ผมมีโอกาสไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติตะรุเตาครั้งหนึ่งน่าจะ 20+ปีมาแล้ว ภาพความสวยงามของหาดทรายและปะการังของหมู่เกาะตะรุเตายังติดตาตรึงใจผมเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าผมจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่จำได้เลยว่าการไปเที่ยวในครั้งนั้น ผมลงดำน้ำทุกจุดที่อยู่ในแพคเกจทัวร์ ซึ่งเป็นการผิดวิสัยของผมเป็นอย่างมาก เพราะปกติเวลาไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ ผมมักจะนั่งชมวิว ถ่ายรูปอยู่บนเรือเท่านั้น จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมยังคงเฝ้ารอที่จะกลับไปเยือนหมู่เกาะตะรุเตาอีกครั้ง
ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมจึงตัดสินใจกลับมาเที่ยวที่หมู่เกาะตะรุเตาอีกครั้ง เริ่มหาทำเลที่พักสวยๆ บนเกาะหลีเป๊ะ หารีสอร์ทราคาไม่เกินเอื้อม รวมถึงข้อมูลของแพคเกจทัวร์ ท้ายสุดผมเลือกเข้าพักที่ Sea To Moon Lipe ซึ่งตั้งอยู่ที่หาด Sunrise Beach ทำการต่อรองและเปรียบเทียบราคาระหว่างจองตรงกับที่พักและจองผ่านบริษัททัวร์ ท้ายสุดผมเลือกจองผ่านบริษัท Be Nice Lipe Travel Thailand ซึ่งได้ในราคาถูกสุด แต่...ยังไม่จบครับ ตอนที่หาข้อมูลของหลีเป๊ะ ก็ทำให้ได้รู้ว่า จากหลีเป๊ะเราสามารถนั่งเรือต่อไปยังเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซียได้อีก โดยปกติแล้ว การไปเกาะลังกาวี จะต้องมาขึ้นเรือที่ท่าเรือตำมะลัง จ.สตูล แต่เฉพาะช่วง High Season ราวเดือนตุลาคม-พฤษภาคม เราสามารถนั่งเรือจากเกาะหลีเป๊ะไปยังเกาะลังกาวีได้ด้วย
ก็จัดซิครับ ไปถึงเกาะหลีเป๊ะแล้ว อีกนิดเดียวก็เกาะลังกาวี ที่สำคัญเกาะลังกาวีผมเองก็ยังไม่เคยไปด้วย จะรอช้าอยู่ไย ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เกาะลังกาวีด้วยเลยดีกว่า.. ได้คืบ จะเอาศอก ยังวางโปรแกรมเที่ยวเกาะลังกาวีไม่เสร็จ จู่ๆ ก็แว๊บไปถึงปีนังซะอย่างงั้น ไหนๆ ก็ไหนๆ จัดไปอย่าให้เสีย กับเส้นทาง หลีเป๊ะ ลังกาวี ปีนัง จะมีที่เที่ยวแบบไหน เดินทางยังไง ตามผมไปเที่ยวกันครับ
ขอกล่าวถึงแพคเกจทัวร์ของ Be Nice Lipe Travel Thailand ก่อนนะครับ ผมเลือกนอน Deluxe Room ที่ Sea To Moon Lipe เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ในราคา 4,620 บาท โดยในแพคเกจจะรวมที่พักพร้อมอาหารเช้า จำนวน 2 คืน, One day Trip 1 วัน พร้อมอาหารกลางวันแบบปิกนิก 1 มื้อ, รถตู้รับ-ส่ง สนามบินหาดใหญ่-ท่าเรือปากบารา, เรือ Speed boat ไปกลับ ท่าเรือปากบารา-เกาะหลีเป๊ะ แต่ทริปนี้ ผมไม่ใช้บริการเรือ Speed boat ขากลับจากหลีเป๊ะ-ท่าเรือปากบารา และรถตู้ส่งที่สนามบินหาดใหญ่ ได้ส่วนลด 750 บาท คงเหลือจ่ายค่าแพคเกจ 3,870 บาทครับ
ผมเดินทางไปยังสงขลา โดยเลือกบินไฟล์ทเช้าเพื่อไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ให้ถึงก่อนเวลา 09.00 น. สายการบินที่สามารถไปถึงก่อนเวลา 09.00 น. จะมีสายการบินนกแอร์ และแอร์เอเชีย สามารถเลือกดูราคาตามที่ต้องการได้เลยครับ
ครั้งนี้ผมเดินทางกับนกแอร์ เพราะมีเที่ยวบินไฟล์ท 06.20 น. ตามกำหนดการจะถึงหาดใหญ่ในเวลา 07.45 น. มีเวลาเหลือพอให้ผมหามื้อเช้ากินที่สนามบินก่อนที่จะนั่งรถตู้ไปท่าเรือ ที่สำคัญช่วงนั้นราคาตั๋วนกแอร์ถูกกว่าแอร์เอเชียด้วยครับ
มองลงไปเห็นสะพานติณสูลานนท์ ก็แสดงว่าใกล้ถึงสนามบินหาดใหญ่แล้ว
เหตุผลที่ผมต้องมาถึงสนามบินหาดใหญ่ให้ถึงก่อนเวลา 09.00 น. เพราะเรือไปหลีเป๊ะมีวันละ 2 รอบ คือเวลา 11.30 น. และ13.30 น. โดยถ้าเราไปทันเรือรอบ 11.30 น. เขาจะจอดแวะให้เราได้ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะตะรุเตาและเกาะไข่ด้วย แต่ถ้าไปเรือรอบ 13.30 น. เรือจะวิ่งตรงจากท่าเรือปากบาราไปยังเกาะหลีเป๊ะเลย
เมื่อถึงสนามบิน ใครหิว สามารถหาข้าวในสนามบินกินก่อนได้เลย แต่ราคาอาจสูงหน่อย แต่ถ้าใครยังไม่หิว แนะนำให้หิ้วท้องไปกินที่ท่าเรือปากบารา จะได้ราคาถูกกว่า แถมได้รสชาติอาหารแบบพื้นบ้านด้วย ยังไม่ถึงเวลานัด 09.00 น. รถตู้ที่บริษัททัวร์ Contact ไว้ ก็นัดเจอที่ประตูทางออกที่ 8 หลังจากสมาชิกครบแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังท่าเรือ ผมออกเดินทางราว 08.45 น.นั่งรถตู้อีกประมาณ 1.30 ชม.ก็ถึงท่าเทียบเรือปากบาราครับ
10.15 น. รถตู้พามาส่งที่บริษัท Sea@Holiday ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าท่าเทียบเรือ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำใบจองมาให้ เพื่อนำไปแลกเป็นตั๋วเรือ สำหรับสัมภาระ ให้นำลงจากรถตู้ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ขนไปส่งให้ที่ท่าเรือครับ สำหรับใครที่ต้องการเสบียง แถวๆ ท่าเรือมี 7-11 ซื้อตุนไปให้พร้อม แบกได้แนะนำให้แบก เพราะด้านบนหลีเป๊ะของแพงทุกอย่างเลย แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องราคา ก็ไม่ต้องเสียแรงแบกครับ
ก่อนจะเข้าไปในท่าเรือ เราจะต้องชำระค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท ชำระแล้วเก็บบัตรไว้ให้ดีๆ เพราะจะต้องนำไปแสดงตอนขึ้นไปบนเกาะตะรุเตาและเกาะราวีในวันถัดไป นอกจากนั้นยังต้องเสียค่าธรรมเนียมผ่านท่าเรืออีกคนละ 20 บาท บัตรค่าธรรมเนียมนี้จะต้องยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตอนขึ้นเรือครับ สำหรับใครที่ต้องการปั้ม Passport อุทยาน สามารถปั้มได้ตรงจุดชำระค่าธรรมเนียมได้เลยครับ
ใครที่เดินทางกับบริษัท Sea@Holiday เมื่อเข้าไปในท่าเรือแล้ว ให้เดินไปทางปีกขวา ไปที่เคาเตอร์ 9 แล้วนำใบจองสีส้ม ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ตอนลงรถตู้ ไปแลกเป็นบัตรคิวสีเหลืองเพื่อขึ้นเรือครับ
11.30 น. ถึงเวลา Speed Boat ออก นั่งเรือประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงเกาะตะรุเตาครับ เรือจอดแวะให้ชมบรรยากาศบนเกาะประมาณ 20 นาที
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 51 เกาะ โดยมีเกาะตะรุเตาเป็นเกาะหลัก ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอุทยาน และยังเป็นเกาะเดียวที่มีธารน้ำจืดอยู่บนเกาะด้วยครับ ในอดีตเกาะตะรุเตาเคยใช้เป็นทัณฑสถานและเป็นนิคมฝึกอาชีพของนักโทษเด็ดขาดและนักโทษผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ซึ่งมีนักโทษราว 4,000 คน ที่โดนกักขังบนเกาะแห่งนี้
บนเกาะตะรุเตา หาดทรายขาวสะอาดเลยทีเดียวครับ
จากเกาะตะรุเตา นั่งเรือต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะไข่ เกาะเล็กๆ ที่ผมขอยกให้เป็นพระเอกของอุทยานแห่งชาติตะรุเตาเลยครับ เพราะเกาะแห่งนี้จะมีประติมากรรมที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นให้เป็นซุ้มประตูหิน ซึ่งทางอุทยานเองก็ได้นำภาพของซุ้มประตูหินและภาพโลมา ทำเป็นตราสัญลักษณ์ของอุทยานด้วย
เรือจะจอดให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปคู่กับซุ้มประตูหินธรรมชาติราวครึ่งชั่วโมง ขอบอกเลยว่าหาดทรายขาว นุ่มเท้า น้ำก็ใสมากๆ แถมนักท่องเที่ยวยังเยอะมากๆ เช่นกัน ผมว่าใครมาเที่ยวเกาะตะรุเตาแล้วไม่มาถ่ายรูปคู่กับซุ้มประตูหินธรรมชาติ เหมือนมาไม่ถึงเกาะตะรุเตาครับ
