นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 5)

highlights:

  • ร้านกาแฟที่มีแมวและส่งโปสการ์ดได้
  • เดินชมเมือง
  • อาหารอินเดีย และ LOK LOK

---------------------------------------------------------------------------------

หลังจากที่เราเดินหลงห้างกันอย่างเหนื่อยในตอนที่แล้ว [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 4)] ตื่นเช้ามาวันที่ 2 ในปีนัง ประเดิมด้วยการตื่นสายจ้าาาาา 55555 อดไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นเลย TT^TT แล้วความที่เราตื่นสายทำให้เราเกือบไปกินข้าวเช้าที่ Hostel ไม่ทัน พอลงไปปุ๊ปก็แทบไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว และคิดว่าเขาไม่น่าจะเติมอะไรเพิ่มอีกเพราะใกล้จะหมดเวลาอาหารเช้า ตอนที่เราแชทกับเขาก่อนมาเขาบอกว่าเป็น "light breakfast" เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย คิดว่ามีแค่ขนมปังเฉยๆ แค่นั้นเลย เราก็เลยพกข้าวต้มกระป๋องไปเต็มเลย เพราะเข็ดกับที่สิงคโปร์ว่าเรากินขนมปังไป 4 ชิ้นแล้วไม่อยู่ท้อง กาแฟก็ไม่มีให้กิน เกือบตาย 5555 แต่ผิดคาดไปมากๆ ที่นี่มีทั้ง ข้าวผัด กับข้าวสองอย่าง ไส้กรอก กาแฟ ขนมปัง และที่สำคัญนางมีอาหารอินเดียด๊วยยยย คือดีมากกกกกกก เราเลยจัดอาหารอินเดียมาสักหน่อยแต่รสชาติเจือจางมากกก และกาแฟมาเลแท้ๆ ก็หวานจ๋อยหร๋อยเล๊ยยยย ควรเตรียมกาแฟไปเอง หรือไม่ก็ไปหาร้านกาแฟนั่งกินดีๆ 5555

ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วแหละว่ากาแฟที่มาเลแท้ๆ เนี่ยจะหวานมากกกกก แล้วตัวเราเองก็เป็นคนที่ติดกาแฟมากเช่นกัน เราก็เลยแพลนร้านกาแฟเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ความดีงามของร้านกาแฟร้านนี้คือ "มีแมวให้เล่น" เอ๊ยยย ไม่ใช่สิ จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ นอกจากเขาจะขายกาแฟและมีแมวให้เล่นแล้ว เขายังมีโปสการ์ดพร้อมสแตมป์ขายอีกด้วย เพราะช่วงนั้นเรากำลังอินกับการส่งโปสการ์ดหาตัวเองก็เลยมาเจอร้านนี้เข้า

พอเราสั่งกาแฟเสร็จก็ถามเจ้าของร้านว่า "Where is the cat??" เจ้าของเค้าก็มองๆ หาให้ แต่นางเหมียวหวงตัวมากจ้าาา ได้ยินเสียงเราปุ๊ปนางวิ่งหนีแบบไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งไปพักนึงเลย แล้วเรา 2 คนก็สั่งกาแฟกันดุเดือดมากราคารวมๆ แล้วน่าจะแพงกว่า Butter beer ที่ไปกินมาอีกมั้ง 55555 เราสั่งเอสเปรสโซ่เย็นไป 2 แก้ว 16 RM, คาปูชิโนร้อน 5 RM แล้วก็โกโก้เย็น 10 RM เรารู้สึกได้เลยว่าของอะไรที่ใส่น้ำแข็งจะแพงขึ้นมาเยอะมาก ก็ไม่รู้ว่าเขาเก็บภาษีความเย็นอะไรงี้ด้วยหรือเปล่านะ

นั่งกินกาแฟไปสักพักนึง เราก็เลยไปเดินๆ ดูโปสการ์ดได้ยินเสียงกระดิ่งนางเหมียวก็เลยหาตัวนางเจอจนได้ นึกว่าจะไม่ได้เจอสะแล้ว นางไปแอบอยู่ตรงใต้โต๊ะกับคุณเจ้าของร้านนั่นแหละ พอหาเจอเราก็เลยบังคับนางถ่ายรูปด้วยสะเลย 55555 นางน่าจะกลัวเราเลยดิ้นแรงมากแต่ไม่กางเล็บดูนุ่มนวลสุดๆ 

