นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 2)
highlights:
- การผ่านตม.ฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซีย
- บรรยากาศบนรถไฟมาเลเซีย
- การนั่งเรือข้ามไปยังเกาะปีนัง
---------------------------------------------------------------------------------
จากตอนที่แล้ว [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 1)] ที่เรามาถึงสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ฝั่งมาเล พอเรามาถึงปุ๊ปจะต้องปรับนาฬิกาเพิ่มอีก 1 ชั่วโมงปั๊ป เพราะที่มาเลจะใช้ GMT+8 และเราจะต้องมาผ่าน ตม. ทั้งฝั่งไทยและฝั่งมาเลที่นี่
แต่ สิ่งที่เซอร์ไพรส์เราที่นี่ คือ "บันได" ค่ะ (ปกติเราจะเจอทางเลื่อนๆ ได้ในสนามบิน หรือ ทางขึ้นลงรถไฟฟ้า) พอเราลงจากรถไฟมาเห็นคนยืนรอผ่านตม. กันเยอะมาก ก็เลยว่าจะไปเข้าห้องน้ำกันก่อน เดินตามป้ายไปตอนแรกห้องน้ำทำท่าจะอยู่ชั้น 1 เปล่าค่ะ มันอยู่ชั้น 2 ทางเดียวที่เราจะขึ้นไปได้คือ บันได ไม่มีบันไดเลื่อน ไม่มีลิฟท์อะไรใดใดทั้งนั้น บันไดอย่างเดียวเลยจ้ะ พอเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเราก็ต้องเดินลงมาชั้น 1 เพื่อผ่านตม. (เราผู้ซึ่งมีกระเป๋าลากหนักๆ 1 อัน และ อาเราขาไม่ดีมากๆ 1 คน 55555) หลังจากที่นั้นเราก็มารอต่อแถวผ่านตม. ลองนึกภาพตามนะคะ เราเดินผ่านตม. ฝั่งไทยที่อยู่ชั้น 1 และเดินลากกระเป๋าไปผ่านตม. มาเล อยู่ชั้น1 เช่นกัน แต่เราต้องเดินขึ้นไปซื้อตั๋วรถไฟมาเลที่อยู่ชั้น 2 (เดินไปคนเดียวไม่มีกระเป๋า) และเดินลงมารอรถไฟที่ชั้น 1 เท่ากับว่า เดินขึ้นลงบันไดที่สูงม๊ากกก 4 รอบ น้ำตาจะไหลลล ใครที่จะไปมาเลเซียผ่านทางด่านปาดังเบซาร์ต้องไปฟิตร่างกายกันมาดีๆ เลย แถมเป็นตม.ที่งงที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา 5555
เซอร์ไพรส์ที่ 2 คือ ใน Passport ของเราติดใบเขียวๆ อะไรมาก็ไม่รู้ ของอาก็ไม่มี ของคนก่อนหน้าหลายๆ คนก็ไม่มี ซึ่งทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร 5555 เพื่อนที่เป็นคนมาเลบอกว่า "it's the usual immigration slip for foreigners, Nothing to worry" เราก็ไม่ได้จะ worry อะไรหรอก แต่เราคาใจต่างหาก
เซอร์ไพรส์ที่ 3 ของประเทศนี้คือ ตั๋วรถไฟที่บอกแค่เวลาที่เราซื้อตั๋ว แต่ไม่บอกเวลารถไฟออก 55555 คือถ้าไม่หาตารางรถไฟมาก่อนนี่จิตตกชัวร์ (เราเช็คตารางรถไฟมาเลที่เว็บนี้นะ
https://www.train36.com/padang-besar-to-butterworth-komuter-train.html)
