‘เชียงใหม่’ ไปเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อ
มาเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้ นอกจากคุณจะได้สนุกกับแหล่งท่องเที่ยวแล้ว
’เชียงใหม่’ ยังมีมุมสวยๆให้คุณได้สนุกกับการถ่ายภาพทั้งวัน
ถ้าพร้อมแล้ว ออกไปลั่นชัตเตอร์กับเรากันเลย
‘เชียงใหม่’ ครั้งเดียวไม่เคยพอ เรากล่าวไว้ในตอนจบของกระทู้เชียงใหม่ครั้งก่อน .. คำกล่าวนี้เราได้พิสูจน์แล้ว เรากลับมาเชียงใหม่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของปีนี้ ระยะเวลาห่างกันแค่เดือนเดียว หากใครยังไม่เคยอ่านเชียงใหม่รอบแรก สามารถไปตามได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะคะ
✿: : Chiang-Mai : : ✿ ~ 3 วัน 3 คืน ~ เพลินลมหนาว หาวเป็นไอ ไผชอบแอ่วเจียงใหม่ มาตางนี้เลยเจ้า (Feb 7-10, 2020)
Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน
Day 1 : เดินทางถึงจังหวัดเชียงใหม่ > อำเภอสันกำแพง > อำเภอเมือง > อำเภอหางดง > อำเภอเมือง
Day 2 : อำเภอเมือง > อำเภอสะเมิง > อำเภอแม่ริม > อำเภอเมือง
Day 3 : อำเภอเมือง > อำเภอหางดง > อำเภอเมือง > เดินทางกลับกรุงเทพ
วันแรกของการเดินทาง : 14 มีนาคม 2563
เมื่อสถานการณ์ Covid-19 เริ่มระบาดหนักในประเทศไทย สายการบินทั้งในและต่างประเทศ เริ่มทยอยยกเลิกเที่ยวบิน ใจเราก็เริ่มตุ่มๆต่อมๆว่าทริปเชียงใหม่ครั้งนี้ของเราจะเป็นยังไง? จะได้ไปเที่ยวรึป่าว? Covid-19 กลัวก็กลัวนะ แต่กลัวเสียเงินไปฟรีๆมากกว่า เอาว่ะ! ลุยสักตั้ง ในเมื่อตั๋วเครื่องบินเรายังมี ที่พักยังไม่บอกยกเลิก ประเทศยังไม่ได้ออกมาตรการให้งดเดินทาง Mask พร้อม! เจลแอลกอฮอล์ พร้อม! ใจพร้อม! Let’s Go To Suvarnabhumi Airport กันเลยค่า ~ การออกเดินทางของเราในครั้งนี้ เราบินของสายการบินไทย เราจองเป็นแบบ Full Service .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 8.30 น. ไปถึงสนามบินเชียงใหม่เวลา 9.50 น. .. และนี่เป็นวิวจากตำแหน่งที่นั่ง 60A ค่ะ
เมื่อมาถึงสนามบินเชียงใหม่ เรามารับรถยนต์ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าไว้ ครั้งนี้ เราจองรถ Toyota Yaris Ativ ของรถเช่าพี่วิ ไม่มีหน้าร้านนะคะ วันละ 750 บาท ส่งเลจคิดเพิ่มชั่วโมงละ 100 บาท รวมเป็น 1,800 บาท (ไม่รวมค่าน้ำมัน) มีค่าประกันรถ 3,000 บาท ได้คืนวันคืนรถค่ะ หากสนใจสามารถโทรสอบถามได้ที่ 0894884058
เชียงใหม่รอบนี้ผิดกับรอบแรกที่มาเลยค่ะ วันที่เรามาถึงนั้น เชียงใหม่ติดอันดับ 1 ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงที่สุดในโลก ทัศนวิสัยแย่มากๆค่ะ เหมือนโดนหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา แต่มาแล้วก็ต้องสู้ ดูแลตัวเองกันไป .. ม๊ะ! เราขอเปิดกระทู้ด้วยของกินกันก่อนเลยดีกว่า โดยร้านที่เราเลือกนั้นได้มิชลิน 2020 ด้วยนะเออ! ไม่ใช่เล่นๆ มื้อแรกที่เชียงใหม่เราก็ขอฝากท้องไว้ที่ Meena Rice based Cuisine มีนามีข้าว ..