จากเกาะไข่ นั่งเรือต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะหลีเป๊ะครับ มาถึงเกาะเวลาประมาณ 14.20 น. เกาะหลีเป๊ะเองก็น้ำใสไม่แพ้เกาะไข่เลย มองเห็นแนวโขดหินและปะการังใต้น้ำแบบสบายๆ ครับ
เกาะหลีเป๊ะเป็นที่อยู่ของชุมนุมชาวเล และยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาค้างแรมกันที่เกาะแห่งนี้ บนเกาะหลีเป๊ะมีที่พักของเอกชนและร้านอาหารมากมายครับ
เมื่อขึ้นจากเรือ จะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทคอยชูป้ายชื่อรีสอร์ทแต่ละแห่ง เจอป้ายรีสอร์ทเราแล้วก็เรียกให้น้องพนักงานช่วยขนกระเป๋าขึ้นรถสามล้อพ่วงข้าง เพื่อไปส่งยังรีสอร์ทได้เลยครับ
ตลอด 3 วัน 2 คืนนี้ ผมเข้าพักที่ Sea To Moon Lipe ซึ่งตั้งอยู่ที่หาด Sunrise Beach ห้องพักเป็นแบบ Deluxe Room ครับ ถึงห้องพักทุกห้องจะไม่ได้อยู่หน้าหาด เพียงแค่เดินออกมานอกห้องก็พอจะเห็นวิวทะเลแล้ว เดินนิดเดียวก็ถึงชายหาดครับ
หน้าห้องมีเฉลียงให้ได้นั่งเล่น มีราวตากผ้าให้ตากผ้าเปียก นอกจากนี้ยังมีสายฉีดชำระ ใช้ฉีดเท้าที่เปรอะทรายก่อนเข้าหัองพักด้วยครับ
ภายในห้องพักก็ไม่ถึงกับแคบ ยังมีพื้นที่ใช้สอยให้วางกระเป๋าเดินทางได้แบบสบายๆ มีเครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น กาต้มน้ำ ไดร์เป่าผม ตู้เสื้อผ้า และม้านั่งให้พร้อมสรรพ
ห้องน้ำก็ถือว่ากว้างดี มีสายฉีดชำระให้พร้อม
ชายหาดด้านหน้าที่พัก หาดทรายขาวดี ที่สำคัญวิวสวยมาก มองเห็นเกาะต่างๆ อยู่กลางทะเลด้วย เหมาะอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้หาด Sunrise Beach ยังเป็นจุดจอดเรือแท็กซี่ด้วย ได้เห็นภาพมุมสูงแล้วสวยงามมากๆ ครับ
ช่วงเย็น ผมมาชมพระอาทิตย์ตกที่หาดพัทยา ชายหาดนี้ตั้งอยู่บริเวณปลายสุดของ Walking Street ครับ
หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว ก็เดินหาของกินใน Walking Street เลยครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าของกินของใช้ทุกอย่างบนเกาะหลีเป๊ะราคาสูงทีเดียว น้ำดื่มขนาด 600 ml. ราคา 14-15 บาท ปีกไก่ทอด ปีกละ 50 บาท น่องไก่ทอด น่องละ 70 บาท อาหารจานเดียวราดข้าว ส่วนใหญ่ราคาเริ่มที่ 100 บาท แต่ก็ต้องเข้าใจแหละ เพราะทุกสิ่งอย่างต้องขนขึ้นมาจากฝั่ง ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น บนหลีเป๊ะมี 7-11 อยู่ 2 จุดนะครับ
ที่พักผมอยู่บริเวณปลายของ Walking Street อีกด้าน เดินเข้าซอยมาอีกสัก 100 เมตรก็ถึงที่พักแล้วครับ คืนนี้ขอนอนพักผ่อนตุนแรงไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้มีกิจกรรม one day trip ด้วยครับ
กิจกรรมยามเช้าของผู้ที่พักที่หาด Sunrise Beach ไม่ควรพลาดคือการรอชมแสงเช้าที่หน้าหาดครับ อย่างที่บอกไป ทิวทัศน์ที่มองออกไปจากหน้าหาด เราจะเห็นภาพเกาะน้อยใหญ่ และมีเรือแท็กซี่มาจอดมากมาย มันยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับภาพที่เห็นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็มารอเรือที่จะมารับไปออกทริปด้านหน้าที่พักเลย เรือจะมารับในเวลา 09.00 น. ระหว่างนี้ยังมีเวลาทานอาหารเช้าอีกร่วมชั่วโมง
ในส่วนของห้องอาหาร จะอยู่ติดหน้าหาดเลยครับ จุดนี้เป็นทั้งห้องอาหารและจุด Check in / Check out ด้วย น้องพนักงานแต่ละคนมี Service mind มากๆ
อาหารเช้าจะมีจานหลักให้เลือกคนละ 1 เมนู ระหว่างข้าวผัดกุ้ง ข้าวต้ม และ ABF เสิร์ฟพร้อมผลไม้ 1 ห้อง/1 จาน นอกจากนี้ยังมีอาหารมาเสริมให้อีก 1 อย่าง วันแรกเป็นหมี่ผัด วันที่สองเป็นซาลาเปา ซึ่งสามารถเติมได้เรื่อยๆ และยังมีขนมปัง ซีเรียล กาแฟ โอวันติน นมสด น้ำส้ม ให้ด้วยครับ
ก็ต้องเห็นใจรีสอร์ทนะครับ ต้นทุนวัตถุดิบในการประกอบอาหารค่อนข้างสูง การลดต้นทุนจึงทำให้อาหารจานหลักทำออกมาได้ไม่ดีนัก ข้าวผัดกุ้งจะมีกุ้งโปะหน้าสองตัว ข้าวต้มเองก็เช่นกัน กุ้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ รสชาติออกไปทางจืดครับ
09.00 น. เรือหางยาวมารอรับเพื่อไปออกทริปครับ โดยจุดแรกคนเรือพาไปดำน้ำที่เกาะยาง โดยรอบๆ เกาะถูกปกคลุมไปด้วยปะการังแข็ง อย่างปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด ก็สวยอยู่นะ ปลาเยอะดี แต่อุปสรรคสำคัญในวันนั้นคือ แมงกะพรุนครับ มีทั้งตัวใหญ่เต็มวัย และตัวเล็กตัวน้อย ลอยทั่วผิวน้ำ ดำน้ำไปก็แสบจี๊ดที่หน้า ที่ตัวไป ดูซาดิสม์อยู่เหมือนกัน 55
จุดต่อไป คนเรือพามาที่เกาะหินงาม ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากจุดดำน้ำจุดแรกครับ ถึงแม้เกาะหินงามจะเป็นเกาะเล็กๆ แต่เกาะนี้ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือเป็นเกาะที่ไร้หาดทรายแต่จะเป็นหาดหินทั้งเกาะ แถมหินมีลักษณะกลมมนขนาดเท่าๆ กัน มีลวดลายในตัว ยามน้ำทะเลซัดขึ้นมา หินเหล่านี้จะเปียกชุ่มส่องประกายมันวาวสะท้อนไปทั่วทั้งหาด ว่ากันว่าหินทุกก้อนบนเกาะหินงามเป็นหินต้องคำสาปเจ้าพ่อตะรุเตาด้วย หากใครแอบหยิบเก็บไปเป็นที่ระลึก จะต้องเจออาถรรพ์ ทำให้ต้องส่งหินกลับมาที่หาดแห่งนี้หลายรายเลยครับ
จากเกาะหินงาม ไปต่อที่เกาะราวี ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 6 (หาดทรายขาว) และหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 7 (ตะโละปะเหลียน) เมื่อมาถึงที่เกาะราวี เราต้องแสดงบัตรค่าธรรมเนียมตอนที่เราชำระที่ท่าเรือในวันแรกด้วย ถ้าหากว่าลืมหยิบมา สามารถนำภาพถ่ายบัตรมาแสดงก็ได้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานใดๆ ก็คงต้องชำระค่าเข้าใหม่อีกรอบนะครับ
มื้อเที่ยงนี้ผมได้กะเพราไก่ไข่ดาว และตบท้ายด้วยแตงโมครับ
อิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดของเกาะราวี ทรายที่นี่ขาวสะอาด นุ่มเท้ามาก น้ำก็ใส บริเวณจุดขึ้นลงเรือจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ลองเดินเลาะไปตามชายหาดดูนะครับ บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนมากๆ
จากเกาะราวี คนเรือพาเราไปดำน้ำที่เกาะอาดังต่อ เกาะอาดังมีมีแนวปะการังอยู่โดยรอบ เหมาะกับการดำน้ำตื้นครับ
ผมมาปิดทริปดำน้ำที่ร่องน้ำจาบัง จุดนี้กระแสน้ำค่อนข้างแรง ทางอุทยานฯ จึงได้ทำเป็นแนวเชือกให้นักท่องเที่ยวค่อยๆ เกาะเชือกเพื่อดำน้ำดูปะการังอ่อนเจ็ดสี ที่มีทั้งสีแดงจัด ส้ม ชมพู ม่วง ชมพูอ่อน รวมถึงดาวขนนกสีเหลือง ดำ ดอกไม้ทะเลสีสดๆ มากมาย ต้องยอมรับเลยว่าจุดนี้ ห้ามพลาดครับ เพราะปะการังอ่อนสวยมาก
หลังจากดำน้ำเสร็จก็มุ่งหน้ากลับเกาะหลีเป๊ะครับ ภาพนี้พอจะบอกเล่าได้ไหมครับว่า น้ำทะเลที่เกาะหลีเป๊ะ สวย ใส ขนาดไหน
สำหรับมื้อเย็น ผมออกไปหาอาหารทานที่ Walking Street เช่นเดิมครับ จากนั้นรีบกลับไปพักผ่อน ตุนแรงเอาไว้ก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางข้ามประเทศไปยังมาเลเซียครับ
เช้าวันใหม่ ผมไม่พลาดที่จะมารอชมแสงเช้าที่หน้าหาดเช่นเดิมครับ ทางที่พักนำเบาะพร้อมหมอนสามเหลี่ยมมาวางไว้ให้แขกได้นั่งเอนหลังชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยครับ
