
ผมมาพัทลุงครั้งแรก น่าจะกว่า 20 ปีแล้ว จำได้เลยว่า สิ่งที่ดึงดูดให้ผมมาในครั้งนั้นคือภาพของยอยักษ์ ริมคลองปากประ อยากจะมาเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง หลังจากถ่ายภาพเสร็จก็ตีรถไปเที่ยวที่สงขลาต่อ ครั้งที่สอง มาเที่ยวกับคณะ เขาวางแผนมาพัทลุงเพื่อมาล่องเรือชมทะเลน้อย จากนั้นก็ตีไปเที่ยวจังหวัดอื่นต่อ ครั้งที่สามผมมาเที่ยวสงขลา มีวันว่าง 1 วัน เลยวางแผนเที่ยวน้ำตกและถ้ำในพัทลุงแบบไปเช้าเย็นกลับ ส่วนครั้งที่ 4 เริ่มวางแผนเที่ยวพัทลุงแบบเจาะจงขึ้น โดยเลือกปักหมุดที่เกาะหมาก แห่งอำเภอปากพะยูน ในครั้งนั้นมีเวลา 2 วัน 1 คืน และครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 ที่ผมให้เวลากับพัทลุงอย่างเต็มที่ กับโปรแกรม 4 วัน 3 คืน บอกเลยว่าเวลา 3 วันเต็ม ๆ กับการเที่ยวในพัทลุง ไม่เพียงพอนะครับ พัทลุงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ถ้าหากตั้งใจจะตะเวนเที่ยวพัทลุงแบบทุกซอกทุกมุมอาจต้องใช้เวลาถึง 5 วัน ยิ่งผมได้รู้จักพัทลุงมากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้ผมตกหลุมรักพัทลุงมากขึ้นเท่านั้น พัทลุงอาจเป็นจังหวัดนอกสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่ถ้าได้ลองมาสัมผัสพัทลุงแบบใกล้ชิดดู จะรู้ว่าพัทลุงมีอะไรดี ๆ ซ่อนไว้มากมายครับ
เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการเดินทาง ผมจึงเลือกบินกับแอร์เอเชีย โดยบินลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ในเวลา 10.15 น. ครับ

หลังติดต่อรับรถเช่าที่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว ผมก็มุ่งหน้าสู่ภูดินสอรีสอร์ท ในอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นจุดนัดหมายและเป็นจุดเริ่มต้นของแพคเกจเที่ยวชุมชนแนวเทือกเขาบรรทัด แบบ 2 วัน 1 คืน ที่ผมซื้อแพคเกจทัวร์ผ่าน สุวิทย์ทราเวล ครับ
พอเข้าเขตพัทลุง พลันสายตาก็เหลือบมองเห็นป้าย ‘ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดพัทลุง เมือง 3 มรดกโลก’ สารภาพเลยว่าแอบตกใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพัทลุงคือเมือง 3 มรดกโลก เลยต้องรีบถาม Google ในทันทีว่ามรดกโลก 3 อย่างนั้นมีอะไรบ้าง ท้ายสุดก็ได้คำตอบมาว่า เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโลก เป็นมรดกทางการเกษตรโลก (การเลี้ยงควายปลักและพื้นที่ชุ่มน้ำ) และเป็นมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม (มโนราห์) พอทราบดังนั้น ทำให้ผมยิ่งตื่นเต้นกับการมาเยือนพัทลุงในครั้งนี้ขึ้นมาอีกเท่าตัวครับ
จากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงก็มาถึงที่ภูดินสอรีสอร์ท เมื่อมาถึง เพื่อนร่วมทริปคนอื่น ๆ ก็รออยู่ก่อนแล้ว ลงจากรถปุ๊บก็เดินทางกันต่อเลย คุณสุวิทย์ได้เตรียมรถสองแถวไม้โบราณ เป็นยานพาหนะพาลูกทริปไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จุดหมายแรกอยู่ที่ ‘ATV เขาครามแอดเวนเจอร์’ โดยเราจะได้ขับ ATV ไปลุยผืนป่าเขียวกันครับ
เมื่อมาถึงที่ ATV เขาครามแอดเวนเจอร์ น้องพนักงานจะอธิบายการขับขี่รถ ATV เริ่มตั้งแต่การสตาร์ทรถ การเดินหน้า ถอยหลัง การใช้เบรก และให้เราทำการซ้อมขับ ATV กันก่อน หลังจากซ้อมขับกันจนคุ้นเคยมือก็เริ่มออกพื้นที่จริงครับ ตลอดสองข้างทางผมได้สัมผัสกับธรรมชาติผืนป่าสวนยาง ได้ลุยน้ำผ่านลำธาร แช่สายน้ำเย็น ๆ ให้ชื่นฉ่ำใจ ปิดท้ายด้วยแวะคาเฟ่ นั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ฟังเสียงสายน้ำ ฟินไปกับบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้า เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย แถมยังได้รูปสวย ๆ ที่ทีมงานคอยถ่ายให้ระหว่างเส้นทางด้วยครับ







ATV เขาคราม แอดแวนเจอร์ จะให้บริการวันละ 3 รอบ คือรอบ 08.30 น., 12.00 น. และรอบ 15.30 น. ใช้เวลาในการขับประมาณ 2 ชั่วโมง ราคารถคันใหญ่ ขับคนเดียว คันละ 600 บาท แต่ถ้ามีผู้โดยสารนั่งซ้อน 1 คน คิดราคาคันละ 700 บาท ครับ สามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.092-418 4788 นะครับ แต่บอกเลยว่ามือใหม่หัดขับ ATV เมื่อยแขนมาก ขนาดผมสลับกับเพื่อนขับในขากลับ แขนนี่ต้องเกร็งตลอดเวลา เพราะต้องคอยจับแฮนด์รถไม่ให้รถออกนอกเส้นทาง ที่เขาครามมีให้บริการ ATV หลายเจ้านะครับ ลองเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ เจ้าดู
เสร็จสิ้นจากการขับ ATV คุณสุวิทย์พาไปนั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ ‘ในดงบอน บ้านเขาคราม’ ครับ

‘ในดงบอน’ คาเฟ่เล็ก ๆ ในสวนข้างบ้านที่ชุมชนบ้านเขาคราม ที่ให้บริการทั้งเครื่องดื่ม อาหารและของทานเล่น นอกจากคาเฟ่แล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะด้วยครับ
บ่ายนี้ผมได้ลอง น้ำช่อดอกมะพร้าว รสชาติหวานอ่อน ๆ มีความหอมเฉพาะตัว ดื่มแล้วสดชื่นดีเลยทีเดียวครับ



บรรยากาศในร้านร่มรื่นท่ามกลางป่าบอนอันเขียวขจี มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก ที่นี่เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00 -18.00 น. ครับ




หลังจากเสพบรรยากาศสีเขียวในดงบอนกันจนอิ่มเอมใจแล้ว คุณสุวิทย์พาผมไปเรียนรู้การจักสานเตยป่าที่ ‘ทิวบรรทัดหัตถศิลป์ สาน-ต่อ- เตย’ ศูนย์เรียนรู้การจักสานเตยป่าบนเทือกเขาบรรทัดที่ใช้ภูมิปัญญาชาวอำเภอกงหรา ภายใต้ชื่อแบรนด์คราฟต์ “ทิวบรรทัด” ครับ โดยการเรียนรู้ครั้งได้มีบังบี เสกศิลป์ ชูศรีอ่อน เจ้าของตราสินค้าทิวบรรทัด มาเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า “เตยป่าจะขึ้นอยู่บริเวณริมน้ำชื้นแฉะ ใบเตยป่ามีลักษณะเรียวยาว และมีความเหนียว กลางใบเป็นร่องรางลึกและมีเส้นใยที่แข็งแรง จึงเหมาะกับการนำมาจักสานเป็นผลิตภัณฑ์ ใบเตยป่าเมื่อตัดใบไปแล้วใช้เวลาไม่นานนักก็จะแตกใบใหม่ จึงสามารถตัดเป็นรอบได้ทุก ๆ สามเดือน ปัจจุบันชาวบ้านในพื้นที่มักนำเตยป่ามาขยายพันธุ์ไว้ในบริเวณบ้านเพื่อทำเป็นไม้ประดับ รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ในการจักสานเสื่อและกระเป๋า”


