นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 1)

highlights:

  • การนั่งรถไฟจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปชุมทางหาดใหญ่
  • บรรยากาศบนรถไฟทักษิณารัถย์
  • การนั่งรถไฟจากชุมทางหาดใหญ่ไปปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเล)

---------------------------------------------------------------------------------

ทริปนี้เกิดขึ้นจากการที่เราเห็น วันหยุดช่วงปีใหม่ที่หยุดเยอะมากกกกกกกก หยุดแบบเป็น 10 วันบวกกับ ไม่ค่อยมีตัง ไปไหนได้บ้างในช่วงเทศกาล

โดยมีเงื่อนไขว่า ไม่ไปทางรถเพราะรถจะติด ไม่ไปทางเครื่องบินเพราะตั๋วแพงมาก ก็เลยมาเคาะกันที่ รถไฟ

ทริปที่อยากไปมานานคือ นั่งรถไฟตู้นอน แล้วก็ถามตัวเองอีกว่าจะไปเหนือรึไปใต้ล่ะ

ถ้าเกิดว่าเราไปเหนือเราจะเจอแต่ภาษาไทยนะ รอบๆ ตัวเราจะพูดแต่ภาษาไทย (คือส่วนตัวไม่ได้ชอบไปเที่ยว ดังนั้นการไปสักครั้งนึงมันจะต้องได้ใช้ภาษาอังกฤษกลับมาบ้างถึงจะคุ้มกับการไปเที่ยวสักครั้ง)

แล้วถ้าเราไปใต้ล่ะ ภาคใต้ใกล้มาเลเซียนะ ถ้าเราไปอย่างน้อยที่สุดเราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษด้วย ก็เลยมาเคาะที่การ ไปปีนัง เพราะไปง่าย ถึงแม้เมืองปีนังมันจะไม่ค่อยมีอะไรก็เถอะ อย่างน้อยก็ได้ใช้ภาษาอังกฤษแหละวะ 55555

และด้วยความที่อยากใช้ภาษาอังกฤษ ก็เลย challenge ตัวเองด้วยการ ไม่ซื้อซิม ใช่ค่ะ ไม่ซื้อซิม ถ้าไม่ซื้อซิมก็จะมีเน็ตให้ใช้ จะใช้ได้แค่ที่ที่พักเท่านั้น

ทริปนี้ก็เลยเป็นทริปที่ค่อนข้างสนุกมาก แล้วก็ชอบมากรองจากการไปเวียดนามเลยทีเดียว

+สิ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลยก็คือ "Passport" แล้วก็ "ตั๋วรถไฟ (ที่ปริ้นเรียบร้อยแล้ว)"

พอมาถึงวันเดินทาง ด้วยความที่เราเดินทางไปวันที่ 3 มกราคม มันยังเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ จากบางแสนไปหัวลำโพง รถอาจจะติดแล้วทำให้เราตกรถไฟ เราก็เลยรีบออกจากบางแสนไปตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปแวะแลกเงิน (เรทตอนที่เราไปแลกอยู่ที่ 1 ริงกิต = 7.35 บาท) กินข้าว ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 ชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก ก็เลยไปถ่ายรูปเล่นรอบๆ สถานี ที่มีคนเยอะมากกกกกกก

เราก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอคุณ Eastern & Oriental Express ที่จอดแอบอยู่ที่ชานชาลาสุดท้าย โดยมีหัวลากแบบไท๊ยไทยยยบังอยู่ เราก็เลยมองข้ามไปพักใหญ่

แล้วคุณ Eastern & Oriental Express นี่เป็นใครล่ะ??
คุณ Eastern & Oriental Express เป็นรถไฟท่องเที่ยวที่หรูหราหมาเห่ามากแมรรร่ วิ่งจากกรุงเทพไปสิงคโปร์ ราคาเริ่มต้นที่ 76,500 บาท – 250,000 บาทต่อคนต่อทริป แพงกว่าไปล่องเรือสำราญอี๊กกกกกกกกก =.=" คือแค่เห็นก็ดีมากแล้วอะ จะให้เก็บตังไปขึ้นก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง 555555