หลังมื้อเช้าน้องพนักงานพาไปส่งที่ท่าเรือบันดาหยา ซึ่งจะเป็นท่าเรือที่จะไปยังเกาะลังกาวีครับ ช่วง High Season ที่ผ่านมา (พ.ย.66-พ.ค.67) มีเรือจากเกาะหลีเป๊ะไปยังเกาะลังกาวี (ท่าเรือ Kuah Jetty Langkawi) วันละ 2 รอบ คือเวลา 11.00 น. และ 15.00 น. โดยจะถึงเกาะลังกาวีในเวลา 13.30 น. และ 17.30 น. ตามลำดับ ค่าเรือถ้าจองกับท่าเรือ หรือบริษัททัวร์ ราคา 1,300 บาท แต่ผมจองผ่าน Klook ได้มาในราคา 1,195 บาท แนะนำให้มาถึงที่ท่าเรือก่อน 1 ชั่วโมงนะครับ เพราะเราจะต้องนำใบ Booking มาเปลี่ยนเป็นตั๋วเรือ เมื่อได้บัตรคิวขึ้นเรือแล้ว ให้เดินไปด้านหลังของเคาเตอร์แลกตั๋วเรือ จะพบเคาเตอร์ของ ตม. ซึ่ง ตม. จะเก็บ Passport ของเราไปก่อน แล้วเจ้าหน้าที่เรือจะคืน Passport ให้บนเรือครับ
เรือที่จะไปเกาะลังกาวีเป็นเรือเร็วปรับอากาศขนาดใหญ่ มาส่งผู้โดยสารที่มาจากเกาะลังกาวี และจอดรอรับผู้โดยสารจากเกาะหลีเป๊ะอยู่กลางทะเล เจ้าหน้าที่จะพาเรานั่งเรือหางยาวไปขึ้นเรือเร็วครับ
ก่อนที่จะเข้ามาเลเซีย เราจะต้องกรอก Digital Arrival Card ล่วงหน้า 3 วัน ผ่านทาง Malaysia Digital Arrival Card - MDAC (imi.gov.my) รายละเอียดที่จะลงในระบบ ก็จะเป็นรายละเอียดส่วนตัว ชื่อ สัญชาติ รายละเอียดหนังสือเดินทาง วันที่มาถึง ช่องทางที่เข้ามามาเลเซีย (ทางเรือ/เครื่องบิน/รถ) ที่พำนักในมาเลเซีย ประมาณนี้ครับ
หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จแล้ว ตรงนี้สำคัญครับ เราต้อง Check Registration info กรอกข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เช่นหมายเลข Passport / สัญชาติ / PIN ที่จะได้รับทาง e-mail ที่เราแจ้งไว้ตอนลงทะเบียน พอกด Submit เราก็จะได้ไฟล์ข้อมูลใบขาเข้าเป็นไฟล์ pdf ให้โหลดลงโทรศัพท์รอไว้เลยครับ หากใครอ่านวิธีการกรอก Digital Arrival Card แล้วงง สามารถดูวิธีการกรอกรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://www.youtube.com/watch?v=PtmBJECmNzc
ใช้เวลาในการนั่งเรือประมาณ 1.30 ชม.ก็มาถึงเกาะลังกาวี เกาะต้องคำสาปถึง 7 ชั่วอายุคน (ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 7 ได้มาถอนคำสาปแล้ว) โดยเรือจะมาจอดที่ท่าเรือ Kuah Jetty Langkawi ครับ เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง อย่าลืมปรับนาฬิกาด้วยนะครับ
เมื่อขึ้นจากเรือ ก็จะผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง อย่าลืมแสดงไฟล์ข้อมูลขาเข้าที่โหลดลงโทรศัพท์ พร้อมกับ Passport ยื่นให้กับ ตม. ดูนะครับ ประชากรบนเกาะลังกาวีนับถือศาสนาอิสลามเกือบทั้งหมด การเข้าเมืองตาหลิ่วควรหลิ่วตาตาม นักท่องเที่ยวควรให้เกียรติ โดยการแต่งกายให้สุภาพ มิดชิด ไม่นุ่งน้อยห่มน้อย ไม่ใส่กางเกงขาสั้น/เสื้อแขนสั้นกุด ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนเจ้าหน้าที่บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองเรียกให้ไปเปลี่ยนชุดครับ
ก่อนที่จะออกเที่ยวเรามาทำความรู้จักกับเกาะลังกาวีกันก่อนดีกว่า เกาะลังกาวีเป็นเกาะในรัฐเกดะห์ ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทรบุรี หนึ่งในดินแดนของสยามจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เกาะลังกาวีมีเกาะน้อยใหญ่กว่า 90 เกาะ และยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์เฉพาะถิ่นหายากนับไม่ถ้วน อีกทั้งลังกาวีมีภูมิประเทศเขาหินปูนที่มีอายุมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเก่าแก่กว่า 550 ล้านปี จึงได้รับการประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางอุทยานธรณีในปี ค.ศ. 2007 นับเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ
เกาะลังกาวีโด่งดังมาจากตำนานเรื่องราวของพระนางมัสสุหรี สาวไทยชาวภูเก็ตที่แต่งงานกับพระอนุชาขององค์สุลต่านแห่งลังกาวี แต่โดนใส่ร้ายว่ามีชู้ จนต้องโทษประหารชีวิต ก่อนสิ้นพระชนม์พระนางอธิษฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีมูลความจริงก็ขอให้เลือดปรากฏเป็นสีขาว และได้สาปแช่งให้ลังกาวีมีแต่ความทุกข์ยาก กันดาร 7 ชั่วอายุคน ซึ่งเมื่อนางได้เสียชีวิตลง คำสาปแช่งก็เห็นผล ทำให้ลังกาวีอยู่อย่างเงียบงันมากกว่า 100 ปี จนเมื่อปี พ.ศ. 2543 รัฐบาลมาเลเซียได้เชิญคุณศิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 สาวชาวภูเก็ตไปทำการถอนคำสาป เกาะลังกาวีจึงรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบันครับ
จากท่าเรือ สามารถมองเห็น จัตุรัสนกอินทรีย์ (Datalan Helang) ได้ด้วย หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ผมเลยเดินไปชมความยิ่งใหญ่ของจัตุรัสนกอินทรีย์เป็นจุดหมายแรก
จัตุรัสนกอินทรี (Datalan Helang) เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกาะลังกาวี โดดเด่นด้วยรูปปั้นนกอินทรีสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ สูงกว่า 18 เมตร กำลังสยายปีกเตรียมออกบินสู่ท้องทะเล โดยนกอินทรีเป็นสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวี เพราะคำว่าลังกาวีมาจากคำในภาษามาเลเซียสองคำ คือคำว่า Helang หมายความว่านกอินทรี กับคำว่า Kawi หมายความว่าน้ำตาลแดงครับ
หากมองจากภาพมุมสูง จะเห็นว่ารูปปั้นนกอินทรีย์ตั้งอยู่บนฐานที่เป็นรูปดาว ยื่นออกมากลางทะเลครับ
จาก Langkawi’s Eagle Square ผมเรียก Grab เพื่อไปส่งยัง Chill Suites Langkawi ซึ่งจะเป็นที่พักของผมตลอด 2 คืนบนเกาะลังกาวีครับ
Chill Suites Langkawi ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งชุมชน สามารถเดินหาของกินได้สะดวก และอยู่ใกล้กับ MAHA Tower ครับ
Lobby แบบเรียบง่าย มีมุมบริการเครื่องดื่มร้อนฟรีตลอดการเข้าพัก และมีตู้น้ำเย็นอยู่ที่ห้องด้านหลัง Lobby ครับ
ผมจองห้องพักผ่าน Agoda โดยเลือกพักห้อง King Room with City View ห้องพักขนาด 30 ตร.ม. ในราคา 1,007 บาท/คืน ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป โดยรวมถือว่าโอเคครับ น้องพนักงานก็ให้ความช่วยเหลือตามที่ผมร้องขออย่างเต็มที่ ที่พักไม่มีอาหารเช้านะครับ การเข้าพักที่ลังกาวีจะมีการเรียกเก็บภาษีนักท่องเที่ยวคืนละ RM15.22/ห้อง ตอนที่จองผ่าน Agoda ดูให้ดีๆ นะครับว่า ราคาที่แจ้งรวมภาษีนักท่องเที่ยวไปแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ไปจ่ายภาษีตอน check in ได้เลย ในกรณีที่ Agoda เรียกเก็บภาษีไปแล้ว แต่ทางโรงแรมยังจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก ให้ขอใบเสร็จการเสียภาษีจากทางโรงแรม แล้วเอามาเคลมกับ Agoda อีกที (เจ้าหน้าที่ Agoda แนะนำมาแบบนี้)
เมื่อเก็บสัมภาระไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็สามารถเที่ยวได้แบบตัวปลิว จัดแจงเรียก Grab เพื่อไปยังจุดหมายแรกคือ Kota Mahsuri (KING GAMAT PLUS WALIT) ครับ
Kota Mahsuri เป็นพิพิธภัณฑ์สุสานของพระนางมัสสุหรี ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า “พระนางเลือดขาว” เมื่อเข้าไปด้านใน จุดแรกจะเป็นห้องฉายวีดีทัศน์บอกเล่าประวัติความเป็นมาของพระนางมัสสุหรี และยังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยเฉพาะกริชประจำตระกูล ซึ่งเป็นสิ่งปลิดชีพของพระนางมัสสุหรีครับ