ก่อนจะนำใบเตยป่ามาสาน จะต้องทำให้เป็นเส้นตอกโดยกรีดเอาหนามออกและนำไปตากแดดเพื่อให้เส้นตอกนุ่ม ราว 1 แดด ซึ่งจะทำให้สานได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันมีการต่อยอดจากผลิตภัณฑ์รูปแบบดั้งเดิมให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยมีการนำเศษผ้ามาตกแต่งให้มีสีสันมากขึ้น




คุณสมบัติของเตยป่าคือยิ่งใช้ยิ่งเหนียว ยิ่งแห้งสียิ่งสวย จุดเด่นของผลิตภัณฑ์คืองานสานเตยป่าลายขัดดั้งเดิม สีธรรมชาติ โดยยึดแบบกระบุงทรงก้นเหลี่ยมปากกลมสไตล์เดิม ๆ ของกงหรา มีกระเป๋าถือและงานชิ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากนี้ยังมี Workshop ให้เลือกทำด้วยอย่างการประดิษฐ์พวงกุญแจหัวครก พวงกุญแจควายมรดกโลก พวงกุญแจปลาหวด ครับ

หลังจากจบ Workshop คุณสุวิทย์พาไปทานมื้อเย็นที่ร้านครัวซีซะ ก่อนนำเข้าที่พักที่ภูดินสอรีสอร์ทครับ
ภูดินสอรีสอร์ทอยู่ติดกับถนนเพชรเกษม มีห้องพักหลากหลายประเภท สามารถเข้าพักได้ตั้งแต่ 2 คน, 3 คน, 4 คน และ 6 คน โดยห้องผมพักแบบ 2 คน ในห้องมีปลั๊กไฟว่างเพียง 1 ปลั๊ก อยู่บริเวณโต๊ะเขียนหนังสือ และอีก 1 ปลั๊กอยู่ด้านหลังทีวี หากจำเป็นต้องใช้ปลั๊กเพิ่มเติมในการชาร์จมือถือ ชาร์จแบตกล้องถ่ายรูปหรืออุปกรณ์อื่น ๆ สายไฟที่จะพ่วงต้องยาวพอสมควร เพราะตรงหลังทีวีไม่มีชั้นวาง และทางที่พักไม่มีปลั๊กพ่วงให้ยืมใช้ครับ






04.30 น. เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมรีบล้างหน้าล้างตาเพื่อมารอคุณสุวิทย์ที่หน้าห้องพักในเวลา 05.00 น. เช้านี้ผมมีโปรแกรมไปชมแสงแรกที่เขาสวนธรรม ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักราว 40 นาที การเดินทางขึ้นเขาสวนธรรมช่วง 2 กิโลเมตรสุดท้ายจำเป็นต้องใช้รถ 4x4 ซึ่งทางคุณสุวิทย์ได้ติดต่อรถไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว
‘จุดชมวิวเขาสวนธรรม’ อยู่ในอำเภอกงหรา เป็นจุดชมแสงแรกของวัน รวมถึงชมพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าที่จะสาดแสงสีทองไปยังพุ่มป่าบนยอดเขาแต่ละยอดที่มีความงดงามแปลกตา หากมาในช่วงจังหวะดี ๆ จะได้เห็นทะเลหมอกหนา ๆ เพิ่มความสวยงามเข้าไปอีก เสียดายในวันที่ผมไปความชื้นยังไม่เป็นใจ เลยไม่ได้เห็นทะเลหมอกหนา ๆ แต่ก็ยังพอเห็นสายหมอกบาง ๆ คลอเคลียอยู่บนผืนป่า สวยงามไปอีกแบบครับ





หลังพระอาทิตย์ขึ้น คุณสุวิทย์พาผมเดินทางต่อไปยัง ‘ควนนกเต้น’ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากจุดชมวิวเขาสวนธรรมมากนัก การจะขึ้นไปยังจุดชมวิวควนนกเต้น ก็ต้องใช้รถ 4x4 เช่นเดิม ถนนช่วง 1 กิโลเมตรสุดท้ายโหดกว่าขึ้นจุดชมวิวเขาสวนธรรมครับ
‘จุดชมวิวควนนกเต้น’ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวภูบรรทัด ของอำเภอกงหรา บนจุดชมวิวนี้มีคาเฟ่เล็ก ๆ ให้เราได้จิบกาแฟ แลหมอก หยอกตะวัน เป็นอีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามไม่แพ้จุดชมวิวเขาสวนธรรมครับ แต่ถ้าใครอยากจะมาซึมซับกับบรรยากาศยามค่ำคืน ด้านบนก็ยังมีที่พักบริการด้วยเช่นกัน มีชาวบ้านเปิดทำที่พักประมาณ 2-3 เจ้าครับ



เช้านี้ผมมาฝากท้องที่จุดชมวิวนี้ มีเมนูขนมจีนน้ำยา/แกงไกปลา โจ๊ก ไข่ต้ม ปาท่องโก๋ ขนมสอดไส้ และกาแฟไว้บริการครับ

หลังอิ่มท้องแล้วไปต่อที่ ‘เกาะนารอบโฮมสเตย์’ เดิมพื้นที่แถวนี้ชาวบ้านยังทำนาแบบขั้นบันไดกัน แต่ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นป่ายางกันเกือบจะหมดแล้ว แต่ยังพอเห็นผืนนาอยู่บ้างเล็กน้อยครับ
ที่นี่นอกจากจะเปิดเป็นที่พักแล้ว นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เข้าพักก็สามารถเข้ามาเยี่ยมชมบรรยากาศของที่พักในสวนเขียว และสามารถช่วยเจ้าของที่พักให้อาหารปลาคาร์ปได้ด้วย เชื่อกันว่าจะช่วยเสริมดวงเป็นสิริมงคลในด้านโชคลาภ เงินทอง ค้าขายเจริญรุ่งเรือง นอกจากปลาคาร์ปแล้วยังมีปลาทับทิมฝูงใหญ่ เวลาที่เราเดินผ่านบ่อ ฝูงปลาจะโผล่ขึ้นมาทักทายกันเต็มไปหมดเลยครับ





จากนั้นคุณสุวิทย์พาผมกลับมาส่งที่ภูดินสอรีสอร์ท เป็นอันจบแพคเกจทัวร์แบบ 2 วัน 1 คืน ทำให้ผมได้เห็นมุมมองใหม่ของพัทลุงที่ผมไม่เคยรู้ไม่เคยเที่ยวมาก่อน ผมได้สัมผัสทั้งธรรมชาติ ได้ทั้งเรียนรู้วิถีชุมชนพื้นบ้าน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดี ๆ ที่คุณสุวิทย์คัดสรรมาให้ นอกจากนี้ยังให้ความรู้และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในพัทลุงให้กับผมด้วย เพื่อน ๆ คนไหนสนใจทริปข้างต้น สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ หจก.สุวิทย์ทราเวล โทร.098-7199946 Line:@405gletz สำหรับแพคเกจที่ผมไป มีค่าแพคเกจ 1,790 บาท/คน ราคาดังกล่าวรวมที่พักห้องแอร์ 1 คืน, อาหารเย็นและอาหารเช้า, ขับรถ ATV, เครื่องดื่มที่ในดงบอน, กิจกรรม Workshop ที่ทิวบรรทัดหัตถศิลป์, ขึ้นจุดชมวิวทะเลหมอกภูบรรทัดครับ
หลังจากแยกย้ายจากคุณสุวิทย์แล้ว ผมมุ่งหน้าสู่วัดควนปรง (พิกัด ; https://maps.app.goo.gl/YPzwPdKM2UShXGxr6 ) เพื่อสักการะศาลหลักเมืองพัทลุงครับ
‘ศาลหลักเมือง’ ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็ก ๆ ในบริเวณวัดควนปรง เขตอำเภอเมืองพัทลุง เสาหลักเมืองในศาลหลักเมืองแห่งใหม่ทำจากไม้ราชพฤกษ์ ที่ได้รับบริจาคจากวัดเขาเจียก ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพัทลุงให้ความเคารพนับถือ แต่ยังเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่นิยมมาขอพร และเสริมพลังชีวิตในโอกาสวันมงคลด้วยครับ


เยื้อง ๆ กับวัดควนปรง เป็นที่ตั้งของ ‘หอศิลป์ หนังตะลุง’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/kUCayxxdQjuTxtNF7 ) แหล่งเรียนรู้ด้านหนังตะลุง ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ผูกร้อยเป็นนิยาย ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่นับวันจะหาดูได้ยากแล้วครับ