กลับมาที่ความเป็นจริงของเราค่ะ 5555
เราไปรถไฟขบวนที่ 31 ทักษิณารัถย์ (เป็นรถไฟใหม่เอี่ยมอ่อง) จากกรุงเทพไปชุมทางหาดใหญ่ ตู้ที่ เป็นตู้หญิงล้วน (เคยเดินทางด้วยรถไฟตอนกลางคืนแล้วไม่ใช่หญิงล้วน ดิชั้นจิตตกมากค่ะ 555) คือตอนที่จองก็ดูมาหลายวันมากเพราะมันเป็นช่วงเทศกาล ตู้ผู้หญิงมันเต็มบ้าง เหลือที่ห่างกันบ้าง เราก็ลุ้นอยู่ว่าจะได้ตู้ผู้หญิงและมีที่นั่งติดกัน 2 ที่ไหม จนในที่สุดเราก็จองมาได้ค่าาา ทั้งไปและกลับ >///<

เข้ามาข้างในก็หรูหราหมาเห่าสมกับเป็นคุณทักษิณารัถย์ ก็รถไฟใหม่อะเนอะทำไงได้ 5555 

แล้วสิ่งที่ขึ้นชื่อของรถไฟขบวนนี้เลยก็คือ "มันหนาวมาก มาก มาก มาก!" แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราสามารถขอผ้าห่มจากพนักงงานได้เลยโดยที่ยังไม่ต้องปูเตียง หรือจะให้พนักงานมาปูเตียงให้ก่อนเลยก็ได้ ถ้าเราตกลงกับคนที่นั่งตรงข้ามเราเรียบร้อยแล้ว ระหว่างนั้นก็จะมีพนักงงานเดินมาถามว่าเราจะสั่งอาหารเย็นเลยไหม เขาจะเอามาส่งให้ถึงที่พร้อมระบุเวลาส่งอาหารได้ด้วย โดยที่ต้องไม่ต้องเดินไปถึงตู้เสบียงเองให้เหมื่อย สะดวกสบายสุดๆ

เสนห์ของการนั่งรถไฟคือ "วิวข้างทาง" เป็นอะไรที่ควรค่าแก่การมามากๆ มันทำให้เราไม่ต้องคิดถึงอะไร ไม่ต้องคิดถึงอดีต ไม่ต้องคิดถึงอนาคต คิดถึงแต่ปัจจุบัน มองวิวไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ แล้วจะได้เห็นอะไรที่มันลึกกว่าการไปเครื่องบิน  เป็นการเดินทางที่ Slow life อย่างถึงที่สุด เป็นการเดินทางที่รู้สึกว่าเราได้พักผ่อนจริงๆ 

จากอาเราที่เป็นคนเกลียดและกลัวรถไฟมากๆ กลายเป็นชอบการนั่งรถไฟในครั้งนี้ไปเลย ฟีลแบบนั่งกินมือเย็นแล้วดูวิวสวยๆไปด้วย แค่นี้ก็คุ้มกับค่ารถไฟที่เสียไปแล้วป่ะ 5555 (แอบลืมบอก รถไฟขบวนนี้ตรงทุกที่นั่งจะมีปลั๊กไฟให้ด้วย ชอบมากกก)

พอมืดๆ ตาหน่อย ก็เริ่มมีคนบอกให้พนักงานมาปูเตียงให้ แล้วก็เลยรอปูเตียงตามๆ กันมา ตอนแรกเราก็แอบกลัวหน่อยๆ ว่า เราอยู่เตียงบนแล้วไม่เห็นมีบันไดเลยเราจะขึ้นยังไงดี ก็ได้คำตอบตอนพนักงานมาปูเตียงนั่นแหละว่าบันไดมันแอบพับเก็บอยู่นั่นเอง แล้วบันไดก็ไม่ได้สูงอย่างที่คิดด้วย ปีนขึ้นง่ายมาก Hostel บางที่ที่เราเคยไปบันไดสูงกว่านี้อีก 5555

