
‘ระนอง’ จังหวัดที่ถ้าไม่ตั้งใจมา ยังไงก็มาไม่ถึง เพราะระนองไม่ใช่เมืองผ่าน ต้องตั้งใจและวางแผนมาเที่ยวเท่านั้น แต่รับรองว่า ถ้าหากคุณได้รู้จักกับระนองอย่างลึกซึ้งแล้ว คุณจะตกหลุมรักระนองอย่างแน่นอนครับ
รีวิวนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ ‘ระนอง’ ในแบบฉบับของผม แนะนำทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ที่กิน ที่พัก โดยทริปนี้ผมวางแผนคร่าว ๆ ตามนี้
วันที่ 1-2 : เกาะพยาม เข้าพักที่ ‘Blue Sky Resort’
วันที่ 3 : พักผ่อนชิล ๆ ในตัวเมืองระนอง เข้าพักที่ ‘น้ำใส เขาสวย รีสอร์ต’
วันที่ 4 : กิจกรรมร่อนแร่ / วัดบ้านหงาว / ศูนย์อนุรักษ์พลับพลึงธาร / บ้านไร่ไออรุณ เข้าพักที่ ‘Yes No Hotel’
วันที่ 5 : ชมแสงเช้าที่จุดชมวิววัดหาดส้มแป้น / บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน / เขาฝาชี / น้ำตกบกกราย / น้ำตกปุญญบาล / เขานิเวศน์สกายวอล์ก
วันที่ 6 : เกาะค้างคาว / เกาะกำตก / เกาะญี่ปุ่น / ภูเขาหญ้า
วันที่ 7 : เกาะหัวใจมรกต ทะเลเมียนมา
วันที่ 8 : เกาะซาลิ ทะเลเมียนมา
วันที่ 9 : บ้านเทียนสือ / น้ำพุร้อนพรรั้ง / น้ำตกหงาว

การเดินทางมาระนอง สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ ที่จะใช้เวลานั่งรถประมาณ 8-9 ชั่วโมง (จากกรุงเทพ) หรือจะโดยสารเครื่องบิน ซึ่งผมว่าวิธีนี้สะดวกที่สุด จะใช้เวลาประมาณ 1.ชั่วโมง 20 นาที เท่านั้น (ราคาตั๋วตอนที่มีโปรโมชั่น ราคาไม่ถึง 1,000 บาท) โดยสายการบินแอร์เอเชียมีไฟล์ทบินมาระนอง 2 รอบ/วันครับ

ไฟล์ทเช้า จะบินจากดอนเมืองในเวลา 07.35 น. และจะมาถึงสนามบินระนองในเวลา 08.55 น. ใครอยากชมวิวสวย ๆ ระหว่างทาง แนะนำให้เลือกนั่งฝั่งซ้ายนะครับ (แถว A)



นั่งชมวิวนอกหน้าต่างไปเพลิน ๆ เอ๊ะ!! นี่เรากำลังไปเที่ยวภาคเหนือหรือเปล่า สมองเริ่มไตร่ตรอง แต่เรากำลังจะไประนองนี่หว่า เหตุที่ทำให้ผมสับสนก็เพราะวิวนอกหน้าต่างตอนนี้ คือทะเลหมอกผืนใหญ่ เวลานี้ราว 08.40 น. แล้วยังมีทะเลหมอกให้เห็นด้วย นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เห็นทะเลหมอกบนเครื่องบิน และที่คาดไม่ถึง มันคือทะเลหมอกทางภาคใต้ด้วยซิ



จากทะเลหมอกเป็นก้อน ๆ กลายเป็นสายหมอก (หรือฝุ่น PM 2.5 ก็ไม่รู้) บาง ๆ คลอเคลียอยู่บริเวณทิวเขา สวยงามไปอีกแบบครับ

ไม่นานนักกัปตันก็นำเครื่องลงสู่สนามบินระนองอย่างปลอดภัยและตรงเวลาครับ
สำหรับการท่องเที่ยวระนองในวันที่ 1-3 นี้ ผมมีโปรแกรมไปพักผ่อนบนเกาะพยาม ซึ่งเมื่อผมนึกถึงเกาะพยาม ภาพของ Blue Sky Resort ก็จะแว๊บเข้ามาในหัวเป็นสิ่งแรก และการมาพักผ่อนบนเกาะพยามครั้งนี้ ผมไม่พลาดที่จะเข้าพักที่ Blue Sky Resort ครับ โดยเลือกซื้อแพคเกจ 3 วัน 2 คืน เข้าพักวันธรรมดา ในราคา 5,499 บาท/คน (ถ้าเข้าพักวันศุกร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคา 6,999 บาท/คน) โดยเข้าพักห้อง Villa Lagoon แพคเกจจะรวมอาหาร 6 มื้อ , Speed Boat ไป-กลับ, กิจกรรมพายเรือคายัค/รถลากพาชมหินทะลุ แต่ไม่รวมรถรับส่งสนามบินนะครับ โดยก่อนวันเดินทาง 1-2 วัน จะมีน้องพนักงานโทรประสานเรื่องรอบเรือที่เราต้องการจะไปครับ
สำหรับการเดินทางจากสนามบินระนองเข้าไปยังท่าเรือไปเกาะพยาม หรือตัวเมืองระนอง สามารถทำได้ 4 แนวทาง ตามนี้
1. ติดต่อผ่าน Blue Sky Resort ซึ่งจะมีรถตู้ไปรอรับที่สนามบิน คิดขาละ 300 บาท โดยรถตู้จะตรงดิ่งไปที่ท่าเรือเลย
2. ก่อนที่จะเดินออกจากประตูทางออกสนามบิน จะมีเคาเตอร์รถตู้โดยสารดักอยู่ตรงด้านขวาของประตูทางออก มีค่าบริการขาละ 150 บาท สามารถแจ้งจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไปกับคนขับรถตู้ได้เลย คนขับจะพาไปส่งยังจุดหมายปลายทางที่เราแจ้ง โดยจะทยอยส่งลูกค้าบนเส้นทางจากสนามบิน-ตัวเมืองระนองเท่านั้น
3. หากมาคนเดียว ให้เดินออกมานอกประตูทางออก จะมีรถสองแถวรอให้บริการอยู่ โดยมีค่าบริการขาละ 50 บาท แต่หากต้องการเหมาส่วนตัว ราคา 1,000 บาท
4. สำหรับใครที่เดินทางมาด้วยกัน 2-4 คน และต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถเหมาเป็นรถเก๋งได้ โดยโทรประสานล่วงหน้ากับ N.F.Z.รถเช่าระนอง ที่เบอร์ 080-6494521 / 093-5486536 (Line : 0806494521) ผมได้ราคา 400 บาท (มา 4 คน ค่ารถตกคนละ 100 บาท)

ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงบริเวณท่าเรือเกาะพยาม (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/y5NfuF... ) สำหรับลูกค้าของ Blue Sky Resort ให้มาติดต่อรับตั๋วเรือที่อาคารหลังนี้ โดยน้องพนักงานจะรออยู่ที่ชั้นล่าง นำสัมภาระที่ต้องการข้ามฝั่งมาฝากไว้ที่น้องพนักงานได้เลย
เวลาเรือออกไม่แน่นอนสักเท่าไร ครั้งแรกผมจองรอบ 10.30 น. ไว้ แต่ในวันถัดมา น้องพนักงานแจ้งว่ารอบ 10.30 น. ไม่มีออก เลยขยับมาเป็นรอบ 11.00 น. แทนครับ
เรือโดยสารเป็นเรือ Speed boat เมื่อออกจากท่าเรือได้ไม่นานเราจะเห็นเกาะสอง ประเทศเมียนมา และเมื่อนั่งเรือไปสักพักจะเห็นเกาะช้าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะพยาม เป็นอีกหนึ่งเกาะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวกัน ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 45 นาที ก็มาถึงท่าเรือเกาะพยามครับ

น้ำสีฟ้าคราม จากท่าเรือมองออกไปเห็นเจดีย์ขาวกลางน้ำ นั่นคือวัดเกาะพยามครับ

มาถึงเกาะพยามแล้ว อย่าลืมมาถ่ายภาพคู่กับนกเงือกครอบครัวนี้นะครับ
จากท่าเรือ น้องพนักงานของ Blue Sky Resort จะขับรถไฟฟ้าพาเราไปส่งที่รีสอร์ต ระยะทางไม่ไกล ประมาณ 500 เมตรได้ครับ

อาคารนี้เป็นทั้งลอบบี้และห้องอาหารครับ


Welcome Drink เย็น ๆ จิบแล้วสดชื่นเลยครับ
ผมมาถึงรีสอร์ตก็เกือบเที่ยงแล้ว นั่งพักผ่อนชมวิวให้หายเหนื่อย ก่อนที่จะไปทานมื้อกลางวัน ซึ่งอาหารทุกมื้ออยู่ในราคาแพคเกจแล้วครับ



มื้อกลางวันนี้ ได้เมนูแกงเขียวหวานหมู ยำผักกูดกุ้งสด ปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาไข่เค็ม ซีฟูดตะกร้าและเฟรนซ์ฟรายส์ ตบท้ายด้วยสาคูเปียกข้าวโพดครับ เซ็ตกับข้าวที่เห็นสำหรับ 2 คน ส่วนขนมหวาน คนละถ้วย ข้าวและน้ำดื่มเติมได้ตลอดครับ

ติดกับห้องอาหาร มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนอยู่หลายจุด รวมถึงสระว่ายน้ำริมทะเลด้วย ผมนั่งชมวิวที่ห้องอาหารต่ออีกสักพัก น้องพนักงานก็แจ้งว่าห้องพักเรียบร้อยแล้ว เลยเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมสำรวจบรรยากาศภายในรีสอร์ตครับ
ก่อนอื่นมาชมห้องพักแบบ Villa Lagoon ซึ่งเป็นห้องที่ผมเข้าพักตลอดทั้ง 2 คืนกันครับ

ห้องพักจะเป็น Villa 2 ชั้น ห้องจะอยู่ติดเวิ้งน้ำ โดยชั้นล่างจะเป็นส่วนของห้องพัก

เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบเตียงนอนขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่กลางห้อง พื้นที่ว่างสำหรับเดินอาจน้อยไปสักหน่อย แต่พื้นที่ใช้สอยถือว่าโอเคครับ ปลั๊กไฟสำหรับชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าจะอยู่ที่หัวเตียง บริเวณโคมไฟทั้งสองข้าง

ด้านข้างจะเป็นพื้นที่ให้นั่งเล่น สามารถนั่งชมวิวด้านนอกได้ มีหมอนให้เอนหลัง มีตู้เย็นและทีวีอยู่ที่ปลายเตียง มีน้ำดื่มให้ 2 ขวด/วัน (คนละ 1 ขวด)

ส่วนอีกข้างของเตียงจะเป็นห้องน้ำครับ


พื้นที่ห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ตรงกลางจะเป็นอ่างล้างหน้า ด้านซ้ายจะเป็นโถสุขภัณฑ์และราวแขวนเสื้อผ้า รวมถึงมีผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัวหลังขึ้นจากสระว่ายน้ำ พร้อมกระเป๋าหวายใส่ผ้าเช็ดตัวให้ด้วย สำหรับด้านขวาจะเป็นพื้นที่ส่วนเปียกสำหรับอาบน้ำครับ

ชั้นบนจะเป็นที่นั่งเล่นชมวิวแบบ open air

วิวที่มองออกไปคือห้องพักแบบ Villa กลางน้ำ (Zone L)
จากนั้นผมลองไปถามน้องพนักงานว่ามีห้อง Villa ริมน้ำว่างไหม จะขอเข้าไปชมบรรยากาศสักหน่อย เพราะห้อง Type นี้ ถือเป็นพระเอกของที่นี่ แล้วโชคก็เข้าข้าง ยังมีห้องที่แขกยังไม่มา check in อยู่ 1ห้องพอดีครับ

ห้อง Villa ลักษณะนี้จะมี 2 โซนครับ คือโซน R จะอยู่ริมคลอง เป็นห้องที่มีราคาแพงสุด และเป็นห้องที่นำมาใช้เป็นภาพโฆษณาของทางรีสอร์ตครับ ส่วนอีกโซน คือโซน L จะเป็นห้องที่อยู่กึ่งกลางของรีสอร์ต โดยมี Villa โซน A และ Villa Lagoon ล้อมรอบครับ



ภายใน Villa จะมีพื้นที่กว้างกว่าแบบ Villa Lagoon ครับ


ห้องน้ำออกแบบได้น่ารักดีครับ
ระบบไฟฟ้าภายในรีสอร์ต จะใช้การปั่นไฟ โดยจะมีการสลับเครื่องปั่นไฟเพื่อพักเครื่องทุก ๆ 6 ชั่วโมง คือเวลา 00.00 น.,06.00 น.,12.00 น. และ 18.00 น.จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีไฟดับแว๊บเดียวครับ สำหรับสัญญาณเน็ตน้องพนักงานแจ้งว่าใช้สัญญาณจากโทรศัพท์มือถือเช่นเดียวกับของลูกค้า ลูกค้าสามารถใช้สัญญาณเน็ตจากมือถือลูกค้าได้เลยครับ






บรรยากาศโดยรอบอาคารหลักส่วนกลาง ที่เป็นทั้งลอบบี้และห้องอาหาร จะขนาบข้างด้วยสระว่ายน้ำ มีเปลและจุดให้นั่งพักผ่อนหลายจุดครับ
และเวลา 17.00 น. ทางรีสอร์ตมีบริการรถลากพาไปชมบรรยากาศยามเย็นที่หินทะลุ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวรวมอยู่ในแพคเกจแล้ว

ทางรีสอร์ตได้เตรียมรถลากที่มีหัวเป็นรถแทรกเตอร์ เพื่อใช้เป็นพาหนะในการพาแขกไปชมบรรยากาศที่หินทะลุครับ


