วันนี้มีทริปอินเดียมาฝากทุกคนครับ ขอออกตัวก่อนว่าอินเดียไม่ใช่ประเทศที่อยากจะไปเลย แต่ความคิดเปลี่ยนจากการได้อ่านรีวิวอินเดียเยอะ เลยหลงกลซื้อตั๋วอินเดียไปจนได้ ทริปจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
การเดินทางมีดังนี้
Day 1 เดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไปลงสนามบินชัยปุระ และนั่งรถต่อไปอัคราทันที
Day 2 Taj Mahal - Agra Fort - Baby Taj - พักอัครา
Day 3 นั่งรถกลับชัยปุระ - แวะร้านซื้อชุดอินเดีย ผ้าพันคอ ฯลฯ ที่ร้าน Anokhi - แวะห้าง MGF Metropolitan ซื้อเสื้อผ้าราคาถูก (เป็นสถานที่ที่ไม่ต้องกลัวโดนโกง ทั้ง 2 ร้านเพราะมีป้ายราคาชัดเจน) - พักชัยปุระ
Day 4 Hawa Mahal - Jantar Mantar - City Palace - Isarlat - พักชัยปุระ
Day 5 Panna Meena Ka Kund - Amber Fort - Nahargarh Fort - Jal Mahal - พักชัยปุระ
Day 6 Galtaji Temple (Monkey Temple) - Caffe Palladio - บินกลับกรุงเทพฯ
อินเดียเป็นประเทศที่คนไทยต้องขอ Visa นะครับ แต่ไม่ต้องไปสถานกงสุลอินเดียแต่อย่างใด เพียงแค่กรอกข้อมูลผ่าน Website เพียงเท่านี้ ก็สามารถท่องเที่ยวได้เป็นเวลา 30 วันแล้ว ค่า Visa ก็ลดราคาให้กับคนไทยอีก (อะไรจะประจวบเหมาะแบบนี้) จาก 80 US เหลือ 25 US (ประมาณ 800 บาท) เท่านั้น
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในการกรอก Visa ได้ที่
https://pantip.com/topic/38995524
(ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ)
20 ข้อ รู้ก่อน ระวังก่อน มาเที่ยวอินเดีย
1.รถขับฝั่งเดียวกันกับที่เมืองไทย ส่วนการข้ามถนนนั้น วัดดวงเอาเอง
2.ซื้อของให้ใจเย็นๆ 500 รูปีก็เหลือ 50 รูปีได้ เอาเซ่!!
3.คนอินเดียจะเข้ามาขายทุกอย่างกับคุณและใช้คติการขายเดียวกันคือ "ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก"
4.ผ้าปิดปากสำคัญ กันฝุ่น แต่...
5.ยาดมสำคัญกว่า กลิ่นแรงจริงๆ นะจ๊ะ นายจ๋า
6.จ้างทัวร์ท้องถิ่น ยอมจ่ายเงินรอบเดียว ลดความปวดหัวเรื่องโดนโกงค่าเดินทางไปสถานที่สำคัญๆ ทั้งทริป
7.โรงแรมถูกจริง แต่คุณอาจจะต้องจ่ายค่าโน่นค่านี่เพิ่ม เช่น ห้องไม่มีแอร์ ห้องไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตอนจองอ่านข้อมูลให้ดีๆ
8.แลกเงินให้แลกแบงค์ย่อยมาเยอะๆ บางทีจ่ายเงินไป พ่อค้า คนจ่ายตั๋ว ตีเนียนไม่คืนเงินทอนก็มีนะจ๊ะ นาย
9.Passport ไทยสำคัญมาก ใช้ลดค่าเข้าชมสถานที่สำคัญได้ทั้งหมด จ่ายถูกเท่าคนอินเดีย (เฉพาะเมืองอัครา)
10.เวลาอินเดียช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง
11.มีมนุษย์ตามถ่ายรูปให้ แรกๆ บอกฟรี ถ่ายไปถ่ายมาขอตังค์หน่อย
12.มนุษย์ตามถ่ายรูป ยังไม่งง เท่ามนุษย์มาขอถ่ายรูปด้วย ขอถ่ายไปเฉยๆ สงสัยมากเอาไปทำอะไร คุณไสย หรือ คงเอาไปโปรโมททัวร์ตัวเอง (คนขับรถให้เราบอกว่าคนอินเดียชอบถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว เพื่อเอาไปอวดเพื่อน) ตามขอถ่ายด้วย ไม่ยอมไปไหน จนต้องยอมให้ถ่ายๆไป ไม่อยากมีเรื่อง
13.ขับรถในอินเดียต้องมี 3 Good (คนขับรถนำทัวร์เขาฝากบอกมา)