ตามชื่อร้านเลย เมื่อมีนาแล้วก็แสดงว่าต้องมีข้าว ที่นี่จึงมีเมนูข้าวเป็น Signature ทั้งเมนูอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่ของร้านนี้จะมีข้าวเป็นส่วนประกอบบวกกับการจัดจานที่สวยงามและรสชาติอาหารที่ดีเลิศ ถ่ายรูปอวดใน IG หรือ FB สวยมั่กมาก ขอบอก .. ข้าวที่มีเอกลักษณ์นี้ เรียกว่า ข้าว 5 สี ประกอบไปด้วย ข้าวไรซ์เบอร์รี่, ข้าวกล้องแดง, ข้าวหอมมะลิ, ข้าวดอกคำฝอยและข้าวอัญชัน ตอนสั่งใครชอบทั้งห้าสีก็สั่งมาให้ครบทุกสีเลยก็ได้หรือใครชอบสีเดียวหรือสองสีก็เลือกได้หมดค่ะ
ใครไปเที่ยวเชียงใหม่หรือใครที่อยู่เชียงใหม่ ชอบอาหารหน้าตาดี เมนูรักสุขภาพ แนะนำมาร้านนี้เลยค่ะ เปิด : 10.00-17.00 น. (ปิดทุกวันพุธ) Facebook : Meena Rice based Cuisine มีนา มีข้าว
หลังจากอิ่มแล้วก็ออกมาเดินย่อยกันหน่อย เรามาเดินเล่นตรงกาดชุมชนที่เรียกขานตัวเองว่า โหล่งฮิมคาว ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งถนนก่อนถึงร้านมีนามีข้าว เป็นย่านสร้างสรรค์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเพื่อนฝูงศิลปินและเจ้าของแบรนด์ผ้าระดับโอท็อป แล้วก็มาเดินตลาดงานแฮนด์เมคสุดชิคอย่าง กาดฉำฉา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน กาดฉำฉาเปิดเฉพาะแค่วันเสาร์ เวลา 9.00 น. – 14.00 น.
เติมพลังเรียบร้อยมีแรงเดินทางกันต่อ ที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ วัดพระธาตุดอยคำ เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทันใจ วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเดือนก่อนเราเดินทางมาพรแล้วครั้งนึง วันนี้เราจึงเดินทางกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อมาถวายดอกมะลิเพราะสิ่งที่ขอประสบความสำเร็จ ..
วัดที่สอง วัดอุโมงค์ หรือ วัดสวนพุทธธรรม วัดโบราณสมัยสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีเอกลักษณ์งดงามไม่เหมือนใคร โบราณสถานที่มีความเก่าแก่อยู่คู่เมืองเชียงใหม่มากกว่า 700 ปี เมื่อเข้าไปภายในอุโมงค์จะพบกับความเงียบและความมืดสลัว มีดวงไฟตามทางเป็นระยะๆ มีพระพุทธรูปโบราณอยู่หลายองค์
ด้านบนของอุโมงค์จะเป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์ 700 ปี ได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าแบบพุกาม ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเจดีย์ตามแต่ละยุคสมัย แรกเริ่มก่อสร้างเริ่มขึ้นในสมัยของพระเจ้ามังรายโดยมีโครงสร้างเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ต่อมาได้รับการบูรณะในสมัยของพระเมืองแก้ว มีการปรับเปลี่ยนโดยประดับรูปกลีบบัวทรงยาวตามแบบอย่างของเจดีย์มอญพม่า
หอธรรมโฆษณ์ เป็นอาคาร 2 ชั้น หลังคาทรงไทย เนื้อที่ชั้นล่างเป็นห้องสมุดบริการหนังสือธรรมในศาสนาพุทธ พื้นที่บนชั้นสองจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงศิลปวัตถุที่นำมาจัดแสดงเป็นของที่พบในบริเวณวัดอุโมงค์
ถัดจากวัดอุโมงค์ ตามแพลนที่วางไว้ เราตั้งใจจะแวะคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์พื้นเมือง อย่าง บ้านข้างวัด ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเดียวกันกับวัดอุโมงค์ เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 – 18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ แต่ไฉนพอขึ้นรถได้ ขับเลยออกมาซะอย่างนั้น มานึกได้อีกทีก็ถึงที่พักกันแล้ว เสียดายจัง! .. สำหรับที่พักตลอดสองคืนของเรา เราพักกันที่ บูชิตา นิมมาน (Buchita Nimman) ห้องพักสไตล์มินิมอล ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ อยู่ห่างจากสนามบินเพียง 5 กม. และยังอยู่ใกล้กับถนนนิมมานเหมินทร์อีกด้วย