ระหว่างทางแวะชมนกเงือกที่ลงมากินอาหารที่ชาวเกาะพยามนำมาให้ จริง ๆ จุดนี้นกลงมาเกาะที่คอนราว 5-6 ตัว พอมันเห็นนักท่องเที่ยวเดินมาใกล้ ๆ เลยบินหนีขึ้นไปเกาะอยู่บนต้นไม้ พอผมมองตามขึ้นไปบนต้นไม้ กลับเห็นนกเงือกเกาะอยู่บนกิ่งไม้อีกฝูงใหญ่เลยครับ บอกเลยว่าในชีวิตนี้ผมไม่เคยเห็นฝูงนกเงือกนับสิบ ๆ ตัว แบบนี้มาก่อน เห็นแล้วขนลุก



จากนั้นนั่งรถต่อมายังหินทะลุ บริเวณหินทะลุจะมีหินขนาดใหญ่อยู่ 2 จุด จุดแรกหินทะลุเป็นรูปหัวใจคว่ำ แสงกำลังสวย สาดส่องหินจนเป็นสีทอง เมื่อเดินไปอีกมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เห็นแสงอาทิตย์กำลังลอดช่องหินพอดี


เดินต่ออีกนิดเดียว จะเห็นแนวหินขนาดใหญ่ มีช่องทะลุ 3 ช่อง เรียงตัวในแนวเดียวกัน แต่มีขนาดต่างกัน สวยงามดีครับ
ได้เวลาอันสมควร นั่งรถกลับรีสอร์ต จากนั้นจัดแจงอาบน้ำให้เรียบร้อยเพื่อมาทานมื้อค่ำครับ

บรรยากาศบริเวณลอบบี้




บรรยากาศของห้องอาหาร



มื้อค่ำนี้ เชฟเตรียมเมนูแกงส้มปลาผักรวม ใบเหลียงผัดไข่ใส่กุ้งเสียบ ปลาทรายทอดขมิ้น น้ำพริกกุ้งเสียบเสิร์ฟพร้อมผักเคียง ไข่เจียวปู ปิดท้ายด้วยผลไม้ ที่แปลกใจผมที่สุดในมื้อนี้เห็นจะเป็นแกงส้ม ที่หน้าตาดูไม่เหมือนแกงส้มที่ผมเคยเห็นมาตลอดชีวิต หน้าตาคล้าย ๆ แกงจืดที่มีสีสันสดใส แต่บอกเลยว่ารสชาติแกงส้มจัดจ้านดีครับ

บรรยากาศตอนค่ำก็ดีไม่ใช่น้อย เห็นดาวเต็มฟ้าเลย

นั่งเล่นอยู่ตรงห้องอาหารพักใหญ่ เลยกลับมาพักผ่อนที่ห้อง เก็บแรงไว้ลุยในวันรุ่งขึ้นครับ
ผมตั้งนาฬิกาปลุกในเวลา 05.30 น. เพื่อมารอชมแสงเช้าของวันครับ

ถ้าไม่ซีเรียส ก็สามารถมารอชมที่ห้องอาหารได้เลย แต่ถ้าหากอยากจะเห็นดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นคงต้องเดินเลาะชายหาดมาทางท่าเรือนิดหน่อยครับ



ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่น้ำทะเลลง เลยได้เห็นริ้วรอยของหาดทรายที่มีน้ำขัง สะท้อนกับแสงแรกของวันอย่างสวยงาม




ผมเดินมาครึ่งทางระหว่างทางเรือและรีสอร์ต และเลือกจุดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นครับ
หลังพระอาทิตย์ขึ้น เดินกลับไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวสำหรับมื้อเช้าครับ




เนื่องจากเมื่อวานมีแขกเข้าพักไม่เต็ม เช้านี้ทางรีสอร์ตเลยเตรียมอาหารเช้าแบบเป็นเซตให้ โดยในเซตจะประกอบด้วยเมนูไข่ (มื้อค่ำจะมีน้องพนักงานมาสอบถามว่าต้องการไข่ประเภทไหน เช่น Omelet / ไข่กระทะ) ข้าวต้ม สลัดผัก ผลไม้ เครื่องดื่มร้อน และน้ำส้ม นอกจากนี้ยังมีขนมปัง วาฟเฟิล และผลไม้เพิ่มเติมครับ





หลังมื้อเช้า เดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณ Villa ริมน้ำ ช่วงที่ผมเข้าพัก ระดับน้ำจะขึ้นสูงสุดช่วงราว ๆ 09.30 น. บ่าย ๆ น้ำก็จะลงจนเห็นพื้น และน้ำจะขึ้นอีกทีช่วงค่ำ ๆ ครับ


ช่วงที่น้ำขึ้นผมเลยมีโอกาสได้พายคายัครอบ ๆ ห้องพักแบบ Villa ระยะทางประมาณ 200 เมตร ระดับน้ำไม่สูงมาก ทำให้พายง่ายครับ

นอกจากคายัคแล้ว ที่รีสอร์ตยังมีจักรยานให้แขกได้ปั่นเล่นด้วย ผมเลยปั่นไปที่วัดเกาะพยาม เพื่อเตรียมหามุมสำหรับถ่ายภาพแสงเช้าในวันพรุ่งนี้ครับ



ระยะทางจากรีสอร์ตไปยังเกาะพยาม ประมาณ 1 กม. ปั่นไปเรื่อย ๆ ผ่านท่าเรือและถนนเลียบทะเล ไม่นานนักก็มาถึงยังวัดเกาะพยามครับ เอกลักษณ์ของวัดเกาะพยามคือโบสถ์สีขาวที่ตั้งอยู่กลางทะเล และมีสะพานปูนทอดยาวจากฝั่งสู่โบสถ์ ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย

นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ แต่ผมไม่ได้เดินขึ้นไปสักการะด้านบน เพราะใกล้ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว


เที่ยงนี้เชฟเตรียมเมนูซีฟูดกระทะร้อน ผัดเผ็ดหน่อเหรียงกุ้งสด ขออีกจาน (ปลาหมึกหั่นเป็นชิ้นยาว ๆ ชุบแป้งทอด) และแกงจืดหมูบะช่อใบโหระพา ผมก็เพิ่งเคยชิมแกงจืดใส่ใบโหระพาเป็นครั้งแรก แอบคิดว่ามันจะเข้ากันได้หรือ แต่พอชิมรสชาติแล้ว เออ..อร่อยดีเหมือนกันแฮะ ปิดท้ายด้วยขนมเต้าส่วนครับ
สำหรับช่วงบ่าย ผมติดต่อเช่ารถสามล้อเครื่อง ลักษณะคล้ายรถสกายแลป เพื่อพาเที่ยวรอบเกาะ รถ 1 คัน นั่งได้ประมาณ 4-6 คน โดยผมได้ติดต่อเช่ารถกับพี่ช้าง (โทร.090-9285748) ราคาขึ้นอยู่กับการต่อรอง แต่ราคาทั่วไป คันละ 1,200 บาท/3 ชั่วโมง หากเกินเวลา คิดชั่วโมงละ 200 บาทครับ



ผมมาเริ่มที่อ่าวเขาควาย อ่าวนี้มีชายหาดทอดยาวเป็นแนวโค้ง ลักษณะคล้ายเขาควาย

ที่หัวหาด เป็นที่ตั้งของ Happy Bar โดยด้านหน้าร้านจะมีประติมากรรมเป็นรูปหัวเรือ หากสังเกตดี ๆ หัวเรือสร้างขึ้นจากเศษไม้ครับ

น้องนอนอาบแดดอยู่บนเบาะอย่างสบายใจ
จากอ่าวเขาควาย ไปต่อที่สะพานมอแกนครับ โดยรถไม่สามารถเข้าไปถึงสะพานได้ เราต้องเดินเท้าไปตามทางเดินที่เป็นทรายอีกราว ๆ 300 เมตร

เส้นทางเดินไม่ยากครับ ร่มรื่นด้วยร่มไม้ ช่วงบ่ายน้ำลงเยอะมาก


เดินเพลิน ๆ ก็มาถึงสะพานมอแกนครับ แต่เดิมมีการสร้างสะพานเชื่อมจากหมู่บ้านมอแกนข้ามไปยังเกาะพยาม แต่อยู่ ๆ ก็หยุดสร้างไป จึงมีการสร้างสะพานไม้ไผ่ขึ้นมาแทน แต่สะพานไม้ไผ่ก็อยู่ได้ไม่นาน ถูกแรงน้ำซัดพัง จึงมีการแก้ปัญหาโดยการใช้แพที่สร้างขึ้นแบบง่าย ๆ ในการขนส่งเด็ก ๆ ชาวมอแกนให้ข้ามไปเรียนหนังสือ จนวันหนึ่งน้ำไหลเชี่ยว ทำให้แพที่ขนส่งเด็กนับสิบคนล่ม ส่งผลให้เด็กได้รับบาดเจ็บ 3 คน จึงตกเป็นข่าวดังในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามปัญหาและดำเนินการให้เกิดการสร้างสะพานถาวรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนชาวมอแกนครับ ตัวสะพานที่สร้างนั้นก็ใช้โครงสร้างเดิม เพียงแต่สร้างพื้นสะพานเพื่อให้เด็กนักเรียนและชาวมอแกนได้ใช้สัญจรไปมาได้ในระดับหนึ่งครับ


จากสะพานมอแกน ผมย้อนกลับไปยังหินทะลุอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานผมมีเวลาที่นี่ค่อนข้างน้อย วันนี้เลยมาหามุมถ่ายรูปแบบไม่รีบ หนึ่งในนั้นจะมีมุมที่ถ่ายรูปผ่านช่องหินแล้วเห็นเงาสะท้อนน้ำครับ


ปิดท้ายโปรแกรมด้วยการไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวใหญ่ นักท่องเที่ยวมารอชมพระอาทิตย์ตกที่นี่กันมากมาย บริเวณอ่าวใหญ่คลื่นค่อนข้างแรง จึงเป็นจุดที่มีคนนิยมมาเล่น Surfboard กันครับ



หลังพระอาทิตย์ตก ผมมุ่งหน้ากลับที่พัก เพื่อมาทานมื้อค่ำต่อครับ

ค่ำนี้เชฟเตรียมปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำรวมมิตรทะเล ปูนิ่มทอดกระเทียม ผัดผักรวมกุ้งสด ปิดท้ายด้วยผลไม้
05.30 น. นาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้ง ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปถ่ายแสงเช้าตามจุดที่ตั้งใจไว้ แต่.... เช้านี้ฟ้าปิด ผิดหวังอย่างแรงครับ



ช่วงเช้ามีพระมาบิณฑบาตด้วย แขกที่ต้องการใส่บาตร สามารถแจ้งให้ทางรีสอร์ตเตรียมของสำหรับใส่บาตรพระได้นะครับ
เมื่อวานมีแขกเข้าพักเต็ม อาหารเช้าวันนี้จึงบริการแบบบุฟเฟต์ครับ





อาหารมีให้เลือกหลากหลาย เน้นเมนูอาหารไทย ขนมจีนน้ำยา แกงไตปลา สลัดผัก ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ผลไม้ ขนมปังต่าง ๆ รวมถึงมี Egg station ที่จะเสริมเมนูไข่ที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เสิร์ฟให้ถึงที่โต๊ะครับ
หลังอาหารผมเตรียมเก็บเสื้อผ้าเพื่อทำการ Check out โดยจองเรือรอบ 11.00 น. ไว้ ตลอดเวลา 3 วัน 2 คืน ผมมีความสุขกับที่นี่มาก สถานที่สวย บรรยากาศดี อาหารอร่อยทุกมื้อ ที่สำคัญน้องพนักงานให้บริการดีมาก โดยเฉพาะในส่วนของห้องอาหาร เพราะจะต้องเจอกันวันละ 3 เวลา ทำให้เกิดความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แอบใจหายเหมือนกันที่จะไม่ได้เจอกันแล้ว

น้อง ๆ มาตั้งแถวรอ (ทั้งตอนที่ผมมาถึง รวมถึงรอส่งแขกทุกคน) เห็นแล้วยิ่งใจหายเข้าไปอีกครับ
Speed boat ข้ามฝั่งมาถึงตัวเมืองระนองในเวลา 11.45 น. ผมติดต่อเช่ารถกับ ‘N.F.Z.รถเช่าระนอง’ ไว้ เพื่อใช้รถขับเที่ยวในจังหวัดระนองครับ
ขึ้นฝั่งแล้ว ผมตรงไปยัง ‘ร้านถอดรองเท้า’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/HeVjUmCV8C5R5RMT9 ) ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองระนองครับ


ลักษณะร้านจะเป็นบ้านโบราณ 2 คูหา 2 ชั้น แต่ร้านจะเปิดให้บริการเพียงคูหาเดียว ที่ชั้นล่างมีโต๊ะอยู่ 3 โต๊ะ ภายในมีป้ายการันตีความอร่อยโดย Lineman และ wongnai ถึง 5 ปีติดเลย ถึงร้านจะชื่อถอดรองเท้า แต่เราไม่ต้องถอดรองเท้าเข้าร้านนะครับ

แต่ถ้าหากเราเดินทะลุผ่านเข้าไปด้านในจนทะลุครัว ก็จะพบกับอาคารไม้ชั้นเดียว ที่ด้านในมีโต๊ะอาหารอยู่หลายโต๊ะเหมือนกันครับ








มื้อนี้ผมสั่งยำกุ้งแก้ว (100 บาท) ยำไข่ปลา (80 บาท) ไข่ปลาทอด (120 บาท) กระเพาะปลาผัดแห้ง (160 บาท) ใบเหลียงผัดไข่ (100 บาท) ปลาทรายทอดขมิ้น (130 บาท) แกงส้มปลา (230 บาท) และ ปลาตะลุมพุก ชิ้นนี้ 580 บาท อาหารแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านตามสไตล์อาหารใต้ ไข่ปลาทอด ทานตัดเผ็ดของแกงส้มปลาดีมาก ๆ เครื่องแกงส้มข้นดีทีเดียว ส่วนยำกุ้งแก้ว ยำไข่ปลา รสชาติเปรี้ยวสะใจดี ใบเหลียงผัดไข่ อร่อยจนต้องสั่งเพิ่มอีกจาน ปลายทรายทอดขมิ้น ทอดได้กำลังดี ทานได้ทั้งตัว ที่สุดเห็นจะเป็นปลาตะลุมพุกต้มเค็ม หนึ่งในเมนู “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ของจังหวัดระนอง รสชาติหวาน เค็ม กลมกล่อม เนื้อปลานุ่มละลายในปาก ขนาดก้างยังยุ่ยเลย (ให้อารมณ์คล้าย ๆ ปลากระป๋อง) สมแล้วที่ได้เป็นอาหารเชิดชูถิ่น โดยรวมอาหารทุกเมนูอร่อยสมคำล่ำลือครับ
หลังมื้อเที่ยง ผมมาพักผ่อนที่ ‘น้ำใสเขาสวยรีสอร์ต’ (พิกัด ; https://maps.app.goo.gl/iZttcZHwt9D6doaT8 ) ซึ่งจะเป็นที่พักของผมในคืนนี้ด้วยครับ