เตียงบนเป็นอะไรที่แคบมากๆ คือถ้านอนดิ้นนี่มีสิทธิ์ตกเตียงได้เลย แล้วที่ตู้รถไฟเขาจะเปิดไฟไว้อย่างนี้ตลอด ถ้าใครเป็นพวกเจอแสงไฟแล้วนอนไม่หลับควรพกผ้าปิดตามาด้วย อีกอย่างที่ควรพกอย่างยิ่งคือ "หน้ากากอนามัย" เราเองเป็นคนที่ Sensitive ต่อฝุ่นมากๆ แล้วลืมเอา Mask ไปด้วยกลับมาป่วยเลยจ้าาา 555555 แต่ถามว่าเข็ดไหม ไม่นะ จะต้องได้ไปอีกแน่นอน

นอกจากแอร์บนรถไฟที่หนาวจนทำให้เราต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำตอน 04.09.09 แล้ว สิ่งที่ทำให้เราหนาวยิ่งกว่าก็คือ เวลาที่คาดว่าจะถึง เราจะไม่คิดอะไรมากเลยถ้าเราไม่ต้องต่อรถไฟไปปาดังเบซาร์ รอบ 07.30 น. คือถ้าเราตกรอบนี้ปุ๊บชีวิตเราจะวินาศสันตะโรทันทีเลย เราก็ได้แต่ลุ้นว่าจะทันไหมน้าาา

ในที่สุดเราก็มาถึงชุมทางหาดใหญ่ ตอน 06.48 เลทมาประมาณ 13 นาที เลทแค่นี้ก็ดีมากแล้ว (ในรีวิวชอบขู่เราว่ามันจะเลทประมาณชั่วโมงนึง) ตอนแรกที่แพลนว่าจะมารถไฟก็แอบจะกลัวว่า จากกรุงเทพถึงหาดใหญ่ 14 ชั่วโมงในรถไฟจะรอดไหม (ที่จริงเราก็ไปลองซ้อมนั่งรถไฟสายอื่นแบบซ้อมแล้วซ้อมอีกเอาให้แน่ใจว่าจะรอดแน่ๆแล้วถึงกล้ามา 555 ) แล้วบวกกับก่อนหน้านั้นเราเคยมาที่หาดใหญ่ด้วยรถทัวร์ คือทรมานมาก ปวดเข่า เมารถ สารพัด ไม่สนุกอะไรใดใดเป็นอย่างยิ่ง แต่พอมาครั้งนี้ทุกอย่างคือดีมาก สบายมาก เหมือนไม่ได้มารถไฟ เหมือนแค่เปลี่ยนที่นอนเฉยๆ โดยรวมทั้งหมดทั้งมวลเราชอบคุณทักษิณารัถย์มากๆๆ 1,000/10 ไปเลยจ้า 55555

เราลงจากรถไฟมาได้ก็รีบเดินไปซื้อตั๋วไปปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเล) ก่อนเลย ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 50 บาท รอบ 07.30-08.25 น. ระหว่างรอรถไฟ ก็ไปแปรงฟัน กินข้าว กินกาแฟ เล่นแมว ที่อยู่ใกล้ๆ กับชานชาลา ถ้ารถไฟมาเราจะได้เห็นทัน

กินข้าวเหนียวยังไม่ทันหมดห่อ กาแฟยังไม่ทันหมดแก้ว แม่ค้าก็บอกเราว่า "นั่นไงรถไฟมาแล้ว" เราก็รีบกอบทุกอย่างแล้ววิ่งไปขึ้นรถไฟเลยจ้าาา รถไฟขบวนนี้ส่วนใหญ่ก็จะมีทั้งคนไทย คนมาเล แขก พุทธ ซิกข์ เต็มไปหมด

นั่งมาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงปาดังเบซาร์ฝั่งมาเลเซียแล้ววว เราจะต้องมาผ่านตม. กันที่นี่ 

ส่วนจะผ่านตม. กันยังไง มีอะไรพีคอีกไหมต้องติดตามใน [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 2)] หรือติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

Try to try ก็แค่ออกไปลอง

 วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 04.46 น.

ความคิดเห็น