หลุมฝังศพของพระนางมัสสุหรีครับ
มีการจำลองบ้าน จากรูปทรงบ้านเดิมให้ได้ชมสถาปัตยกรรมของคนในสมัยก่อน สามารถขึ้นไปชมด้านบนของตัวบ้านได้ครับ อย่างหลังนี้ หลังใหญ่สุด ยกใต้ถุนสูง ด้านล่างทำเป็นลานกิจกรรมหลายอย่าง
หลังนี้ยกใต้ถุนเตี้ยลงมาหน่อยครับ
มีบ้านจำลองให้ชมประมาณ 5 หลังครับ
บ่อน้ำที่พระนางมัสสุหรีใช้อาบใช้กิน มีอายุกว่า 200 ปีแล้วครับ
มีการสาธิตและจำหน่ายขนมพื้นเมืองด้วย
มาเที่ยวเกาะลังกาวีแล้ว ผมไม่อยากให้พลาดมาเยี่ยมชม Kota Mahsuri นะครับ เพราะว่ามาที่นี่เราจะได้เรียนรู้ประวัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับลังกาวี เกาะต้องคำสาป ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ที่นี่มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ RM20.00 ครับ
จาก Kota Mahsuri ผมเรียก Grab เพื่อมุ่งหน้าไปยังชายหาดปันไต เซนัง (Pantai Cenang) ชายหาดยอดนิยม และครึกครื้นที่สุดของเกาะลังกาวี เป็นชายหาดที่มีหน้าหาดกว้างมาก เหมาะกับการมาทำกิจกรรมทางน้ำ เสียดายที่ผมได้ไปเห็นความสวยงามของหาดทรายและน้ำทะเลใสๆ ที่หลีเป๊ะมาก่อน พอมาเห็นที่นี่เลยไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจสักเท่าไรครับ
บรรยากาศของถนนเรียบชายหาด Pantai Cenang มีร้านรวง ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝาก รวมถึงห้างสรรพสินค้า มากมาย บรรยากาศก็จะคล้ายๆ กับพัทยาบ้านเรา แต่ความครึกครื้นอาจจะยังสู้ไม่ได้ ผมเองก็มาฝากท้องไว้แถวนี้ และจัดการซื้อ SIM (RM 10.00) และแพคเกจเน็ต (RM10.00 / 7 วัน) ที่ 7-11 แถว Pantai Cenang ครับ
จาก Pantai Cenang ผมเรียก Grab เพื่อไปยัง MAHA Towers ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังโรงแรมที่ผมพักนั่นเอง จริงๆ ตอนที่มาถึงลังกาวี ช่วงที่อยู่ท่าเรือ ก็พอจะมองเห็น MAHA Towers อยู่ไกลๆ ครับ
ผมมาทันชมแสงสุดท้ายที่ MAHA Towers พอดี MAHA Towers เป็นหอคอยรูปทรงหอไอเฟล สูง 138 เมตร ตั้งอยู่ริมทะเลอันดามัน ลวดลายที่ตกแต่งบนหอคอยเป็นรูปดอกชบาสีขาวนวล มีความสวยงามเปรียบดังชุดเจ้าสาว เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานของพระนางมัสสุหรี บนหอคอยจะมีจุดให้ชม 2 จุด บริเวณชั้น 18 – Sky Lounge และชั้น 33 – Sky Deck สำหรับขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเกาะลังกาวีแบบ 360 องศา โดยราคาค่าเข้าชม MAHA Tower จะแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลาปกติตั้งแต่เวลา 10.00-17.30 (โดยแบ่งเป็น 4 รอบ คือ 10.00 น.-11.30 น. , 12.00 น.-13.30 น. , 14.00 น.-15.30 น., 16.00-17.30 น.) เสียค่าเข้าชม RM 78.00 และช่วงเวลา Sunset ตั้งแต่เวลา 18.00 น.-20.00 น. เสียค่าเข้าชม RM90.00 ครับ ราคาดังกล่าวสามารถเข้าชมในชั้นที่ 33 – Sky Deck ได้ 20 นาที ส่วนเวลาที่เหลือ สามารถชมชั้น 18 – Sky Lounge ได้ 1 ชั่วโมง 10 นาทีครับ
ผมเห็นราคาค่าขึ้นชม MAHA Towers แล้ว เลยตัดสินใจชมอยู่ด้านล่างดีกว่า ที่ลานด้านข้างของ MAHA Towers มีลานกว้าง ช่วงแดดร่มลมตกจะมีผู้ให้บริการรถคล้ายรถไฟฟ้าคันเล็กๆ ที่ออกแบบให้ดูน่ารักพร้อมติดไฟสวยงาม ให้เด็กๆ ได้มาขี่เล่นทั่วบริเวณ ดูสวยงามดีครับ
คงถึงเวลาเข้าที่พักแล้วครับ จาก MAHA Towers เดินกลับโรงแรมนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ
เช้าวันใหม่ ผมวางแผนออกเดินทางกันตั้งแต่ 07.00 น. ที่ออกเช้าเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวได้หลายจุด ตั้งใจจะไปหามื้อเช้ากินแถวที่จะไปเที่ยว พยายามเรียก Grab อยู่นาน แต่ไม่มีการตอบรับเลย จึงไปถามน้องพนักงานโรงแรม น้องบอกว่าน่าจะเช้าเกินไป จึงไม่มีใครกดรับงาน ระหว่างรอการตอบรับจาก Grab เลยออกไปหามื้อเช้ากินข้างๆ โรงแรม หลังจากกินอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเรียก Grab กันต่อไป ระหว่างรอก็วางแผนว่าจะทำอย่างไรดี เพราะพรุ่งนี้ผมจองไฟล์ทที่จะบินไปปีนังไฟล์ทเช้า ซึ่งจะต้องออกจากโรงแรมราวๆ 07.00 น. ถ้าเรียก Grab ไม่ได้ มีหวังต้องตกเครื่องแน่ๆ จึงตัดสินใจจะไปหาเช่ารถที่สนามบิน เพื่อขับรถเที่ยวแทนการเรียก Grab ครับ
กว่า Grab จะตอบรับก็เกือบ 09.00 น. จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสนามบินเป็นจุดหมายแรก ทำการเช่ารถเป็นที่เรียบร้อย รถที่เช่าเป็นรถ Innova ได้มาในราคาต่อรองแล้ว RM200.00 และต้องวางมัดจำไว้ RM50.00 ที่เลือกรถใหญ่เพราะวันรุ่งขึ้นผมต้องขนสัมภาระด้วยครับ
รถที่เช่าเป็นรถ Innova สีเทา ค่อนข้างใหม่ครับ
หลังรับรถแล้ว จุดหมายแรกผมปักหมุดที่ Perdana Quay Light House เป็นประภาคารที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะลังกาวี สร้างขึ้นพร้อมกับท่าจอดเรือที่อยู่ใกล้ๆ กัน ตัวประภาคารมีความสูงราว 22 เมตร โดดเด่นด้วยการออกแบบเป็นทรง 12 เหลี่ยม ตกแต่งผิวด้วยหินกรวด ดูสวยงามและคลาสสิคมากๆ ครับ
จุดหมายต่อไป ผมจะไปเที่ยวอีกหนึ่งไฮไลต์บนเกาะลังกาวี นั่นคือการนั่ง Cable Car เพื่อขึ้นไปยังยอดเขากุนุง มาชินชัง โดยสถานี Cable Car จะตั้งอยู่ใน Oriental Village ครับ
Oriental Village ตั้งอยู่ที่เชิงเขาของอุทยานธรณีวิทยา Machinchang Cambrian ภายในเป็นที่ตั้งของ Langkawi SkyCab และ Langkawi SkyBridge ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงบนเกาะลังกาวี นอกจากนี้ยังมีการจำลองให้เป็นหมู่บ้านที่มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยผสานกับสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของบ้านเรือนแบบมาเลย์ ภายในอาคารก็จะทำเป็นร้านขายของที่ระลึก ขายเสื้อผ้า แถมยังมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย พื้นที่ภายในกว้างขวาง มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆ เช่นกรอบสีเหลืองจะเป็นที่สำหรับจอดรถ กรอบสีแดงจะเป็นที่ตั้งของสถานี SKYCAB, SKYDOME, SKYREX, 3D ART, 6D CINEMOTION ส่วนพื้นที่นอกกรอบสีแดงและสีเหลือง จะเป็นหมู่บ้านจำลองที่ทำเป็นร้านค้าครับ
ใครที่เดินไหว ก็เดินชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ใครที่เดินไม่ไหว ก็จะมีรถสองชั้นขนาดเล็กพาเข้าไปด้านในครับ
มีการจำลองให้เป็นหมู่บ้านตะวันออก ที่ด้านในอาคารทำเป็นร้านขายของครับ
จุดจำหน่ายบัตร เพื่อเล่นกิจกรรมต่างๆ
บัตรเข้าชม มีขายเป็นแพคเกจ แต่ทุกแพคเกจจะมี SKYCAB + SKYDOME + SKYREX + 3D ART เป็นพื้นฐาน (เหมือนเป็นการบังคับขาย) นอกจากนั้นจะมี Option เสริม อย่าง SKYBRIDGE ให้เลือกระหว่าง Nature Walk หรือ SKYGLIDE โดยราคาก็จะแตกต่างกันไป ซึ่งผมเองเลือกแพคเกจแบบพื้นฐาน คือ SKYCAB + SKYDOME + SKYREX + 3D ART และซื้อ Option เสริมคือ SKYBRIDGE แบบ SKYGLIDE แอบไปดูราคาหน้าเคาเตอร์ ราคา RM105.00 ประมาณ 787.50 บาท และเปรียบเทียบกับราคาที่ซื้อผ่าน Klook สรุปซื้อผ่าน Klook ได้ราคาถูกกว่า โดยได้มาในราคา 737 บาท ก็กดซื้อบัตรผ่านแอปที่หน้างานเลยครับ แล้วนำ Voucher ที่ได้จากแอปไปยื่นให้ที่เคาเตอร์เพื่อออกบัตรเป็นสายรัดข้อมือได้เลย