น้ำใสเขาสวยรีสอร์ต เป็น 1 ใน 13 ที่พักที่ให้บริการน้ำแร่จากบ่อธรรมชาติส่งตรงถึงห้องพักทุกห้องในรีสอร์ต นับเป็นจุดเด่นของที่นี่เลยครับ บรรยากาศในรีสอร์ตเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว มองไปทางไหนก็ดูสดชื่นสบายตา มีสระว่ายน้ำ มีคาเฟ่สวย ๆ ทำเลที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ กลางตัวเมืองระนอง ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองระนองได้จากมุมสูง แถมยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่า ใกล้ร้านอาหารพื้นบ้านอร่อย ๆ หลายร้าน น้อง ๆ พนักงานทุกคนมี service mind เต็มใจให้บริการกันทุกคนครับ

เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูนี้มา จะพบกับอาคารหลัก ที่ชั้นล่างเป็น Lobby ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องอาหารครับ


ลอบบี้แบบ open air มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักระหว่างรอ Check in/Check out ด้วย ตกแต่งโดยรอบสวยดี มีการนำเอกลักษณ์ของเมืองระนองอย่าง ‘กาหยู’ หรือมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเป็นของดีของเด่นเมืองระนอง มาตกแต่งด้วย



ด้านขวามือของอาคาร Lobby เป็น Mountain Cafe ครับ


ส่วนด้านซ้ายมือ จะเป็นพื้นที่โซนห้องพักครับ

เดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา จะพบอาคารห้องพักตั้งอยู่ทั้งซ้ายและขวามือเลยครับ อาคารทั้ง 2 หลังจะเป็นห้องพักแบบ Superior Double และ Superior Twin ครับ

ห้องพักของผมเป็นแบบ Deluxe Villa ครับ




ภายในห้องพักมีการเล่นระดับ ทำให้มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว มีพื้นที่ให้ได้นั่งพักผ่อน มีระเบียงหน้าห้องไว้ให้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์




ด้านข้างของเตียงจะเป็นห้องน้ำซึ่งกว้างเลยทีเดียว เดินเข้ามาด้านซ้ายมือจะเป็นพื้นที่แต่งตัว มีตู้เสื้อผ้าให้ด้วย ส่วนด้านขวามือจะเป็นอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ ด้านในสุดเป็นห้องขับถ่ายและห้องอาบน้ำแบบฝักบัวครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าน้ำที่ใช้ในห้องน้ำเป็นน้ำแร่ที่ต่อตรงมาจากบ่อน้ำแร่เลย แบบนี้ก็ได้แช่น้ำแร่กันยาวไปครับ

ในห้องพักจะมีน้ำแร่ให้ 2 ขวด มีกาแฟสำเร็จรูปของระนอง รวมถึงขนมพื้นเมืองให้ด้วยครับ


ไปดูสระว่ายน้ำกันบ้าง สระว่ายน้ำจะอยู่ด้านหน้า ติดกับ Cafe เลยครับ

มีฝักบัวให้ล้างตัวก่อนขึ้น-ลง สระว่ายน้ำด้วย

ของตกแต่งภายในรีสอร์ต บอกเล่าความเป็นภาคใต้ได้ดีมากครับ

ภาพมุมสูง จะเห็นได้เลยว่า ภายในน้ำใสเขาสวยรีสอร์ตเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว มองไปทางไหนก็สดชื่นสบายตาครับ
ช่วงบ่ายผมใช้เวลาอยู่ในรีสอร์ตอย่างเต็มที่ นอนแช่น้ำแร่ให้สมกับการมาพักผ่อนที่เมืองระนองครับ

ช่วงเย็น ฝั่งตรงข้าม เยื้องกับทางเข้ารีสอร์ต (ด้านซ้ายของซุ้มประตู ที่มองเห็นเต้นท์สีฟ้า) จะมีตลาดนัด มีของให้เลือกชิมมากมาย มื้อค่ำผมมาฝากท้องที่ตลาดนัดนี่แหล่ะครับ
เช้าวันใหม่ ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น อากาศตอนเช้าเมืองระนองดีมาก ๆ ครับ



เช้านี้ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหารของรีสอร์ต ห้องอาหารอยู่ชั้น 2 ห้องอาหาร แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นไลน์อาหาร และจะมีพื้นที่สำหรับนั่งทานแบบนั่งกับพื้น ในบรรยากาศรับลมธรรมชาติ ส่วนอีกพื้นที่จะเป็นห้องแอร์ที่มีโต๊ะเก้าอี้แบบทั่วไปครับ












อาหารแบบบุฟเฟต์ มีทั้งอาหารไทย ข้าวต้ม ไข่ดาว ไข่ต้มน้ำแร่ แฮม ไส้กรอก สลัดผัก ขนมจีบ ขนมพื้นบ้าน ผลไม้ แต่ที่โดนใจผมที่สุดคือ ขนมจีนน้ำยาปลา ข้น รสชาติดี อร่อยมาก แขกชมว่าอร่อยกันทุกคน


วิวที่มองจากห้องอาหารครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ผมเก็บกระเป๋า Check out พร้อมเดินทางกันต่อ เป็นอันว่าภารกิจการมาเที่ยวระนองสำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้วกับการแช่น้ำแร่ สำหรับช่วงสายวันนี้ผมมีนัดกับกำนันมูมู่ เพื่อไปทำกิจกรรมร่อนแร่ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ควรจะต้องมาทำหากมาเที่ยวที่ระนองครับ
การทำเหมืองแร่ที่ระนองมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยคอซู้เจียง (ผู้ว่าราชการเมืองระนองคนแรก) เป็นผู้บุกเบิกการทำเหมืองแร่ แต่ภายหลังไม่มีผู้สานต่อ ต่อมานายเฮนรี่ จอร์จ สก๊อต วิศวกรเหมืองแร่ชาวอังกฤษ เริ่มมาบุกเบิกทำเหมืองต่อ โดยได้นำเรือขุดแร่เข้ามาใช้งาน




กำนันมูมู่ อธิบายถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการร่อนแร่ ซึ่งจะมี ‘นาง’ ลักษณะคล้ายคราดไม้ไผ่ สำหรับให้ฝ่ายชายตักก้อนหินใหญ่ ๆ ออกเพื่อนำทาง จากนั้นฝ่ายหญิงจะนำ ‘เลียง’ ที่ทำจากพอนไม้ (รากไม้ใหญ่ ๆ) ลักษณะคล้ายกับกระทะไม้ก้นตื้น ร่อนดินโคลน ทรายในลำธารเพื่อแยกหาแร่ดีบุกออกมา แร่ที่ได้จะถูกนำไปแต่งแร่ (ล้างแร่) ต่อครับ การร่อนแร่นับเป็นวิถีชีวิตของคนในตำบลหงาวในการประกอบอาชีพ ที่ทำกันมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันก็ยังมีแร่ดีบุกให้ได้ร่อนกันทุกวัน สมกับเป็นเมืองแร่นอง (ระนอง) จริง ๆ วันหนึ่งถ้าจะร่อนแร่กันแบบจริงจัง สามารถร่อนได้คนละ 1-2 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะร่อนไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็กลับบ้าน อันเป็นวิถีที่มุ่งทำงานแบบไม่ต้องกดดันตนเอง บางคนก็เก็บแร่จนได้ 10-20 กิโลกรัม ถึงจะนำไปขายสักที แร่ดีบุกขายได้กิโลกรัมละ 380-400 บาทครับ


สำหรับเพื่อน ๆ ท่านใดที่สนใจมาร่อนแร่ สามารถติดต่อกำนันมูมู่ได้ที่เบอร์ 085-7894080 ครับ ค่าร่อนแร่คนละ 100 บาท โดยกำนันจะเตรียมชุดไว้ให้เปลี่ยน (ชุดประกอบด้วย กางเกง/ผ้าถุง, ถุงผ้าคาดเอวสำหรับใส่แร่ดีบุก, งอบ) เวลาในการร่อนแร่ประมาณ 1-2 ชั่วโมง และเมื่อร่อนแร่เสร็จแล้ว กำนันจะมอบแร่ใส่ขวดเล็ก ๆ ให้เป็นที่ระลึกด้วยครับ (ร่อนได้หรือไม่ได้ กำนันให้ทุกคน)
หลังจากทำกิจกรรมร่อนแร่แล้ว ผมมุ่งหน้าต่อสู่วัดบ้านหงาว (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/xd8qotN6MJyXU5Fh9 ) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ร่อนแร่ครับ


สิ่งที่โดดเด่นของวัดบ้านหงาว คือพระอุโบสถสองชั้น เรียกว่า อุโบสถลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติ เพราะได้รับอนุญาตให้นำตราสัญลักษณ์ 84 พรรษา ร.9 มาประดับที่หน้าบันครับ

ที่ฐานของอุโบสถ จะมีลายปูนปั้นบอกเล่าเรื่องราวของบ้านหงาวครับ



ภายในพระอุโบสถชั้นบน เป็นที่ประดิษฐาน ‘พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์’ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่หล่อด้วยดีบุกทั้งองค์ ผ่านการถลุงกลั่นกรองจนมีลักษณะเป็นสีเงิน ความสูง 4 เมตร หน้าตักกว้าง 9 ฟุต มีน้ำหนักถึง 3 ตัน ชาวระนองรู้จักกันดีในชื่อ ‘หลวงพ่อดีบุก’ สาเหตุที่ใช้แร่ดีบุกในการสร้างก็เพราะเมืองระนองสมัยก่อนมีแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก แร่ดีบุกเป็นสินค้าส่งออกของระนอง และได้สร้างความเจริญให้กับจังหวัดระนองมาหลายสิบปี

หากเราหันหลังกลับไปที่ประตู แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน เราจะพบหลวงพ่อดีบุกอีกหนึ่งองค์ ที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับหลวงพ่อดีบุกองค์ใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วดีบุกแท้จะมีสีดำ ทางวัดได้นำดีบุกแท้มาสร้างเป็นองค์พระสีดำองค์นี้ครับ


ส่วนพระอุโบสถชั้นล่าง จำลองเป็นวิมานแก้ว ภายในวิมานแก้วประดิษฐานหลวงพ่อดีบุกองค์จำลองอยู่ใต้ต้นโพธิ์ทอง หลวงพ่อดีบุกองค์นี้เป็นองค์ที่สองที่ทางวัดหล่อด้วยดีบุกแท้ มีพระนามเดิมว่า พระติปุกะพุทธะมหาศักยมุนีศรีระณังค์ครับ





ภายในวัดบ้านหงาว ยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ฉลอง ร.9 ครองราชย์ 60 ปี ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บสิ่งของที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ข้าวของเครื่องใช้ เหรียญ ธนบัตร และเครื่องใช้ต่าง ๆ มากมาย พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
เที่ยงนี้ผมมาฝากท้องที่ร้านโรตีนิสรา อีกหนึ่งร้านดังที่มีชื่ออยู่ในลิสต์ Must Taste in Ranong (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9LqkxJpE5N2nLfjD8 )








มาร้านโรตีทั้งที จะพลาดสั่งโรตีได้อย่างไร โรตีที่นี่มีหลายเมนู เริ่มที่โรตีมะตะบะ (40 บาท) โรตีธรรมดา (15 บาท) ทานคู่กับแกงกะหรี่ไก่ (40 บาท) /แกงมัสมั่นเนื้อ (50 บาท) โรตีมะพร้าวอ่อน (50 บาท) โรตีไส้กรอกชีส (40 บาท) ร้านนี้ไม่ได้มีแค่โรตีนะครับ ยังมีอาหารจานเดียวอย่างสลัดแขก (45 บาท) ข้าวยำ (45 บาท) ไก่ทอด (40 บาท/60 บาท) เนื้อแดดเดียว (120 บาท) และยังมีอีกหลายเมนูเลยครับ สั่งมาชิมไม่หมด โดยรวมรสชาติโอเค อาหารหลากหลายเมนู ร้านโรตีนิสราเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 13.00 น.ครับ
หลังอิ่มท้องแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอสุขสำราญ เพื่อไปชมของหายาก หนึ่งเดียวในโลก นั่นคือ ‘ดอกพลับพลึงธาร’ ที่ ‘ศูนย์เรียนรู้พลับพลึงธาร’ ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kfQxqdR2kbq47VPg6 )
การจะมาชมพลับพลึงธาร แนะนำให้ติดต่อคุณอัมรินทร์ ที่เบอร์โทร 082-8087548 เพราะคุณอัมรินทร์เป็นผู้ประสานงานกลุ่มท่องเที่ยวบ้านไร่ใน แหล่งชมพลับพลึงธาร จะรู้ว่าเราควรไปชมพลับพลึงธาร ณ จุดใด โดยการชมจะมีค่าใช้จ่ายคนละ 150 บาท รายได้เข้าศูนย์เรียนรู้พลับพลึงธารบ้านไร่ในครับ


ผมนัดพบกับคุณอัมรินทร์ที่ศูนย์เรียนรู้ฯ คุณอัมรินทร์จะบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่บ้านไร่ใน รวมถึงพลับพลึงธารด้วย โดยจะมีของว่างให้ทาน เป็นโดนัท ฝีมือแม่บ้านในชุมชน รวมถึงกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีชาดอกกาแฟให้จิบ ตามสโลแกนของชุมชนที่ว่า ‘จิบกาแฟ แลพลับพลึงธาร’ ครับ