13.1 Good Break -เบรคต้องดี เหยียบต้องหยุด รถขับกันไม่มีระเบียบยิ่งกว่า กทม.
13.2 Good Horn - บีบแตรกันปวดประสาทเลยจ้า ตกใจไปหลายรอบนึกว่าพ่อใครไม่สบายรีบจะไปโรงพยาบาล ที่แท้แค่อยากโชว์ว่ารถตรูแตรดังนะ
13.3 Good Luck - ขับรถในอินเดียต้องพกดวงมาด้วยเหรอ ต้องใช้ดวงกันด้วยเหรอเนี่ย แหมมาแค่นี้ต้องพกดวงมาด้วย
14.น้ำขวดราคาพอๆ กับบ้านเรา พกที่วัดคุณภาพน้ำมาลองตรวจน้ำที่ซื้อกินด้วยก็ดี และน้ำประปา ไม่สะอาดไม่เชื่อมาลองกินดูได้
15.อาหารอินเดียหนักไปที่แป้งทอด และผัก หากมีเนื้อสัตว์จะราคาแพง คนอินเดียรักสนุก กินแต่ของมันๆ ทอดๆ นะจ๊ะ
16.พกมาม่าคัพ ไม่คัพ หมูแผ่น หมูฝอย หมูอะไรอร่อย พกมาด้วยช่วยให้รอดตายได้
17.ค่าครองชีพถูก แต่คุณภาพชีวิตก็ถูกตามไปด้วย
18. ถ่ายรูปสวย สถานที่สวย ไม่สกปรกมากอย่างที่คิด (คือก็สกปรกแหละ แต่ไม่เท่าที่เดาไว้)
19.กระดาษทิชชู่เปียก โคตรสำคัญ เตือนแล้วน้า
20.ไป Taj Mahal ให้มาแต่เช้า ถ่ายรูปง่าย สบายๆ ไม่ต้องตายเพราะกลิ่นแขก
การเดินทางจะเป็นอย่างไรในแต่ละวัน ห้ามพลาด
วันแรกเราเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไปลงที่สนามบินชัยปุระ โดยเราได้ทำการจองทัวร์ท้องถิ่น สิ่งที่ได้จากทัวร์คือ รถพร้อมคนขับ และ คนขับบางทีเป็นไกด์ไปในตัวด้วย แต่จะไม่ได้ตามมาเป็นไกด์ให้เราในการไปสถานที่ต่างๆนะครับ แค่ขับรถพาเราไปที่ที่เราต้องการเท่านั้น ราคา 5 วัน 5,000 บาท ซึ่งทัวร์ของรับเป็นเงินไทย
(ผมแนะนำสำหรับคนที่จะไปเที่ยว ชัยปุระ อัครา จองรถพร้อมคนขับที่สุดครับ แต่หาเจ้าที่ดีๆ หน่อย คนขับรถนำทัวร์สำคัญมาก ทริปจะดีไม่ดีขึ้นอยู่ที่คนนำทัวร์เลย อ่อ แหละอีกอย่าง ***สำคัญมาก คือคุณจะต้องมีโปรแกรมการท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง อย่าปล่อยให้คนขับรถกำหนดโปรแกรมให้คุณ คุณจะต้องวางแผนและกำหนดโปรแกรมและสถานที่ที่คุณอยากไปด้วยตัวของคุณเอง แล้วแจ้งไปยังคนขับล่วงหน้า และย้ำว่าเราจะไม่ไปที่อื่น ไม่งั้นโดนพาไปแต่ร้านค้าที่ทัวร์มีส่วนได้ส่วนเสียไม่รู้ด้วยนะ จะหาว่าพงไม่เตือน )
เดินทางกันต่อ เริ่มต้นที่สนามบินดอนเมือง เหมือนเดิมเราบินกับ AirAsia บินจากเมืองไทย 19.30 น.ถึง สนามบินชัยปุระเวลาท้องถิ่นคือ 22.30 น.
