นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 6)
highlights:
- George town world heritage
- เดินชมเมืองที่ถนน Beach street
- ชิมเป็ปซี่มาเล
---------------------------------------------------------------------------------
จากตอนที่แล้ว [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 5)] และแล้วเราก็ได้เดินทางกันอย่างยาวนานมาถึงตอนที่ 6 กันแล้ว ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่ามันจะยืดยาวขนาดนี้เหมือนกัน ด้วยความที่ปีนังมันเหมือนเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไร แต่มันมีความแตกต่างจากบ้านเราอยู่เยอะมากพอสมควร เราก็เลยไม่อยากให้ทุกคนพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อะไรพวกนี้ไป และเราคิดว่าซีรีย์ปีนังของเราน่าจะจบได้ในตอนหน้า ขอให้ทุกคนทำใจรอไว้ได้เลยจ้า 5555
แล้วก็ขอขอบคุณทุกๆ คนที่รออ่านบทความเรา มันเหมือนเป็นกำลังใจให้เราเขียนต่อไปได้เรื่อยๆ ตอนแรกเราก็แบบอยากจะตัดให้จบในตอนนี้ แต่เราก็คิดอีกมุมนึงว่า แล้วถ้ามีคนรออ่านล่ะ เราจะตัดจบๆ แบบข้ามๆ ไปเลยเราก็ทำไม่ได้จริงๆ เราก็เลยยืดออกไปอีกตอนนึงแล้วกัน อย่าเพิ่งเบื่อกันน้าาาา ^^
เช้าวันที่ 3 ที่ปีนัง จะต้องมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ เพราะเราเหลือโอกาสแค่วันนี้วันเดียวแล้ว เลยบอกให้อาปลุกเราด้วย แล้วปรากฏว่านางปลุกเราก่อนพระอาทิตย์ขึ้นชั่วโมงนึงจ้าาา นี่ก็ตื่นขึ้นมางงๆ เหมือนละเมออะ แถมดูเวลาตอนนั้นไม่รู้เรื่องด้วย เวลาใครเร็วกว่าใคร ใครช้ากว่าใคร ก็ไม่รู้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพระอาทิตย์ขึ้นกี่โมง เบลอจัดอะ จำได้อย่างเดียวคือวันนี้ต้องได้รูป 555555 แล้วก็ขึ้นไปนั่งรอที่ดาดฟ้าแบบงงๆ หนาวมากด้วยเพราะลมแรงม๊ากกกกก พอเริ่มหนาวเราก็เริ่มจะมีสติว่า ตอนนี้ 06.52 แต่ข้อมูลที่เราหามาคือพระอาทิตย์ขึ้นตอน 07.44 โอ้ก็อดดด ฉันมานั่งทำอะไรที่นี่ จะกลับลงไปนอนต่อก็กลัวจะพลาด แล้วพอถึงเวลาคุณพระอาทิตย์ก็ยิ้มแฉ่งให้เราแบบสวยม๊ากกกกกกกก คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ
หลังเรากินข้าว กินกาแฟ (เราห่อผงกาแฟกับนมมาจากบ้านแหละ 5555) เสร็จ เราก็เหลือเวลาอีกนิดหน่อยเท่านั้นเพราะเราจะต้องข้ามเกาะไปฝั่ง Butterworth ให้ทันก่อนเที่ยง ไม่งั้นเราจะตกรถไฟหลายต่อเลย เราก็บอกกับอาเราว่าเดี๋ยวเราจะออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้นะ คืออาก็เข้าใจว่าเราจะไปเดินตลาดเช้าใกล้ๆ Hostel