ในศูนย์เรียนรู้ฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนจำหน่ายด้วยครับ

หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันเรียบร้อยแล้ว คุณอัมรินทร์ก็พาเราไปชมพลับพลึงธารกันที่คลองเรือ ลำคลองสาขาของคลองนาคา ในตำบลนาคาครับ




“พลับพลึงธาร” ราชินีแห่งสายน้ำ พืชพื้นถิ่นใกล้สูญพันธุ์ หนึ่งเดียวในโลกที่มีการกระจายพันธุ์ในเขตอำเภอสุขสำราญ, อำเภอกะเปอร์ จ.ระนอง และอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ดอกพลับพลึงธารจะทยอยบานช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้น คนในท้องถิ่นเรียกพลับพลึงธารว่า “หัวหญ้าช้อง” ตัวดอกมีความคล้ายดอกพลับพลึง แต่ขึ้นอยู่ในน้ำ ดอกพลับพลึงมีสีขาว 6 กลีบ ในก้านชูดอกหนึ่งจะมีหลายก้านดอก เมื่อบานแล้วจะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ครับ
ในอดีตพลับพลึงธารนี้เกือบสูญพันธุ์ไป เหตุเพราะผลกระทบจากการพัฒนาลำคลอง อีกทั้งการลักลอบขุดเอาออกไปจากพื้นที่เพื่อนำไปขาย จนคนในชุมชนช่วยกันฟื้นฟูคลองนาคา ร่วมกันปลูก ร่วมกันอนุรักษ์ จนพลับพลึงธารกลับมาเติบโต เบ่งบาน อวดโฉมความสวยงามกันอีกครั้ง


ก่อนกลับ คุณอัมรินทร์ได้เก็บหัวของพลับพลึงธารมาให้ผมได้ทำการปลูก โดยโยนหัวของพลับพลึงลงลำคลองเรือด้วย และยังบอกว่าปีหน้าให้ผมมารอชมดอกพลับพลึงกันบริเวณที่ผมปลูกนี่แหล่ะ
จากนั้นผมมุ่งหน้าต่อสู่อำเภอกะเปอร์ โดยจุดหมายผมอยู่ที่ ‘บ้านไร่ไออรุณ’ ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/bKwTuwkTzuAio5sk6 )

บ้านไร่ไออรุณเป็น Farm stay ท่ามกลางธรรมชาติของอำเภอกะเปอร์ ที่พักน่ารัก ๆ ชื่อดังของระนอง เจ้าของเป็นสถาปนิก จึงไม่แปลกใจเลยที่แต่ละจุดจะมีมุมเก๋ ๆ ให้ได้ถ่ายรูปมากมาย ถึงแม้เราไม่ได้เข้าพัก แต่เราสามารถเข้าไปชมความสวยงามภายใน Farm stay ได้ครับ






นอกจากจะเป็นที่พักแล้วยังมีคาเฟ่ ให้นักท่องเที่ยวได้มาใช้บริการ และเลือกนั่งชิลล์ได้หลายมุม รวมถึงยังมีมุมขายของฝาก ของที่ระลึกจากบ้านไร่ไออรุณด้วยครับ





นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมบรรยากาศของ Farm stay ได้ทั่วเลยครับ ยกเว้นแต่โซนห้องพัก ที่สงวนสำหรับแขกที่เข้าพักเท่านั้น
ได้เวลาอันสมควร ผมมุ่งหน้ากลับตัวเมืองอีกครั้ง เพื่อเข้าที่พัก โดยผมเลือกเข้าพักที่ Yes No Hotel (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KVjVq8R4UX3FmDMy5 )

เมื่อจอดรถด้านหน้าโรงแรมแล้ว เราต้องเดินผ่านประตูไม้โบราณบานใหญ่ จากนั้นจะพบกับลอบบี้ครับ


ด้านข้างและด้านหลังลอบบี้จะมีห้องจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมประเภทของฝากด้วยครับ

ติดกับลอบบี้จะเป็นห้องอาหาร ส่วนโซนห้องพักจะอยู่แยกออกไปครับ

ผมเลือกเข้าพักแบบห้อง Standard ตอน Check in เราจะได้กุญแจสำหรับไขห้อง และ Key Card สำหรับเสียบเพื่อเปิดระบบไฟฟ้าในห้อง โดยทั้งกุญแจและ Key Card จะแยกออกจากกันครับ



เปิดประตูเข้าไปแล้วถึงกับอึ้ง ห้องกว้างขวางทีเดียว ในห้องจะมีทั้งหมด 2 เตียง เป็นเตียง King Size 1 เตียง และเตียง 3.5 ฟุตอีก 1 เตียง แถมยังมีโซฟาที่ดูหรูหรามาก ทีวีจอใหญ่เลยทีเดียว มีตู้เย็นสไตล์เก๋ ๆ สีแดงอยู่ในตู้ใต้ทีวี มีกาต้มน้ำให้ด้วย

ห้องน้ำก็กว้างใช่ย่อย โถสุขภัณฑ์เป็นแบบไฟฟ้าเหมือนที่ญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าระบบขัดข้องหรือเปล่าเพราะปลั๊กไฟเสียบอยู่แต่ไม่สามารถใช้งานระบบไฟฟ้าได้ แต่ยังสามารถใช้สายฉีดชำระแทนได้ (เป็นเหมือนกันทุกห้อง) อ่างล้างหน้าเป็นระบบเซ็นเซอร์ด้วยครับ

มีระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นได้ด้วย
Yes No Hotel จะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร มีห้องพัก 3 type คือ Standard 590 บาท / Deluxe 750 บาท / Presidential Suite 1,000 บาท ทั้ง 3 type สามารถเข้าพักได้ถึง 3 คน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ (แอบกระซิบนิดหนึ่ง ใครที่เป็นข้าราชการ หากแสดงบัตรข้าราชการ จะมีส่วนลดอีกนะครับ โดยห้อง Standard ลด 50 บาท ส่วนอีก 2 ห้อง ลด 100 บาท) โรงแรมไม่มีบริการอาหารเช้า แต่สามารถสั่งอาหารที่ห้องอาหารได้ โดยราคาแทบไม่ต่างจากร้านอาหารตามสั่งทั่วไปเลย เช่น ข้าวมันไก่ฮกเกี้ยนสูตรโบราณ 60 บาท ข้าวขาหมู 60 บาท ข้าวผัดกุ้ง 70 บาท ผัดไทยกุ้งสด 50 บาท และมีอีกหลายเมนูให้เลือก รสชาติอาหารก็อร่อยดีครับ ห้องอาหารเปิดให้บริการในเวลา 10.30 – 18.40 น. ครับ
หากใครสนใจเข้าพักที่นี่ แนะนำให้สำรองห้องพักล่วงหน้าที่เบอร์ 084-8053333 (https://web.facebook.com/yesnohotelranong ) เพราะมีแขกมาใช้บริการเยอะเลยทีเดียว
05.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เช้านี้ผมตั้งใจจะไปชมทะเลหมอกที่จุดชมวิวทะเลหมอกเหมืองดินขาว (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ZW8mkuWyjt555pkq6 ) ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองระนองครับ ตอนแรกผมก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะมาที่นี่ดีหรือไม่ เพราะสมาชิกร่วมทริปใจไม่สู้ครับ!!

ผมมาถึงลานจอดรถราว 05.45 น. จากจุดจอดรถเราต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปอีกราว 20 นาที ใครที่จะมารอชมแสงเช้าแนะนำให้ติดไฟฉายมาด้วยนะครับ เพราะเส้นทางค่อนข้างรก เมื่อจอดรถเรียบร้อย แอบใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซด์จอดเรียงรายเป็นจำนวนมาก แต่เอ๊ะ... ทำไมรถจอดกันเยอะเกิน หรือว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซด์ของคนงานเหมืองกะดึก ที่จอดรถแล้วเดินเข้าไปทำงานในเหมือง
มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปพร้อม ๆ กับผมราว 5 คน ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เนื่องจากมีเพื่อนร่วมเดิน หากเป็นอะไรไป อย่างน้อยก็ยังมีคนเห็นอยู่บ้าง ในใจคิดแบบนั้นจริง ๆ






ขึ้นมาถึงจุดชมวิวก็ได้ความกระจ่าง ว่ารถมอเตอร์ไซด์ที่จอดเรียงรายร่วม 20 คันตรงลานจอดรถ แท้จริงแล้วคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ (เมียนมา) ที่ขึ้นมาเสพธรรมชาติก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงแล้ว
วิวที่มองออกจากจุดชมวิว จะเห็นอ่างเก็บน้ำคลองหาดส้มแป้น และหมู่บ้านหาดส้มแป้น เช้านี้ไม่มีทะเลหมอกหนา ๆ ให้เห็น มีเพียงสายหมอกบาง ๆ ที่คลอเคลียอยู่ตามผืนป่าและผิวน้ำเหนืออ่างเก็บน้ำครับ

อีกมุมหนึ่งสามารถชมเหมืองดินขาวได้จากระยะไกล ดินขาวที่หาดส้มแป้นเป็นดินขาวคุณภาพสูงที่มีค่าความขาวและความละเอียดสูง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเซรามิก สินค้า OTOP ในพื้นที่ รวมถึงใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องสุขภัณฑ์ของบริษัทชั้นนำทั้งของไทยและต่างประเทศครับ
จุดชมทะเลหมอกเหมืองดินขาว จะมีเวลาให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปยังจุดชมทะเลหมอก ตั้งแต่ 05:00 - 08:30 น. นะครับ
ลงจากจุดชมทะเลหมอกเหมืองดินขาว ผมไปต่อที่วัดหาดส้มแป้น (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kgGvWgk3J4wrBwQn9 )

วัดหาดส้มแป้นเป็นวัดเล็ก ๆ ในตำบลหาดส้มแป้น ภายในวัดจะมีเจดีย์ทรงหกเหลี่ยม ซึ่งผมจะเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนนั้นครับ


วิวที่มองออกไปจากเจดีย์ จะเห็นหมู่บ้านหาดส้มแป้น หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยังคงวิถีชีวิตแบบบ้าน ๆ


บริเวณลานจอดรถจะเห็นลำคลองหาดส้มแป้น ซึ่งมีปลาพลวงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก


จากนั้นไปต่อที่อ่างเก็บน้ำคลองหาดส้มแป้น (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/gs2VxopE1KxuEp2J7 ) แหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมันและสวนผลไม้ต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาด้วยครับ บรรยากาศช่วงเช้าดีทีเดียว



จุดหมายต่อไปผมปักหมุดที่ระนองแคนย่อน (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/MntRcinhLZ7kzgqn7 ) หุบเหมืองเก่าบนเนินเขา ที่เกิดจากการทำเหมืองโดยใช้น้ำฉีดใส่ดินเพื่อแยกเอาแร่ออกมา น้ำที่ฉีดได้ชะล้างหน้าดินหายไป หลังจากเลิกทำเหมืองแร่ไปแล้ว ทำให้พื้นที่ในบริเวณนี้กลายมาเป็นแอ่งลึกแทน ประกอบกับในแอ่งน้ำยังมีตาน้ำล้นขึ้นมารวมกับฝนที่ตกลงมาเกิดเป็นแอ่งน้ำใส สีเขียวมรกตขนาดย่อมครับ
จากระนองแคนยอนไปต่อกันที่บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/bJCimPYoiL4evtFD9 ) บ่อน้ำร้อนแหล่งเดียวในไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลยครับ



บ่อน้ำร้อนรักษะวารินเป็นบ่อน้ำแร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีทั้งหมด 3 บ่อ คือ บ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว โดยทั้งสามบ่อตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของทั้งสามบ่อ ประมาณ 65 องศาเซลเซียสครับ น้ำพุร้อนที่นี่ได้รับการวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ พบว่าประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญ แถมยังไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลย จึงสามารถดื่มได้จากแหล่งกำเนิดเลยครับ ด้วยความบริสุทธิ์ของน้ำแร่แห่งนี้ ทางจังหวัดระนองเคยนำน้ำแร่ที่นี่ไปผ่านพิธีพุทธาภิเษก ทำเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ในพระราชพิธีฉลองพระชนมพรรษาครบ 5 รอบของรัชกาลที่ 9 ด้วยครับ


ทางจังหวัดระนองได้สร้างบ่อแช่น้ำร้อน โดยต่อท่อเพื่อนำน้ำแร่จากบ่อหลักทั้งสามบ่อ แล้วมาผสมกับน้ำอุณหภูมิปกติ เพื่อปรับลดความร้อนลงให้เหลือประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส เพื่อให้ชาวระนอง รวมถึงนักท่องเที่ยว ได้แช่เท้าเพื่อผ่อนคลายกันแบบฟรี ๆ ครับ

หากใครต้องการแช่ทั้งตัว จะมีค่าธรรมเนียมคนละ 40 บาทครับ



ติดกับบ่อแช่เท้า จะมีศาลาโยคะร้อน เป็นอาคารหลังคาสูง เปิดโล่ง พื้นเป็นลานซีเมนต์ ให้ชาวระนองและนักท่องเที่ยวได้มานอนยืดเส้นยืดสาย รับไอร้อนจากถังน้ำแร่ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้พื้นซีเมนต์ ผมเองก็ไปนอนผ่อนคลายสักพัก จนรู้สึกเหงื่อชุ่มตัวเลยครับ ในส่วนนี้ก็บริการกันฟรีเช่นเดียวกับบ่อแช่เท้าครับ


ด้านหลังของศาลาโยคะร้อน จะมีสะพานแขวน ที่ใช้ข้ามคลองหาดสมแป้น ซึ่งเป็นธารน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากบนภูเขาด้วย มุมนี้ถ่ายรูปสวยดีครับ

ติดกับบ่อน้ำร้อนรักษะวารินเป็นที่ตั้งของร้านอาหารคุ้นลิ้น ในร้านจำหน่ายไอศกรีมรถสองแถวไม้โบราณ สัญลักษณ์เมืองระนองด้วยครับ
สายนี้ผมมาฝากท้องที่ร้านโรตีบังหนุ่ย (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KvvPgeMRhrJc1Sph6 ) ร้านโรตีชื่อดังเมืองระนองที่เปิดขายมา 26 ปีแล้วครับ