สำหรับห้องพักของเรา เราเลือกห้องประเภท Twin Bed Room จองผ่าน FB Messenger มาในราคาโปรโมชั่นของเดือนมีนาคม ราคา 700 บาทต่อคืน รวมอาหารเช้าและมีจักรยานให้ปั่น ฟรี! มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เชคอินเวลา 14.00 น. และเชคเอ้าท์เวลา 12.00 น. ค่ะ
สำหรับอาหารเช้าของที่นี่ ค่อนข้าง Healthy แบบสุดๆ อาหารเช้าจะเริ่ม 7.00 น. - 10.30 น. ที่ระเบียงชั้น 2 ของที่พัก แต่ที่นั่งน้อยไปสักหน่อย ข้าวเหนียวหมูคือดี แนะนำให้ลอง .. หากใครสนใจ สามารถติดต่อสอบถาม/สำรองห้องพัก ได้ที่ Tel.0617946664 Line ID : @buchitanimman และสามารถจองผ่าน Fackbook : Buchita Nimman ได้เลยค่ะ
ส่วนด้านหน้าของที่พักจะมีร้านกาแฟ 8 days a week ตกแต่งร้านเป็นสไตล์มินิมอล มีที่นั่งทั้ง Indoor และ Outdoor ร้านเปิดทุกวัน เวลา 8.00 น. - 19.00 น. Fackbook : 8 days a week
หลังจากที่เราได้เข้ามาเก็บสัมภาระ อาบน้ำอาบท่าให้ชื่นใจ ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็น ก็ถึงเวลาที่เราจะไปตามแพลนต่อไปของเรากันแล้ว จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นั่นก็คือ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต้องบอกก่อนนะว่าเป็นคนละที่กับสวนสัตว์เชียงใหม่นะจ้า .. เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เป็นสวนสัตว์กลางคืนแห่งแรกในประเทศไทย และอาจนับได้ว่าเป็นสวนสัตว์กลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะ อากู๋ (Google) เค้าว่าแบบนั้น
ค่าบัตรเข้าชม ช่วงเวลากลางคืน Night Safari สามารถเข้าได้ทั้ง 2 โซน
– คนไทย ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 125 บาท
– ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 800 บาท เด็ก 400 บาท
การแสดงเสือ (Tiger Show) รอบ 18.00 น.
การแสดงนักล่าแห่งรัตติกาล (Night Predators Show) รอบ 18.50 น.
หนึ่งในโปรแกรมเที่ยวที่น่าสนใจของที่นี่ ก็คือ ไนท์ซาฟารี เป็นการเที่ยวชมบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ในยามค่ำคืน หลายคนก็สงสัยว่า มืดมองไม่เห็นสัตว์แบบเต็มตา มันจะไปสนุกยังไง? ก็เพราะการที่ไม่เห็นอะไรไม่ชัดนี่แหละ มันสร้างความตื่นเต้นให้กับเรา ต้องค่อยลุ้นตลอดว่าจะเจออะไรข้างหน้า! .. เริ่มจาก Savanna Zone เป็นโซนแรกก่อนเลย เริ่มเวลา 20.30 น. ต่อจากนั้นไป Predator Zone เป็นโซนที่สอง เวลา 21.30 น. แต่ละโซนใช้เวลาประมาณโซนละ 30 นาที
หลังจากออกมาจากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ท้องก็เริ่มร้องประท้วง เราจึง Random ร้าน จาก google map ซึ่งเป็นทางผ่านกลับที่พักเราพอดี มาหยุดที่ร้านแจ่วฮ้อนพะเยา .. ร้านนี้มี 2 สาขานะคะ คือ สาขาเจ็ดยอดกับสาขาคันคลอง แต่ที่เราอยู่เป็นสาขาคันคลองค่ะ มาร้านแจ่วฮ้อนทันทีแต่ไม่สั่งแจ่วฮ้อนนะ สั่งเป็นกับข้าวมาทาน ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 240 บาทจ้า อิ่มจุกๆ ..