ผมได้มีโอกาสชมวิธีการทำตัวหนังตะลุงจากช่างเล็ก ช่างแกะหนังตะลุงรุ่นที่สี่ในครอบครัวหนังตะลุง และยังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกหอศิลป์หนังตะลุงแห่งนี้ครับ



มีบอร์ดจัดแสดงตัวอย่างหนังตะลุงให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ด้วย


หนังตะลุงเป็นการแสดงแสงเงาที่ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์หลายแขนง อย่างงานช่างที่รังสรรค์ตัวละครขึ้นมาจากแผ่นหนัง ดนตรีที่คอยให้จังหวะประกอบการแสดง รวมถึงวาทศิลป์และไหวพริบของนายหนังที่ต้องคอยพากย์บทเจรจาให้กับตัวละครในฉาก หนังตะลุงจะสนุกหรือไม่สนุกก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทุกอย่างที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวครับ
มีโรงแสดงหนังตะลุงด้วยครับ แต่จะจัดแสดงเฉพาะเวลามีกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมเป็นหมู่คณะจำนวนมากเท่านั้น

จากหอศิลป์ หนังตะลุง ไปต่อที่ ‘7-Eleven สาขาบายพาส-เขาอกทะลุ’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/6Am9iAaf1QQWiYeg6 ) อีกหนึ่งจุด Check in ที่ไม่ควรพลาด หากมาเที่ยวที่พัทลุงครับ
ที่ญี่ปุ่นมีร้าน Lawson ที่มีวิวภูเขาไฟฟูจิอยู่ด้านหลัง ที่พัทลุงก็มี 7-Eleven ที่มีวิวเขาอกทะลุ ตั้งอยู่ด้านหลังเหมือนกัน ทำให้ที่นี่เป็นจุดเช็คอินของพัทลุงที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ ไม่ได้ดังเฉพาะในเมืองไทยนะครับ แต่ยังดังไกลไปถึงมาเลเซีย ในวันที่ผมไปมีคาราวานมอเตอร์ไซด์จากมาเลเซียมาแวะ Check in และยังมีรถบัสนำเที่ยวที่นำนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันด้วย ผมคิดว่า 7-Eleven สาขานี้คงมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันเยอะมากแน่ ๆ ถึงกับมีการทำลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ด้านข้าง 7-Eleven เลยครับ

จาก 7-Eleven ไปต่อที่ ถ้ำน้ำลอดเขาแดงครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uc3BZXhy7S9eo1yg8 )
‘ถ้ำน้ำลอดเขาแดง’ ตั้งอยู่ภายในวัดเขาแดงตะวันออก เป็นถ้ำหินปูนที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินและน้ำฝน จนทำให้เกิดเป็นโพรงน้ำ มีดินตะกอนทับถมและน้ำขังพื้นล่าง

ภายในถ้ำมีลักษณะคล้ายห้องโถงขนาดใหญ่ ทางวัดได้ปรับพื้นถ้ำให้เดินได้ง่ายขึ้น เป็นเส้นทางเดินระยะทางประมาณ 400 เมตร เพดานถ้ำบางจุดก็เรียบจนเหมือนแผ่นฝ้าเพดาน บางจุดก็โค้งเป็นทรงครึ่งวงกลม บางจุดก็เป็นหินงอกหินย้อย ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นถ้ำลักษณะนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน


มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีเหลืองทองอร่าม พร้อมด้วยพุทธสาวกทั้งเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ประดิษฐานอยู่บนก้อนหินของถ้ำด้วยครับ

มีหินงอกหินย้อยและซอกถ้ำเล็ก ๆ


นอกจากพระพุทธรูปแล้ว ยังมีองค์พระพิฆเนศองค์ใหญ่ให้ได้สักการะกันด้วยครับ

เกือบด้านในสุดของถ้ำ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ อีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในถ้ำครับ


นอกจากถ้ำน้ำลอดเขาแดงแล้ว ทางวัดยังมีจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาด้วยนะครับ แต่เห็นความชันของบันไดและแสงแดดอันแรงจ้าแล้ว ผมขอบายครับ

จากถ้ำน้ำลอดเขาแดงไปต่อที่ ‘วัดวัง’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AwiW8GBusMQ1zJpDA ) วัดโบราณที่สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองพัทลุงในอดีต ปัจจุบันวัดวังใช้ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาในวาระต่าง ๆ เป็นแหล่งรวมของศิลปกรรมที่งดงามครับ
ด้านหน้าวัด มีอนุสาวรีย์พระยาพัทลุงขุนคางเหล็ก เจ้าเมืองพัทลุง ปี พ.ศ.2315 ตั้งตระหง่านเคียงคู่อยู่กับเจดีย์ทรงลังกาสีขาวที่พระยาพัทลุง (ทับ) ให้สร้างขึ้น มีขนาดสูงประมาณ 12 เมตร

พระอุโบสถของวัดวังตั้งอยู่ตรงกลางวัด เป็นอาคารก่อด้วยอิฐถือปูน หลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผา ด้านหน้ามีมุขเก็จยื่นออกมา หน้าบันอุโบสถจำหลักไม้ ด้านหน้ารูปพระพายทรงม้า 3 เศียร มีลายกระหนกก้านแย่งรูปยักษ์และเทพธิดา กินรี ด้านหลังเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร โดยหน้าบันทั้งสองด้านเป็นการจำลองมาจากของเดิม ซึ่งหน้าบันของเดิมได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสงขลาครับ

อุโบสถมีระเบียงคดล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีซุ้มประตู 4 ทิศ ภายในระเบียงคดมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางต่าง ๆ จำนวน 108 องค์

โดยรอบอุโบสถมีเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูน จำนวน 8 องค์ ประกอบด้วยเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้ประดับรอบองค์ 2 องค์, เจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง องค์ระฆังแบบกลีบมะเฟือง 1 องค์ และเจดีย์ทรงกลม องค์ระฆังแบบโอคว่ำ อีก 5 องค์

ใบเสมา ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการกำหนดพื้นที่สำหรับประกอบพิธีสังฆกรรมทางศาสนา โดยที่วัดวังมีใบเสมาจำหลักด้วยหินทรายแดงถือปูน 8 ใบ ประดิษฐานอยู่บนฐานสูง ก่อด้วยอิฐถือปูนย่อมุมไม้สิบสองล้อมรอบอุโบสถ ใบเสมามีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้ใบไม้สวยงาม เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีขนาดเท่ากันทุกใบครับ

พระอุโบสถสร้างตามสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ หลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องดินเผา ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่น บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและเทพชุมชน ว่ากันว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นฝีมือช่างคณะเดียวกับที่เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดพระแก้วครับ
ภายในอุโบสถมีพระประธานปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย จำนวน 4 องค์ โดยองค์กลางมีขนาดใหญ่ที่สุด หน้าตักกว้างประมาณ 2 เมตร สองข้างมีพระพุทธสาวก คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ประทับยืนประนมมือครับ

ที่ผนังทั้ง 4 ด้านของอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เกี่ยวกับพุทธประวัติและเทพชุมนุม ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงบอกว่าพระยาพัทลุง (ทับ) ได้ให้ช่างเขียนขึ้นสำเร็จเมื่อ พ.ศ.2403 แต่บางตำนานกล่าวว่าพระยาพัทลุง (ทับ) เป็นผู้นำช่างเขียนภาพมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เพราะท่านเคยรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงจึงได้นำช่างมาเขียนภาพที่วัดวัง ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นพุทธประวัติ ตอนบนสุดเขียนรูปฤาษีวิทยาธรกำลังเหาะ ถัดลงมาเป็นรูปเทพชุมนุม ต่ำลงมาเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ภาพบางตอนจะแสดงให้เห็นถึงชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของชาวบ้านอย่างชัดเจน อย่างการประกอบอาชีพ การแต่งกาย สภาพบ้านเรือนในสมัยนั้นครับ