เมนูที่ขึ้นชื่อของบังหนุ่ยเห็นจะเป็นมะตะบะไก่ครับ ไส้ด้านในจะเป็นไก่ผัดเครื่องเทศหอม ๆ มีส่วนผสมของหัวหอม พริกไทย และผงกะหรี่ นำไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน รสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมน้ำอาจาด แตงกวาดอง รสชาติหวานเปรี้ยวตัดเลี่ยนได้ดี จานนี้ 50 บาท โดยส่วนตัวผมชอบมะตะบะของบังหนุ่ยกว่าร้านโรตีนิสรา เพราะไส้แน่น รสชาติดี แป้งบางกรอบครับ

นอกจากนี้ยังมีแกงกะหรี่ไก่ รสชาติหวานมันกลมกล่อม หอมผงกะหรี่แท้ กินคู่กับโรตีที่กรอบนอกนุ่มใน แป้งโรตีที่นี่จะถูกหมักให้นุ่มเป็นพิเศษ และยังคงความเหนียวแน่นหนึบ เมื่อนำมาทอดจะได้ผิวสัมผัสบาง กรอบด้านนอก นุ่มด้านใน ที่สำคัญโรตีที่นี่ไม่อมน้ำมัน ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน อร่อยทีเดียว แกงถ้วยนี้ 45 บาท โรตีแผ่นละ 15 บาท ถ้วยนี้โรตี 2 แผ่น กำลังดีครับ

อีกสองเมนูที่ลองสั่งมาคือโรตีพิซซ่าชีส และโรตีกล้วยหอมม้วนราดชอคโกแลต สำหรับโรตีพิซซ่าชีส รสชาติพิซซ่ามาเต็ม ๆ ชีสยืด ๆ แป้งบางกรอบ ส่วนกล้วยม้วนก็อร่อยครับ กรอบนอก นุ่มกล้วยด้านใน เพิ่มความหวานด้วยซอสชอคโกแลต
ใครอยากจะมาชิมโรตีอร่อย ๆ แนะนำร้านโรตีบังหนุ่ยนะครับ ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 06.00 -16.00 น. ปิดทุกวันศุกร์ครับ
หลังจากเติมพลังแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่เขาฝาชีครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uCMHn5k6ZUL9Jd3M8 )

จุดชมวิวเขาฝาชี อยู่บนยอดเขาที่มีรูปทรงสัณฐานคล้ายกับฝาชี ในเขตอำเภอละอุ่น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 259 เมตร จากจุดนี้สามารถชมทิวทัศน์ของแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมา นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นจุดที่แม่น้ำกระบุรีไหลมาบรรจบกับคลองละอุ่น รวมถึงทิวเขาในฝั่งเมียนมาได้อีกด้วย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาฝาชีเคยเป็นที่ตั้งค่ายทหารญี่ปุ่นด้วยครับ

บริเวณศาลาตรงที่จอดรถ เราสามารถเห็นตัวอำเภอละอุ่นได้ด้วยครับ
หากมาเที่ยวบนเขาฝาชีถูกช่วงถูกเวลา เราอาจจะได้เห็นบรรยากาศที่สวยงามมากขึ้นกว่าเดิม อย่างช่วงเช้าหากอากาศเหมาะ ๆ อาจจะได้เห็นทะเลหมอกได้ครับ ส่วนตอนเย็นที่นี่ก็เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกจุดหนึ่งของจังหวัดระนองเลยทีเดียว เส้นทางที่จะขึ้นมาบนจุดชมวิวเขาฝาชี ค่อนข้างแคบ ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ
จากเขาฝาชี ไปต่อที่น้ำตกบกกราย (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CirD42AZsteyuVNi8 ) ในเขตอำเภอกระบุรี ครับ

น้ำตกบกกรายอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งระยะ-นาสัก ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ 2 จังหวัด คือ จังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 11 ชั้น และมีน้ำไหลตลอดปี การเข้าชมน้ำตกบกกราย มีค่าเข้าชมคนละ 30 บาทครับ

จากลานจอดรถ เดินเท้าต่ออีกประมาณ 200-300 เมตร ก็จะถึงตัวน้ำตก เส้นทางเดินง่ายครับ


ตัวน้ำตกที่เราเห็น คือน้ำตกชั้นที่ 1-3 ถึงแม้สายน้ำตกจะไม่ตกลงมาแบบสูงชัน แต่สายน้ำก็ไหลลดคดเคี้ยวลงมา ก็สวยไปอีกแบบครับ บริเวณนี้สามารถเล่นน้ำได้ ส่วนใครที่แรงดี สามารถเดินเลาะลำธารขึ้นไปชมชั้นอื่น ๆ ได้ แต่แนะนำว่าให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำทางจะดีที่สุด และควรมีเวลาทั้งวันในการเดินชมน้ำตกให้ครบทุกชั้นครับ
จากนั้นผมย้อนกลับมายังตัวเมือง ระหว่างทางแวะชมน้ำตกปุญญบาลครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/FoWkXGwsULY51Qmz8 )



น้ำตกปุญญบาล อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมเลยครับ สามารถยืนชมได้ที่ริมถนนเลย หรือถ้าใครอยากจะสัมผัสกับสายน้ำที่เย็นฉ่ำ สามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ แต่จะมีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท สามารถจอดรถไว้ข้างทางได้เลย น้ำตกนี้มีน้ำตลอดทั้งปี ต้นน้ำเกิดจากลำห้วยที่ไหลมาจากป่าสงวนแห่งชาติป่าละอุ่น ป่าราชกรูด เกิดเป็นน้ำตก 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 ปุญญบาล ชั้นที่ 2 โตนไม้ไผ่ ชั้นที่ 3 โตนต้นเฟิร์น ปลายทางน้ำตกไหลลงสู่คลองเสร็จตะกวดครับ
ผมพอจะมีเวลาเหลืออยู่ เลยเดินเข้าไปสัมผัสความชุ่มฉ่ำของน้ำตกปุญญบาลครับ ใครที่สะสมตราประทับอุทยานแห่งชาติ สามารถมาประทับตราได้ที่จุดชำระค่าธรรมเนียม ลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นลายผีเสื้อครับ การเดินเท้าเข้าตัวน้ำตกก็สะดวกสบาย เดินไม่ไกล ช่วงที่ผมไป ต้นเปราะนกคุ้มกำลังออกดอกเต็มเลยครับ
จากน้ำตกปุญญบาล ผมมุ่งตรงดิ่งเข้ายังตัวเมืองระนอง โดยปักหมุดที่พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/6Umh5g9D8JVuvA79A )


พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2545 เพื่อเป็นอนุสรณ์การเสด็จประทับแรม ณ จังหวัดระนองของพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ ได้แก่ รัชกาลที่ 5 เสด็จเมื่อปี พ.ศ.2433 รัชกาลที่.6 เสด็จเมื่อปี พ.ศ.2452 และ รัชกาลที่ 7 เสด็จเมื่อปี พ.ศ.2471 พระราชวังฯ หลังเดิมจะสร้างอยู่บนเขานิเวศน์คีรี ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของพระราชวังฯ จำลอง โดยพระราชวังฯ จำลอง สร้างด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทอง ประกอบไปด้วยอาคาร 3 หลัง คือ ท้องพระโรง ที่ใช้สำหรับว่าราชการ, อาคารกลางหรืออาคารที่ประทับทรงงาน และอาคารแปดเหลี่ยม มีสะพานไม้เชื่อมอาคารที่ประทับทรงงานกับอาคารแปดเหลี่ยม รูปแบบการก่อสร้างยังคงลักษณะเหมือนหลังเดิมที่ใช้ในสมัย ร.5 แต่สิ่งของด้านในอาคารเช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน เครื่องใช้จะเป็นของใหม่ที่ขอแบบจำลองการสร้างมาจากพระที่นั่งวิมานเมฆครับ พระราชวังจำลองเปิดให้เข้าชมวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.10.-16.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็ก 20 บาท ครับ

ติดกับพระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) จะมีบันไดเดินขึ้นไปบนเขารัตนรังสรรค์ ซึ่งด้านบนจะเป็นที่ตั้งของเขานิเวศน์สกายวอล์ค หรือ Sky Walk Ranong (ด้านบนไม่มีห้องน้ำนะครับ ใครปวดห้องน้ำแนะนำให้เข้าที่พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง))

Sky Walk เปิดให้ขึ้นชมได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 20.00 น. ทั้งนี้จะต้องเสียค่าเช่ารองเท้าแตะแบบสวม คู่ละ 10 บาท และหากใครไม่ใส่ถุงเท้ามา จะต้องเสียค่าถุงเท้าเพิ่ม คู่ละ 20 บาท ครับ
เอาจริง ๆ พื้นทางเดินบน Sky Walk เป็นพื้นปูนทั้งหมด ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นพื้นกระจกหรือเป็นพื้นที่จะเกิดความเสียหายได้ง่ายเลย ดังนั้น รองเท้าที่ใช้เดินขึ้นไปด้านบน ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนรองเท้าเลย มีนักท่องเที่ยวหลายคนก็คิดเหมือนผมเช่นกัน เขาคุยกันเองว่าทำไมต้องเปลี่ยนรองเท้าด้วย แถมยังต้องใส่ถุงเท้าอีกต่างหาก เพื่อไม่ให้ความสงสัยต้องค้างคาใจ ก่อนกลับผมเลยสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่า ที่ต้องให้เปลี่ยนรองเท้าแตะ เพราะพื้นของ Sky Walk จะได้ไม่สกปรก ส่วนการสวมถุงเท้าเพื่อไม่ให้รองเท้าสกปรกครับ

ที่ Sky Walk จะมีลิฟต์ไว้บริการด้วย ใครข้อเข่าไม่ดี สามารถกดลิฟต์ขึ้นไปชมด้านบนได้ ลิฟต์ถึงชั้นบนสุดก็เดินอีกนิด ขึ้นไปตามทางลาดนิดหน่อยก็จะถึงจุดชมวิวด้านบนเลยครับ




ภาพมุมสูงครับ

ด้านบนสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาครับ



มองได้ไกลถึงทะเลเลย



ในวันที่ฟ้าเปิด เราสามารถมาชมพระอาทิตย์ตกกันบน Sky Walk ได้เลยครับ




ช่วงที่ผมไปมีการประดับประดาไฟหลากสีสัน เพิ่มความสวยงามให้กับ Sky Walk เพิ่มเข้าไปอีก
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คงต้องกลับไปพักผ่อนก่อนละครับ พรุ่งนี้ผมมีโปรแกรมท่องทะเลระนองครับ
วันนี้ผมมีโปรแกรม Charming Ranong to Sea สัมผัสทะเลระนองกับหมู่เกาะหลงยุค ที่เกาะกำ เกาะค้างคาว เกาะญี่ปุ่น โดยผมเลือกจองแพคเกจกับเพจ ILoveRanong84 ( https://web.facebook.com/iloveranong84 ) โดยทางเพจจะมีหลายแพคเกจให้เลือก มีทั้งทะเลระนองและทะเลเมียนมา และยิ่งถ้าซื้อแพคเกจแบบ 2 วัน เช่น เกาะหัวใจมรกต+เกาะกำตก / เกาะซาลิ+เกาะกำตก / เกาะนาวโอพี+เกาะกำตก ก็จะได้ราคาถูกลงกว่าซื้อแบบแยกเที่ยวครับ
โดยปกติแล้ว ทัวร์จะออกทริปในวันเสาร์ อาทิตย์ แต่ถ้าหากว่าต้องการเหมา หรือมีเปิด Join Trip ก็สามารถออกทริปวันธรรมดาได้ครับ เนื่องจากทริปนี้มีสมาชิก 10 คน ทางเพจเลยจัดเรือหัวโทงแบบส่วนตัวให้เลยครับ โดยครั้งนี้ผมเลือกทริป เกาะกำตก + เกาะหัวใจมรกต (ราคา 4,399 บาท) และเกาะซาลิ (ราคา 3,700 บาท)

ILoveRanong84 ส่งรถสองแถวไม้โบราณมารับผมที่โรงแรมแต่เช้า และมุ่งหน้าสู่ท่าเรือบางเบน ภายในอุทยานแห่งชาติแหลมสนครับ
เรานั่งเรือกันราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะค้างคาว ระหว่างนั่งเรือ ไกด์แดนก็ถ่ายรูปให้กับสมาชิกที่บริเวณหัวเรือ เรียกได้ว่าตั้งแต่เรือออกจากท่าเรือจนถึงเกาะค้างคาว ถ่ายรูปกันไม่หยุดเลยครับ ใครที่รอคิวถ่าย ก็อิ่มหนำกับของว่างที่ ILoveRanong84 เตรียมไว้ให้ มีทั้งโรตีสายไหม ผลไม้หลากหลายชนิด แถมยังมีน้ำมะพร้าวให้ด้วยครับ

ช่วงเวลาที่เรามาถึงเกาะค้างคาวเป็นช่วงเวลาที่ระดับน้ำยังต่ำ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปที่บริเวณชายหาดได้ เนื่องจากเรือที่โดยสารมาค่อนข้างใหญ่ ทำให้เรือกินน้ำลึก หากเข้าไปใกล้ชายหาดอาจทำให้ปะการังเสียหายได้ เพราะเกาะค้างคาวยังอุดมสมบูรณ์ด้วยปะการังครับ และที่เรามาเกาะค้างคาว เราจะมาดำน้ำดูปะการังกันครับ


























































































ภาพใต้น้ำชุดนี้เป็นภาพที่เพจ ILoveRanong84 ถ่ายสิ่งมีชีวิตบริเวณเกาะค้างคาวจากหลาย ๆ ทริปไว้ครับ ส่วนจุดที่ผมดำน้ำดูปะการังก็จะมีอยู่ตามในภาพบ้าง เช่นดงดอกไม้ทะเล ปลาการ์ตูน ปะการังเขากวาง ครับ