วันที่ผมไป คิวขึ้นกระเช้าค่อนข้างยาวครับ จริงๆ ถ้าใครไม่อยากต่อคิว ก็สามารถซื้อบัตรแบบช่องทางพิเศษได้ โดยเพิ่มเงินอีกคนละ RM50.00 ส่วนกระเช้าที่จะนั่งก็มีหลายประเภท มีทั้งกระเช้ามาตรฐาน/กระเช้าพื้นกระจก/ กระเช้าแบบ 360 องศา / กระเช้า VIP (นั่งได้ 3 คน และนั่งได้ 4-6 คน) ซึ่งถ้าต้องการกระเช้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่กระเช้ามาตรฐาน ก็เพิ่มเงินไปอีกครับ
กระเช้าลอยฟ้า (Langkawi Cable Car หรือ SKYCAB) จะแบ่งเป็น 2 ช่วง 3 สถานี คือ สถานีเชิงเขา (Base Station) สถานีกลางทาง (Middle Station) และสถานียอดเขา (Top Station) รวมความยาวประมาณ 2.2 กิโลเมตร บางช่วงจะมีการขึงเส้นเคเบิลเหล็กกล้ายาวถึง 950 เมตรไว้ระหว่างหอคอยสองต้น ทำให้ SKYCAB นี้เป็นหนึ่งในกระเช้าที่มีเคเบิลเส้นเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก
ระหว่างเส้นทางขึ้นไปบนยอดเขา มองเห็น Telaga Tujuh Waterfall ด้วย เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะแวะไปชมน้ำตกในระยะใกล้ แต่เนื่องจากประเมินเวลาแล้วไม่น่าจะทัน แถมน้ำตกยังมีปริมาณน้ำน้อยด้วย เลยตัดโปรแกรมออกไปครับ
เราต้องมาเปลี่ยนกระเช้าบริเวณสถานีกลางทาง โดยด้านข้างสถานีจะมีจุดชมวิว มองเห็น Eagle’s Nest Sky Walk Gallery ด้วย ลักษณะเป็น Sky Walk พื้นกระจก คล้าย Sky Walk อัยเยอร์เวง เบตง ช่วงที่ผมไป ยังไม่เสร็จครับ
ระหว่างสถานีกลางทางถึงสถานียอดเขา กระเช้าจะต้องเพิ่มระดับองศาความชันขึ้นไปตามหน้าผาที่มีความชันมากถึง 42 องศา เพราะเหตุนี้ SKYCAB จึงถูกยกให้เป็นกระเช้าที่ชันที่สุดในโลกครับ
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราก็มาถึงยอดเขากุนุง มาชินชัง (Gunung Machinchang) เขาที่มีธรณีสัณฐานหินปูนเก่าแก่ที่สุดถึง 550 ล้านปี เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนครับ ด้านบนจะมีจุดชมวิว 2 จุด บนความสูง 708 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สามารถชมวิวได้แบบพาโนรามา 360 องศากันเลยทีเดียว มองเห็นผืนป่าเขียวขจี เห็นชายฝั่งทะเลและเกาะน้อยใหญ่ที่เรียงตัวอยู่ในท้องทะเลอันดามัน และยังมองไปได้ไกลถึงเกาะตะรุเตาด้วย ที่สำคัญมองเห็นสะพานขึง (SKYBRIDGE) พาดผ่านยอดเขาที่สูงกว่า 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แบบ Bird Eyes View ด้วย
จากสถานียอดเขา หากต้องการจะลงไปที่ SKYBRIDGE สามารถทำได้ 2 วิธี คือการเดินเท้าตามเส้นทาง Nature Walk หรือใช้บริการ SKYGLIDE ซึ่งผมได้ซื้อตั๋ว SKYGLIDE ไว้แล้วในตอนแรก
อยากจะแนะนำว่าไม่ควรซื้อตั๋ว SKYGLIDE ไว้ตั้งแต่แรกนะครับ ให้มาตัดสินใจเอาหน้างานดีกว่า เพราะวันที่ผมไป คิวใช้บริการ SKYGLIDE ยาวมากทั้งขาลงและขาขึ้น (ที่คิวยาวเพราะ SKYGLIDE มีบริการเพียงตู้โดยสารเดียว ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก) ใครตัดสินใจได้แล้ว สามารถซื้อตั๋วตรงสถานียอดเขาได้เลย สำหรับผมซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว เลยไม่อยากทิ้งตั๋ว จึงต้องยอมรอต่อคิว ทำให้เสียเวลาตรงจุดนี้ไปนานมาก ส่วนขากลับคิวยาวมากกว่าขาไปอีก เลยตัดสินใจเดินขึ้นตามเส้นทาง Nature Walk แทนครับ
SKYBRIDGE เป็นสะพานโลหะขนาดใหญ่ สร้างเป็นทรงโค้งคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เชื่อมยอดเขาสูง 700 เมตรสองลูกเข้าด้วยกัน สะพานนี้มีความยาว 125 เมตร และมีโครงเสาเดี่ยวตรงกลางสะพานสูง 82 เมตร เป็นตัวยึดระหว่างสะพานกับพื้นด้านล่าง รับน้ำหนักคนได้ถึง 250 คนในครั้งเดียว พื้นสะพานเป็นพื้นทึบ มีบางส่วนที่ทำเป็นพื้นกระจก นับเป็นสะพานที่ยาวที่สุดและสูงที่สุดในโลก โดยสะพานนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขา Gunung Machinchang ครับ
การก่อสร้างสะพานแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์ในการขนส่งอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นไปประกอบบนยอดเขา และแทบจะไม่มีการตัดต้นไม้เลยสักต้น มัน Amazing มากๆ ครับ
หลังจากลงจาก SKYBRIDGE ก็ตะเวนใช้สิทธิ์ส่วนที่เหลือ โดยเลือกไปที่ SKYDOME เป็นจุดแรกครับ
SKYDOME เป็นคล้ายๆ กับโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่รองรับคนได้ประมาณ 50 คน มาพร้อมกับโปรเจกเตอร์ถึง 12 เครื่อง สามารถฉายภาพ 3 มิติแบบ 360 องศา เนื้อหาก็เป็นการผจญภัยของตัวการ์ตูนเหล่าซุปเปอร์ฮีโร ที่มีฐานทัพลับอยู่ที่ Datalan Helang ใช้เวลาชมประมาณ 10 นาที บอกเลยว่าเข้าไปดูแล้วไม่อยากจะลุกจากที่นั่งไปไหนอีกเลย ไม่ใช่เพราะหนังสนุกหรอก แต่เพราะในห้องอากาศเย็นมาก (ในขณะที่ข้างนอกแดดแรงจนแสบตัวไปหมดครับ)
จาก SKYDOME ผมเข้าชมที่ 3D ART ต่อ การเข้าไปชมด้านใน 3D ART เราต้องฝากรองเท้าไว้ที่เคาเตอร์ด้านหน้า ภายในมีภาพ 3 มิติมากมายกว่าร้อยภาพ
โดยภาพ 3 มิติ จะแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น โซนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ โซนซาฟารี โซนแฟนตาซี โซนภาพลวงตา โซนเรืองแสง เป็นต้น บรรยากาศเหมือนเดินเล่นใน Art In Paradise Pattaya เลยครับ
ปิดท้ายที่ SKYREX เป็นโรงภาพยนตร์แบบ 4 มิติ โดยผู้เข้าชมจะได้นั่งบนเครื่องจำลองสไตล์รถราง มุ่งหน้าเข้าไปยัง Jurassic World ซึ่งตลอดเส้นทางก็จะมีไดโนเสาร์โผล่มาด้านข้างของรถราง รถรางก็จะมีการโยกหลบซ้ายหลบขวา มีการระเบิดของอากาศ มีละอองน้ำ การสั่นสะเทือน เสียงเซอร์ราวด์ มาครบทุกอย่างเลย อันนี้สนุกดีครับ ใช้เวลาชมประมาณ 5 นาที แต่รู้สึกเหมือนแค่แว๊บเดียว
Oriental Village เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30 น.-18.00 น. ครับ ที่นี่แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ
จากนั้นผมมาปิดท้ายโปรแกรมของวันที่ Pantai Pasir Hitam หรือหาดทรายดำ แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ดำอย่างที่คิดไว้ในหัว เพราะทรายจะดำเป็นจุดๆ ตามภาพที่เห็น ผมไม่แน่ใจว่าหาดทรายดำแห่งนี้เกี่ยวเนื่องกับพระนางมัสสุหรีหรือไม่ เพราะตามตำนานบอกว่า หลังจากที่พระนางมัสสุหรีได้ตายลง ต่อมาพระมารดาขององค์รัชทายาทพระสวามีของพระนางมัสสุหรีก็สิ้นพระชนม์ลง พระศพไม่สามารถฝังที่ใดบนเกาะลังกาวีได้เลย ฝังที่ใดทรายก็จะดันร่างขึ้นมาเสมอ จนต้องกลับไปทำพิธีบนบานที่สุสานพระนางมัสสุหรี จึงสามารถนำพระศพไปฝังไว้ที่บริเวณหาดทรายได้ แต่สีของหาดทรายกลายเป็นสีดำในทันทีที่ร่างถูกฝังลงไป อย่างที่ปรากฏเป็นหาดทรายสีดำในปัจจุบันครับ
มื้อเย็นผมมาฝากท้องที่ร้าน New Water Garden Hawker Centre LGK ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่ผมพัก ร้านนี้อาหารอร่อยจริง รสชาติคล้ายบ้านเรา ไม่ผิดหวังเลย เสียดายที่ผมไม่ได้ติดกล้องมา เลยไม่ได้ถ่ายรูปหน้าร้านรวมถึงอาหารมาให้ชมครับ แล้วเวลานั้นหิวมากด้วย จะถ่ายก็เกรงใจสมาชิกร่วมทริปครับ อิ่มท้องแล้วกลับไปพักผ่อนตุนแรง เพราะพรุ่งนี้ผมต้อง Check out แต่เช้า เพื่อเดินทางไปยังปีนังต่อครับ