จากวัดวัง ไปต่อที่ ‘หาดแสนสุขลำปำ’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/udGmtTYuYmthc3DK8 ) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวพัทลุง บรรยากาศภายในร่มรื่นของทิวสน มีสวนสาธารณะให้ได้ออกกำลังกาย นั่งกินลมชมวิว แต่ผมแนะนำให้เดินขึ้นไปชมวิวบนหอคอย ด้านบนเราจะได้เห็นทะเลสาบสงขลาซึ่งกินพื้นที่สองจังหวัด คือสงขลาและพัทลุงแบบสุดสายตา บริเวณหาดแสนสุขลำปำยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วยครับ



ได้เวลาเข้าที่พักแล้ว วันนี้ผมเลือกเข้าพักที่ ‘ต้นลำพู ปากประ’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KWSs55Y3ApH5NyHC8 ) ที่พักทำเลดีบริเวณปากคลองปากประ การจองเข้าพักที่นี่ผมได้ใช้สิทธิ์ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ทำให้ประหยัดค่าห้องไปได้ 1,000 บาท (ราคาเต็ม 2,000 บาท) ที่ผมเลือกพักที่นี่เพราะใกล้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ที่สำคัญช่วงเช้าจะได้เห็นบรรยากาศที่งดงาม เดินเท้าออกมาไม่ถึง 100 เมตร ก็ถึงจุดชมวิวแล้ว

ทางเดินในรีสอร์ทจะทำเป็นสะพานไม้ยกสูง คำนวณจากสายตาแล้วคาดว่าจะผ่านการใช้งานมาหลายปีแล้ว ผมเองมีประสบการณ์ไม่ดีกับสะพานไม้แบบนี้ เพราะเคยไปเหยียบตรงจุดที่ไม้ผุ ทำให้ไม้ที่ทำพื้นสะพานหัก ไม้ทะลุ ขาตกลงไปทั้งขา ดีที่ขาอีกข้างหนึ่งยืนอยู่บนขื่อของสะพาน ไม่เช่นนั้นผมคงตกน้ำไปทั้งตัว นี่ขนาดขาเดียวยังโดนเศษไม้ขูดจนเจ็บหน้าแข้งไปร่วมเดือน มาที่นี่เลยต้องเดินด้วยความระมัดระวังครับ

ห้องที่ผมจองไว้เป็นเป็นห้องวิลล่า ภายในวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางดี มีมุมให้นั่งเล่นอยู่ตรงประตู มีเก้าอี้โยก มีโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ แต่ในห้องไม่มีตู้เย็นนะครับ พื้นห้องเป็นพื้นไม้ แข็งแรงดี เดินได้แบบเต็มเท้า ไม่ต้องกลัวหล่นแล้ว




จากหน้ารีสอร์ท เดินออกมาประมาณ 100 เมตร จะถึงสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บริเวณปากคลองปากประ เป็นจุดที่รวมยอยักษ์มากมาย และเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมได้มารู้จักกับพัทลุงในครั้งแรกครับ




สำหรับมื้อเย็นนั้น ผมตั้งใจไปฝากท้องที่ร้านบางชาม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมยืนชมวิวบนสะพานครับ ตัวร้านจะอยู่ริมคลองปากประเลย จากในภาพจะอยู่ระหว่างกลางของยอ 2 ปากครับ


มาถึงพัทลุง เมืองแห่งทะเลสาบสงขลา ผมไม่พลาดที่จะสั่งกุ้งแม่น้ำจากทะเลสาบสงขลาแน่นอนครับ ทางร้านย่างมากำลังดี เนื้อกุ้งมาเป็นริ้ว ๆ มันกุ้งเยิ้ม ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดส์ เด็ดอร่อยอย่าบอกใคร ผมคนเดียวจัดไป 5 ตัว อิอิ

หมึกไข่นึ่งมะนาวก็เด็ดไม่แพ้กันครับ

อีกหนึ่งเมนูที่ชอบมากคือปลาลูกเบร่ทอดขมิ้น จานนี้ 150 บาท ปลาลูกเบร่เป็นปลาที่หายากและมีเฉพาะถิ่นโดยเฉพาะชุมชนปากประครับ ปลาลูกเบร่ในธรรมชาติหาได้จากในทะเลสาบสงขลา แต่ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงในบ่อด้วย เห็นว่าราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 700 บาทเลยครับ ปลาลูกเบร่เมื่อนำมาทอดแล้ว มันกรอบมาก ๆ เนื้อสัมผัสไม่เหมือนปลาซิวที่ผมเคยกิน ปลาลูกเบร่เคี้ยวได้แบบไม่ต้องกลัวทิ่มเหงือก ไม่แข็งเหมือนปลาซิว ให้ความรู้สึกเหมือนเคี้ยวข้าวเกรียบ เคี้ยวเพลินจริง ๆ ครับ

ปิดท้ายด้วยแกงส้มปลาชะโอนผักรวม ที่ใส่มาทั้งมันขี้หนู ยอดมะพร้าว รากบัว สายบัว และเขาคัน ผมเองก็เพิ่งจะเคยกินปลาชะโอนเป็นครั้งแรกที่นี่ ปลาชะโอนเป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน น้องพนักงานบอกว่าหาจากทะเลสาบสงขลา แต่วันนี้ได้ปลาตัวเล็ก ซึ่งปกติจะได้ตัวใหญ่มา รสชาติแกงส้มจัดจ้าน เปรี้ยวนำ เพิ่มความเปรี้ยวจากเขาคัน ผมเองก็เพิ่งจะเคยชิมเขาคันเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เขาคันมีลักษณะคล้ายองุ่นป่า ลูกเล็ก ๆ เวลากัดแล้วน้ำจะแตกในปากพร้อมกับรสเปรี้ยว ๆ ครับ

ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาฝากท้องที่ร้านบางชามครับ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลา 05.30 น. ผมจัดการทำภารกิจส่วนตัวแล้วรีบสาวเท้าออกมาที่ปากคลองปากประ พอโผล่พ้นจากที่พัก แหงนมองดูฟ้า ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ผมรีบตาลีตาเหลือกวิ่งไปที่สะพานคอนกรีตในทันที แสงสีจากธรรมชาติกำลังเริ่มบรรเลงแต่งแต้มทั่วท้องฟ้า ผมไม่รอช้ารีบกางขาตั้งกล้อง เตรียมกดชัตเตอร์แบบรัว ๆ แต่...ดันมีฝ้าขึ้นบริเวณเลนส์ เนื่องจากความต่างของอุณหภูมิในห้องพักและอุณหภูมินอกห้องแตกต่างกันมาก รออยู่นานกว่าฝ้าจะหายไป แต่ก็ยังทันเห็นพระอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นโผล่พ้นน้ำ โดยมีฉากหน้าเป็นยอยักษ์นับ 10 ปาก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่ต่างอะไรกับภาพวาดสีน้ำมันด้วยพู่กันจีนเลย ไม่ได้มีแต่ผมที่กำลังตื่นเต้นกับบรรยากาศที่เห็น แต่ยังมีคนพัทลุงก็ยังมายืนชมการแสดงของธรรมชาติเช่นเดียวกับผม
จริง ๆ แล้ว ช่วงเช้า บริเวณปากคลองปากประจะมีบริการล่องเรือชมแสงแรกที่ยอยักษ์ จากนั้นจะพาล่องออกไปยังทะเลน้อย ผ่านบ้านสองหลังในตำนาน ผ่านสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา ผ่านดงบัวแดงในทะเลน้อย และมาทะลุเข้าคลองปากประอีกครั้ง เส้นทางเป็นวงกลม ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยมีค่าล่องเรือ 1,200 บาท/ลำ 1 ลำนั่งได้ประมาณ 4-5 คนครับ ผมเองเคยล่องเรือชมบรรยากาศครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เลยมาขอรอชมแสงเช้าบนสะพานแทนครับ









หลังซึมซับกับบรรยากาศจนสาแก่ใจแล้วผมก็เดินกลับเข้าที่พัก เจอเจ้าของที่พัก เลยแวะพูดคุยกันนิดหน่อย เขาแนะนำว่า ช่วงเช้าแสงที่อุโมงค์ต้นไม้ในสวนพฤกษศาสตร์ฯ สวย เชียร์ให้ผมไปถ่ายรูป ผมได้ยินดังนั้นเลยรีบขับรถออกไปที่สวนพฤกษศาสตร์พนางตุง (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/yFZzv8PecCd5YYd37 ) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไม่ถึง 2 กม. ครับ
สวนพฤกษศาสตร์พนางตุง เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น. ครับ พอผ่านประตูเข้าไปเท่านั้นแหล่ะ ภาพของอุโมงค์ต้นเสม็ดขาวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผม ปลายอุโมงค์มีแสงส่องเป็นลำแสงสวยงามจริง ๆ ครับ