ทริปนี้เราจะดำน้ำกันเพียงจุดเดียวคือที่เกาะค้างคาวนี่แหล่ะครับ เราจึงใช้เวลาดำน้ำอยู่นานพอสมควร ได้เวลาอันสมควรไกด์แดนพานั่งเรือต่อไปยังเกาะกำตก เพื่อไปพักทานมื้อเที่ยงบนเกาะ เมื่อถึงเกาะก็จัดแจงล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำจืดของทางอุทยานครับ




อาหารเกือบทุกเมนูเป็นฝีมือของแอดมินเอ๋ เป็นเมนูพื้นบ้าน มี ต้มยำเล้ง แกงส้มปลาคูดคาดสับปะรด หมูฮ้อง ผัดเปรี้ยวหวาน ปลาทอดราดน้ำเต้าซี่ น้ำพริกกะปิเคียงด้วยผักสด หอยแมลงภู่ลวก แล้วจะมีห่อหมกปลาทะเลที่แอดมินเอ๋ซื้อมาเสริม ทุกเมนูถือว่ารสชาติดีเลยทีเดียวครับ


อิ่มท้องแล้ว ก็เดินสำรวจเกาะกำตกกันต่อครับ เกาะกำตกเป็นส่วนหนึ่งของ ‘หมู่เกาะกำ’ ที่ประกอบด้วยกลุ่มเกาะกำต่าง ๆ ได้แก่ เกาะกำใหญ่ กำนุ้ย กำตก (อ่าวเขาควาย) กำใต้ กำกลาง (เกาะญี่ปุ่น)


มาเที่ยวเกาะกำตกแล้วไม่อยากให้พลาดการขึ้นไปชมวิวบนจุดชมวิว ซึ่งเราจะต้องเดินขึ้นเขาไปสักหน่อย แต่รับรองได้ว่าคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน ทางอุทยานได้ทำเป็นขั้นบันไดประมาณ 200 ขั้นไว้ให้ และสร้างเป็นระเบียงให้นักท่องเที่ยวได้ไปยืนดื่มด่ำกับวิวที่อยู่เบื้องหน้า จากจุดชมวิวเราจะมองเห็นอ่าวเขาควายที่มีชายหาดที่ขาวเนียนละเอียด มีโค้งอ่าวเป็นครึ่งวงกลมคล้ายกับเขาควาย น้ำทะเลสีฟ้าใส ท่ามกลางเกาะอื่น ๆ ของหมู่เกาะกำ ความสวยงามของอ่าวเขาควายถูกนำมาใช้เป็นภาพประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดระนองด้วยครับ




ดื่มด่ำกับบรรยากาศบนเกาะกำตกกันพอสมควรแล้ว จุดหมายต่อไปอยู่ที่เกาะญี่ปุ่นครับ ไกด์แดนเล่าให้ฟังว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีกองทัพญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพและใช้เกาะนี้เป็นจุดเก็บเสบียง เพื่อประกอบอาหารและส่งเสบียงให้กองกำลัง เพื่อสู้รบกับกองทัพอังกฤษที่มาตั้งฐานทัพอยู่ที่เมียนมาครับ หาดทรายบนเกาะญี่ปุ่นขาว ทรายละเอียด เดินแล้วนุ่มเท้ามาก ๆ บนเกาะนี้มีจุดให้นั่งเล่นพักผ่อนหลายจุดเลย แต่ผมอยู่บนเกาะนี้ได้ไม่นานนัก เพราะมองออกไป ฟ้าเริ่มดำทะมึนมาแต่ไกล เอาแน่เอานอนกับอากาศที่ระนองไม่ได้จริง ๆ ฟ้าใสแดดเปรี้ยงมาทั้งวัน พอช่วงบ่ายแก่ ๆ กลับมีฝนซะอย่างนั้น ดีที่ฝนตกไม่หนักนัก ทำให้ไม่ต้องลุ้นตอนนั่งเรือกลับฝั่งครับ
ฝนตกพรำมาตลอดเส้นทางกลับ แต่พอมาถึงภูเขาหญ้า ฝนเริ่มซาเม็ด ผมเลยขอให้ไกด์แดนช่วยพาจอดแวะชมบรรยากาศของภูเขาหญ้า ก่อนที่จะไปส่งผมที่ที่พักครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/N32sZX3TdNSaYttN7 )


ภูเขาหญ้าเป็นภูเขาลูกเตี้ย ๆ 3-4 ลูกที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน เป็นภูเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเพียงไม่กี่ต้น แต่กลับถูกต้นหญ้าปกคลุมเต็มพื้นที่ หากเรามาเที่ยวช่วงพฤษภาคม-พฤศจิกายน ก็จะเห็นภูเขานี้เป็นสีเขียว ดูสดชื่น แต่ถ้าเรามาช่วงธันวาคม-เมษายน ภูเขานี้จะกลายเป็นสีน้ำตาล ให้ความรู้สึกอีกอารมณ์หนึ่งครับ การมาภูเขาหญ้าหากมีพร็อพในการถ่ายภาพจะทำให้ภาพน่าดูยิ่งขึ้น และครั้งนี้ผมได้รถสองแถวไม้โบราณแบบ Limited ของ ILoveRanong84 มาอยู่ในองค์ประกอบของภาพด้วย ที่ว่า Limited นั้นเพราะว่ารถสองแถวไม้คันนี้มีสีขาว ซึ่งมีคันเดียวในระนองครับ
ที่ภูเขาหญ้ามีน้องหมาที่ถูกคนใจร้ายมาปล่อยไว้เป็นจำนวนมาก หากเพื่อน ๆ ไปเที่ยว ก็อย่าไปรังแกน้อง ๆ นะครับ เพราะผมเกรงว่าน้อง ๆ จะรู้สึกไม่ปลอดภัยและอาจจะหาวิธีป้องกันตัว หากมีนักท่องเที่ยวคนอื่นไปเที่ยวชมในบริเวณนั้น อาจถูกน้อง ๆ ทำร้ายได้ และถ้ามีอาหารหรือขนมติดไม้ติดมือไปให้น้อง ๆ ได้กินด้วย ก็จะดีมาก ๆ ครับ


จากจุดชมวิวภูเขาหญ้า หากเราหันหลังให้ภูเขาหญ้า ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือแนวเขาสูง หากสังเกตดี ๆ จะเห็นน้ำตกหงาว ที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน หลังฝนตกใหม่ ๆ เราก็จะเห็นสายหมอกมาคลอเคลียอยู่ตามยอดเขา ณ เวลานี้ เหมือนน้ำตกตกลงมาจากสรวงสวรรค์เลยครับ
สำหรับมื้อค่ำนี้ ผมเลือกไปชิมอาหารพื้นเมืองที่ร้าน J&T Restaurant (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AWNFVvbtnZ8LwrkRA ) ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองระนองครับ
ร้าน J&T Restaurant ให้บริการเมนูอาหารไทยพื้นบ้านเมืองระนองสไตล์จีน ได้รับเกียรติบัตรจากโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย ในฐานะร้านอาหารที่สามารถเชิดชูอาหารถิ่นของจังหวัดระนอง ที่นี่มีหลายเมนูให้เลือกชิม หลายอย่างเป็นเมนูที่ผมไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อ ไม่เคยเห็น ไม่เคยชิม มาครั้งนี้เมนูส่วนใหญ่ที่สั่งจึงเน้นอาหารพื้นถิ่นมาลิ้มลองครับ

ชุนเปี๊ยะ เป็นอาหารว่าง มีต้นกำเนิดจากจีนฮกเกี้ยนและเป็นที่นิยมในจังหวัดระนอง คล้ายปอเปี๊ยะหรือหอยจ๊อ ไส้ชุนเปี๊ยะมีส่วนผสมของเนื้อหมูสับเป็นหลัก เสริมด้วยตับและเนื้อปู ห่อด้วยฟองเต้าหู้แล้วนำไปทอด ทานกับน้ำจิ้มสูตรของทางร้านที่นำสับปะรดมาปั่นกับพริก จานนี้ 110 บาทครับ

ปลาเค็มคั่ว ทางร้านจะนำปลาเค็มมาคั่วกับหมูสับอารมณ์คล้าย ๆ หมูผัดหนำเลี๊ยบ โรยด้วยหอมเจียวกับพริกทอด อร่อยดีทีเดียว จานนี้ 85 บาท

ฮู้เกี่ยมทึ้ง เป็นซุปกระดูกปลาเค็ม ฮู้แปลว่าปลา เกี่ยม แปลว่าเค็ม ทึ้งแปลว่าน้ำซุป ทางร้านจะใช้กระดูกปลาเค็มในการต้ม และจะมีเต้าหู้ หมูสามชั้น ปรุงรสด้วยซีอิ้วตรานกแก้ว ซึ่งเป็นซีอิ้วที่ผลิตในเมืองระนอง เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากให้ลอง ถ้วยนี้ 85 บาทครับ

ปลาทูทอดกะปิทรงเครื่อง เป็นเมนูปลาทูทอด ราดด้วยน้ำพริกกะปิรสเข้มข้น รสชาตินัว ๆ เค็มนำ หวานตามเล็กน้อย ทานกับข้าวร้อน อร่อยดีเลยครับ จานนี้ 140 บาท

หมูค้อง อาหารใต้ที่ปกติจะทำกินเฉพาะโอกาสสำคัญต่าง ๆ หน้าตาคล้ายหมูพะโล้ แต่รสชาติจะเข้มข้นกว่า หมูสามชั้นจะนุ่ม ละมุนลิ้น จากการหมักด้วยซีอิ้ว พร้อมด้วยเครื่องพะโล้ เครื่องเทศ ข้ามคืน น้ำซุปจะออกมาจากเนื้อหมูเอง จานนี้ 120 บาทครับ

ไข่ตุ๋นเคยเค็ม เป็นการนำเคยเค็มมาตุ๋นกับไข่และกะทิ รสชาติเบา ๆ นุ่มละมุน ถ้วยนี้ 80 บาทครับ

ยำยอดกาหยู เป็นการนำยอดอ่อนของมะม่วงหิมพานต์ไปลวกเพื่อลดความฝาด แล้วนำมาหั่นละเอียด และนำมายำแบบโบราณ จานนี้ 90 บาทครับ

ยำผักเหลียง รสชาติคล้ายกับยำยอดกาหยู จานนี้ 90 บาทครับ

ก๊กซิมบี้ เป็นซุปจีนสไตล์ฮกเกี้ยนโบราณ ลักษณะหน้าตาคล้าย ๆ กระเพาะปลา มีส่วนประกอบของเห็ดหูหนูที่นำมาซอยเป็นเส้น เนื้อไก่ฉีกฝอย และตีไข่ใส่ลงในน้ำซุปให้เป็นฝอย รสชาติกลมกล่อม ถ้วยนี้ราคา 150 บาทครับ เมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูประจำถิ่นของจังหวัดระนองครับ

น้ำพริกกุ้งสดส้มเกล่า เป็นน้ำพริกกุ้งสดใส่ส้มจี๊ด เสิร์ฟมากับผักสดแนมและชะอมชุบไข่ทอด ชุดนี้ 90 บาท

ยาวเย จะเป็นสลัดแบบจีน คือจะมีผักบุ้งลวก แตงกวา เต้าหู้ ไข่ต้ม ปลาหมึกลวก กุ้งตัวเล็ก ๆ ทอด ถั่วลิสงคั่วบุบ กระเทียมเจียว และงาขาว เวลาทานก็จะราดน้ำราด ที่มีรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน มีความเผ็ดนิด ๆ อารมณ์จะเป็นสุกี้แห้งก็ไม่ใช่ ยำก็ไม่เชิง จานนี้ 75 บาทครับ
หมูคั่วเครื่องรา รสชาติคล้ายคั่วกลิ้ง แต่เผ็ดแรงกว่ามาก จานนี้ 85 บาทครับ


แกงส้มปูนิ่มชะอมไข่ทอด (160 บาท) และแกงส้มปลายอดมะพร้าว (100 บาท) รสชาติแกงส้มไม่จัดจ้านเท่าแกงส้มใต้ที่เคยทานครับ

ตบท้ายของของหวานอย่างไอศกรีมกะทิ ที่นำขนมพื้นบ้านอย่างข้าวเหนียวหน้าสังขยา / ข้าวเหนียวหน้ากุ้งมาเสิร์ฟคู่กัน ถ้วยละ 45 บาท ครับ
ใครอยากจะมาลิ้มลองอาหารถิ่นเมืองระนอง แนะนำร้าน J&T เลยครับ ราคาไม่แพง อาหารอร่อย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 -21.00 น. ครับ



ถ้าหากเพื่อน ๆ มาเที่ยวระนองในวันเสาร์ สามารถมาเดินชิมของกินพื้นบ้าน หรือของฝาก ที่ถนนคนเดินได้นะครับ ออกจากร้าน J&T ก็เจอถนนคนเดินเลย ผมมาเจอขนมพระจันทร์ทรงกลด แล้วอดที่จะทดลองไม่ได้ เพราะเพิ่งจะเคยเห็นขนมชนิดนี้ที่นี่เป็นที่แรก ลักษณะคล้ายอาโป้งที่ภูเก็ต แต่แป้งตรงก้นจะหนากว่า รสชาติของกะทิที่อยู่ตรงก้น เวลากินแล้วให้อารมณ์กินขนมครกเลยครับ ถนนคนเดินจะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 – 22.00 น.โดยในเดือนธันวาคม จะมีทุกวันศุกร์และเสาร์ ส่วนเดือนมกราคม-เมษายน จะมีเฉพาะวันเสาร์เท่านั้นครับ

ก่อนกลับเข้าที่พัก ผมแวะชมบรรยากาศของหอนาฬิการะนอง ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่นาน
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คงต้องรีบกลับไปนอนพักผ่อน เพราะวันรุ่งขึ้นผมมีออกทริปเกาะหัวใจมรกต ทะเลเมียนมาต่อครับ
เช้าวันใหม่ Pon's place travel ส่งรถสองแถวไม้มารับที่โรงแรม แล้วมาส่งที่ท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะสอง ท่าเรือของวันนี้อยู่ในเขตอำเภอเมือง นั่งรถไม่ไกลเท่าท่าเรือบางเบนครับ

