น
ระหว่างทางที่เดินเข้าไป จะได้รับความร่มรื่นจาก ต้นชะโนด ขึ้นอยู่รอบๆ ทำให้อากาศไม่ร้อนและเย็นสบาย
เดินไปเรื่อยๆตะพบกับรอยแยก อยู่ตรงรอยต่อระหว่างน้ำและพื้นเกาะค่ะ คนในพื้นที่เค้าเล่าต่อๆกันมาว่า รอยตรงนี้พยายามจะต่อให้ติดกันมันจะแตกออกตลอดเลย เค้าเลยเชื่อกันว่าเป็นรอยต่อระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล
จุดหลักๆจะมีด้วยกัน 3 จุด คือ จุดที่ 1 บูชาเจ้าปู่เจ้าย่า “นาคศรีสุทโธและนาคีศรีปทุมมา” ตรงจุดนี้ผู้คนต่างนำดอกไม้หรือบายศรีมาสักการะบูชา จะมีพราหมณ์คอยเกริ่นนำให้พูดตามเป็นรอบๆไป
จุดที่ 2 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำน้ำกลับไปบูชาได้ (ปล.ใครนำขวดมากรอก แล้วถือขึ้นเครื่อง สายการบินอาจจะไม่ให้นำขึ้นเครื่องนะคะ)
ใกล้ๆ กันมีฆ้องขนาดใหญ่แขวนอยู่ ว่ากันว่าใครที่ลูบฆ้องแล้วมีเสียงดังก้องกังวาน คำปรารถนาจะเป็นจริง และมีโชคมีลาภเข้ามา
จุดที่ 3 ต้นมะเดื่อยักษ์ ที่มีอายุกว่า 100 ปี เป็นสถานที่โปรดของนักเสี่ยงโชคตีเลขเด็ดกันต่างๆนานาแล้วแต่โชคของแต่ละคน (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)
ขากลับเราเหมารถสกายแลปมาส่งที่ บขส.บ้านดุง เช่นเดียวกันกับขามาค่ะ ราคาเดิม 200 บาท ควรถามรอบรถที่จะเข้าอุดรมาด้วยนะ จะได้กะเวลาได้ถูกไม่ต้องรอนาน เรากลับรถรอบ 14.20 น. ในราคาเดิม 45 บาท
เรามาถึง บขส.เก่าอุดร ประมาณ 16.00 น. เราเลยตรงเข้าที่พักเลย .. คืนนี้เราพักกันที่ เคลย์ โฮเต็ล อุดรธานี (CLAY HOTEL UDONTHANI) เป็นโรงแรมเปิดใหม่อยู่ใจกลางเมือง ห่างจากสนามบินอุดรประมาณ 7 กิโลเมตร โรงแรมได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาในยุคบ้านเชียงผสมผสานกับการออกแบบสไตล์ลอฟท์ มีห้องพักจำนวน 48 ห้อง ประเภทห้องพักแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ Twin Room, King Room, Family Room
เราเลือกห้องพักประเภท Family Room สำหรับนอน 3 คน มี 2 เตียง (เตียงใหญ่ 1 เตียงเดี่ยว 1) มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
สนใจติดต่อสอบถาม/สำรองห้องพัก ติดต่อ
Tel : 0828229452 / 042222229
FB : Clay Hotel Udonthani
Website : www.clayhoteludonthani.com
มื้อเย็นของเราตกลงปลงใจกันว่าจะไปทาน VT แหนมเหนือง มาถึงอุดรจะไม่ลองก็ไม่ได้ ต้นตำรับเค้าอยู่ที่นี่ เราไปที่สาขาใกล้ๆวัดโพธิสมภรณ์ สาขานี้เป็นสาขาแรก เราใช้บริการ Grab มาในราคา 70 บาท .. เมนูที่เราสั่งก็จะมีแหนมเนืองชุดเล็ก (3 คนกินเหลือๆ) กุ้งพันอ้อย กระยอทอด ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 549 บาท
หลังจากนั้น เราไปเดินย่อยกันที่ถนนคนเดินอุดร จะมีทุกๆวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. - 22.00 น. เป็นถนนคนเดินที่ค่อนข้างใหญ่ มีสินค้า อาหาร เยอะแยะมากมาย ใช้บริการ Grab อีกเช่นเคย ^^
ระหว่างทางเดินผ่านศาลหลักเมืองก็เลยเดินเข้ามาสักการะเพื่อควาทเป็นสิริมงคลกันสักหน่อย เสี่ยงเซียมซีอีกสักเล็กน้อย ก่อนเดินกลับไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากถนนคนเดินประมาณ 400 เมตร เดินได้สบายๆค่ะ
ก่อนจบวันแรกมีอีก 1 ร้านที่เราอยากมาลองทานมาก อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพักพอดีเลย ชื่อว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวดาวเทียม เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังอยู่ใกล้ๆกับ กสท.โทรคมนาคม เปิดขายเฉพาะกลางคืน เน้นขายเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หมูก็มีขายแต่ไม่มีน้ำซุป มีเป็นลูกชิ้นหมู ร้านนี้ทำลูกชิ้นเอง ทานกับกะปิ พริกเขียวเผา ชามละ 40 บาท พิเศษ 50 บาท ร้านเปิดเวลา 16.00 น. - 04.00 น. แต่เราตัดสินใจไม่ทานเพราะอิ่มแหนมเนืองมากจริงๆ ยังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลองทาน ..