ขับรถผ่านอุโมงค์เข้าไปด้านในจนสุดเส้นทาง จะเป็นอาคารสำนักงาน และจะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และจุดชมวิวทะเลสาบสงขลาครับ ผมเลือกเดินไปยังจุดชมวิวทะเลสาบสงขลาก่อน เพราะดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะไม่ไกล เพราะจากจุดจอดรถก็พอจะมองเห็นทะเลสาบสงขลาได้แล้ว
ตรงจุดชมวิวทะเลสาบสงขลา หากสังเกตดี ๆ จะมองเห็นทิวของกังหันผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในเขตอำเภอระโนด จังหวัดสงขลาด้วยครับ

จากนั้นผมเลือกเดินไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ด้านหน้าทางเข้าไม่มีป้ายบอกระยะการเดินเท้า ผมเลยเดินเข้าไปนิดหน่อยก็ตัดสินใจเดินกลับ เพราะกลัวว่าจะใช้เวลาเดินนาน ทำให้กินเวลาของโปรแกรมจุดอื่น ๆ ครับ
ผมกลับมาเติมเสบียงที่ห้องอาหารของรีสอร์ทก่อน ห้องอาหารก็คือบริเวณที่เช็คอินนั่นเองครับ อาหารเมนูบ้าน ๆ ฝีมือแม่ครัวพื้นบ้าน หน้าตาดูน่าทานทีเดียว มีทั้งใบเหลียงผัดไข่ ผัดผักบุ้ง แกงลูกชิ้นปลา ปลาลูกเบร่ทอด ทอดมันปลา และขนมจีนครับ








ส่วนของหวานจะมี ต้มนึง ที่ห่อด้วยใบพ้อ คล้าย ๆ ข้าวต้มลูกโยน (ด้านซ้าย) และขนมซัง เป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียว ห่อด้วยใบไผ่ครับ

ขนมตาล (ด้านซ้าย) ทำจากลูกตาล รสสัมผัสคล้าย ๆ กับขนมฟักทองภาคกลางครับ รสชาติไม่หวานมาก และอีกเมนูคือ ขนมปำจี ลักษณะเป็นแผ่นแป้งม้วนบาง ๆ ด้านในใส่ไส้มะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้นฝอย ใครชอบหวานก็สามารถโรยน้ำตาลเพิ่มได้ครับ

ที่ขาดไม่ได้ก็คือเปียกสาคูต้น ของเด็ดเมืองพัทลุงครับ

หลังมื้อเช้า กลับไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมเดินทางกันต่อครับ
หลังจาก check out แล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ทะเลน้อยครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QPoVeCHmur32Phxz5 ) ทะเลน้อย ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโลกแห่งแรกของประเทศไทย การที่พื้นที่นี้ได้รับการยอมรับระดับโลกเป็นผลมาจากความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านระบบนิเวศน์ สัตว์ป่า และพรรณพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรุควนขี้เสียน ในอดีตพรุควนขี้เสียนเป็นแหล่งทำรังวางไข่ของนกน้ำที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย และเป็นแหล่งทำรังวางไข่ของนกกาบบัว สำหรับเส้นทางสัญจรโดยเรือบริเวณพรุควนขี้เสียน เกิดจากเส้นทางควายที่เลี้ยงในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ใช้ในการเดินออกหากิน ซึ่งวิถีชีวิตการเลี้ยงควายปลักในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ และนับเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของประเทศไทยเลยครับ


บริเวณลานจอดรถด้านหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ก็จะมีเรือเหมาลำไว้บริการนักท่องเที่ยวที่สนใจไปชมบรรยากาศในทะเลน้อย ซึ่งไฮไลต์ของการล่องเรือคงต้องยกให้ทะเลบัวแดง สีสันแห่งทะเลน้อย โดยดอกบัวจะเริ่มบานช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน แต่ถ้ามาช่วงเดือนอื่นก็ยังมีให้เห็น แต่ดอกอาจจะไม่แน่นเท่าช่วงเวลาดังกล่าวครับ แนะนำให้มาช่วงเช้า ๆ เพราะจะได้เห็นดอกบัวสีแดงสด บานสะพรั่งเต็มท้องน้ำในบริเวณที่มีบัวชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่ถ้ามาหลังเที่ยงแล้ว ดอกบัวจะหุบ และแดดจะร้อนมากด้วยครับ ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ในราคาลำละ 550 บาท ครับ




ทะเลน้อยเป็นแหล่งน้ำที่ต่อเนื่องกับทะเลสาบสงขลาตอนบน เราจะได้เห็นฝูงนกนานาชนิด เห็นว่ามีกว่า 287 ชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพมาจากที่อื่นตามฤดูกาล จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงได้ถูกยกให้เป็นสวรรค์ของนักดูนก โดยวันนั้นผมเองก็ได้เห็นนกหลายชนิดอยู่เหมือนกัน



จากท่าเรือ ผมขับรถไปตามถนนไปทางหอคอยสูง ระหว่างทางก็ได้เห็นชาวบ้านนำกระจูดมาตากที่ลานด้านข้างทะเลน้อย มีทั้งกระจูดสดและผลิตภัณฑ์จักสานจากกระจูด ปัจจุบันกระจูดพัทลุงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI ลำดับที่ 4 ของจังหวัด เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 นี่เองครับ ก่อนหน้านี้ก็จะมีข้าวสังข์หยด สาคูต้น และปลาดุกร้าทะเลน้อยครับ





จากทะเลน้อย ผมมุ่งหน้าไปยังสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา เพื่อไปดู ‘ควายน้ำ’ สัตว์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ บริเวณส่วนบนสุดของทะเลสาบสงขลา โดยในพื้นที่นี้มีภูมิปัญญาที่สืบทอดมากว่า 200 ปีคือ วิถีการเลี้ยงควายปลัก ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระบบการเลี้ยงแบบปล่อยให้ควายหากินอย่างอิสระในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ ถือเป็นการทำหน้าที่ในระบบนิเวศ ทั้งการสร้างทางน้ำระบบนิเวศทุ่งหญ้า ควบคุมปริมาณพืชน้ำ และช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์เพื่อเร่งการฟื้นตัวของป่าพรุ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเก็บน้ำและแหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญของโลก แถมควายน้ำยังได้ขึ้นทะเบียนเป็น ‘มรดกโลกทางการเกษตร’ ด้วยครับ



จากสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา ผมมาแวะทานขนมหวานที่ร้านขนมหวานป้ากี้ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/W3UGHvwj9PQVycd8A ) ร้านขนมที่ผมถามคนพัทลุงกี่คนต่อกี่คน ก็บอกให้มาลองชิม ก็เลยจัดไปตามคำชวนครับ เห็นว่าสูตรของทางร้านเป็นสูตรตกทอดมากว่า 50 ปีเลย



ขนมหวานมีให้เลือกชิมหลายเมนูเลยครับ มีทั้งสาคูเปียก ข้าวเหนียวดำ มันสาคูเส้นบวด กล้วยเชื่อม ฟักทองเชื่อม สำหรับผม ไม่พลาดที่จะชิมสาคูเปียกครับ จริง ๆ มื้อเช้าที่รีสอร์ทก็มี แต่ผมกินไม่หนำใจครับ


จากร้านขนมหวานป้ากี้ ผมไปต่อที่ ‘สวนไผ่ขวัญใจ’ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/DzA3zyHkcSMseXcP8 ) แหล่งรวมอาหารคาวหวานพื้นถิ่นของเด็ดของดังของพัทลุง ในบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่บนพื้นที่ป่าไผ่กว่า 30 ไร่ อาหารบางอย่างที่นำมาจำหน่ายที่นี่ ผมก็เพิ่งเคยเห็นเคยชิมจากตลาดแห่งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันครับ



ผ้ามัดย้อมจากต้นสาคูครับ

เปียกสาคู ที่ทำจากสาคูต้น 1 ใน 4 สินค้า GI ของพัทลุงครับ

ลูกชุบ อาจจะเห็นได้ทั่วไป พอดีผมเห็นแม่ค้าทำ package ดูน่ารักดี เลยนำมาให้ชมกันครับ