ก่อนที่จะออกทริป ทางบริษัททัวร์จะขอให้เราส่งสำเนาบัตรประชาชนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อใช้ในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง การจะออกทริปเที่ยวทะเลเมียนมา เราใช้เพียงแค่บัตรประชาชน ไม่ต้องใช้ Passport เมื่อไปถึงที่ท่าเรือ กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเลยผ่านไปได้ด้วยความรวดเร็ว

หลังผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ทาง Pon's place travel ได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ด้วย เป็นข้าวเหนียว หมูทอด / หมูฝอย พร้อมน้ำดื่มให้ได้ตุนแรงก่อนที่จะออกเรือครับ
สำหรับวันนี้ แอดมินเอ๋ จากเพจ ILoveRanong84 มาดูแลความเรียบร้อยให้กับลูกค้าที่จองทัวร์ผ่านเพจ ILoveRanong84 ด้วย รวมถึงไกด์แฮ็ค เจ้าของ ILoveRanong84 ก็มาคอยถ่ายภาพให้กับลูกทริป ตั้งแต่ท่าเรือยันจบทริปเลยครับ (เพจ ILoveRanong84 จะบริหารจัดการเฉพาะเส้นทางทริปหมู่เกาะระนองเท่านั้น สำหรับทริปทะเลเมียนมา จะส่งต่อให้กับบริษัทที่ได้รับสัมปทานในเส้นทางนั้น ๆ ครับ)



นั่งเรือไม่นาน ก็ข้ามมาถึงเกาะสอง ประเทศเมียนมาแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเมียนมารออยู่ที่ท่าเรือแล้ว นักท่องเที่ยวแค่นั่งรออยู่ในเรือ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะมานับยอดและตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นอันเสร็จกระบวนการครับ

บ้านเรือนชาวเมียนมาบนเกาะสองครับ


นั่ง Speed boat มาร่วมชั่วโมง ก็มาถึงเกาะแรก คือเกาะฮอร์สชู (Horse Shoe Island) ถ้ามองมุมสูงจะเห็นเลยว่าเกาะนี้มีรูปทรงคล้ายเกือกม้าครับ

น้ำทะเลใสมากครับ

เหตุที่ไกด์พามาที่เกาะฮอร์สชูเป็นจุดแรก เพื่อจะให้นักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยดำน้ำตื้นมาก่อน ได้ฝึกการหายใจผ่านสน็อกเกิ้ล สำหรับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ก็หามุมถ่ายรูปเป็นการฆ่าเวลา เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวแต่ละคนก็จัดเต็มเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะถ่ายรูป เพราะหลังจากนี้เราจะดำน้ำกันตลอด

ผมมาเริ่มดำน้ำกันที่เกาะหัวใจมรกตเป็นจุดแรกครับ เกาะหัวใจมรกตเป็นเกาะหินปูน ไม่มีชายหาด มีช่องว่างอยู่ตรงกลางเกาะ หากมองภาพมุมสูงจะเห็นเป็นรูปหัวใจ บวกกับน้ำทะเลที่มีสีฟ้าอมเขียว มองเป็นสีมรกต จึงเป็นเหตุให้เกาะนี้ถูกขนานนามว่า เกาะหัวใจมรกตครับ








การดำน้ำจากปากถ้ำเพื่อทะลุเข้าไปในหัวใจมรกต ระยะทางจะสั้นกว่าการดำน้ำเข้าถ้ำมรกตของจังหวัดตรัง ช่วงที่ผมไปคลื่นลมแรงมาก ๆ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำน้ำ เพราะยังสามารถเห็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลได้อย่างชัดเจน บอกเลยว่าสิ่งมีชีวิตบริเวณปากถ้ำสมบูรณ์จริง ๆ ผมเองเพิ่งจะเคยเห็นแส้ทะเล ซีแฟนหลากสีสัน จากที่นี่ครับ แต่พอดำน้ำหลุดเข้าไปในหัวใจมรกตแล้ว ความหลากหลายของปะการังและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ก็จะคล้าย ๆ กับทะเลบ้านเราครับ

เต็มอิ่มกับการดำน้ำแล้ว ผมกลับมาที่เกาะฮอร์สชูอีกครั้ง เพื่อมาทานมื้อเที่ยงกันบนเกาะ อาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ มีหลายเมนูให้เลือก รสชาติอาหารดี มีกุ้ง ปลาหมึก ด้วย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชม เพราะเกรงใจแขกท่านอื่น ๆ ในทริปครับ



อิ่มท้องแล้ว ใครยังพอมีกำลังเหลือ แนะนำให้เดินขึ้นไปยังจุดชมวิวมุมสูงครับ เดินขึ้นไม่เหนื่อยเท่ากับเดินขึ้นจุดชมวิวที่เกาะกำตก แต่ความชันใกล้เคียงกัน ด้านบนจุดชมวิวมองเห็นเฉดสีของน้ำทะเลตัดกันได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว

นอกจากไกด์แฮ็คจะถ่ายภาพจากกล้องให้แล้ว ยังมีบริการถ่ายรูปจากโดรนให้ด้วยนะครับ โพสท่ากันรัว ๆ ได้เลย ภาพทุกภาพถ่ายฟรี ไม่มีเก็บเงินใด ๆ












พักผ่อนกันจนอาหารเริ่มย่อยแล้ว เราไปดำน้ำกันต่อที่เกาะพาราไดซ์เบย์ เป็นอีกหนึ่งจุดดำน้ำของทะเลเมียนมา จุดเด่นคือน้ำทะเลฟ้าใส บริเวณนี้จะพบปะการังเขากวาง ปะการังอ่อน ปะการังโต๊ะ และดอกไม้ทะเล รวมถึงปลาหลากหลายสายพันธุ์ครับ

















ผมมาปิดทริปดำน้ำของวันนี้ที่เกาะย่านเชือก ไกด์แฮ๊คบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่สวยที่สุด เพราะเป็นทุ่งปะการังที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุด มีความหลากหลายของปะการังและดอกไม้ทะเล รวมถึงปลาหลากหลายชนิดเลยครับ แต่ก่อนผมคิดว่าปลาการ์ตูนจะมีแค่ลายส้มขาวเพียงชนิดเดียว แต่มาที่นี่ผมได้เห็นปลาการ์ตูนอีกหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นปลาการ์ตูนป้องขาวหางเหลือง ปลาการ์ตูนอินเดียน ปลาการ์ตูนส้มปานดำด้วย
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมเลือกจะออกทริปไปเกาะซาลิ ทะเลเมียนมา โดยผมติดต่อซื้อทัวร์ผ่าน ILoveRanong84 เช่นเคย โดยทริปนี้มี เพิร์ล อันดามัน ทราเวล เป็นผู้ดูแลครับ เช้านี้รถตู้มารอรับที่โรงแรม และมาส่งที่ท่าเรือเดียวกับที่ผมไปเกาะหัวใจมรกต กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองของทั้งฝั่งไทยและเมียนมา ก็สะดวกรวดเร็วเหมือนเดิมครับ เช้านี้ไม่มีอาหารเช้าก่อนขึ้นเรือ แต่จะมี Set ขนมปังและน้ำผลไม้แจกให้บนเรือครับ


ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงเกาะซาลิ เกาะส่วนตัวที่มีหาดทรายขาวละเอียด จนได้รับสมญานามว่ามัลดีฟส์แห่งเมียนมาครับ










กิจกรรมบนเกาะเน้นพักผ่อน นอนเล่นชิลล์ ๆ พายคายัค ถ่ายรูปตามจุดถ่ายรูปต่าง ๆ มีทั้งชิงช้าคู่ ชิงช้าเดี่ยว เปลญวน ท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้าครามครับ

ช่วงเวลาครึ่งเช้าเน้นพักผ่อนบนเกาะ รวมถึงมื้อกลางวันบนเกาะซาลิครับ อาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ มีหลากหลายเมนูเลย อย่างกระเพาไก่ ส้มตำ ปลาจิ้งจั้งทอด ไก่ต้มขมิ้น น้ำพริก กุ้ง+ปลาหมึก พร้อมน้ำจิ้มซีฟูด ฝีมือแม่ครัวชาวเมียนมา รสชาติไม่แตกต่างจากบ้านเราครับ



จุดหมายแรกในการดำน้ำช่วงบ่ายอยู่ที่เกาะห้า เกาะนี้ไกด์บอกว่าเป็น Nemo Paradise เนื่องจากมีปลานีโมหลากหลายสายพันธุ์ครับ ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะลงดำน้ำดีไหม เพราะคลื่นแรงมาก แต่ถ้าอยู่บนเรือ ก็อาจจะเมาเรือได้ เพราะเรือโคลงเคลงมาก แต่ท้ายสุดก็ตัดสินใจลง พอลงน้ำเท่านั้นแหล่ะ เจ็บจี๊ดขึ้นมาทันใด ผมโดนแตนทะเลรุมครับ ไม่ใช่ผมคนเดียว ลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็โดนเช่นกัน ตอนนั้นทำได้อย่างเดียวคือ ‘ทน’ ครับ







จุดดำน้ำที่ 2 อยู่ที่เกาะหินมังกร จุดนี้ดำน้ำง่ายกว่าเกาะห้า เพราะคลื่นทะเลไม่แรงเนื่องจากถูกตัวเกาะบัง เกาะหินมังกรมีปะการังและสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด แต่ความรู้สึกผมเหมือนมันไม่สุดครับ เพราะปะการังส่วนใหญ่จะเป็นปะการังกลุ่มเล็ก ๆ ที่กำลังเจริญเติบโต ไม่เหมือนกับที่ได้เห็นที่เกาะพาราไดซ์เบย์ หรือ เกาะย่านเชือก ในทริปเกาะหัวใจมรกต

กิจกรรมดำน้ำของผมจบเพียงเท่านี้ แต่โปรแกรมยังไม่จบครับ หลังดำน้ำที่เกาะมังกรเสร็จ เรือก็พามายังเกาะสอง เพื่อผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเรือพามาส่งที่ เพิร์ล อันดามัน รีสอร์ต (เกาะคู่) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะสองมากนัก เกาะคู่ยังอยู่ในพื้นที่ของเมียนมาครับ เพิร์ล อันดามัน รีสอร์ต (เกาะคู่) เป็นทั้งโรงแรมและคาสิโน เมื่อมาถึงโรงแรมไกด์นำลูกทริปไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุด เพื่อเตรียมทานมื้อค่ำ ห้องน้ำที่นี่เป็นสัดส่วนแยกชาย-หญิงชัดเจน ที่สำคัญมีหลายห้องมาก พนักงานจะนำผ้าเช็ดตัวและถุงก๊อบแก๊บสำหรับใส่ชุดเปียกให้ด้วย แถมยังมีไดร์เป่าผมให้ใช้พร้อมสรรพ
ด้านบนของห้องอาบน้ำจะเป็นลานสำหรับชมวิว สามารถรอชมพระอาทิตย์ตกได้ด้วยครับ สำหรับมื้อค่ำทางโรงแรมได้เตรียมเซ็ตอาหารค่ำสำหรับทาน 8 คน รสชาติอาหารอร่อยเลยทีเดียว (ค่าอาหารรวมอยู่ในค่าทริปแล้ว) หลังมื้อค่ำใครจะเล่นคาสิโนก็เล่นได้ หรือใครใคร่จะกลับฝั่งระนองก็กลับได้เลย เรือจะออกทุกชั่วโมง ตามโปรแกรมแล้วจะกลับในเวลา 20.00 น. แต่ผมเลือกที่จะกลับในรอบ 19.00 น. เพื่อไปพักผ่อนที่โรงแรมครับ
วันสุดท้ายของทริประนอง เช้านี้ผมมาฝากท้องที่ร้าน ‘อาหารเช้า ระนอง 168’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CcysoZ7xHyUmfZxQ9 ) ร้านตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมัน Shell ครับ




สไตล์อาหารเป็นอาหารเช้า มีหลากหลายเมนูให้เลือก ทั้งข้าวหมกไก่ บะกุ๊ดเต๋ ต้มเลือดหมู โจ๊ก ไข่กระทะ ABF ติ่มซำ โรตี ปาท่องโก๋ โดยรวมถือว่าโอเคเลยครับ ร้านเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30 – 12.30 น. ครับ
อิ่มท้องแล้ว ผมปักหมุดไปที่จุดหมายแรกของวัน นั่นคือ ‘บ้านร้อยปีเทียนสือ’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RpoHGBnh4iBg8mAu7 ) ครับ


บ้านร้อยปีเทียนสือ บ้านเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 150 ปี สร้างขึ้นในสมัย ร.5 เพื่อใช้เป็นเรือนหอของเทียนสือกับนางฉ่ายหล่วน หลานของเจ้าเมืองระนอง พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ลักษณะเป็นบ้านเศรษฐีจีน ที่อยากจะสร้างบ้านสไตล์ฝรั่ง แต่ใช้ช่างจีน การสร้างจึงเป็นแบบผสมผสาน ตัวบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างลักษณะยุโรป ชั้นบนลักษณะเป็นตึกไทย ตึกจีนบ้าง แล้วก็มาเรียกว่าสไตล์โคโลเนียล มีตัวบ้านด้านหน้าและตัวบ้านด้านหลัง ลักษณะเหมือนบ้านแฝด มีสวนอยู่กลางบ้าน คำว่า ‘เทียน’ แปลว่า ฟ้า คำว่า ‘สือ’ แปลว่า ประธาน ‘เทียนสือ’ จึงแปลว่า ฟ้าประธาน ครับ

ป้ายที่อยู่เหนือประตู บอกเล่าเรื่องราวว่าบ้านหลังนี้แบ่งคนเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายบู๊ ซึ่งจะเห็นการแกะสลักเป็นรูปดาบอยู่ทางด้านซ้ายของป้าย ฝ่ายบู๊คือฝ่ายที่คุมกองเรือบรรทุกแร่ดีบุก จากจังหวัดระนองไปให้อังกฤษที่ บัตเตอร์เวิร์ท อีกฝ่ายคือฝ่ายบุ๋น ซึ่งจะเห็นการแกะสลักเป็นรูปพู่กัน และจะมีการแกะสลักนกกระเรียนมากมาย นกกระเรียนหมายถึงสัญลักษณ์ของพวกขุนนาง และมีภาษาจีนสามตัว เขียนว่า ลู่ ซิ่ว ฟู่ คนไทยมักจะเรียกว่า ฮก ลก ซิ่ว เทพแห่งความสำเร็จ ร่ำรวย สุขภาพดี สติปัญญาดี

