'มาเก๊า' เกาะเล็กๆ ในความคิดที่ไม่มีอะไรน่าสนใจและไม่อยู่ในตัวเลือกแต่แรก แต่พอได้มาเยือนกลับหลงเสน่ห์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ใครๆ เขาถึงว่า 'ไม่มาสัมผัสเองคงไม่มีวันรู้'
เดิมทีตั้งใจจะไปที่อื่นแต่เนื่องจากสมาชิกในทีมลาไม่ได้แผนนั้นจึงล่มไป แต่ด้วยความอยากไปไหนก็ได้สักที่ในปีนี้ เลยจำใจเลือกมาเก๊าเพราะด้วยวัน เวลา ในการเดินทางดูจะตอบโจทย์มากที่สุด ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิช่วงเช้าถึงสนามบินมาเก๊าช่วงสายๆ ประมาณ 9 โมงกว่าๆ สนามบินเล็กๆ แต่ประดับประดาด้วยไฟ ต้นคริสมาส กล่องของขวัญ และเหล่าตุ๊กตาจำลองที่เข้ากับเทศกาล ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเอ๊ะ...นี่ใกล้เทศกาลคริสมาสแล้วนี่นา ลองเช็คอุณหภูมิเสียหน่อยทั้งที่ก่อนเดินทางก็เช็คมาแล้ว ซึ่งอุณหภูมิก็ไม่ต่างจากการเช็คล่วงหน้า อยู่ที่ 23-21 องศา สำหรับคนขี้หนาวอย่างเราแล้วถือว่าเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากความเย็นของอากาศแล้วยังมีลมพัดโชยเป็นระยะๆ
พอถึงสนามบินมาเก๊าก๊วนสามสาวก็เดินทางด้วยรถบัสเพื่อไปต่อยังชายแดนจูไห่ เพราะคืนพวกเราต้องไปพักที่นั่น ระหว่างทางไปจูไห่นั้นสองข้างทางเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ต่างจากไทยนัก เว้นแต่ว่าความเป็นระเบียบและความสวยงามของตึกสูงใหญ่ที่อยู่รายรอบทะเล สวยตรึงตราตรึงใจกว่าที่คิดไว้มาก ความจีนในหัวถูกเปลี่ยนภาพไปหมดเลย เพราะบ้านเมืองเขาดูสะอาดสะอ้านและมีความทันสมัยมาก ก็นั่งเพลิดเพลินใจกันไปจนกระทั่งถึงด่านจูไห่ เป็นด่านที่ไม่ใหญ่มากนักแต่มีความเป็นทางการสูง การข้ามแดนไปจูไห่เป็นอะไรที่พิธีรีตองเยอะสุดที่เคยเจอมา โอ้ว มาย ก๊อด!! สแกนกระเป๋า 3 จุด สแกนแล้วสแกนอีกจนงงใจ แต่ก็นั่นแหละเพราะความที่ประเทศเขาเคร่งครัดเรื่องกฏระเบียบ เรามาบ้านเขาก็ต้องปฏิบัติตามกันไป
จูไห่เป็นเมืองชายแดนที่เรียกว่าเป็น 'เมืองตากอากาศ' ซึ่งก็จริงดังนั้น พวกเราสามสาวไปถึงในช่วงเย็นๆ โพล้เพล้ๆ หน่อย อากาศก็จะเย็นๆ บวกกับสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นธรรมชาติผสมกลมกลืนกับความเป็นวัฒนธรรมจีนได้ลงตัวแบบสุดๆ เรามีโอกาสได้เห็นร้านของชำในขณะที่มีจักรยานไฟฟ้าจอดอยู่ข้างๆ เป็นความสมัยเก่าที่สอดประสานกับสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืนจริงๆ เดินเล่นแถวโรงแรมสักพักก็เริ่มจะหิว เลยตัดสินใจเดินหาของกินแถวๆ นั้น ซึ่งก็มีหลายร้านให้เลือกมากมายส่วนใหญ่เป็นอาหารท้องถิ่นที่ไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ พวกเราสั่งอาหารด้วยสื่อสารกับเจ้าของร้านผ่านภาพถ่าย สั่งกันมาสองสามอย่างเพื่อแบ่งกันชิม รสชาติจะติดเค็มกับมันหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรถือว่าได้มาสัมผัสอาหารจีนก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ได้ลอง