ขนมซัง ขายช่อละ 15 บาท 3 ช่อ 40 บาทเท่านั้น

ข้าวต้มใบกะพ้อ นี่ก็ราคาไม่แพง ร้านนี้มีขนมจากด้วย ขายกันราคามัดละ 20 บาท ขนมจากปิ้งร้อน ๆ อร่อยทีเดียว ชิ้นหนึ่งห่อเนื้อขนมมาแบบเต็ม ๆ เลยครับ

หัวครกหราน้ำผึ้ง

หนมปำ ขนมพื้นเมืองของพัทลุง ทำจากน้ำตาลโตนด กล่องละ 35 บาท 3 กล่อง 100 บาทครับ

ผัดหมี่โบราณครับ

กุ้งทอดใบเล็บครุฑ

ลูกจำปูลิง ผลไม้ป่าที่ขึ้นชื่อของยะลาก็มีมาจำหน่ายด้วยครับ ลักษณะคล้าย ๆ ละไม แต่ผลจะเล็กกว่า เปลือกจะหนาหน่อย เม็ดภายในเป็นสีส้ม รสชาติออกเปรี้ยว ผมลองชิมไปเม็ดหนึ่ง ตาสว่างเลยครับ ไม่ได้เปรี้ยวโดด อร่อยดีเหมือนกัน ขายกิโลกรัมละ 80 บาทครับ

เดินช้อป เดินชิมกันเพลินเลยครับ ได้เห็นอาหารพื้นถิ่นที่ไม่ได้หาชิมกันได้ง่าย ๆ ที่สำคัญราคาไม่แพงเลย สวนไผ่ขวัญใจ เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.30 น. ครับ
จากสวนไผ่ขวัญใจ ไปต่อที่วัดท่าแค (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/J4GfJ4j7HmpyXvMF6 ) หนึ่งในวัดที่มีตำนานมโนราห์ รวมถึงพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีการสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษครับ
เดิมวัดท่าแคเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพของญี่ปุ่น ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในด้านการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นมโนราโรงครู รวมถึงตำนานพ่อขุนศรีศรัทธา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโนราภาคใต้ในปัจจุบันครับ

รูปปั้นพ่อขุนศรีศรัทธา ปฐมโนรา (โนราคนแรก) เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของโนรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของลูกหลาน ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหลังจากที่นางนวลทองสำลีตั้งครรภ์ขึ้นมาเอง ทำให้พญาสายฟ้าฟาด ซึ่งเป็นพระราชบิดา (พ่อ) โกรธมาก จึงเนรเทศนางนวลทองสำลีพร้อมกับลูกน้อยในครรภ์ ด้วยการลอยแพจากเมืองเวียงบางแก้ว ลอยไปติดที่เกาะกะชัง เมื่อนางนวลทองสำลีประสูติลูกชายชื่อว่าเทพสิงหร และได้สอนการร่ายรำให้เทพสิงหรจำนวน 12 ท่า ตามที่เคยนิมิตฝัน เมื่อเทพสิงหรเจริญวัยจึงได้เดินทางออกจากเกาะกะชังไปยังเมืองเวียงบางแก้ว พร้อมกับใช้ท่ารำแลกข้าวปลาอาหาร ต่อมาการร่ายรำของเทพสิงหรเป็นที่เลื่องลือถึงหูพญาสายฟ้าฟาด และทราบว่าเทพสิงหรเป็นพระนัดดา (หลาน) ของพระองค์ จึงได้แต่งตั้งเทพสิงหรให้เป็นขุนศรีศรัทธา และสืบทอดท่าร่ายรำกลายเป็นโนรา หรือ มโนราห์ในปัจจุบัน

นอกจากรูปปั้นพ่อขุนศรีศรัทธาแล้วยังมีรูปปั้นพรานบุญ อีกหนึ่งครูโนราคนสำคัญ เพราะเป็นตัวตลกในเรื่องมโนราห์ครับ



ด้านหน้าศาลารูปปั้นของพ่อขุนศรีศรัทธามีหลักพ่อขุนศรีศรัทธา เชื่อกันว่าผู้ศรัทธาและลูกหลาน วิญญาณบรรพบุรุษ ครูหมอตายายที่นับถือจะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองในชีวิตครับ

โนราได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดยองค์การยูเนสโก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 ซึ่งถือเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ของไทยที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมายาวนานครับ
จากวัดท่าแค ผมมุ่งหน้าสู่ ‘เกาะหมาก’ เกาะหนึ่งในทะเลสาบสงขลาตอนกลางที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ในพื้นที่อำเภอปากพะยูน โดยปักหมุดไว้ที่ ชมดาว ลานยอ ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/MEXKho3UFpA5hQDK8 )
ชมดาว ลานยอ เป็นที่พักที่ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมารอบนี้ชมดาว ลานยอ เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยเป็นลานกางเต็นท์ ปัจจุบันมีห้องพักติดแอร์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวแล้ว พื้นที่โดยรอบมีต้นไม้ใหญ่ ให้ความร่มรื่น ออกดอกสวยงาม


มารอบนี้ ผมเลือกเข้าพักที่ห้อง Lagoon ห้องพักกว้างขวางดีครับ มีทั้งเครื่องปรับอากาศ และพัดลมติดผนัง มีไดร์เป่าผมด้วย แต่ในห้องไม่มีทีวี ตู้เย็น และห้องน้ำนะครับ ห้องน้ำจะอยู่บริเวณตรงบันได ไม่ไกลจากห้องพักครับ




ห้อง Lagoon จะมีระเบียงสำหรับให้ออกไปนั่งชมวิวด้านนอกด้วย

ห้องน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้พร้อม

หลังจากเก็บข้าวของเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว นั่งพักจนหายเหนื่อย รอแดดร่มลมตก ‘คิม’ เจ้าของชมดาว ลานยอ อาสาเป็นไกด์พาผมเที่ยวชม Six Secrets บนเกาะหมาก โดย ‘ขนำติดล้อ’ รถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างที่มุงหลังคาด้วยใบธูปฤาษีครับ

จุดแรกพามาแวะที่อุโมงค์ต้นยางครับ

เสื้อเขียวนี่ไม่ใช่ผมนะครับ แต่เป็น ‘คิม’ คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่พยายามผลักดันให้เกาะหมากเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว วันนี้ลุงเสื้อเขียวขอใส่เสื้อสีเลือดหมูแทนครับ

จากนั้นคิมพาไปชมทุ่งกระจูดหมู ให้อารมณ์เหมือนได้มาเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนามาก ๆ หากมาเที่ยวช่วงฤดูแล้งเหมือนผม ก็จะเห็นทุ่งนี้เป็นสีทองทั้งทุ่ง แต่ถ้ามาช่วงฤดูฝนก็จะเห็นเป็นทุ่งสีเขียวขจีแทนครับ


จากนั้นคิมพามาชมทุ่งกระจูดหมูอีกหนึ่งจุด แต่จุดนี้จะพิเศษหน่อย เพราะมีป่าเสม็ดโบราณด้วย ให้อารมณ์ลึกลับ หลอน เหมือนฉากหนังธี่หยดเลยครับ



จากนั้นคิมพาผมกลับไปที่ชมดาว ลานยอ เวลาตอนนี้ราว ๆ 17.30 น. แล้ว คิมพาผมนั่งเรือไปกลางทะเลสาบสงขลาเพื่อไปทำกิจกรรม ‘ยกไทรจับกุ้ง’ ต่อครับ
ชาวบ้านในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาตอนกลางที่ประกอบอาชีพเป็นชาวประมง จะเน้นหากุ้งก้ามกราม ปลาดุกทะเล ปลากดเป็นหลัก โดยใช้ไซเป็นอุปกรณ์ในการดักกุ้งครับ
หลักไม้ที่เห็นจะปักลงไปในพื้นทะเลสาบสงขลาเป็นแนวตรง ระยะห่างระหว่างหลักไม้ประมาณ 3 เมตร และจะใช้เชือกผูกให้เป็นทางยาว ด้านล่างที่อยู่ใต้น้ำจะเป็นอวนตาข่าย กั้นไม่ให้สัตว์น้ำเดินหรือว่ายไปอีกฝั่งได้ โดยส่วนปลายอวนจะมีการนำ ‘ไซซอม’ มาตั้งไว้ เมื่อกุ้งเดินไต่อวนตาข่ายมาเรื่อย ๆ จนสุดอวน กุ้งก็จะเดินลงไปในไซซอมครับ