เป็นไงบ้างคะ ? นี่แค่วันแรกเท่านั้น วันต่อๆไปเราจะไปไหนกันต่อ ไปเที่ยวพร้อมๆกับเราได้เลยนะคะ ลุยกันต่อวันที่สองของการเดินทาง ~
วันที่สองของการเดินทาง : 15 มีนาคม 2563
อรุณสวัสดิ์ค่ะ ~ เมื่อคืนนอนหลับสบายมากไม่อยากตื่นเลยค่ะ .. แต่ไม่ได้นะมาเที่ยวทั้งทีจะมั่วมานอนอืดได้ยังไงกันล่ะ ลุกๆ อาบน้ำแต่งตัว ทานอาหารเช้าให้เรียบร้อย ที่แรกของเช้าวันนี้เราจะไปอำเภอสะเมิงกันค่ะ แต่ไม่ได้ไปเก็บสตอเบอรี่หรือไปทุ่งดอกเก๊กฮวยนะคะ .. เพื่อนๆเคยได้ยินโฆษณาของโกโก้ครั้นไหมคะ? เดาออกไหมว่าเราจะพาไปเที่ยวไหน ใช่แล้ว! เราจะพาไปเที่ยวทุ่งข้าวสาลีที่ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงกันค่ะ บอกเลย F ชุดมาเพื่อสถานที่นี้ ฮ่าๆ ..
สำหรับวิธีการเดินทาง เราสามารถไปอำเภอสะเมิงได้ 2 เส้นทาง เส้นทางทั้งสองนี้มีความคดเคี้ยวและสูงชันเป็นบางช่วง เส้นทางแรก คือ เส้นทางแม่ริม - สะเมิง ใช้เส้นทางหมายเลขทางหลวง 1096 ระยะทาง 52 กม. (เราใช้เส้นทางนี้แหละ) และเส้นทางที่สอง คือ เส้นทางหางดง - สะเมิง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1269 ระยะทาง 48 กม. ระยะทางอาจไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่จะมีความแตกต่างเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างทางมากกว่า เพื่อนๆ อาจเลือกเส้นทางมาเส้นทางหนึ่ง แล้วกลับอีกเส้นทางหนึ่งก็ได้นะ จะได้แวะเที่ยวสถานที่ระหว่างเส้นทางได้ด้วย หรือใครไม่ได้ขับรถมา จะเหมารถประจำทาง (รถเหลือง) มาได้เช่นกัน สามารถมาขึ้นได้ถึง 2 ท่ารถ คือ สถานีขนส่งช้างเผือกและที่ท่ารถกาดหลวง (ตลาดวโรรส) ค่ะ
ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง เป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว สามารถเข้าเที่ยวชมได้ทุกวัน ไม่เสียค่าชมใดๆทั้งสิ้น แต่อย่ามัวแต่ถ่ายรูปจนเพลินจนเผลอเหยียบและทำลายทุ่งข้าวนะคะ .. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวทุ่งข้าวสาลีจะเป็นช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ข้าวสาลีจะเริ่มออกรวงเป็นสีเหลืองทองอร่ามไปทั่วทุ่ง หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนเมษายนแล้ว ทางศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงจะทำการหว่านเมล็ดปอเทืองแทนที่ สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook : ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง เชียงใหม่ นะคะ จะได้ไม่มาเสียเที่ยวมาแล้วจะได้มีรูปสวยๆกลับไป
จากอำเภอสะเมิงเรากลับมาอำเภอแม่ริมอีกครั้งเอาใจสายเอ็กซ์ตรีมกันหน่อยกับ PONGYANG Jungle Coaster & Zipline ที่นี่มีเครื่องเล่นมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือก จะแยกเล่นเป็นเครื่องเล่นหรือซื้อเป็นแพคเกทก็แล้วแต่เลือกเลยค่ะ ..