หลังจากที่เราปู้ยี่ปู้ยำนางเหมียวถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราก็เดินไปเลือกโปสการ์ดอย่างสบายใจ ตรงชั้นวางโปสการ์ดของร้านนี้เขาจะไม่ให้เราถ่ายรูปเลย เพราะภาพบางภาพเป็นภาพที่เขาถ่ายเอง ราคาก็ต่างกันไป มีขายของที่ระลึก แล้วก็มีสติ๊กเกอร์ด้วยนิดหน่อย โปสการ์ดที่เราเลือกมาราคา 2.5 RM เจ้าของร้านเขาจะถามเราว่าเอาสแตมป์ด้วยเลยไหมราคา 50 sen เราก็เอามาหมดเลยรวมเป็น 3 RM ตอนเราเดินเข้ามาเห็นตรงหน้าร้านมีตู้ไปรษณีย์อยู่ด้วย แต่ไม่น่าจะส่งได้จริง เพราะถามเจ้าของร้านว่าให้หย่อนลงไปในตู้เลยไหม เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาจะเอาไปส่งให้เอง แล้วจดหมายก็มาส่งถึงเราวันที่ 23 มกรา ถือว่าเร็วมากๆ ตอนแรกคิดว่าจะส่งไม่ถึงแล้ว เพราะเราเขียนที่อยู่เป็นภาษาไทย จนถึง จังหวัดกับประเทศถึงเปลี่ยนมาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ

หลังจากที่เรากินกาแฟเติมพลังกันไปเรียบร้อย เราก็ออกไปเดินถ่ายรูปเล่นชมเมืองกัน ด้วยความที่แดดที่ปีนังแรงมากเราก็เลยกะว่าจะไปนั่งหลบแดดกันที่ Art Lane เพราะข้างในนอกจากจะมีงานศิลปะสวยๆ แล้ว ยังมีเก้าอี้ให้นั่งพักอีกด้วย แต่ระหว่างทางไปเราเจอคุณสถานีดับเพลิงด้วย สีแดงสดตัดกับท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้ามากๆ คือสวยมากกกก แต่ด้วยความที่ตรงนี้เป็นสี่แยกมีรถวิ่งผ่านตลอดเวลา ภาพที่ออกมาก็เลยจะเน่าๆ ตามที่เห็น 5555 

เดินต่อมาจากคุณสถานีดับเพลิงนิดนึงก็จะเจอกับ Art Lane เลย ทางเข้าก็จะเป็นตรอกเล็กๆ ไม่มีจุดเด่นอะไรใดใดทั้งสิ้น รู้แต่ว่าอยู่ใกล้ๆ กับคุณสถานีดับเพลิงแค่นั้นเลย 5555

พอเข้ามาข้างใน คืองานเพ้นท์สวยมากกกกกกกกก ใหญ่มากกกกกกก เผลอๆ อาจจะดีกว่าสตรีทอาร์ตในเมืองอีกมั้ง เพราะที่นี้มันคือบ้านเก่าหนึ่งหลังที่เขามาปรับปรุงมาเป็น Art Lane ดังนั้นมันก็จะไม่โดนแดดโดนฝน งานศิลปะไม่พังแน่นอน ใครชอบศิลปะนี่เดินได้เพลินๆ เลย ลมก็พัดเย็นสบายอีกด้วย

พอถ่ายรูปที่นี่กันจนเบื่อ เราก็เลยเดินย้อนกลับไปทางเดิม เราก็บังเอิญเห็นว่าตรงข้างร้านกาแฟมันคือสตรีทอาร์ตชื่อดัง เอ้าาา อยู่ตรงนี้เองหรอ ถึงว่ามีฝรั่งเข้าร้านมาซื้อกาแฟเต็มเลย 5555 

แล้วถ้าเราเดินเข้าไปใน 35@Jetty มันก็จะเป็นนิทรรศการแสดงศิลปะเหมือนกัน และที่สำคัญคือที่นี่ "มีแอร์" ค่าาาา เดินชมศิลปะไปเพลินๆ ตากแอร์ไปเพลินๆ แล้วเราก็ได้มีโอกาสเจอคนมาเลเป็นคู่แม่ลูกกำลังรอเข้าห้องน้ำ อาเราหันไปเล่นกับลูกเขา เขาก็เลยถามเราว่าเรามาจากที่ไหน เราก็บอกว่า Thailand แล้วเขาอะมาจากกัวลาลัมเปอร์ ยังไม่เคยไปเที่ยวไทยสักครั้งเลย โอ้โหววว คนมาเลเองก็แอบมาเที่ยวไกลเหมือนกันนะเนี่ย 