โดยเราซื้อซิมมือถือไปจากเมืองไทย (อยากจะบอกว่าสัญญาณห่วยแตกมาก แต่ถ้าไปซื้อซิมที่โน้นก็ต้องรอเป็นวันกว่าจะปล่อยสัญญาณให้ใช้ เห้อ)
เราลงเครื่องรับกระเป๋า ทัวร์ก็มารอรับเราอยู่ที่ทางออกแล้ว ผมกำหนดโปรแกรมไว้ว่าหลังจากลงเครื่องแล้ว จะนั่งรถต่อไปอัคราทันที
ไม่รู้คิดถูก หรือคิดผิด ขับรถทางหลวงอินเดียดูน่ากลัว และ เราไปเดือนมกราคมหมอกลงเต็มถนน อันตรายมาก
ประมาณ ตี 4 ครึ่ง เราก็ถึงอัครา เราจองโรงแรมชื่อ "Sheela" เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับที่ขายตั๋วเพื่อเข้าชม "Taj Mahal" เพียง 100 เมตร
โดยรวมแล้วผมชอบโรงแรมนะ เพราะว่าอยู่ใกล้ที่ซื้อตั๋วเขาชม Taj Mahal มากๆ แถมบริเวณที่พักให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่ก็อย่างที่บอกมีโดนเล่นงานไปบ้าง ห้องที่เราจองไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ เราจึงจำเป็นต้องจ่ายค่าห้องเพิ่ม เพื่อเปลี่ยนเป็นห้องที่ดีกว่าเดิม และ เรา Check-in ก่อนเวลากำหนดด้วย เลยโดนหลายต่อ จากค่าโรงแรมคืนละประมาณ 400 บาท ก็ขยับเป็น 1,000 บาทไปทันที ไปดูสภาพห้องกัน
รีวิว โรงแรม Sheela
ข้อดี
1. ใกล้ที่ซื้อตั๋วเข้าชม Taj Mahal และ ใกล้กับทางเข้า Taj Mahal เดินแค่ประมาณ 100 เมตร
2. อยู่บริเวณที่ดูปลอดภัย
3. หาของกินง่าย
4. ติดสถานที่ขายของฝากเลย
5. ห้องกว้างสำหรับพัก 2 คน
6. พนักงานให้ความช่วยเหลือดี
ข้อเสีย
1. รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้ หลัง 9.00 น. เป็นต้นไป การจราจรรอบๆ โรงแรมติดขัดรถไม่สามารถเข้ามารับตรงบริเวณโรงแรมได้แต่ช่วงก่อน 9.00 รถสามารถขับเข้ามาใกล้ๆ โรงแรมได้
2. เงื่อนไขการจองโรงแรมไม่ชัดเจน (อ่านให้ดีๆ ก่อนจองเสมอ)
3. ห้องไม่ค่อยสะอาดนัก รวมไปถึงผ้าเช็ดตัว (เป็นไปได้เตรียมผ้าเช็คตัวมาใช้เองด้วย)
เราไม่ได้นอนต่อหรอกนะ เราอาบน้ำ และ เดินไปชมความงามของ Taj Mahal ทันที
หลังจากอาบน้ำให้หายง่วงแล้วเราก็เดินออกไปซื้อตั๋วเข้าชม Taj Mahal กันทันที ราคาตั๋วอยู่ที่ 740 รูปี ให้น้ำ 1 ขวด และ ถุงคลุมรองเท้าไว้ใช้ด้านใน
***สำคัญ อย่าลืมพกพาสปอร์ตไทยไป เพราะคุณจะสามารถจ่ายค่าเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ในอัครา ราคาเท่าคนอินเดีย
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินออกจากจุดขายตั๋ว ไปยังประตูทางเข้าชม Taj Mahal ไม่ไกลครับ