แต่ที่จริงคือเราเดินมาอีกทางนึงซึ่งเป็นตึก George town world heritage อยู่ใกล้ๆ ที่พักเราเหมือนกัน ถ้าเราไม่มานี่เราจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะเราอะชอบสถาปัตยกรรมทรงแบบนี้อยู่แล้ว และที่เลือกมาปีนังก็เพราะชอบบ้านเมืองแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเป้าหมายที่สำคัญพอๆ กับ Harry เลย แต่ด้วยเวลาของเราเราคิดว่าได้มาแค่ที่ George town world heritage ที่เดียวก็จะไม่เสียดายแล้วมั้ง (หรอออออ)
ใจจริงเราอยากไป Beach street อยู่นะ หวีดตั้งแต่ตอนหาข้อมูลแล้ว ตอนนั้นเราก็แอบกลัวนิดนึง เพราะเราไปคนเดียว ไม่มีเน็ต แถมจะต้องนั่ง CAT ไปอีก เรากลัวเราหลงมากๆ กลัวพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราไม่ควรจะกลัวอะ ตังเราก็มีติดตัวมา เราไม่ควรจะต้องกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะก่อนมาเรานั่งศึกษาเส้นทางมาอย่างดีแบบไม่มีเน็ตเราก็ไม่มีทางหลงอะ แล้วภาษาอังกฤษทั้งทริปเราก็ต้องพูดเองหมด แล้วเราก็พาอามาตั้งแต่กรุงเทพยันปีนังได้ จริงๆ เราไม่ควรต้องกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ 55555 บ้าบอมากที่จิตตกกลัวนู้นนี่สารพัดเพราะต้องออกไปคนเดียว แต่สุดท้ายด้วยความอยากไปก็เลยเอาชนะตัวเองด้วยการไปนั่งรอ CAT ที่ป้ายใกล้ๆ กับ George town world heritage
นั่งรอ CAT อยู่พักใหญ่ เราก็นั่งมาลงแถวๆ หัวถนน Beach street เลย คือถ้าใครไม่รู้ว่าต้องลงป้ายไหน ให้เราดูว่าถึงหอนาฬิกาปุ๊ปแล้วกดกริ่งรอเลย เดี๋ยวคนขับเขาจะจอดให้เราเอง แล้ว CAT มันมีสองสาย เราไม่มั่นใจว่าสองสายเขาจะจอดให้ตรงป้ายไหนนะ ที่ Hostel เราก็ไม่มีแผนที่ให้ด้วย แต่ทั้งสองป้ายจะอยู่ใกล้ๆ กับ หอนาฬิกาเลย เราก็จะมาเริ่มตั้งต้นกันที่นี่ แค่หอนาฬิกาก็สวยแล้วอะ ถ้าเดินครบทั้งถนนนี่ก็จะสวยมากกก แถมฟ้าก็เป็นใจให้เราสุดๆ
สองข้างทางก็แบบอังกฤ๊ษอังกฤษ เราหวีดมากกกกกกกกก
จากที่เราสังเกตมา เหมือนว่าที่นี่เขาแอบจะแบ่งแยกชนชั้นกันอยู่นะ (เราอาจจะคิดไปเองก็ได้) เราจะเจอคนอินเดียจะเป็นพนักงานกวาดถนน ทำความสะอาด ขับรถบัส และจะเจอคนจีนเป็นคนขายของ พนักงานต้อนรับ ถ้ามีโอกาสได้มาก็ลองๆ สังเกตดูนะ
เราจะเดินเข้าไปที่ตึกนี้
เพราะทางเดินที่นี่มันอยู่ในตึก!!! บังแดด บังฝนได้ดีมาก
ระหว่างเดินไปก็ถ่ายรูปไปเรื่อย
อันนี้เขาเขียนว่า "Night safe" เราก็ไม่รู้ว่ามันเซฟอะไรยังไงนะ แต่สวยดี
เราก็จะเดินตามริมตึกนี้มาเรื่อยๆ
จะเจอกับร้านอินเดีย ขายชาอินเดียที่เราอยากกิน