เช้าวันใหม่ แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนคืนรถครับ น้ำมันที่นี่เราต้องเติมเองนะครับ โดยไปจ่ายค่าน้ำมันที่เคาเตอร์ก่อน จากนั้นถึงจะมาเติมน้ำมันได้ ช่วงที่ผมไปน้ำมันเบนซิลบนเกาะลังกาวี ลิตรละ RM2.05 ประมาณ 16 บาทเองครับ
ผมมาฝากท้องที่สนามบิน ในสนามบินมีร้านอาหารให้เลือกพอสมควรครับ
จริงๆ แล้วการเดินทางจากเกาะลังกาวีไปเกาะปีนัง เท่าที่ผมหาข้อมูลมา ไปได้หลายวิธีนะครับ จะนั่งเรือด่วน หรือจะนั่งเรือข้ามฟากแล้วต่อรถโดยสารประจำทางหรือต่อรถไฟก็ได้ แต่ที่ประหยัดเวลาและสะดวกที่สุดแนะนำให้บินไปดีกว่าครับ ค่าเครื่องบินไม่เกินเอื้อม ตามสโลแกนใครๆ ก็บินได้ ผมได้ตั๋วมาในราคา 530 บาท (ไม่รวมสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่อง) แอร์เอเชียมีบิน 3 ไฟล์ทต่อวันครับ
กัปตันตรงเวลามากเลยครับ เมื่อผู้โดยสารมาครบก่อนเวลาเครื่องออก กัปตันพาเครื่องออกไปตาม Taxiway ไปจอดรอตรง Runway อยู่เกือบ 10 นาที ระหว่างนั้นผมก็พยายามมองว่าจะมีเครื่องลงที่สนามบินหรือไม่ ท้ายสุดก็ไม่มี จนเวลา 10.25 น. ตามเวลาบินเป๊ะ กัปตันถึงได้ Take off ครับ
ระหว่างเส้นทางบิน มองเห็นหมู่เกาะมากมาย เนื่องจากระยะทางบินไม่ไกล เครื่องบินจึงบินไม่สูงมากครับ
ใช้เวลาบินเพียง 25 นาที ก็มาถึงสนามบินปีนัง ถึงก่อนเวลาราว 15 นาทีครับ
จากสนามบิน ผมเลือกนั่งรถโดยสารประจำทางด้านหน้าสนามบินเพื่อประหยัดค่าแท็กซี่ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองปีนัง โดยลงที่ตึก Komtar แล้วหานั่งรถ Free Shuttle Bus วิ่งรอบเมืองเก่า รถคันไหนฟรี ไม่ฟรี ดูที่ป้ายด้านบนหน้ารถ เหมือนป้ายบอกสายรถ ขสมก. นั่นแหล่ะครับ รถฟรีก็จะซอกแซกไปตามถนนหลายสาย จริงๆ เกือบจะถึงโรงแรมที่พักแล้ว แต่รถก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางวิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนด จนท้ายสุดก็วกกลับมาด้านข้างโรงแรม ก็ถือซะว่านั่งรถชมเมืองครับ ไปถึงเร็วก็ยัง Check in ไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา Check in ผมมาลงป้ายด้านข้างโรงแรม loop on leith george town penang hotel ซึ่งเป็นที่พักของผม เดินมานิดเดียวก็ถึงโรงแรมครับ แต่ยังไม่ถึงเวลา Check in ผมเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ลอบบี้ก่อน แล้วออกไปหามื้อเที่ยงกินก่อน
เที่ยงนี้ผมมาฝากท้องที่ร้าน Kimberly Street Duck Kway Chap ร้านนี้เด่นที่ก๋วยจั๊บเป็ดน้ำข้น หน้าตาและรสชาติคล้ายบ้านเราเลยครับ ชามใหญ่ เครื่องแน่น อร่อยดี ชามนี้ RM12.25 ครับ
ตบท้ายด้วยของหวาน คล้ายๆ เต้าทึงบ้านเรา หวานอ่อนๆ อร่อยชื่นใจ ถ้วยนี้ RM5.00 ครับ
ร้านอาหารส่วนใหญ่ในปีนัง จะเก็บเงินค่าอาหารตอนมาเสิร์ฟอาหารเราที่โต๊ะนะครับ ป้องการการชักดาบหลังกินเสร็จครับ
อิ่มท้องแล้ว ขอกลับมา Check in ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า ตลอด 2 คืนที่ปีนัง ผมจองห้องพักที่ loop on leith george town penang hotel ที่ปีนังก็มีการเรียกเก็บภาษีนักท่องเที่ยวเช่นกัน คนละ RM5.00 /คืน นอกจากนั้น ยังมีการเรียกเก็บ Penang Heritage Tax (Local Government Fee) มูลค่า 2 MYR ต่อห้องต่อคืน ซึ่งจะไม่รวมอยู่ในราคาค่าห้องที่จองผ่าน Agoda นะครับ ต้องมาจ่ายเพิ่มตอน Check in
loop on leith george town penang hotel เป็นโรงแรมขนาดกลาง ตั้งอยู่ปลายๆ เขตเมืองเก่า เดินไม่ไกลก็ถึงจุดท่องเที่ยวหลัก เยื้องๆ โรงแรมมีร้านสะดวกซื้อด้วยครับ
ลอบบี้แบบเรียบง่าย พนักงานให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวได้ดีครับ
ผมจองห้องพักแบบ Standard King Room เป็นห้อง Connection ในราคา 1,092 บาท/คืน รวมภาษีนักท่องเที่ยวและอาหารเช้าแล้ว ภายในห้องมีโซฟาขนาดใหญ่ ทำให้เหลือพื้นที่ใช้สอยน้อยลง สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกมีตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไปครับ
ห้องพักโดยรวมถือว่าโอเค ติดอยู่อย่างเดียวคือโรงแรมตั้งอยู่ติดกับมัสยิด ทำให้ได้ยินเสียงละหมาดผ่านเครื่องขยายเสียงดังมากๆ ครับ
แอร์เย็นๆ ในห้องพัก เรียกพลังกลับมาได้เยอะเลยครับ จากนี้เราไปเดินเล่นชมเมืองปีนังกันดีกว่า
ปีนัง เป็น 1 ใน 12 รัฐของมาเลเซีย เป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของแหลมมาลายู แต่เดิมปีนังเป็นเพียงเกาะดิบที่มีแต่ป่าเขาและหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ต่อมากัปตันฟรานซิส ไลท์ ตัวแทนของบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษเข้ามาบุกเบิกจัดทำสัญญาเช่า จากเกาะรกร้างก็กลายเป็นชุมชนเมืองตามแบบแผนอาณานิคมอังกฤษ และพัฒนากลายเป็นเมืองท่าที่เจริญที่สุดในเวลานั้น ความเจริญของปีนังทำให้ปีนังกลายเป็นเมืองหลากหลายเชื้อชาติ มีทั้งคนพื้นเมืองที่เป็นชาวมลายู ชาวอินเดีย ชาวจีน รวมถึงชาวไทย ผสมผสานข้ามชาวพันธุ์ ตกทอดเป็นวิถีชีวิต วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้เมืองจอร์จทาวน์ เมืองหลวงของรัฐปีนัง ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ.2551 ครับ
สถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ ในเมืองจอร์จทาวน์ มีรูปแบบวิวัฒนาการสอดคล้องไปกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละช่วงเวลา มีการปรับรูปแบบการก่อสร้างไปตามสมัยนิยม แนวศิลปะและเทคโนโลยีก่อสร้างเช่นกัน เหตุนี้จึงทำให้เมืองจอร์จทาวน์มีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายรูปแบบและตกทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของมาเลเซียครับ
สิ่งที่โดดเด่นในย่านจอร์จทาวน์ จะเห็นอาคารเก่าสุดคลาสสิก สถาปัตยกรรม ชิโน-โปรตุกีส อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ให้อารมณ์เดินเที่ยวที่เขตเมืองเก่าภูเก็ตเลยครับ
ตึกรามบ้านช่องสวยงามจริงๆ ครับ ที่ภูเก็ตว่าสวยแล้ว ที่ปีนังนี่ก็สวยไม่แพ้กันเลย แถมยังมีความหลากหลายของสถาปัตยกรรม และครอบคลุมพื้นที่เยอะกว่า นี่ถ้าแดดไม่แรงคงจะเดินถ่ายรูปได้เพลินกว่านี้ครับ
สำหรับใครที่ต้องการซึมซับกับบรรยากาศของปีนังแบบใกล้ชิด แนะนำให้ลองใช้บริการรถสามล้อถีบนั่งชมบ้านเรือน รวมถึงวิถีชีวิตรอบเมืองจอร์จทาวน์ดูนะครับ
ศาลเจ้าบริเวณทางเข้าหมู่บ้านชาวประมง Ghew Jetty ครับ ถึงแม้จะเป็นศาลเจ้าเล็กๆ แต่สวยงามไม่แพ้ใคร
หมู่บ้านชาวประมง Chew Jettey สร้างขึ้นในปี 1800 หรือประมาณ 224 ปี ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีนจากกวางโจวที่อพยพมาอยู่ที่นี่ ภายในหมู่บ้านมีบ้านอยู่ราว 80 หลัง มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บ้านของผู้คนในชุมชนนี้ยังคงรูปแบบเดิมไว้ เป็นบ้านไม้เก่าแก่ ผสมผสานศิลปะแบบจีน หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้อยู่ในเส้นทางมรดกโลกของปีนังด้วยครับ