หลังกินข้าวเสร็จก็ไปเดินย่อยกันหน่อย ช่วงนั้นก็หัวค่ำแล้วอากาศก็จะเย็นลงไปอีก เลยเดินได้ไม่นานเพราะหนาวมาก บรรยากาศเมืองค่อนข้างเงียบสงบ พวกเราเดินผ่านสวนสาธารณะที่มีอากง อาม่ามาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรำไทเก็ก ตีปิงปอง เต้นแอราบิกเป็นต้น เป็นกิจกรรมที่มองแล้วเพลิดเพลินอดยิ้มกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ วิถีชีวิตของคนที่นี่ค่อนข้างสโลว์ไลฟ์ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงมากๆ เป็นเมืองชายแดนที่บรรยากาศดีจริงๆ
วันที่สองพวกเราสามสาวตื่นแต่เช้าไปเยี่ยม 'หวีหนี่' หรือธิดาทะเล สัญลักษณ์เมืองจูไห่ เป็นรูปปั้นสาวชาวประมงถือไข่มุกไว้เหนือหัว หวีหนี่ก็มีประวัติตำนานความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับความรักจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง รูปปั่นตั้งสูงตระหง่านข้างริมทะเลสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง ทั้งตึกสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามสลับกับภูเขาที่เรียงซ้อนกันอยู่ เป็นอีกจุดที่หากได้มาจูไห่แล้วจะต้องไม่พลาดมาเยือน
เรียบร้อยจากหวีหนี่เราก็เยื้องย้ายมาที่ วัดไป่หลินหรือวัดดอกบัวขาว วัดนี้อยู่บนเนินเขาที่ต้องใช้เวลาในการเดินขึ้นไปสักหน่อย แต่พวกเราไปช่วงสายๆ แดดจึงไม่ร้อนมากบวกกับอากาศที่เย็นเลยเดินได้สบาย บรรยากาศทางขึ้นไปวัดนั้นเป็นสวนสาธารณะ ที่ชอบมากคือมีกลุ่มสูงวัยมาทำกิจกรรมกันหลายรูปแบบมาก ทั้งสมาคมหมากรุก, ชมรมดนตรี, ชมรมไทเก๊ก และมีบางส่วนที่วิ่งออกกำลังกายด้วยการยกน้ำเป็นขวดๆ แบกลงเขา เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าผู้สูงวัยที่นี่แข็งแรงมากจริงๆ
ด้านบนเป็นวัดไบ่หลิงหรือวัดดอกบัวขาว เป็นสถานที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมหินอ่อน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจูไห่เคารพนับถือมาก เชื่อกันว่าสามารถบันดาลโชคลาภได้ ดังนั้นจึงไม่รีรอรีบเข้าไปขอพรและออกมาตีระฆัง 3 ทีตามทำเนียมของชาวจูไห่ เชื่อว่าเมื่อขอพรแล้วมาเคาะระฆังพรที่ขอจะสัมฤทธิ์ผล หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาอยู่ในจูไห่ดูวิว ชมธรรมชาติจนกระทั่งดึก