สำหรับเครื่องเล่นแนะนำต้องนี่เลย Jungle Coaster คล้ายๆรถไฟเหาะแต่ไม่ตีลังกา สามารถควบคุมความเร็วและเบรคเองได้
ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เรามาแวะทานข้าวที่บ้านม่อนม่วน ซึ่งเป็นทั้งที่พักและร้านอาหารบริเวณทางขึ้นม่อนแจ่ม เรารู้จักที่นี้จากละครตามรักคืนใจที่มาใช้สถานที่แห่งนี้ในการถ่ายทำ .. ร้านอาหารบ้านม่อนม่วนให้บริการอาหารไทย และอาหารเมืองสไตล์โฮมเมด มีที่นั่งทั้ง Indoor และ outdoor รับลมเย็นสดชื่นพร้อมวิวพาโนราม่าที่มองยังไงก็ไม่เบื่อ แถมร้านนี้ก็ได้รับได้มิชลิน 2020 ด้วยนะ เราพามาทานร้านอร่อยอีกแล้ว !!!
โทร. 094-6262239, 095-2298249, 083-3186444 และ 083-3186555
Website : www.baanmonmuan.com
Facebook: Baan Mon Muan
หลังจากกินข้าวจนพุงกางแล้ว ล้อก็หมุนอีกครั้ง พร้อมออกเดินทางไปยังสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะไม้ประจำถิ่น และไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เพื่อการอนุรักษ์ ขยายพันธุ์ ศึกษาวิจัย และการบริการความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ .. เปิดทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 08.30 น. - 17.00 น. ..
Facebook : สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
website : https://www.qsbg.org
ค่าเข้าชม
คนไทย : เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท
นักเรียน 20 บาท นักศึกษา 40 บาท
ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี/เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี/พระภิกษุสามเณร/ผู้พิการ ไม่เสียค่าเข้าชม
ชาวต่างชาติ : เด็ก 50 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท
ค่าบริการรถนำชม : เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 30 บาท
ค่าธรรมเนียมรถยนต์ในกรณีขับรถเข้าชมเอง คันละ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมรถบัส คันละ 200 บาท (เพื่อความปลอดภัย ไม่อนุญาตให้นำรถบัส 2 ชั้นเข้า)
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ มีจุดที่น่าสนใจอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ
1. Canopy walkway เส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้
2. Glasshouse Complex กลุ่มอาคารเรือนกระจก
3. Natural Science Museum พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ
เราแวะเพียง 2 จุด โดยจุดแรกที่เรามาแวะเยี่ยมชม คือCanopy walkwayเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีระยะทางกว่า 400 เมตร ระดับความสูงกว่า 20 เมตร โครงสร้างทำมาจากเหล็ก แข็งแรง บางช่วงมีกระจกใส สามารถมองเห็นลงไปด้านล่างได้แต่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด .. สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเราในตอนนี้คือความร้อนจากแดดในเวลาบ่ายสองโมงที่กำลังแผดเผาตัวข้าพเจ้าอยู่นั่นเอง ใครให้มาเดินศึกษาธรรมชาติตอนนี้เนี่ย เหงื่อแตกซิกๆกันเลยเชียว .. Canopy Walkway จะปิดให้บริการในฤดูฝน และเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป แต่วันไหนฝนตก ก็จะปิดให้บริการในวันนั้นนะจ้า ~
ไปจุดที่สองกันต่อเลยดีกว่าค่ะ เป็นกลุ่มอาคารเรือนกระจก (Glasshouse Complex) มีทั้งหมด 12 โรงเรือน เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงพืชให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด สามารถควบคุมความชื้น แสงหรืออุณหภูมิได้ในระดับหนึ่ง ให้ใกล้เคียงกับสภาพธรรมชาติที่พืชต้องการ .. เราเข้าไปชมเพียง 2 โรงเรือนเท่านั้น คือ 1.โรงเรือนพืชทนแล้ง (Arid Plants) ประกอบด้วย พืชกลุ่มกระบองเพชร ตรงโรงเรือนนี้จะมีจุดถ่ายรูปที่เป็นที่นิยมของเหล่าฮิปเตอร์ทั้งหลาย เราก็ไม่พลาดนะจ้า
2.โรงเรือนพืชกินแมลง (Carnivorous Plants) จัดแสดงพืชกินแมลง ประกอบด้วย หม้อข้าวหม้อแกงลิง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรงเรือนที่จัดแสดงพรรณไม้ที่น่าสนใจ ได้แก่ เรือนป่าดิบชื้น เรือนกล้วยไม้ เรือนพืชสมุนไพร เรือนไม้ด่าง เรือนสับปะรดสี และเรือนบัว
เดินทางกันต่อ ตอนนี้เทรนด์ถ่ายรูปกับทุ่งดอกไม้กำลังมาแรง นักท่องเที่ยวสายถ่ายรูปอย่างเราก็ต้องมาเชคอินที่นี่กันหน่อย เดี๋ยวจะตกเทรนด์ ถ้าพร้อมแล้วเปลี่ยนชุดสวยๆแล้วไปถ่ายรูปเล่นกันที่ I LOVE FLOWER FARM กันเลย ..