ไซที่ชาวประมงใช้จะมี 2 แบบ คือ ‘ไซพังราว’ ซึ่งชาวประมงจะวางเอาไว้เฉย ๆ ใช้เชือกผูกเป็นทางยาว (ไม่มีอวน) และใช้มะพร้าวเป็นเหยื่อล่อกุ้ง ให้กุ้งไปกินมะพร้าวและเข้าไปอยู่ในไซ และอีกแบบคือที่ผมได้ชม เรียกว่า ‘ไซซอม’ กรรมวิธีก็จะเป็นอย่างที่ผมเล่าในเบื้องต้นนั่นเองครับ




หลังจากชมการยกไซเสร็จแล้ว คิมรีบพาผมกลับไปที่ชมดาว ลานยอ เพื่อมารอชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า มารอบนี้ได้เห็นดวงอาทิตย์ตกสมใจแล้ว เพราะมารอบก่อนฟ้าปิด ทำให้มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ครับ


ดวงอาทิตย์ตกเร็วมาก หลังจากนั้นท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี สวยงามมากครับ






พื้นที่โซนทานอาหาร ลมพัดเย็นมาก ใครใคร่จะนั่งทานในชานก็นั่ง ใครใคร่นั่งนอกชานตรงระเบียงก็สามารถครับ

ออเดิร์ฟที่คิมเตรียมไว้ให้คือกุ้งก้ามกรามเผา กุ้งที่นำมาเผาเป็น ‘กุ้งสามน้ำ’ ที่เติบโตตามธรรมชาติกลางทะเลสาบสงขลา ที่เรียกว่ากุ้งสามน้ำเพราะน้ำในทะเลสาบสงขลาจะมีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม หมุนเวียนกันตลอดเวลา ทำให้กุ้งก้ามกรามที่เติบโตบริเวณนี้จะมีเนื้อแน่นและรสชาติอร่อยมีเอกลักษณ์ครับ

รสสัมผัสของกุ้งดีมาก ๆ เนื้อหวาน มันกุ้งนี่มาแบบเต็ม ๆ ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อยเด็ดจริง ๆ

นอกจากกุ้งเผาแล้ว แม่ครัวยังทำใบเหลียงผัดไข่มาเสริมด้วย

ยำมะม่วงก็อร่อยไม่แพ้กันครับ

อีกหนึ่งเมนูที่ได้ลองชิม คือ ‘แกงคั่วชมดาว’ หรือ ‘แกงคั่วสมรม’ จริง ๆ แล้วแกงนี้จะหาทานได้เฉพาะช่วงงานสารทเดือนสิบเท่านั้น แต่ถ้ามาที่ชมดาว ลานยอ เราจะได้ชิมทุกเมื่อครับ แกงคั่วสมรมจะใช้น้ำพริกแกงคั่วและใช้ผักหลาย ๆ อย่างของภาคใต้รวมกัน แต่ชามที่ผมได้ชิมทำมาจากยอดปรงทะเล ที่ผ่านกระบวนการบีบ การต้มจนยอดปรงทะเลนิ่มและสะอาด รสชาติของยอดปรงทะเลตอนนั้นจะจืด ๆ และมีเส้นใยที่อร่อย นอกจากนี้ยังใส่มะเขือพวง สะตอ หน่อไม้ ใส่ปลาย่าง และกุ้ง ลงไปหม้อกะทิข้น ๆ ปรุงรสเค็มด้วยกะปิ ตัดรสเปรี้ยวด้วยส้มแขกแห้ง ตัดหวานนิดหน่อยด้วยน้ำตาลโตนด น้ำแกงจะซึมเข้าเนื้อผักที่นุ่ม และตัวผักเองก็จะคายน้ำหวานออกมาในแกง คือรสชาติซับซ้อน ผิดกับแกงใต้ที่รสชาติจัดจ้านเหมือนที่ผมคุ้นลิ้นมาโดยตลอด

หลังมื้อค่ำ ผมนอนตากลม ชมทางช้างเผือก ฟังเพลงเบา ๆ ที่ทางที่พักเปิดคลอให้ฟังเพลิน ๆ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะได้เห็นทะเลดาวไปพร้อม ๆ กับทางช้างเผือก เพราะอยู่ที่บ้านเพียงแค่หวังจะได้เห็นกลุ่มดาวเล็กน้อย ยังเป็นเรื่องยากเลยครับ เพราะในชุมชนเมืองถูกกวนด้วยแสงไฟ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการชมดาวเป็นอย่างมาก แต่มาที่นี่ ถ้าฝนไม่ตกซะก่อน รับรองว่าได้เห็นทะเลดาวแน่นอน

คิมบอกกับผมว่าสามารถนั่งชิลชมบรรยากาศได้ยาวเลย แต่ผมนั่งอยู่ที่ลานยอจนเกือบ 4 ทุ่ม ก็ต้องตัดใจกลับไปนั่งเล่นที่ห้องพักแทน เพราะเกรงใจน้องพนักงานที่ต้องมารอดูแลความเรียบร้อย ที่จะคอยปิดไฟ ปิดเพลงครับ
05.30 น. ผมมีนัดกับคิมเพื่อจะนั่งขนำติดล้อไปชมแสงแรกที่เจดีย์ทองแห่งวัดเกาะโคบ ช่วงเช้าอากาศดีมาก ๆ ระหว่างนั่งขนำติดล้อ ลมเย็น ๆ ก็มาปะทะตัวจนรู้สึกหนาวเลยครับ


‘วัดเกาะโคบ’ เป็นวัดโบราณของเกาะหมาก ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลาส่วนกลาง สุดแผ่นดินพัทลุง ที่วัดแห่งนี้มีพระเจดีย์สีทองตั้งอยู่ริมทะเลสาบ เปรียบดั่งประภาคารแห่งศรัทธาของคนลุ่มเลสาบ ชาวบ้านละแวกนี้ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ด้วยเป็นพื้นที่กลางคุ้งน้ำทะเลสาบสงขลา มีโขดเขาหิน เชื่อกันว่ามีถ้ำใต้น้ำเป็นที่สถิตของพญานาคี นาคา ทางวัดจึงได้ต่อยอดความเชื่อนี้ โดยได้สร้างสรรค์ประติมากรรมรูปพญานาคประดับศาสนสถานไว้หลายจุดอย่างสวยงามครับ


จากนั้นไปต่อที่ ‘ต้นไม้รูปหัวใจ’ ครับ

ไปต่อที่ ‘ไทรโอบรัก’ รุกขแห่งศรัทธา ที่บ้านหัวหิน (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Gn2j2MPqPouRcS4p9 ) เป็นต้นรักที่อยู่ในชุมชนบ้านหัวหิน พอต้นไทรโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็กอดต้นรักจนแน่น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ ไทรโอบรัก ว่ากันว่าต้นไทรมีอายุกว่า 500 ปีเลยครับ ต้นใหญ่ราว ๆ 17-18 คนโอบ ความสูงเกือบ 50 เมตร ใหญ่ขนาดไหน ลองเทียบ Scale กับผมดูครับ

เป็นอันครบ 6 พิกัดลับบนเกาะหมากแล้ว คิมเลยพาผมกลับมายังชมดาว ลานยอ อีกครั้ง ก่อนจะกินข้าว คิมยังเตรียมกิจกรรมดี ๆ อย่าง ‘กินร้อยปล่อยล้าน’ เป็นการปล่อยลูกกุ้งกลับคืนสู่ทะเลสาบสงขลา ลูกกุ้งจะที่ปล่อยตัวเล็กกระจิ๊ดเดียว ไม่รู้ว่ากุ้งเหล่านี้ใช้ชีวิตกี่เดือนถึงจะมีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือ จนถูกนำมาเป็นอาหารของผมในมื้อเย็นเมื่อวาน นับเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบที่ดีมาก ๆ ครับ




เช้านี้เป็นเมนูข้าวยำและไก่ทอด อาหารพื้นถิ่นยามเช้าครับ

บรรยากาศยามเย็นว่าดีแล้ว บรรยากาศยามเช้าก็ไม่น้อยหน้าครับ นั่งดูชาวประมงมาวางไซ เสียดายที่ผมมีเวลาน้อยเลยไม่ได้พายคายัคไปเล่นชิงช้ากลางทะเลสาบสงขลาเหมือนคราวก่อนเลย