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 17 พฤศจิกายน 2562
ตื่นมา 6 โมงเข้า นึกว่าตื่นมา 10 โมง แดดแรงมากจ้า .. โรงแรมที่เราพักไม่มีบริการอาหารเช้า เราจึงเปิด Google Map เดินมาฝากท้องกับร้านคิงส์โอชา เปิดตั้งแต่ 04.00 น. - 11.00 น. เป็นร้านอาหารเช้าเก่าแก่และขึ้นชื่อแห่งเมืองอุดร เมนูอาหารเน้นอาหารสไตล์เวียดนาม เราสั่งเมนูที่ขึ้นชื่อของร้านอย่างไข่กระทะ ซึ่งเป็นอาหารเช้ายอดฮิตของภาคอีสาน แล้วเรายังสั่งข้าวเปียกเส้น และสตูว์หมูมาลองทานอีกด้วย
เสร็จจากการทานอาหารเช้า เราเรียกรถสกายแลปให้ไปส่งที่วัดโพธิสมภรณ์ สกายแลปคิดราคาคนละ 20 บาท .. วัดโพธิสมภรณ์ เป็นวัดที่มีความสำคัญมากของจังหวัดอุดรธานี เริ่มสร้างตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ และถูกจัดให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ปลายรัชกาลที่ 5 ภายในวัดยังมีสถานที่ น่าสนใจต่างๆ อาทิ เช่น พระบรมธาคุธรรมเจดีย์ พระเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ศาลามงคลธรรม ฯลฯ
เดินมาอีกหน่อยก็จะเจอกับสวนสาธารณะหนองประจักษ์ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองอุดร ถือเป็นแลนมาร์คสำคัญของจังหวัดที่ชาวอุดรธานีมาทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย และไฮไลต์ที่น่าสนใจ คือ เจ้าเป็ดเหลือง ที่เป็นสัญลักษณ์ของหนองประจักษ์ ที่มาถึงอุดรแล้วต้องแวะมาถ่ายรูปเชคอิน
ไม่ไกลจากเจ้าเป็ดเหลือง หลายคนก็อาจจะมองเห็นตึกสีเหลืองที่คนอุดรคุ้นกันดีในชื่อ ‘ตึกราชินูเก่า’ ซึ่งจริงๆ แล้วตึกนี้คือ ‘พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี’ โดยจัดแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับจังหวัดอุดรธานี .. ข้างๆกันจะเป็นอาคารศูนย์บริการพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เป็นอาคารที่สร้างใหม่ ภายในอาคารศูนย์บริการฯ ประกอบไปด้วยพื้นที่รับบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ พื้นที่ขายของที่ระลึก พื้นที่แสดงนิทรรศการหมุนเวียน .. พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เปิดเวลา 08.30 น. – 16.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ ไม่เสียค่าเข้าชม
พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เป็นอาคาร 2 ชั้น เป็นอาคารแบบโคโลเนียล มีทั้งหมด 26 ห้อง แบ่งเป็นชั้นล่าง 11 ห้อง ชั้นบน 15 ห้อง โดยจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของจังหวัดอุดรธานีตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งประวัติศาสตร์ โบราณคดี ธรรมชาติวิทยา ธรณีวิทยา และศิลปวัฒนธรรม