I LOVE FLOWER FARM เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากการที่มีเหล่าเซเลป ดารา มาเที่ยวและถ่ายภาพกันอย่างไม่ขาดสาย บานสะพรั่งไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ทั้งดอกคัตเตอร์สีขาวดูละมุน ดอกมาร์กาเร็ตสีม่วงสุดน่ารัก หรือจะเป็นแปลงดอกไม้หลากสี อย่าง Celosia ไล่ระดับสีโทนร้อน ถ่ายรูปมุมไหนก็ออกมาสวยสมใจ มาที่เดียวได้ครบทุกอารมณ์ (ดอกไม้บางชนิดบาน-โรยไม่เท่ากัน บางคนอาจมาในช่วงจังหวะดีเจอหลากสี บางคนอาจมาเจอตอนดอกไม้ยังไม่บานหรือเพิ่งเริ่มปลูก แนะนำให้สอบถามกับทางเพจมาก่อนนะคะ เพื่อลดความคาดหวัง)
ทางสวนจะมีลานจอดชุมชนไว้คอยบริการนะคะ ไม่ต้องขับรถเข้ามา เพราะเป็นถนนแค่เลนเดียว สวนกันลำบากค่ะ จอดรถไว้แล้วนั่งรถสองล้อพ่วงข้างเข้าไปในสวน ในราคาไป-กลับคนละ 20 บาท ถือเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนด้วยนะคะ ..
สำหรับค่าเข้าชมสวนดอกไม้ คนละ 70 บาทเท่านั้น แถมได้ Welcome Set เป็นน้ำสมุนไพรเย็นชื่นใจกับขนมไทยอีกคนละ 1ชุด (แล้วแต่วันว่าจะเป็นเมนูไหน)
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและป้องกันไม่ให้แปลงดอกไม้เสียหาย ทางสวนจึงมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไม่เกิน 200 คนต่อวัน สามารถจองคิวผ่านทาง Facebook : I love flower farm ได้ทางเดียวเท่านั้นพร้อมแคปหน้าจอการจองมายืนยันตอนมาถึงค่ะ .. ตอนนี้ทางสวนดอกไม้ I love flower farm ปิดแล้ว แล้วจะเปิดสวนอีกทีวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นะคะ เตรียมแพลนกันไว้ได้เลย (ทางสวนไม่ได้ขายพันธุ์กล้าไม้นะคะ เป็นการตัดขายเท่านั้นค่ะ) .. แวะมาถ่ายรูปสวยๆเปลี่ยนโปรไฟล์กันน๊าาา ..