สถานที่แรกของทริปอินเดียของเราคือ Taj Mahal
อีกซะใบ สำหรับผมแค่ได้มาชม Taj Mahal ก็คุ้มค่าการมาอินเดียแหละ
หลังจากเยี่ยมชม Taj Mahal จนหนำใจแล้ว เราก็เดินกลับที่พักไป "นอน" ใช่แล้ว!!! เราได้รูป Taj Mahal ที่ต้องการแล้ว และโรงแรมเราก็ใกล้มาก เราจึงเดินกลับไปนอนพักผ่อนให้เต็มที่ โดยเรานัดกับคนขับรถให้มารับเราประมาณเที่ยงวันครับ เพื่อเดินทางไป Agra Fort สถานที่ต่อไป
12.00น.
หลังจากเราตื่นนอนล้างหน้าล้างตา เราก็เดินทางต่อโดยต้องเดินออกไปหาคนขับรถตามสถานที่ที่นัดกันไว้เพราะช่วงเที่ยงวันรถไม่สามารถวิ่งเข้ามารับเราที่โรงแรมได้ เมื่อเจอคนขับรถแล้ว คนขับรถก็พาเราไปกินอาหารตามที่เราได้แจ้งไปนั้นคือร้าน Pinch of Spice เป็นร้านดังในเมืองอัคราครับ
ไม่ผิดหวังครับ สำหรับร้านนี้ อาหารที่เราสั่งมาอร่อยทุกอย่าง นับเป็นมื้อแรกที่ประทับใจครับ ร้านเราจ่ายไป 915 รูปี
เดินทางต่อไปยัง Agra Fort เช่นเดิมเราใช้ Passport ไทย รวมกับตั๋วเข้า Taj Mahal ทำให้เราจ่ายค่าเข้าไปแค่ 40 รูปีเท่านั้น
*เพราะฉะนั้น จะไปเที่ยวสถานที่สำคัญในอัครา นอกจากจะต้องพก Passport ไทยแล้ว ควรจะเข้าชม Taj Mahal เป็นที่แรก เพื่อนำมาเป็นส่วนลดในที่อื่นๆ
Agra Fort
อีกซะรูป
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้ครับ "Baby Taj" เหมือนเดิม Passport ไทย และ ตั๋ว Taj Mahal ซื้อตั๋วเข้าชมได้ในราคา 25 รูปี
Baby Taj
อีกซะรูป
หลังจากชมความงามของ Baby Taj เสร็จสิ้น เราก็ให้คนขับรถพาเรากลับมาส่งใกล้โรงแรมที่เราสามารถเดินเข้าโรงแรมได้ เป็นอันจบวันที่ 2 ไปเพียงเท่านี้
จะเห็นได้ว่าชีวิตเราสะดวกสบายจากการนั่งรถไปมายังสถานที่ต่างๆ โดยไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องการเรียกรถ หรือการหารถโดยสารเลย แถมไม่ต้องมาปวดหัวกับการโดนโกงค่าโดยสารด้วย การจองรถพร้อมคนขับ จึงเป็นทางออกที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการมาเที่ยวอินเดียของเราในคราวนี้ครับ
ก่อนออกเดินทางเรากินมาม่ากับหมูแผ่นที่เตรียมมาเรียบร้อย เราเริ่มออกเดินทางตอน 9 โมงเช้า เพื่อให้คนขับรถสามารถขับเข้ามารับเราใกล้ๆ ที่พักได้ และเราไปแวะกินข้าวกลางวันที่ร้าน "Rudra Mahal Resort"
เราสั่งอาหารไป 3 อย่าง หมี่ผัด , ไก่ทอด , เฟรนฟราย และ โกโก้ 2 แก้ว คิดราคาที่ 1,570 รูปี ทิปไป 30 รูปี เป็น 1,600 รูปีพอดี