หลังมื้อเช้า ผมยังมีอีกหนึ่งโปรแกรมกับการนั่งเรือชมบรรยากาศในทะเลสาบสงขลาตอนกลางครับ พื้นที่ของทะเลสาบสงขลาตอนกลาง จะมีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่หลายเกาะ เช่น เกาะหมาก เกาะนางคำ เกาะกระ เกาะร้านไก่ เกาะราบ และหมู่เกาะสี่เกาะห้า ซึ่งหมู่เกาะสี่เกาะห้าเป็นเกาะที่มีการสัมปทานรังนกของบริษัทรังนกสก๊อต เราจะไม่สามารถขึ้นไปชมบนเกาะได้ คงทำได้เพียงแค่ดูจากบนเรือเท่านั้น นั่งเรือไม่นานก็มาถึงเกาะกระ เกาะขนาดเล็กที่เราสามารถเดินเที่ยวได้รอบเกาะ บนเกาะจะมีจุดให้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์หลายจุด รวมถึงจุดถ่ายรูปสวย ๆ มากมาย

ไฮไลต์ของเกาะกระ ผมขอยกให้ถ้ำกระจกครับ ถ้ำที่นี่ไม่เหมือนถ้ำอื่น ๆ ที่หลายคนเคยเที่ยวมาอย่างแน่นอน เพราะถ้ำกระจกเป็นถ้ำเล็ก ๆ ตื้น ๆ จนในใจผมคิดว่าไม่น่าจะใช้คำว่า “ถ้ำ” ด้วยซ้ำ แต่จุดเด่นของถ้ำกระจกแห่งนี้ คือบ่อน้ำตื้น ๆ ที่อยู่ใต้ถ้ำนี่แหล่ะครับ ยามที่น้ำในบ่อนิ่ง ๆ และโดนองศาของแสงที่เหมาะเจาะ จะเกิดภาพสะท้อนของผนังถ้ำขึ้น จนแลดูเหมือนภาพสะท้อนจากกระจกครับ และยิ่งผนังถ้ำมีความขรุขระด้วยแล้ว มันยิ่งเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับถ้ำแห่งนี้เป็นอย่างมาก ใครอยากได้รูปเท่ห์ ๆ ก็ต้องลงทุนเดินเข้าไปให้ชิดผนังถ้ำ แต่ต้องระวังหัวด้วยนะครับ เพราะเพดานถ้ำต่ำมาก ๆ ถ้าหัวแตก แอนตาซิลไม่จ่ายนะครับ

จากถ้ำกระจก เดินถัดมานิดเดียว จะพบกับหินมังกรครับ เนื้อหินเป็นหินเขี้ยวหนุมาน หากมองดี ๆ ภายในหินก้อนนี้จะมีลักษณะคล้ายกับรูปมังกรขดตัวอยู่ คนจีนเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์มงคล จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาพรเรื่องอำนาจ ให้เติบโตในหน้าที่การงานหรือการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในโอวาท

ใกล้ ๆ กันจะพบต้นโพธิ์รากเงินรากทอง คิมบอกว่ารากโพธิ์เปรียบเสมือนคนไม่มีต้นทุนชีวิต คือเลือกเกิดไม่ได้ เกิดในที่แห้งแล้ง ไม่มีสารอาหารอะไรเลย ต้องใช้เวลานานมาก กว่ารากเล็ก ๆ ที่หย่อนจากด้านบนลงมาสู่ด้านล่าง ดูดสารอาหารจากด้านล่างไปหล่อเลี้ยงลำต้นด้านบน จากรากเล็กกลายเป็นรากที่ยิ่งใหญ่ คอยค้ำจุนไม่ให้ต้นไม้หักโค่นลงมา เปรียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว รากใหญ่ 2 รากนี้มีสีเขียวทอง และสีเขียวขาว (เขียวเงิน) นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาขอเงินของทอง อยากได้เงินก็ขอรากเงิน อยากได้ทองก็ขอรากทอง อยากได้ทั้งเงินทั้งทองก็...ไปทำงาน 555

คิมเล่าว่าบริเวณนี้นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียได้สังเกตเห็นรอยคล้ายรอยพระบาทอยู่บนหน้าผาหิน (จากภาพจะเห็นเป็นรอยสีขาว) จึงเกิดความเชื่อ ความศรัทธาว่าน่าจะเป็นรอยพระบาทของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแห่งวัดพะโคะ จึงได้มีการอัญเชิญรูปหล่อหลวงปู่ทวดจากรัฐปีนังมาประดิษฐานอยู่ ณ จุดนี้ ในหนึ่งปีจะมีชาวมาเลเซียที่ศรัทธาในตัวหลวงปู่ทวดมาทำบุญที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 200-300 คน ชาวมาเลยเซียเชื่อว่า การมาทำบุญครั้งแรกในช่วงต้นปี ราววันที่ 1 มกราคม จะทำให้ชีวิตมีความสุข แคล้วคลาดปลอดภัย ส่วนครึ่งปีหลัง ราวเดือนมิถุนายน ให้ตลอดทั้งปีมีความสุข นักท่องเที่ยวนิยมมาขอพรให้แคล้วคลาดปลอดภัย


มีศาลาจีนริมน้ำด้วย

หน้าผาตรงนี้ลักษณะคล้าย ๆ หัวเต่าครับ

มุมนี้เป็นซุ้มประตูหินครับ

เกาะที่เห็นเรียงรายอยู่เบื้องหน้าคือหมู่เกาะสี่เกาะห้าครับ

เดินเที่ยวกันจนรอบเกาะกระแล้ว คิมพานั่งเรือต่อไปยังเกาะคำเหียงครับ ระหว่างทางก็เห็นกรรมวิธีที่ชาวประมงนำไซขึ้นมาตากแดดเหนือน้ำทะเล เห็นเป็นทิวแถวยาวเลยครับ


แล้วก็มาถึงเกาะคำเหียงครับ บนเกาะคำเหียงมีจุดชมวิวด้านบนเขาด้วย การจะขึ้นไปบนจุดชมวิวจะต้องเดินขึ้นเขา แต่แดด ณ เวลานี้แรงมาก ๆ ผมเลยขอไปชมเพียงผาม่านไม้ ซึ่งบริเวณนี้เต็มไปด้วยรากอากาศของต้นย่านงดที่ทิ้งตัวลงมาจนดูเป็นม่าน สวยงามแปลกตา เปลือกของเนื้อไม้ย่านงด นำมาผสมปรุงเป็นยาบำรุงประสาท บำรุงหัวใจได้ด้วยครับ

กลับมาถึงชมดาว ลานยอ ก็เที่ยงวันพอดี เที่ยงนี้เป็นอาหารปิ่นโตชุมชน มีกับข้าว 3 อย่างคือ แกงส้ม ปลาทอดที่หั่นเป็นเส้น ๆ และไข่เขียวครับ


สำหรับเพื่อน ๆ ท่านใดที่อยากจะสัมผัสเกาะหมากแบบเจาะลึกอย่างผม สามารถสอบถามรายละเอียดของแต่ละแพคเกจได้ที่เพจ ชมดาว ลานยอ (https://www.facebook.com/ChomdawLanyor ) ได้โดยตรงนะครับ มีรายละเอียดให้เลือกหลายแพคเกจตามที่เราสนใจเลย หรือจะแค่ไปนอนชิลกินบรรยากาศอย่างเดียวก็ได้ครับ
ผมเลือกปิดโปรแกรมทริปพัทลุงที่ชมดาว ลานยอ หลังมื้อเที่ยงก็ได้เวลาเดินทางกลับไปยังท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงครับ

ทริปนี้นับเป็นทริปดี ๆ ที่ผมประทับใจมาก จากที่เคยมองพัทลุงเป็นแค่เมืองผ่าน แต่เมื่อได้มาทำความรู้จักพัทลุงอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผมได้เรียนรู้วัฒนธรรม ศิลปะพื้นบ้านของจังหวัดพัทลุง ได้ท่องเที่ยวในหลาย ๆ บรรยากาศ ได้ทานอาหารพื้นถิ่นที่บางเมนูเพิ่งจะเคยเห็นเคยชิม เสน่ห์ต่าง ๆ เหล่านี้มัดใจผมเข้าอย่างจัง ‘พัทลุง’ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักอย่างแรง
ลุงเสื้อเขียว
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เวลา 09.53 น.