ถึงเวลากลับที่พักกันแล้ว ก่อนถึงที่พักเรามาจอดแวะซื้อของฝากที่ร้านวนัสนันท์ ซึ่งเป็นร้านขายของฝากยอดนิยมในจังหวัดเชียงใหม่ จำหน่ายอาหารพื้นเมืองและอาหารแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรของทางภาคเหนือ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากจะซื้อของฝากแต่ไม่อยากอารมณ์เสียกับการวนหาที่จอดรถแถวตลาดวโรรสนะคะ ก็สามารถมาเลือกซื้อที่นี่ได้ ราคาถูกกว่าซื้อในสนามบินแน่นอน มีของให้เลือกหลากหลายแถมแพคสำหรับขึ้นเครื่องให้ได้ด้วยค่ะ
หลังจากทำธุระปะปังเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาอาหารเย็น เรากับพี่สาวตกลงกันว่าคืนนี้จะไปนั่งชิลล์ที่ Rooftop Bar อยู่ชั้น 5 ของ Hotel Yayee ภายในซอยนิมมานเหมินท์ 17 หรือซอยเดียวกันกับ Iberry Garden ร้านไอศกรีมโฮมเมดของพี่โน๊ตอุดม ที่จอดรถต้องหาจอดภายในซอยเอานะคะ .. ระหว่างทางที่ขับรถมาฝนแรกก็ตกที่เชียงใหม่ เลือก Rooftop แต่ฝนดันตกซะงั้น ดีนะที่วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ เราจึงมีที่นั่งในร่มอยู่บ้าง .. เราเมนูที่เป็น Reccommend ของทางร้าน ชื่อเมนู Angle Hair Khon Meung เป็นสปาเก๊ตตี้ที่ทานคู่กับไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู ฟังดูเหมือนไม่เข้ากันแต่รสชาติเข้ากันดีมาก และอีกเมนูที่เราสั่ง คือ Penne Carbonara เป็นเมนูที่ต้องลอง เส้นเพนเน่ผัดกับครีมซอสไข่แดง ใส่เห็ดและเบคอนทอดกรอบเครื่องดื่มเราสั่งเป็น Red lady (Lime+strawberry) และ Yayee tree pot ค่ะ
สำหรับวันนี้ขอตัวอำลาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ การเดินทางในวันสุดท้ายของเราจะไปไหนบ้าง รอติดตามกันต่อได้เลยน๊า .. ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกคน zZ
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 16 มีนาคม 2563
Good Morning ค่า ~ วันนี้เราจะอยู่เชียงใหม่กันเป็นวันสุดท้าย เราขอเริ่มต้นด้วยมื้อเช้าที่แสนสดใสกับเมนูขนมปังนึ่งกับสังขยาสีพาสเทลของร้านโกเผือกโกดำ ร้านเล็กๆ ริมถนนในซอยกันนะคะ หากใครมาในวันเสาร์-อาทิตย์มาเช้าหน่อยนะคะ ถ้าสายอาจจะรอหลายคิวเลย หรือใครไม่อยากรอคิวนาน สามารถจองคิวล่วงหน้าก่อนถึงร้านได้ง่ายๆ พร้อมรับแจ้งเตือนคิว ไม่ต้องเสียเวลารอหน้าร้านนานๆ ผ่าน QueQ App ได้นะคะ
อย่างที่บอกไป เมนูไฮไลต์ของร้านนี้คือสังขยาสีพาสเทล มีด้วยกัน 4 สี แต่ละสีจะมีรสชาติและความหอมแตกต่างกันไป สีฟ้าทำจากอัญชัน สีชมพูทำจากบีทรูท สีเขียวทำจากชามะลิ และสีส้มมาจากชาไทย ขนมปังมีให้เลือกสองแบบ คือ ขนมปังนึ่งกับขนมปังปิ้ง
และอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดสำหรับร้านนี้เลยก็ขนมปังชาร์โคลปิ้งค่ะ .. ลองแวะเวียนมาทานดูได้นะคะ นอกจากสองอย่างที่กล่าวไป ทางร้านยังมีเมนูอาหารเช้าอื่นๆด้วยนะคะ อย่างเช่น ไข่กระทะ ไข่ลวก ก๋วยจั๊บญวน ข้าวต้ม เป็นต้น ร้านเปิดเวลา 7.30 น. - 14.00 น. หยุดทุกวันอังคาร สามารถติดตามข่าวสารของทางร้านได้ที่ Facebook : โกเผือกโกดำ | GopuekGodum ค่ะ
แเชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัดมากมาย หนึ่งในนั้นคือวัดที่มีความสำคัญ นั่นก็คือ วัดพระสิงห์ ที่เป็นสถานที่ห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเชียงใหม่ เป็นวัดที่ประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่อยู่ ณ วิหารลายคำ
นอกจากนั้น วัดพระสิงห์ยังมีพระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดปีมะโรง (งูใหญ่) ด้วย เพราะฉะนั้น ใครที่เกิดปีมะโรง ลองหาโอกาสมากราบสักการะวัดนี้สักครั้งกันนะ
มาเที่ยวเชียงใหม่ครั้งที่สองแล้วแต่ยังไม่เคยมาตรงนี้สักที ประตูท่าแพ เราจึงทิ้งรถไว้ที่วัดพระสิงห์และกระโดดขึ้นรถตุ๊กๆให้มาส่งที่ประตูท่าแพ มาแอคท่าถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้สักหน่อยว่าครั้งนึงเราเคยมาที่นี่นะ .. ตรงบริเวณประตูท่าแพช่วงเย็นของวันอาทิตย์จะมีถนนคนเดินยาวไปจนถึงวัดพระสิงห์เลยนะคะ ใครมาตรงวันอาทิตย์ลองมาเดินเล่นกันได้
จากประตูท่าแพเราเดินเท้าต่อมาเรื่อยๆจนถึงวัดเจดีย์หลวง เป็นสถานที่ประดิษฐานเจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นที่ตั้งศาลหลักเมืองของเชียงใหม่ หรือเรียกกันว่า หออินทขิล
เชียงใหม่ ขึ้นชื่อมากว่าเป็นเมืองแห่งคาเฟ่ มองไปทางไหนก็เจอแต่คาเฟ่ฮิปๆ ฮิตๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวสาย cafe hopping ได้มาเยือน เชคอิน ถ่ายรูปกันแบบเก๋ๆ .. วันนี้เรามีหนึ่งคาเฟ่ที่เล็งไว้มานานแล้วต้องมาให้ได้ นั่นก็คือ CHOM CAFE & RESTAURANT .. และร้านนี้ก็เป็นร้านที่สามของทริปนี้ที่เรารับประกันความอร่อยระดับ MICHELIN GUIDE 2020 อีกแล้วนะครับท่าน !!!