เมื่อเดินไปจนสุดหมู่บ้าน มองออกไปเห็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะปีนังกับแผ่นดินใหญ่ด้วยครับ
ด้วยแสงแดดที่แรงกล้า ทำเอาผมหมดแรงเลยครับ จึงเรียก Grab กลับไปส่งที่โรงแรม ก่อนที่จะถึงโรงแรมสัก 120 เมตร เจอวัดจีนสวย เลยขอแวะชมสักหน่อย
วัดไห่หนานเทียนโฮ่ว (Hinan Thean Hou Temple) แปลว่าวัดของราชินีแห่งสรวงสวรรค์ สร้างขึ้นบนเกาะปีนังเมื่อปี ค.ศ.1866 เพื่อบูชาเจ้าแม่ม่าจ้อโป๋ ต่อมาในปี ค.ศ.1895 จึงได้ย้ายมาตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ด้านหน้าจะมีประติมากรรมปี่เซี๊ยะ หินสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยและช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายครับ
ผนังด้านหน้าสลักนกกระเรียน สัตว์มงคลที่หมายถึงความสุขสมปรารถนาและเสาหินสลักลายมังกรอย่างวิจิตรงดงาม คืออยากจะบอกว่ามันงดงามและอ่อนช้อยจริงๆ ลวดลายต่างๆ มีความละเอียดมาก ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เป็นการแกะสลักลงบนแผ่นปูนครับ
เจ้าแม่ม่าจ้อโป๋ ราชินีแห่งสรวงสวรรค์ องค์ประธานของศาลเจ้า เป็นที่ศรัทธาของชาวประมงเชื้อสายจีน โดยเฉพาะชาวจีนไหหลำมีความเชื่อว่าผู้ที่บูชาจะได้รับความสงบสุข ผู้คนในครอบครัวรักสามัคคีและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานครับ
หลังจากไหว้พระเสร็จก็เดินกลับเข้าที่พักเลยครับ ไม่ไหว วันนี้แพ้แดดจริงๆ คืนนี้สลบคาเตียงเลยครับ
มื้อเช้าผมฝากท้องไว้ที่โรงแรมครับ อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟต์เล็กๆ หลักๆ จะมีอาหารเมน 3 อย่าง และจะมีเมนูไข่ ไส้กรอก ขนมปัง+แยม ผลไม้ ชา กาแฟ มาเสริมครับ
เช้านี้ผมวางแผนไปเที่ยวนอกเมืองจอร์จทาวน์ โดยใช้บริการ Grab ปักหมุดที่ Kek Lok Si Temple เป็นจุดหมายแรกครับ
วัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si Temple) หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดเขาเต่า เป็นวัดจีนพุทธ นิกายมหายาน ที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย สามารถมองเห็นวัดได้ในระยะไกล เพราะวัดตั้งอยู่บนเนินเขา แถมยังมีเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นองค์ และรูปหล่อสำริดพระโพธิสัตว์กวนอิมที่มีความสูงถึง 30.2 เมตรด้วย วัดนี้สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประกอบด้วยองค์ประกอบและจารีตของมหายาน เถรวาท และคติความเชื่อพื้นถิ่นของจีนผสมผสานอยู่ร่วมกันครับ
เนื่องจากวัดเก็กลกสี่อยู่บนเนินเขา การจะขึ้นไปเที่ยวชมด้านบน สามารถทำได้ 2 ทาง คือการเดินเท้าขึ้นไป หรือการใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างลิฟต์ครับ โดยลิฟต์จะมีค่าบริการเที่ยวละ RM8.00 ถ้าแบบไป-กลับ คนละ RM16.00 ครับ
ลิฟต์จะแบ่งเป็น 3 ช่วงนะครับ จุดแรกผมขอตรงขึ้นไปด้านบนสุดก่อนเลย ด้านบนสุดมีรูปหล่อสำริดพระโพธิสัตว์กวนอิมสูงถึง 30.2 เมตร นับเป็นรูปหล่อของพระโพธิสัตว์กวนอิมที่สูงที่สุดในโลกครับ
ด้านข้างรูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิมมีวิหารเล็กๆ ด้านในประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือที่สลักขึ้นจากไม้ครับ
ที่ลานด้านหน้ารูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม สามารถชมวิวเมืองปีนังได้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ
จากพระโพธิสัตว์กวนอิมลงลิฟต์มา 1 ชั้น จะพบกับหอพระ ภายในประดิษฐานองค์พระขนาดใหญ่ 3 องค์ สีเหลืองทองอร่าม ที่พื้นเป็นลายดอกบัว งดงามมากครับ
สำหรับใครที่ต้องการเข้าไปชมเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นองค์ จะต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม RM2.00 ก่อนที่จะไปถึงองค์เจดีย์ จะพบกับหอพระ โครงสร้างก่อเป็นผนังปูนแกะสลัก ลวดลายอ่อนช้อย ตกแต่งด้วยจิตรกรรมแบบจีน ภายในประดิษฐานพระอมิตาภพุทธะ พระไวโรจนพุทธะ และพระอักโษภัยพุทธะ
ถัดจากหอพระ จะพบกับองค์เจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นองค์ เจดีย์นี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1930 และบูรณะอีกครั้งในปี ค.ศ.1966ตัวเจดีย์มี 7 ชั้น สูง 30 เมตร ตกแต่งด้วยพระพุทธรูปสำริดและพระพุทธรูปศิลาขาวทั้งหมด 10,000 องค์ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามัคคีระหว่างนิกายเถรวาทและมหายาน ลักษณะของเจดีย์เกิดจากการผสมผสานทางวัฒนธรรม กล่าวคือที่ฐานเจดีย์เป็นฐานแปดเหลี่ยมแบบจีน ส่วนตอนกลางออกแบบด้วยงานช่างแบบไทย และยอดเจดีย์เป็นศิลปะตามแบบพม่าครับ ที่น่าภูมิใจคือ รัชกาลที่ 6 ทรงเป็นผู้เสด็จฯ วางศิลาฤกษ์เจดีย์องค์นี้ ทำให้เจดีย์นี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า เจดีย์พระราม (Rama Pagoda) ครับ
ชั้นล่างของเจดีย์ จะพบองค์เปี่ยหลู่จูไหลขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางองค์เจดีย์
ผมเดินขึ้นไปด้านบนสุดขององค์เจดีย์ มองลงมาสวยงามมาก มองเห็นหอสวดมนต์ รวมถึงเมืองปีนังแบบพาโนรามาเลยครับ
จากเจดีย์ด้านบน เดินลงมาเพื่อไปยังหอสวดมนต์ บรรยากาศสวยงามครับ
พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถครับ
สวนเจดีย์ 7 ชั้น
หอสวดมนต์ขนาดใหญ่ ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์ 3 องค์ใหญ่ เรียงจากซ้ายไปขวา ประกอบด้วย พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์กวนอิม เล็กๆ ติดเต็มผนังด้านในของหอสวดมนต์เป็นจำนวนมากนับหมื่นองค์ รวมถึงมีที่นั่งสำหรับผู้ที่ต้องการสวดมนต์ด้วยครับ
วัดเก็กลกสี่ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด คือเป็นทั้งวัดให้มาสักการะขอพร และยังเป็นจุดชมวิวเมืองปีนังครับ
จากวัดเก็กลกสี่ ผมเรียก Grab ไปต่อที่ปีนังฮิลล์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลครับ
ปีนังฮิลล์ เปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30-23.00 น. การจะขึ้นไปชมวิวบนยอดปีนังฮิลล์ เราจะต้องใช้บริการรถรางไฟฟ้าครับ เมื่อมาถึงที่สถานีรถรางไฟฟ้า ผมเกิดชะล่าใจ เพราะเห็นว่าแทบจะไม่มีคนต่อคิวซื้อตั๋วเลย เลยจัดการหามื้อเที่ยงกินกันตรงสถานีรถรางไฟฟ้านั่นแหล่ะครับ ผมฝากท้องที่ A&W อิ่มท้องแล้วก็จัดแจงซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อย ค่าบริการรถรถรางไปกลับแบบ Normal Lane@ RM30.00 แต่ถ้าไม่อยากต่อคิว สามารถซื้อแบบ Fast Lane @ RM80.00 ก็ได้ครับ ตั๋วรถรางไฟฟ้าไม่มีจำหน่ายใน Klook ครับ
เมื่อได้บัตรถึงได้รู้ว่า ต้องรอคิวอีกนานเลย เพราะเจ้าหน้าที่จะเรียกให้ไปยืนรอต่อคิวเป็นรอบๆ นั่งรอเรียกคิวอยู่ราว 15 นาที ก็ถึงเวลาที่ต้องไปยืนต่อแถวเรียงคิวแล้ว ขอบอกว่าคนเยอะมาก ด้านหน้าอาจดูไม่เยอะ แต่ด้านในนี่แถวขดเป็นงูเลื้อยเลย บรรยากาศข้างในแออัดมากๆ ถึงแม้จะติดเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่ได้รับรู้ถึงความเย็นเลย แอร์คงสู้จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ไหว เหมือนแย่งอากาศกันหายใจเลย ผมนี่แทบจะเป็นลม ยืนรอคิวนานนับชั่วโมง