พื้นบ้านปูด้วยอิฐกระเบื้องข้าวหลามตัดแบบ ใบบัวโบราณ ข้าวหลามตัดคือสัญลักษณ์ของเงิน ทอง ของคนจีน อุปมาอุปไมยว่าทุกคนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ กำลังเดินอยู่บนสะพานเงินสะพานทอง
ที่เตะตาผมเห็นจะเป็นตั่ง (เตียง) ของเด็ก/ผู้หญิง ที่มีการแกะสลักลวดลายสวยงาม ฝาผนังเต็มไปด้วยภาพถ่ายเก่าแก่ของเจ้าของบ้านหลายชั่วอายุคน ข้าวของเครื่องใช้โบราณที่ผสมผสานศิลปะทั้งไทย จีน และยุโรป

ตราประทับ ตัวขวาอ่านว่าเทียน ตัวซ้ายอ่านว่าสือ

ปิ่นโตขอบทองเหลือง ที่หาดูได้ยากมาก ๆ

ลูกคิดที่ทำจากหยก บ่งบอกว่าฐานะไม่ได้ธรรมดาเลย

รองเท้าที่มีการปักด้วยดิ้นทอง เวลาต้องแสงแล้วเห็นความระยิบระยับของทองครับ

รองเท้าส้นสูงในอดีตของสตรีชั้นสูงชาวแมนจูทรงเกือกม้าครับ

รองเท้าคู่จิ๋วสำหรับประเพณีรัดเท้าของหญิงสาวจีนโบราณ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและฐานะทางสังคม ทำให้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจครับ


บริเวณหลังบ้านจะมีห้อง 2 ห้องขนาบซ้ายขวาทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่มีรูระบายน้ำเลย เป็นห้องทำงานและห้องนอน เสมือนเป็นถุงเงินและถุงทอง

ในสมัยก่อนอาคารหลังนี้เคยทำหน้าที่คล้ายธนาคารในยุค ร.5 จึงทำให้มุมต่าง ๆ เต็มไปด้วยฮวงจุ้ยเชิงสัญลักษณ์ของคนจีน เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หน้าต่างทุกช่องเป็นไม้แผ่นหนา รูปทรงแบบหมวกทหารจีนโบราณที่มีหยกติดตรงหน้าหมวก หน้าต่างโดยรอบติดซี่ลูกกรงเป็นเหล็กเส้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ช่องละ 9 เส้น


บ้านด้านหน้าและตัวบ้านด้านหลัง จะมีลานจิมแจ้ หรือลานที่คนจีนไว้ทำกิจกรรม ไว้รับพลังจากดวงดาว

แต่ก่อนบ้านเทียนสือไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาเที่ยวชมกว่าร้อยปี จนกระทั่ง ททท. ได้มาสำรวจเจอ และได้ขอความร่วมมือให้เปิดบ้านเทียนสือเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวระนอง นักท่องเที่ยวจึงได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมได้ประมาณ 7 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยการเปิดเข้าชมนี้ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นการเข้าชมที่นี่จึงชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากผู้เข้าชมจะร่วมบริจาคค่าไฟก็ไม่ขัดศรัทธา เปิดให้ชมทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ
จากนั้นผมมุ่งหน้าไปยัง Sea Swan Happiness Space (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/A6feGEeeU7ATF44cA ) คาเฟ่เล็ก ๆ ริมแม่น้ำกระบุรี ครับ








Sea Swan Cafe เป็นคาเฟ่สไตล์มินิมอล โดยโครงสร้างภายนอกจะเน้นสีขาวทั้งหมด จะมีแต่งแต้มด้วยสีแดงเพียงบางส่วน สำหรับด้านใน จะมีการใช้สีแดงเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สีแดง ตกแต่งได้อย่างสวยงามและลงตัวเลยทีเดียว เครื่องดื่มก็รสชาติเข้มข้น อร่อย เมนู Smoothie มีให้เลือกหลากหลาย ทั้ง เบอรี่โยเกิร์ตสมูทตี้ (120 บาท) สตอเบอรี่โยเกิร์ตสมูทตี้ (100 บาท) กีวีปั่น (95 บาท) มะม่วงปั่น (105 บาท) เรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่คือ อัฟโฟกาโต (105 บาท) เป็นกาแฟที่ทานคู่กับไอศกรีมกะทิ อร่อยเลยทีเดียวครับ

ด้านข้างของคาเฟ่ มีสระว่ายน้ำด้วย แต่น่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่บริการเฉพาะแขกที่เข้าพักที่นี่ครับ
ด้วยความที่ Sea Swan อยู่ติดแม่น้ำกระบุรี ช่วงเย็น ๆ จึงมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการกันเยอะพอสมควร เนื่องจากสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ด้วยครับ

จาก Sea Swan สามารถมองเห็นท่าเรือที่จะข้ามไปยังเกาะสองและท่องเที่ยวในหมู่เกาะเมียนมาได้ด้วยครับ
หลังได้เครื่องดื่มเย็น ๆ แล้ว ผมมุ่งหน้าต่อสู่บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/wzpfkA3x59F9xuwZ9 ) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ที่นี่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท รถยนต์ 30 บาท สามารถมาแช่ได้ตั้งแต่เวลา 08.30 -16.00 น. จ่ายเงินค่าธรรมเนียมแล้วเก็บบัตรให้ดี ๆ นะครับ เพราะสามารถนำไปใช้ชมน้ำตกหงาวในระยะใกล้ได้ด้วยครับ


บ่อน้ำร้อนพรรั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สายน้ำแร่ร้อนผุดขึ้นมาจากผิวดินและกระจายเป็นแอ่งน้ำ มีตาน้ำมากถึง 13 จุด น้ำพุร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส ใส สะอาด ไม่มีกลิ่นกำมะถันและก๊าซไข่เน่าครับ


ทางอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาวได้จัดทำเป็นบ่อน้ำแร่ร้อนให้นักท่องเที่ยวได้แช่ตัว แช่เท้า ผ่อนคลาย และมีการปรับภูมิทัศน์ให้ดูสวยงามครับ สำหรับใครที่ต้องการแช่ทั้งตัว มีค่าบริการแช่เพิ่มคนละ 20 บาทครับ


บ้างก็มาแช่น้ำเย็นตามลำธารที่ไหลมาตามธรรมชาติครับ
บริเวณจุดเริ่มเดินเท้าเข้ามายังบ่อน้ำร้อน จะมีร้านค้าสวัสดิการ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 -16.00 น. ไฮไลท์ของร้านคือไข่ต้มออนเซนครับ
จากบ่อน้ำร้อนพรรั้ง ไปต่อที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาวครับ (พิกัด ; https://maps.app.goo.gl/afjTwxJEs3imPdct5 ) จริง ๆ แล้วน้ำตกหงาวสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล หากขับรถมาตามถนนจากสนามบินเข้าตัวเมือง หรือจากภูเขาหญ้า เราก็สามารถมองเห็นน้ำตกหงาวได้เช่นกัน แต่ผมอยากจะชมน้ำตกหงาวในระยะใกล้ เลยเลือกที่จะตรงเข้าไปยังที่ทำการอุทยานน้ำตกหงาว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้าเข้าไปยังด้านล่างของน้ำตกหงาวครับ

น้ำตกหงาวเป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชัน โดยช่วงที่มีน้ำมากที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน และช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมากที่สุดคือเดือนพฤศจิกายน-เมษายนครับ ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ช่วงพีค ๆ ที่น้ำตกหงาวสวยที่สุด เวลามองจากถนนเข้ามา เราจะเห็นน้ำตกแผ่เป็นแพรม่านเลยครับ น้ำตกหงาวมุมนี้ มองจากจุดจอดรถด้านหน้าที่ทำการอุทยานครับ
สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของน้ำตกหงาว คือปูเจ้าฟ้า เป็นปูน้ำตกพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นไม่เหมือนปูน้ำจืดทั่วไป คือลำตัวและก้ามเป็นสีขาว ขาทั้งสี่คู่ เบ้าตาทั้ง 2 ข้างและบริเวณปากเป็นสีม่วงดำ อาศัยอยู่ตามใต้ซอกหินหรือใต้ใบไม้บริเวณสองข้างทางลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาจากน้ำตก แต่ปัจจุบันหาชมได้ยากแล้วครับ

ระยะทางเดินเท้า ประมาณ 500 เมตรครับ ระหว่างทางร่มรื่นเลยทีเดียว เส้นทางเดินไม่ลำบาก เดินง่ายครับ


ทางเดินจะลัดเลาะไปตามลำธาร มีมุมให้ถ่ายรูปได้ตลอดครับ จุดสิ้นสุดทางเดินเท้าจะมาจบที่ตรงนี้ จุดนี้ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้นะครับ จะมีเชือกกันไม่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปใกล้น้ำตกครับ


สภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ ระหว่างทางเดินเราจะได้เห็นดอกไม้ป่าขึ้นมากมายเลยครับ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่สะสมตราประทับที่ทำการอุทยาน และลายเซ็นเจ้าหน้าที่ ที่นี่จะมีลายเซ็นรูปสัตว์อยู่ 3 ชนิด คือ ปู แพะ และนกแก๊ก มาตามหาลายเซ็นให้ครบนะครับ เสียดายวันที่ผมไป ขาดแพะไป 1 ตัวครับ
ได้เวลาอันสมควร คงต้องเดินทางกลับแล้วครับ


ขากลับผมยังคงใช้บริการของแอร์เอเชียเช่นเดิม ไฟล์ทเย็น เวลา 17.20 น. ตามกำหนดจะถึงสนามบินดอนเมืองในเวลา 18.30 น. แต่ก่อนหน้านั้นมีเมลแจ้งมาว่าปรับตารางบินเป็น 18.20 น. และจะถึงสนามบินดอนเมืองในเวลา 19.30 น. ไฟล์ทกลับผมยังคงได้นั่งแถว A อีกเช่นเคย วิวนอกหน้าต่าง ได้เห็นทั้งหมู่เกาะและแสงสุดท้ายของวัน ถือเป็นการจบทริปด้วยความประทับใจครับ
ก่อนจบรีวิว ผมจะมาสรุปรายละเอียดว่าทำไม ผมถึงเลือกใช้บริการนั้น ๆ
1. รถเช่า : ที่ผมเลือกใช้บริการ N.F.Z.รถเช่าระนอง เพราะที่นี่คุยง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องจ่ายเงินมัดจำ การเช่าครั้งแรกอาจมีการขอสำเนาใบขับขี่ (แต่ครั้งแรกของผม ร้านไม่ได้ขอสำเนาใบขับขี่) แต่ถ้าเป็นลูกค้าเก่า ร้านจะไม่ขอสำเนาใบขับขี่ , ร้านอื่น ถ้านัดรับรถที่หนึ่งแล้วคืนรถอีกที่หนึ่ง เช่น นัดรับรถในตัวเมือง แต่จะคืนรถที่สนามบิน จะมีค่าบริการ ราว ๆ 200-400 บาท แล้วแต่ว่าจะนัดรับที่ไหน คืนรถที่ไหน แต่ N.F.Z.รถเช่าระนอง ไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่จุดรับและส่งรถต้องอยู่ในอำเภอเมือง
ถ้าหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โทรสอบถามได้ที่เบอร์ 080-6494521 / 093-5486536 (Line : 0806494521)
2. แพคเกจทัวร์ทะเลระนอง ทะเลพม่า : ที่ผมเลือกใช้บริการ ILoveRanong84 เพราะรีวิวดี พอใช้บริการแล้วตรงปกครับ ตอบแชทเร็ว ไกด์แฮ็ค ไกด์แดน แอดมินเอ๋ บริการดีมาก ถ่ายรูปให้ตลอดทั้งทริปด้วยกล้องใหญ่ / โดรน / ภาพใต้น้ำ มี Props ถ่ายรูปให้ด้วย รูปสวย แต่งรูปให้พร้อม หลังจากจบทริปจะส่งลิงค์ให้โหลดรูปทุกภาพแบบไฟล์ใหญ่ ไม่ Resize ภาพ, ถ้าเป็นทริปทะเลพม่า ที่ ILoveRanong84 ส่งต่อ หากมีไกด์ของ ILoveRanong84 ไปด้วย ก็จะได้ภาพสวย ๆ ด้วยเช่นกัน อีกสิ่งที่ประทับใจคือ ความใจกว้าง หลังจบทริปทะเลระนอง ผมจะขอเช่ารถสองแถวต่อ 2-3 ชั่วโมงเพื่อไปกินข้าวในตัวเมือง ไกด์แฮ๊คสนับสนุนให้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
ถ้าหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โทรสอบถามได้ที่ ไกด์แฮ็ค เบอร์ 0952677579 ( https://web.facebook.com/iloveranong84 )
3. Yes No Hotel ที่พักดี ในราคาประหยัด ห้องดีเกินราคา พักได้ 3 คน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ติดที่ห่างจากตัวเมืองราว 6-7 กม. ถ้ามีรถจะสะดวกในการเดินทาง ใช้บัตรข้าราชการเป็นส่วนลดได้ด้วย
รีวิวนี้ เกิดจากการรวมทริปท่องเที่ยวระนองของผม ในรอบปี 2568 ถึง 3 ครั้ง หลังจากกลับจากระนองครั้งแรกในเดือน มิถุนายน 2568 ก็แพลนมาระนองอีกครั้งในเดือน พฤศจิกายน เพื่อจะมาเที่ยวทะเลระนองและเมียนมา และทริปที่ 3 ก็ตามมาติด ๆ ในเดือนธันวาคม 2568 และตอนนี้สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะกลับมาเที่ยวระนองอีกช่วงปลายปี 2569 ถ้าระนองไม่มีดี ผมคงไม่กลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองมาเที่ยวระนองดูสักครั้ง แล้วจะตกหลุมรักระนองเหมือนผม
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เวลา 21.13 น.