เดินกันมาเหนื่อยๆ เราก็แวะมากินข้าวตรงแถวรถบัสใกล้ๆ ท่าเรือ เห็นร้านนี้คนเข้าเยอะก็เลยเข้าบ้าง แล้วร้านนี้มีอาหารเป็นห่อๆ แบบอินเดีย เลยเอามาลองกินดู เฮ้ยยย อร่อยเฉยยย คือผิดกับอาหารจีนจืดๆ เมื่อวานนี้ลิบลับเลย แถมราคาไม่แพงด้วย ห่อละ 1.2RM เอง ถูกมากกกกกกก จัดไปเลยจ้ะ 2 ห่อ แล้วก็ตามธรรมเนียม กินข้าวก็ต้องสั่งน้ำ ก็เลยสั่งชามา ไม่รู้ชาอะไร อร่อยดี ราคา 1.6 RM แต่ไม่เข้าใจว่าเค้าให้ช้อนพร้อมหลอดมาทำไม 5555

กินอิ่มปุ๊ปเราก็นั่ง CAT กลับมาที่ Hostel หลบแดดกันก่อน สู้ไม่ไหวจริงๆ และอีกเช่นเคย นอกจากเราจะติดกาแฟแล้วเรายังติดเป๊ปซี่ด้วยจ๊ะ 55555 เราก็เลยเดินไปซื้อที่มินิมาร์ทใกล้ๆ กับ Hostel เพราะที่นี่จะมี 7-11 น้อยมากกกก ทั้งเกาะมี 3 ร้านเองมั้ง แต่ที่มีเยอะๆ คือ HAPPY MART ที่เป็นของคนอินเดียเปิด 24 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่แอบขายน้ำแข็งเป็นแก้วแพงอยู่ แก้วละ 1.2 RM ราคาเท่ากับน้ำแก้วๆ ธรรมดาที่ขายๆ กันเลย แล้วที่มาเลก็จะมีขายทั้ง โค้กวนิลา เป็ปซี่วนิลาเลย หอมอร่อยมากกกกก

หลังจากที่เราไปหลบแดดกันพักใหญ่ เราก็จะออกไปตามหาห้างที่สามารถซื้อของฝากได้ คือเราค้นพบอีกอย่างนึงว่าห้างที่มาเลกับห้างที่บ้านเราจะไม่เหมือนกัน คือห้างบ้านเราจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเลย เป็นทั้งร้านข้าว ที่ซื้อของเข้าบ้าน โรงหนัง ร้านค้า แต่ที่มาเลไม่ใช่ทั้งหมดที่ว่ามาเลยค่ะ ห้างที่เป็นคล้ายๆ Top บ้านเราก็จะแยกออกไปเฉพาะเลย แถวๆ ตึก Komtar เลยเป็นอะไรที่ห้างเยอะมากกกกก ถ้าเราไม่ทำการบ้านไปก่อนอาจจะได้เดินกันขาลากแน่นอน

เหมือนเมืองปีนังจะเป็นเมืองจักรยานด้วยนะ เพราะเห็นแต่ละคนขี่จักรยานกันเฟี้ยวฟ้าวไม่แพ้มอไซด์เลย แล้วก็จะมีจักรยานให้เช่าแบบนี้อยู่เยอะมาก

อาหารเย็นของเราวันนี้คือ LOK LOK คือตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้กินแล้ว เห็นในรีวิวเค้าบอกว่าอยู่ที่ถนนคิมเบอร์รี่ อินี่ก็ไม่ได้รู้เรื่องว่าถนนข้าง Hostel นั่นแหละคือถนนคิมเบอร์รี่ 5555 ร้านนี้เป็นร้านลวกจิ้มกินเพลินๆ ก็หมดไปเยอะเหมือนกัน น้ำจิ้มอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก และแอบบอกนิดนึงว่าถ้าเราอยากยืนกินชิวๆ ให้ไปวันอาทิตย์หรือวันธรรมดา เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะกลับกับไปเยอะแล้วเมืองก็จะเงียบๆ หน่อย

และเราจะอยู่ที่ปีนังคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย พรุ่งนี้เราก็ต้องกลับกันแล้ว (ฮรืออออ ไม่อยากกลับเลย) เราก็เลยขึ้นมาเก็บบรรยากาศปีนังยามค่ำคืนที่ดาดฟ้า แต่เสียดายที่มันมืดมากไปหน่อยเลยมองไม่ค่อยเห็นอะไร แล้วยิ่งกลางคืนลมก็ยิ่งแรงจนหนาวเลยแหละ

แล้วพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาเราสัญญาว่าจะต้องถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ จบไปแล้วสำหรับปีนังวันที่ 2 ของเรา แต่ DAY 3 นี่แหละของจริงง โปรดติดตามความวินาศสันตะโรของเราได้ในตอน [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 6)] หรือติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

Try to try ก็แค่ออกไปลอง

 วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 22.42 น.

ความคิดเห็น