แต่ด้วยความที่เราจำไม่ได้ว่าชาที่เราอยากกินมันชื่ออะไร ก็เลยจิ้มมั่วๆ มาอันนึง ชื่อ Teh O แล้วเราดันอ่านไม่ออกอีกว่าไอนี่อะชื่ออะไร จะอ่านว่าทีโอไหมก็ไม่น่าจะมีตัว h (เขาออกเสียงว่า เตะโอ) คนขายเขาก็พูดภาษาอังกฤษได้สำเนียงอินเดียสุดๆ ฟังไม่รู้เรื่อง TT^TT เลยได้อะไรมากินก็ไม่รู้เหมือนกันแก้วละ 1.2 RM ก็ไม่แพงนี่นา แล้วที่ร้านนี้ขายข้าวแบบอินเดียที่เป็นห่อๆ ด้วย แต่เราเพิ่งกินข้าวเช้ามาก็เลยชิมแค่ชาอย่างเดียว
มอไซด์ที่นี่เหมือนเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว 5555 เราเห็นอีกที่ทำเป็นร้านขายของด้วย
เราก็เดินชมเมืองต่อไปเรื่อยๆ
ฟ้าก็สวยตัดกับสีตึกมากๆ คือดี
เดินๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ปิ๊งป่องงง มันคือเสียงเด็กเดินออกมาจาก 7-11 นั่นเอง ไหนๆ ก็เจอแล้วเราก็เลยเดินเข้าไปดูสักหน่อยว่ามีอะไรน่าสนใจ เราไปได้เป๊ปซี่คล้ายๆ กับ เป๊ปซี่แม็กซ์ บ้านเรา แต่รสชาติบ้านเขาจะเข้มกว่า ราคา 2.8 RM ถูกกว่าโค้กวนิลาที่เราซื้อมาอีก
หลังจากเติมพลังเสร็จเราก็เดินกันต่อ
ด้วยความที่เราชอบเราก็ถ่ายเกือบทุกมุม
อยากจะบอกว่าการที่พระอาทิตย์อยู่ตรงขอบหลังคาตึกเป็นอะไรที่ถ่ายรูปยากมากกกกกกกกกกกก
ถ่ายหลบพระอาทิตย์สุดๆ
แต่พอถ่ายย้อนทางพระอาทิตย์ ท้องฟ้าคือฟ้ามากกกกกกกกกกกกกกก
เราชอบทุกมุมจริงๆ
เราว่าที่มันถ่ายรูปสวยเป็นเพราะว่าไม่มีสายไฟมาบังเลย
ตรงนี้ก็เป็นอีกหอนาฬิกานึง ที่เราพยายามถ่ายหลบๆ พระอาทิตย์
แต่นาฬิกามันคงพังแล้วมั้ง เราไปตอนเช้ามันขึ้นมาบ่ายสามเฉยเลย
ตึกเขียวๆ นี้อยู่ใกล้กับสะพานลอยตรงท่าเรือ
วิวสะพานลอยก็ดีงามพระรามแปดมากกกก
คือรวมๆ แล้วสวยทุกมุม
ที่ถนน Beach street ถ้านับตั้งแต่ตรงหอนาฬิกาอันแรกจนถึงสะพานลอยตรงท่าเรือ จะมีความยาวประมาณ 500 เมตร แนะนำว่าให้มาเดินตอนเย็นๆ ค่ำๆ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องพระอาทิตย์อยู่ตรงขอบหลังคาแบบเรา 555 เราเริ่มถ่ายตั้งแต่ตอนเก้าโมงถึงสิบโมง มันเป็นเวลาที่เราเลือกไม่ได้อะเนอะ แต่ก็ชอบเลยต้องมาสักครั้ง มาเห็นด้วยตาตัวเอง ถ่ายรูปด้วยมือตัวเอง มันไม่เหมือนกับดูกลูเกิ้ลหรอกจริงๆ
แต่เพราะเรามัวแต่ถ่ายรูปนี้แหละทำให้ชีวิตเราวินาศสันตะโร ส่วนจะวินาศยังไงต้องติดตามตอนหน้า [นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 7 จบ)] หรือติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน
Try to try ก็แค่ออกไปลอง
วันพฤหัสที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 03.10 น.