อาหารจานใหญ่ และ อาหารอร่อย จะมีก็แค่ไก่ทอดที่มาช้ามาก และไม่อร่อยอีกด้วย ร้านนี้เป็นร้านที่คนขับรถพาเรามากิน ไม่อยู่ในโปรแกรม แต่เราเป็นคนขอให้คนขับรถหาที่กินข้าวเที่ยงให้เราเอง
หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าตรงไปยังชัยปุระ และไปแวะร้าน "Anokhi" ร้านเปิด 10 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ร้าน Anokhi เป็นร้านที่ขายเสื้อผ้าชุดส่าหรี รวมถึงผ้าพันคอ ปลอกหมอน ฯลฯ ติดป้ายราคาไว้ทุกชิ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวโดนโกงนะจ๊ะ แนะนำเลยร้านนี้ สินค้าคุณภาพดี
เสร็จจาก Anokhi เราก็เดินทางต่อไปยังห้างในเมืองชัยปุระ ชื่อ "MGF Metropolitan Mall" เป็นห้างที่มีของลดราคาเยอะมาก ชุดส่าหรี ที่ห้างนี้ราคาถูกมาก นอกจากจะลดราคาตลอดเวลาแล้ว สินค้ายังติดป้ายราคาไว้ทุกชิ้น ร้านแบรนด์ดังก็มีให้เลือกชมหลายร้าน ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Nike ที่ผลิตภัณฑ์ในร้าน ผลิตที่อินเดียเองราคาถูก แถมยังลดราคาอีกด้วย เป็นต้น แนะนำอีกเช่นกันถ้ามาชัยปุระควรมาลองเดินที่ห้างนี้เผื่อจะเจอสินค้าที่ถูกใจ
เสร็จจากการซื้อสินค้าภายในห้างแล้วก็เป็นเวลา 5 โมงเย็น เราจึงเดินขึ้นไปกินอาหารที่ชั้นบนของห้าง MGF
เราสั่งหมี่ผัด มากินอีกแล้ว 185 รูปี
น้ำผลไม้ปั่นที่ไม่รู้ว่าใส่ผลไม้หรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ ใส่นมทุกแก้ว แก้วละ 80 รูปี และ เค้กอีกหนึ่งชิ้น 80 รูปี ที่ร้านมีค่าภาษีอีก ทำให้เราจ่ายเงินไปทั้งหมด 483 รูปี
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เรียกคนขับรถของเราให้ไปส่งที่ โรงแรม (เราสื่อสารการคนขับรถผ่าน App Line) โรงแรมที่ชัยปุระเราเลือกจองโรงแรม "Hotel Kalyan" ไปดูรีวิวกัน
ประตูทางเข้า
ภายในห้อง
มีทีวี และ มีแอร์ แต่ไม่สามารถเปิดแอร์ได้ (ตอนที่เราไปอากาศหนาวมาก แอร์เลยไม่จำเป็น)
ห้องน้ำอยู่ด้านในสุด
ข้อดี
1.ราคาถูก 3 คืน 1,300 บาท
2.อยู่ไม่ใกล้จากถนนใหญ่ ทำให้พักผ่อนได้อย่างเงียบสงบปลอดภัยจากเสียงแตรรถ
3.พนักงานให้บริการดี ขอน้ำร้อนมาชงมาม่ากินบ่อยมาก
4.ห้องกว้าง
5.ติดร้านอาหาร
6.ใกล้ร้านสะดวกซื้อ (แต่ต้องข้ามถนนซึ่งอันตรายมาก)
7.Wifi แรงดี
ข้อเสีย
1.ไม่มีอะไรให้เลยนอกจากสบู่ 2 ก้อน