แถมจะต้องรักษาตั๋วไปจนถึงปลายทางแล้วก็ต้องคืนตั๋วด้วยไม่งั้นจะโดนปรับอย่างหนักหนาสาหัส ตั้ง 30 RM แหน่ะ
พอซื้อตั๋วมาแล้วเราก็มายืนรอแถวๆ ชานชาลา คือไม่รู้หรอกว่าชานชาลาไหนอะ ก็ได้แต่เดินตามๆ เขามาอีกทีนึง แล้วก็ถามพี่เจ้าหน้าที่คนไทยว่าไป Butterworth ให้ยืนรอที่ชานชาลาไหน
หลังจากยืนรอไปสักพัก รถไฟก็มาพอดี หน้าตารถไฟมาเลก็จะเหมือนกับ BTS บ้านเรา ชานชาลาหรืออะไรก็ตามแต่จะเหมือน BTS เกือบหมด ยกเว้นบันได บ้านนี้เมืองนี้เค้าไม่มีบันไดเลื๊อนนนนนนน TT^TT และที่ไม่เหมือนเราอีกอย่างคือ มีตู้รถไฟเฉพาะผู้หญิงด้วยย อันนี้ดีมากก
แต่เบาะที่นั่งก็จะต่างจากบ้านเรานิดนึง และสายที่เรานั่งเป็นต้นทางเลยมีที่นั่งให้มองวิวสองข้างทางแบบสบายๆ >//<
วิวข้างทางเป็นอะไรที่ดีงามมากกกกกกกกก ช่วงแรกๆของรถไฟวิวข้างทางก็จะคล้ายๆ กับวิวรถไฟแถวสระบุรี คือเต็มไปด้วยเขาและป่าๆ หน่อย แต่บางช่วงก็จะกลายเป็นทุ่งนาคล้ายกับอยุธยา เราตื่นเต้นมากเพิ่งรู้ว่ามาเลเซียก็มีทุ่งนาเหมือนบ้านเรา 555 คือวิวทางข้างเพลินมาก ถ้ามีโอกาสได้มาสักครั้งต้องลองจริงๆ
จากวิวตรงนี้เราคิดว่าน่าจะใกล้ๆ ถึงสถานี Butterworth แล้วล่ะ ถามว่าเรารู้ได้ยังไง เราไม่มีเน็ตไม่ใช่หรอ เรารู้จากตารางเดินรถไฟของมาเล ในตารางจะบอกเราว่าจะถึงสถานีไหนเวลากี่โมง แล้วเราก็ดูตามนั้น ซึ่งรถไฟมาเลเป็นอะไรที่ตรงเวลามากๆ
ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่สถานี Butterworth แล้ว พอเราลงจากรถไฟเราก็พยายามมองหาลิฟท์ มันต้องมีสิ มันจะมีแต่บันไดได้ยังไงงง เดินๆ ตามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ก็เจอลิฟท์แล้วเย้ ^^ เราก็ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 2 ของสถานีนี้ และที่มาเลเขาจะรวม สถานีรถไฟ สถานีรถบัส เรือข้ามฝาก และห้างไว้ด้วยกัน พอมาถึงตรงนี้เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาแล้ว ก็เลยไปหาข้าวกินกันที่ฟูดคอร์ทในห้าง Penang sentral ก่อน
นี่คือวิวทางไปฟูดคอร์ทของห้าง Penang sentral จะมีระเบียงที่อยู่ชั้น 3 ติดกับร้าน starbuck ให้เดินออกไปถ่ายรูปได้ แต่แดดร้อนมากกกกกก เราก็ไม่ค่อยสู้ 555 แล้วตรงห้างนี้จะมี Free wi-fi ให้เราใช้ด้วย >///<
หลังจากที่เรากินข้าวกันอิ่มแล้วเราก็เดินมาขึ้นเรือ Ferry ข้ามไปยังเกาะปีนัง ตอนเกือบบ่ายโมง GMT+8 ราคา 1.2 RM วิวบนเรือสวยมากกกกกกกกกกกกกก ลมเย็นสบาย เราจะเสียแค่ค่าเรือขาไปเท่านั้น ขากลับเราก็จะกลับฟรี เรือมีเป็นรอบๆ วิ่งทั้งวัน