รถรางไฟฟ้าจะเป็นแบบรางเดี่ยว จะมีช่วงกลางเส้นทางที่จะทำเป็น 2 เลน เพื่อให้รถรางที่วิ่งขึ้นและลงสวนทางกันได้ รถรางวิ่งได้เร็วเกินความคาดหมายครับ
เส้นทางรถรางไฟฟ้านี้มีความเก่าแก่มากที่สุดในภูมิภาคเลยครับ รวมถึงยังมีการลอดอุโมงค์ไต่ระดับความชันมากที่สุดอีกด้วย
เพียงไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงยอดปีนังฮิลล์แล้วครับ
ปีนังฮิลล์ เป็นจุดสูงที่สุดของเกาะปีนัง โดยมีความสูงถึง 830 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวและชาวมาเลเซีย นิยมมาชมวิวมุมสูงของเกาะปีนังกันเป็นจำนวนมาก ด้านบนมีจุดให้ชมวิวหลายจุด เช่น Sky walk, ลานชมวิว, มีกล้องส่องทางไกลไว้บริการด้วย (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)
ด้านบนปีนังฮิลล์ มีวัดฮินดู (Sri Aruloli Thirumurugan) ด้วย แต่เราต้องออกแรงเดินขึ้นเนิน เรียกเสียงหอบกันสักนิด ก็จะได้พบกับวัดฮินดูสวยๆ ครับ
ผมขอแนะนำเพิ่มเติมตรงนี้ สำหรับผู้ที่จะไปเที่ยว THE HABITAT เป็นจุดหมายต่อไป จากการที่ผมไปเปรียบเทียบราคาตั๋วที่ซื้อหน้าเคาเตอร์ ค่าเข้าแบบ Standard (รวม Curtis Crest Treetop Walk) ราคาอยู่ที่ RM 60.00 หรือประมาณ 470 บาท แต่ถ้าหากซื้อผ่าน Klook จะได้ค่าตั๋วในราคา 386 บาท ใครที่ต้องการซื้อผ่าน Klook ให้ทำการกดซื้อตั๋วบริเวณสถานีรถรางไฟฟ้าหรือตรงวัดฮินดูได้เลยนะครับ เพราะตรง THE HABITAT ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จะได้ไม่เสียแรง เสียเวลา เดินย้อนกลับมากดซื้อตั๋วอีก เดินไปกลับก็เกือบ 1 กม. เหมือนกัน เมื่อกดซื้อตั๋วแล้วจะได้ตั๋วที่มี QR Code จากการกดซื้อ เราต้องโหลดตั๋วของทุกคน ลงโทรศัพท์ด้วยนะครับ เพราะเวลาจะเข้าไปด้านใน เราจะต้องสแกนตั๋วผ่าน QR Code ของแต่ละคนครับ
จากวัดฮินดู เดินเท้าไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 500 เมตร ก็มาถึงTHE HABITAT ครับ
THE HABITAT เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติของป่าฝนในเขตสงวนชีวมณฑลของมรดกโลก มีพืชพรรณไม้ให้ชมมากมาย ทั้งไม้ดอกและไม้ยืนต้น นอกจากนี้ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติแบบ Langur Way Canopy Walk หรือสะพานแขวนค่างแว่น ที่มีความยาวถึง 230 เมตร นับเป็นสะพานเชือกแขวนที่ยาวที่สุดในโลก เป็นทางเดินลอยฟ้า ที่ทำให้เราได้เห็นอีกหนึ่งมุมมองบนยอดไม้ คล้ายๆ กับสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เชียงใหม่ เหตุที่ได้ชื่อสะพานแขวนค่างแว่น เพราะตั้งชื่อตามค่างแว่น สัตว์ดาวเด่นสัญลักษณ์ของผืนป่าแห่งนี้ และพบเจอได้บ่อยมากครับ
และที่เป็นไฮไลต์สุดของ THE HABITAT ผมขอยกให้ Curtis Crest Treetop Walk เป็นทางเดินลอยฟ้าทรงรี ที่จะสามารถชมวิวบนยอดไม้ มองไปไกลเห็นวิวบนเกาะปีนังได้แบบ 360 องศา นับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนเกาะปีนังเลยครับ
พื้นที่ใน THE HABITAT กว้างมากครับ เดินกันจนเหนื่อย สุดเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะเป็นคาเฟ่ ให้ได้นั่งพักเหนื่อย เมื่อหายเหนื่อยเดินต่อนิดหน่อยเพื่อไปยังจุดจอดรถกอล์ฟ จากนี้รถกอล์ฟจะพาเราไปส่งใกล้ๆ สถานีรถกระเช้าไฟฟ้าครับ ค่ารถกอล์ฟรวมอยู่ในค่าตั๋วเข้าชม THE HABITAT แล้ว ถึงเวลาที่ต้องอำลาปีนังฮิลล์แล้ว ขาลงนักท่องเที่ยวมารอคิวรถรางไฟฟ้าน้อยหน่อย รอรอบเดียวก็ได้ลงไปยังสถานีด้านล่างแล้วครับ
จากนั้นผมเรียก Grab เพื่อให้ไปส่งยัง Fisherman’s Wharf Food Corner Penang ที่นี่เป็นศูนย์อาหาร มีร้านอาหารมากมาย ทั้งอาหารทะเล อาหารตามสั่ง ให้เลือกชิมมากมาย โดยทางศูนย์อาหารจะมีโต๊ะไว้ให้นั่งทานอาหารพร้อม เราสามารถสั่งอาหารจากร้านไหนก็ได้ เพียงแค่บอกหมายเลขโต๊ะที่เราจะนั่งกับร้านที่เราสั่งอาหาร เมื่ออาหารเสร็จ ร้านก็จะนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ พร้อมเรียกเก็บค่าอาหารครับ
หลังอิ่มท้องก็เรียก Grab กลับไปส่งที่โรงแรม เดิมวางแผนว่าจะไปเดินเล่นชมไฟในเมืองจอร์จทาวน์ แต่ปรากฏว่าหมดแรง อาบน้ำเสร็จ เอนหลังบนที่นอนแล้วก็สลบไปเลย
เช้านี้เป็นวันสุดท้ายของทริป ช่วงบ่ายผมมีไฟล์ทบินกลับ กทม. หลังอาหารเช้า ยังพอมีเวลาเหลือ เลยขอเดินชมบรรยากาศในเมืองจอร์จทาวน์อีกสักรอบ
ในย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ นอกจากจะมีอาคารเก่าสุดคลาสสิกแล้ว ยังมีสตรีทอาร์ต งานเพ้นต์ผนังและงานเหส็กดัด เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดมาเช็คอิน ตามถ่ายภาพให้ครบทุกรูป
เที่ยงนี้ ผมมาฝากท้องที่ร้าน Tok Tok Bamboo Noodle หมี่ไม้ไผ่ที่ได้รับรางวัลมิชลินไกด์ปี 2023 ก๋วยเตี๋ยวสไตล์จีนกวางตุ้ง ทานพร้อมหมูแดง อร่อยดีทีเดียว ตบท้ายด้วยขนมอบ ที่ขายอยู่หน้าร้าน อร่อยจนเพื่อนร่วมทริปต้องหิ้วกลับไปฝากคนที่บ้านเลยครับ
บ่ายนี้ผมมีบินกลับเมืองไทย หลังมื้อเที่ยงจึงตรงกลับที่พักเพื่อไปรับสัมภาระที่ฝากไว้ที่ Lobby จากนั้นเรียก Grab เพื่อไปส่งยังสนามบิน ถึงสนามบินค่อนข้างเร็ว จัดการ Check in เรียบร้อยในเวลาไม่นาน เห็นเวลาเหลือนานเกือบ 2 ชั่วโมง คิว ตม.ก็ไม่ยาว จึงไปหาคาเฟ่เล็กๆ ในสนามบินเพื่อละลายเงินริงกิต แต่นั่งเพลินไปหน่อย พอดูเวลาแล้วต้องรีบวิ่งหน้าตั้ง เพราะยังไม่ได้ผ่านขั้นตอน ตม. เลย พอเห็นคิวผู้โดยสารที่ทะลักออกมาถึงด้านนอก ถึงกับตกใจ ถอดใจแล้วว่าตกเครื่องแน่นอน เพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงเวลา Boarding time แล้ว พยายามบอกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลอยู่ด้านนอกว่าใกล้เวลา Boarding time แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย ยังคงให้ต่อแถวเช่นเดิม เรียกได้ว่าลุ้นทุกย่างก้าวที่คิวค่อยๆ ขยับจริงๆ ถึงเวลา Boarding time แล้ว แต่ยังมีคิวก่อนหน้าผมอีกร่วม 20 คน โชคดีที่เพื่อนร่วมทริปพอพูดภาษาจีนได้ จึงส่งสำเนียงอ้อนวอนกรุ๊ปชาวจีนที่มีสมาชิกกว่า 10 คน ซึ่งเข้าแถวอยู่ก่อนหน้าผม ขอแซงคิวก่อน ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แถมยังช่วยผมลุ้นและคอยเรียกบอกว่า ตม.ช่องไหนว่างแล้ว เห้อ ลุ้นกันจนวินาทีสุดท้ายเลย ผ่าน ตม.มาได้ ก็ต้องมาต่อคิวสแกนของ สแกนร่างกายอีก ดีที่คิวน้อย เสร็จสิ้นกระบวนการ ก็วิ่งหน้าตั้งอีกเช่นเคยไปที่ Gate โชคดีหน่อยที่ Gate ยังไม่เปิด เลยมีเวลาให้พักหายใจได้อีกหน่อย เป็นข้อเตือนใจผมเลยครับว่า ไม่ควรชะล่าใจ Check in เรียบร้อยแล้ว ควรไปนั่งรอหน้าเกตจะปลอดภัยที่สุด
เป็นอันว่าจบทริปลงด้วยดี ได้กลับไประลึกความหลังที่หลีเป๊ะสมใจ มา 2 รอบก็ประทับใจทั้งสองรอบ รวมถึงทริปนี้ยังได้ประสบการณ์การเข้าประเทศแบบใหม่ จากที่เคยนั่งรถยนต์ข้ามประเทศ เคยบินข้ามประเทศ ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเรือข้ามประเทศ และยังได้มีโอกาสสัมผัสสิ่งที่เป็นที่สุดของโลกอย่าง SKYCAB กระเช้าที่มีเคเบิลเส้นเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลกและชันที่สุดในโลก ได้เที่ยวสองมรดกโลกของมาเลเซียอีกด้วย
ลุงเสื้อเขียว
วันพฤหัสที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เวลา 12.50 น.