2.ห้องไม่สะอาดอีกตามเคย รวมถึงผ้าเช็ดตัวด้วย
วันนี้เราถึงที่พักประมาณ 6 โมงครึ่ง เรานัดคนขับรถให้มารับเราในวันพรุ่งนี้ตอน 9 โมง โดยพรุ่งนี้เราจะเที่ยวแถวๆ ตัวเมืองชัยปุระกัน
สถานที่แรกที่เราไปคือ Hama Mahal และไปนั่งกินกาแฟ ในร้านที่ไม่มีอยู่ในโปรแกรม (โดนคนขับรถ เล่นงานซะแล้ว) นั้นคือร้าน Wind View Cafe จริงๆ ก็สามารถมองเห็น Hama Mahal ได้สวยพอสมควรนะสำหรับร้านนี้ แต่ไม่สามารถ่ายรูป Hama Mahal ให้ตรงได้ ผมจึงไม่จับลงไปในโปรแกรม
เราสั่ง กาแฟ, ช็อกโกแลตร้อนอย่างละแก้ว และ ขนมปังอีก 2 ชุดเป็นอาหารเช้า เสนอราคาอยู่ที่ 340 รูปี
หลังจากกินเสร็จเราก็เดินทางไปยัง Jantar Mantar เราไปถึงห้องขายตั๋วและซื้อตั๋วชุดที่สามารถเข้าชมสถานที่สำคัญในชัยปุระได้ทั้งหมด 8 สถานที่ ราคา 1,000 รูปี โดยมีสถานที่ดังนี้
1. Albert Hall
2. Amber Fort
3. Jantar Mantar
4.Nahargarh Fort
5.Hawa Mahal
6.Isarlat
7.Sisodia Rani Baag
8.Vidhyadhar Baag
มีเงื่อนไขอยู่ว่า มีเวลาในการเข้าชมสถานที่ทั้งหมดแค่ 2 วันเท่านั้น !!! ใครจะไปดูทัน เพราะฉะนั้นเลือกเอาว่าจะไปดูที่ไหนบ้าง และ นี่คือเหตุผลที่เราควรจะเที่ยวเมืองชัยปุระติดกัน 2 วัน มันประหยัดค่าใช้จ่ายได้จ่ายตั๋วชุดนิเอง อ่อที่ชัยปุระไม่สามารถใช้ Passport ไทยเพื่อซื้อตั๋วเข้าชมในราคาเท่าคนอินเดียได้นะครับ (เสียใจฟุดๆ)
หลังจากซื้อตั๋วชุดเสร็จแล้วเราก็เดินเข้าไปชม Jantar Mantar
เป็นสถานที่ดูเวลา และบอกกลุ่มดวงดาวในสมัยก่อน (โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคนคิดฉลาดมากๆ) อีกซะรูป
หลังจากออกจาก Jantar Mantar เราก็เดินเข้าไปยัง City Palace ที่อยู่ติดกัน สำหรับ City Palace จะต้องซื้อตั๋วเข้าชมใหม่นะครับไม่รวมอยู่ในบัตรชุด โดยตั๋วมีให้เลือก 2 ราคาคือ
1. 700 รูปี เข้าชมพื้นที่โดยรอบ City Palace
2. 3,500 รูปี เข้าชมห้องสีฟ้า และ มีชุดน้ำชาของว่างให้กิน
แน่นอนเราซื้อตั๋วแค่เข้าชมบริเวณโดยรอบเท่านั้น
City Palace
อีกซะรูป
เราแวะกินข้าวกันในพระราชวัง City Palace เลย ร้านชื่อ "BARADARI" ร้านบรรยากาศดีครับ
อาหารก็อร่อยนะ เราสั่งมา 2 อย่าง สปาเก็ตตี้ผัดเผ็ด และ ไก่ราดซอส ค่าเสียหาย 1,236 รูปี
สปาเก็ตตี้ผัดเผ็ด
ไก่ราดซอส