ก่อนที่เรือจะแล่นเข้าฝั่ง เราก็แอบเห็นคุณเรือสำราญมาจอดเทียบท่าด้วย ใหญ่มากกกก ไว้เราจะเก็บตังไปขึ้นให้ได้
พอขึ้นมาจากท่าเรือปุ๊ปเราก็จะเจอกับท่ารถเมล์เลย เราก็มองๆ หารถเมล์ที่เป็น CAT เพราะเป็นรถเมล์ฟรีรอบเมือง George Town ตอนแรกนึกว่าจะหายาก ปรากฏว่าเค้าทำเลนรถเมล์เป็นสีฟ้าแบบชัดเจนมาก แต่พอไปถึงคนขับเค้าจะให้เรานั่งรอก่อนยังไม่ให้ขึ้นรถจนกว่าจะถึงรอบเวลาของเค้า การขึ้นรถเมล์ที่มาเลจะคล้ายกับสิงคโปร์คือจะให้ขึ้นประตูข้างหน้าแล้วลงที่ประตูข้างหลัง
เรานั่งรถเมล์มาลงที่ Bus Terminal ใต้ห้าง Komtar ซึ่งเป็นป้ายที่อยู่ใกล้ที่พักเราที่สุด
แต่ แต่ ปัญหามันอยู่ที่เราต้องข้ามถนน 4 เลน แล้วเราเป็นคนข้ามถนนแบบไม่มีไฟแดงไม่ได้ แต่ความดีงามของประเทศนี้ที่เหมือนสิงคโปร์อีกแล้วคือ ไฟแดงนางมีที่กดให้คนข้ามจ้าาาา แต่จะแตกต่างจากสิงคโปร์นิดนึงตรงที่สิงคโปร์จะเป็นปุ่มกด แต่ของมาเลจะเป็นเอามือไปแตะ >//< ประเทศไทยควรมีเยอะๆ แล้วทางม้าลายที่มาเลจะเป็นสีเหลืองหมดเลย บางทีเราก็งงนี่ใช่ทางม้าลายจริงๆ ไหมนะ 555
เรามาถึงที่พักก็เกือบบ่ายสาม เซอร์ไพรส์ที่ 4 ก็มาจ้าาา นั้นก็คือการนับชั้นที่มาเล พอ Check in ปุ๊บ เราจะโดนก่อนเลยคือค่าภาษีนักท่องเที่ยว จะเสียเป็น 20 RM/ห้อง/2คืน จากนั้นพนักงานก็บอกเราว่าห้องเราอยู่ชั้น 1 นะ เราก็เดินมาเสร็จ ไหนชั้น 1 อะทำไมเดินมาเจอแต่ลิฟท์ คิดในใจ ที่ Hostel นี้เค้าอาจจะนับชั้น 2 เป็นชั้น 1 ก็ได้มั้ง ก็เดินไปชั้น 1 แบบงงๆ
ที่พักที่เราเลือกมาอยู่ใกล้กับตึก Komtar มากๆ และมีดาดฟ้าที่เห็นเมือง George Town แบบ 360 องศาโดยไม่จำเป็นต้องไป Penang hill ก็ได้ สวยเหมือนกัน
ด้วยความที่แดดร้อนมาก ไปไหนไม่ได้ เราก็ได้แต่นั่งมองวิวบนดาดฟ้าซึ่งลมพัดเย็นมาก นั่งไปสักพักเราก็แอบเห็นว่า เมืองนี้เป็นเมือง one way นี่นา ถนนนึงมี 3 เลน จอดรถได้ 2 เลนซ้ายขวา แล้ววิ่งตรงกลางเลนเดียว ถึงว่ารถมันก็ไหลไปได้เรื่อยๆ
เราก็นั่งมองวิวไปเรื่อย จนกว่าจะแดดร่มลมตก เราถึงจะได้ไปร้านคาเฟ่ Harry Potter กันนนนนนนนน ตื่นเต้นนนนนนนนน ส่วนจะตื่นเต้นยังไง ติดตามได้ใน [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 3)] หรือติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน
Try to try ก็แค่ออกไปลอง
วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 02.10 น.