และวันสุดท้ายพวกเราข้ามมาที่มาเก๊า บรรยากาศค่อนข้างต่างจากจูไห่มากทีเดียว ตั้งแต่ออกจากด่านเลยตอนขามาเราไม่เจอคน แต่ตอนขาออกคนมหาศาลล้านแปด เนื่องจากพวกเราออกมาตอนเช้าพร้อมๆ กับชาวจูไห่ที่ต้องข้ามแดนไปทำงานยังฝั่งมาเก๊า ดังนั้่นที่ด่านคนจะเยอะมาก ชาวจูไห่ส่วนใหญ่หากไม่ข้ามมาทำงานก็มาเล่นคาสิโนเพราะที่มาเก๊าขึ้นชื่อเรื่องนี้มาก ระหว่างที่เดินทางเข้่าตัวเมืองพวกเราก็ได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจของ 'สแตนลีย์ โฮ' เจ้าพ่อมาเก๊าที่มาบุกเบิกธุรกิจคาสิโน สิ่งที่น่าสนใจคือมิสเตอร์โฮนั้นเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมาก และไม่ใช่แค่สแตนลีย์ โฮเท่านั้น คนที่มาทำธุรกิจที่มาเก๊าส่วนใหญ่จะเชื่อฮวงจุ้ยกันหมด ไม่น่าเชื่อว่าการปรับกระแส ปรับเปลี่ยนพลังด้วยฮวงจุ้ยจะมีพลังมากมายทำให้ธุรกิจเติบโตได้ขนาดนี้
ก่อนจะไปเยี่ยมชมคาสิโนชื่อดัง พวกเราแวะไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยก่อนที่ 'วัดเจ้าแม่กวนอิม' ถือเป็นอีกหนึ่งวัดศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวมาเก๊านับถือบูชามาก ด้านในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมทรงชุดแต่งงานที่มีความงดงามมาก จากนั้นไปต่อกันที่ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล จุดแลนด์มาร์กยอดนิยมที่หากมาเก๊าจะต้องมาที่นี่ด้วย โบสถ์เซนต์ปอลถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1580 จากนั้นอีก 15 ปีถัดมาก็ถูกไฟไหม้ และอีก 6 ปีถัดจากนั้นก็ถูกไฟไหม้อีกรอบ จากนั้นก็ได้มีการซ่อมบำรุงอยู่หลายปีจึงกลับมามีสภาพเกือบสมบูรณ์ และในปี 1835 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นขึ้นที่มาเก๊า จึงทำให้โบสถ์แห่งนี้ถูกไฟไหม้อีกเป็นครั้งที่ 3 จึงหลงเหลือเพียงกำแพงทางเข้าโบสถ์ด้านหน้าเท่านั้น และในปี 1991 ก็ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง จนเห็นกำแพงโบสถ์ที่สวยงามในปัจจุบัน
จากนั้นไปต่อกันที่ฝั่งคาสิโน เริ่มด้วยการแวะถ่ายภาพที่ The Parisian มีหอไอเฟลจำลองให้เก็บภาพความประทับใจ เป็นอีกจุดที่มีความสวยงามไม่แพ้ของจริง หลังถ่ายภาพเสร็จก็ไปที่ The Venetian คาสิโนชื่อดังที่จำลองเมืองเวนิส ด้านในมีคาสิโนและร้านค้าให้ช้อปปิ้งมากมาย หากมองเผินๆ คงอาจจะคิดว่า แหมม พี่จีนแกจำลองทุกอย่างเลย แต่ลึกลงไปกว่านั้นสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีไว้เพื่อแก้ทางฮวงจุ้ยนั่นเอง เรียกว่าทุกตารางนิ้วในมาเก๊านั้นเต็มไปด้วยฮวงจุ้ยที่แท้ทรู
ความประทับใจจากทริปนี้คงเป็นการได้เปิดหู เปิดตาและเปิดใจ ทั้งจูไห่และมาเก๊ามีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง จูไห่ค่อนข้างราบเรียบ ส่วนมาเก๊านั้นมีความเป็นสีสันทั้งสถานที่เที่ยวและตึกรามบ้านช่องสไตล์โปรตุเกสที่มีความงดงามไม่ต่างจากไปเดินยุโรป ทำให้ความคิดการเที่ยวจีนนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างที่เขาว่าแหละ 'ไม่มีเองไม่มีวันรู้'
Siren Queen
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 13.44 น.