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่สุดท้ายนั้นคือ Isarlat โดยตั๋วชุดที่ซื้อมาสามารถเข้า Isarlat ได้ทันที Isarlat มีลักษณะเป็นหอคอยให้เราปีนขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปเมืองชัยปุระในมุมสูง
ปีนๆ และก็ปีน
ชัยปุระมุมสูง
หลังจากนี้เราก็กลับโรงแรม วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางออกไปนอกเมืองชัยปุระ
วันนี้เราไม่ได้กินข้าวเช้า และออกเดินทางตอน 9 โมง โดยเราให้คนขับรถพาเราไปร้านอาหารก่อน คนขับแนะนำร้านนี้ "Rainbow Restaurant & Cafe"
สั่งโกโก้ร้อนมา 2 แก้ว
และสั่งอาหารมา 2 จาน
1.สปาเก็ตตี้อบครีมซอส
2.ไข่เจียว
อาหารอร่อยนะแต่ไม่ควรสั่ง 2 อย่างนี้มาพร้อมกันมันเลี่ยนมากเลยกินไม่หมดแล้วก็อิ่มอืดมาก ราคาอยู่ที่ 900 รูปีรวมทิป
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสถานที่แรกคือ Panna Meena Ka Kund ฟรีค่าเข้าครับ
อีกซะรูป
เราเดินทางต่อไปยังป้อม Amber Fort โดยเราใช้บัตรชุดที่เราซื้อมาเมื่อวานทำให้วันนี้เราไม่ต้องเสียค่าเข้าสถานที่ต่างๆ แต่อย่างใด
Amber Fort
อีกรูป
และอีกรูป
สถานที่ที่ 3 เราขอวันนี้คือ ป้อมที่อยู่สูงที่สุดของเมืองชัยปุระ นั้นคือ Nahargarh Fort เช่นเดิมเรายังใช้ตั๋วชุดที่ซื้อมาเมื่อวานเป็นบัตรผ่านในการเข้าชม โดยรวมแล้วตั๋วชุดที่เราซื้อมาราคา 1,000 รูปีใช้งานเข้าสถานที่ต่างๆที่เราไปเยี่ยมชม จัดว่าคุ้มค่ามากที่เดียวยังมีอีกหลายที่ที่เราไม่ได้ไปนะเนี้ย
Nahargarh Fort
อีกรูป
และอีกรูป
สถานที่สุดท้ายที่คนขับรถพาเราแวะคือ Jal Mahal เป็นวังกลางน้ำ อยู่ทางผ่านที่เราจะกลับที่พักพอดี
Jal Mahal
วังนี้ไม่อนุญาตให้คนเข้าชม ดูได้ในมุมไกลๆ เท่านั้น
หลังจากถ่ายรูป Jal Mahal ระยะไกลๆ แล้ว คนขับรถพาเรากลับโรงแรมเป็นอันจบวันที่ 5 ไปแต่เพียงเท่านี้
วันสุดท้ายของทริปอินเดียแล้ว สำหรับผม เมืองชัยปุระ กับ อัคราที่เรามาเยี่ยมชมมีความน่ากลัวของคนอินเดียอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นการขับรถหรือการเข้ามาขายของแบบ Hard Sale รวมไปถึงคนที่เข้ามาพูดคุยและ ทำทีถ่ายรูปให้เรา แรกๆ ก็ดูเป็นมิตรแต่สุดท้ายก็หวังผลประโยชน์อยากได้เงิน อยากได้ทิปบ้าง แต่โดยรวมทั้ง 2 เมืองเป็นเมืองที่สวย และย้ำกันอีกนิด การมาเที่ยวอินเดียจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับคนขับรถนำทัวร์จริงๆ เพราะฉะนั้นทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ผมแนะนำให้หาข้อมูลเรื่องการจองทัวร์ท้องถิ่น