ที่ชั้น 2 จะมีมุมถ่ายภาพมากมาย เช่น ร้านกาแฟ ร้านถ่ายภาพ ร้านตัดผมโบราณ สถานีรถไฟสมัย รศ.112 เป็นต้น เป็นการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่สร้างความสนุกและตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อเลย
หลังจากเพลิดเพลินกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองอุดรเรียบร้อยแล้ว เราก็เรียก grab อีกเช่นเคย เพื่อไปให้ทันเชคเอ้าท์ออกจากโรงแรมในตอนเที่ยง แต่ที่พักใจดีมากๆให้เราเลจได้ถึงเที่ยงครึ่ง .. มื้อเที่ยงของเราขอฝากท้องไว้กับร้านส้มตำเจ้ไก่ สาขา 1 เรียกได้ว่าใครไปใครมาที่อุดร ก็ต้องแวะมากินร้านนี้กันเสมอ ทีเด็ดของที่นี่ คงเป็นส้มตำ ซึ่งมีให้เลือกชิมหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ตำมั่ว ตำซั่ว ตำลาว ตำโคตรมั่ว ตำกุ้งสด ตำถั่ว ตำปูม้า ตำไทย ตำปูปลาร้า ตำแตง บลาๆๆๆ ที่สำคัญราคาถูกแสนถูก แถมจานใหญ่มากๆ น้ำปลาร้านัวสุดๆ ปล. ใครไม่ทานเผ็ดอย่าลืมสั่งนะคะว่าจะเอาพริกกี่เม็ด
นอกจากส้มตำหลากหลายเมนูแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารเมนูอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น ยำหมูยอ ต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน ผัดหมี่ และยังมีหอยต้มที่เราเห็นแทบจะสั่งกันทุกโต๊ะ เนื้อแน่น หนุบหนับ เจอกับน้ำจิ้มซีฟู้ดแซบๆ เข้าไป ถือว่าอร่อยสุดๆ .. หากใครมาเยือนจังหวัดอุดรธานีแล้ว อยากกินส้มตำแซบๆ นัวได้ใจ จานใหญ่ ราคาไม่แพง ต้องไม่พลาดร้านนี้เลย รับรองได้รสชาติส้มตำแบบภาคอิสานแท้ๆแน่นอน ค่าเสียหายมื้อนี้โดนไป 580 บาท ก่อนเดินทางสู่สนามบินนานาชาติอุดรธานี
ขากลับเราเลือกกลับสายการบิน Nok Air .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 16.20 น. เวลากำลังดีไม่ถึงกรุงเทพดึกไป พร้อมลุยงานต่อในวันพรุ่งนี้ .. ขออำลาทริปนี้ด้วยภาพปีกเครื่องบินตำแหน่งที่นั่ง 52K ค่ะ
ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm F/4
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 3 คน)
ค่าตั๋วเครื่องบิน+ที่พัก 5,146.10 บาท
สกายแลปเข้าเมืองอุดร 150 บาท
ข้าวเปียก 90 บาท
ตั๋ว บขส ไปบ้านดุง 135 บาท
ขนมกินเล่น 50 บาท
ข้าวเหนียวหมูปิ้ง 50 บาท
ค่าพานบายศรี 297 บาท
ตุ๊กๆ 200 บาท
สกายแลปกลับบ้านดุง 200 บาท
ทำบุญ 100 บาท
ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก 105 บาท
น้ำโค้ก 36 บาท
ตั๋วไป บขส. อุดร 135 บาท
Grapไป VT 70 บาท
VT แหนมเนือง 549 บาท
คิงส์โอชา 190 บาท
สกายแลปไปวัดโพธิสมภรณ์ 60 บาท
ค่าน้ำร้าน star duck 270 บาท
ส้มตำเจ้ไก่ 580 บาท
Grab ไปสนามบิน 150 บาท
รวมทั้งสิ้น 8,563.10 บาท (ตกคนละ 2,854.37 บาท)
In My Eye
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.14 น.