คนขับรถในทริป รวมถึงอย่าลืมวางแผนสถานที่ที่ต้องการจะไปด้วยตนเองก่อนจะไปเยือนอินเดียเสมอ เอาหละมาดูวันสุดท้ายกันว่าเป็นอย่างไรบ้างวันนี้เราเหลือแค่ Galtaji Temple หรือ Monkey Temple นั้นเอง เรากินข้าวเช้าจากที่พัก และ เริ่มออกเดินทางประมาณเที่ยงวันเพราะวันนี้เรายังมีเวลาอยู่ที่ชัยปุระอีกทั้งวัน เครื่องเราออกประมาณ 5 ทุ่มเวลาอินเดีย
คนขับรถพาเราขับมาไม่นานก็ถึง Galtaji Temple หรือ Monkey Temple ค่าเข้าชมคนละ 50 รูปี
Galtaji Temple
ลิงเยอะสมกับที่ได้ชื่อว่า Monkey Temple จริงๆ
ลิงวิ่งไป วิ่งมา เวียนหัวเลยทีเดียว
ไม่น่าเราก็กลับ เราแจ้งคนขับรถให้พาไปช็อปปิ้ง ตรงถนนแถว Hama Mahal (วันอาทิตย์เป็นวันที่ร้านค้าปิดเยอะนะครับ พยายามช็อปปิ้งวันอื่นจะมีของเยอะกว่า) เราได้เดินเล่นและขึ้นไปนั่งกินขนมร้าน The Tattoo Cafe & Lounge จนได้ เพื่อจะถ่าย Hama Mahal ในมุมตรงๆ ร้านไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปฟรีนะครับจะต้องซื้ออาหารในร้านทานเสมอ สำหรับใครที่ต้องการถ่าย Hama Mahal ให้ตรง ให้มานั่งที่ร้าน The Tattoo Cafe & Lounge ครับ
ไม่นานเราก็ลงไปเดินช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองต่อ และ เดินทางต่อไปยังสถานที่สุดท้ายนั้นคือ Caffe Palladio มีลักษณะเป็นบ้าน และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้ามากินเค้ก อาหารและเครื่องดื่ม แนวๆ Homemade ครับ
บรรยากาศดีแบ่งเป็นโซนด้านในและด้านนอก
ร่มรื่น
เค้กก็ใช้ได้ครับ เราสั่งเค้กกับน้ำปั่น 2 แก้วราคาอยู่ที่ประมาณ 600 รูปี
หลังจากนั้นเราก็ให้คนขับรถเราพาไปส่งที่สนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ไปดูหน้าคนขับรถเราซะหน่อย
สรุปค่าใช้จ่ายทริปอินเดีย - ต่อคน
1.ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ - ชัยปุระ 7,000 บาท
2.ค่าโหลดกระเป๋า 1 ใบ 800 บาท
3.ค่าวีซ่าอินเดีย 780 บาท
4.ค่าที่พัก 1,150 บาท
5.ค่าเดินทาง (จ้างคนขับรถ) 2,500 บาท
6.ค่าอาหาร รวมร้านอาหารและน้ำดื่ม 1,500 บาท
7.ค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ 1,035 บาท
รวมต่อคน 14,765 บาท
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้
Pongpaplearn
วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 16.29 น.