ชมคาเฟ่ เป็นร้านอาหารและคาเฟ่บรรยากาศดีๆที่มาพร้อมกับการตกแต่งสวนป่าสไตล์ Tropical Thai Moss Garden ซึ่งเป็นการจำลองสวนป่าดิบชื้นมาอยู่ในเมือง ที่ให้บรรยากาศร่มรื่นด้วนต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ อีกทั้งที่นี่ยังมีต้นเฟิร์น มอส และสายไอหมอกภายในสวนยิ่งเพิ่มบรรยากาศให้รู้สึกเย็นสบาย ชื่นใจเป็นที่สุด
ที่นี่มีเมนูอาหารให้เลือกอร่อยทั้งเมนูอาหารไทยและอาหารยุโรป และเมนูที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสายคาเฟ่ คือ กาแฟ และเมนูเบเกอรี่ต่างๆที่สุดแสนอร่อย ระดับ Premium ไม่รู้ว่าพูด Over เกินจริงไปรึป่าว แต่สำหรับเราอาหารที่นี้อร่อยแบบนั้นจริงๆ ^^
ร้านชมคาเฟ่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม Good View Village ติดกับร้าน ต้มเลือดหมู จิงจูไฉ่ เส้นแม่เหียะ วงแหวนรอบ 2 เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 น. - 19.00 น. ที่จอดรถกว้างขวาง Facebook : Chom Cafe and Restaurant สามารถสำรองที่นั่งก่อนได้ที่เบอร์ 053-271749 หรือ 065-4388188 ค่ะ
หลังจากทายเสร็จเรายังมีเวลาเหลือเฟือไม่รู้จะไปทิ้งตัวอยู่ที่ไหนดี เลย search ดูว่าจะไปไหนดี เลยมาจบที่พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช. แต่! เพิ่งปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้วันแรกเลยจ้า แจ๊กพอตจริงๆ ..
เราจึงต้องเลือกจุดหมายปลายทางอันใหม่ สุดท้ายมาจบลงที่วัดต้นเกว๋น หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดอินทราวาส วัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครย้อนยุค เช่น รอยไหม, เมื่อดอกรักบาน, รากนครา, เพลิงพระนาง และล่าสุดเรื่องกลิ่นกาสะลอง .. จุดเด่นของวัดนี้ คือ ศาลาจตุรมุข ที่ตอนนี้พบเพียงหลังเดียวในภาคเหนือที่ยังคงความสมบูรณ์และทรงคุณค่าทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมล้านนาดั้งเดิมควรค่าแก่การมาชม
จบที่เที่ยวที่สุดท้ายของทริปนี้ ~ เมื่อใกล้ถึงเวลา เรานำรถมาคืนพี่วิที่สนามบินเชียงใหม่ (ต้องเติมน้ำมันมาให้เต็มด้วยนะ) .. ขากลับเราเลือกสายการบินไทย เราจองเป็นแบบ Full Service เช่นเดิม Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 15.20 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 16.35 น. ค่ะ .. สุดท้าย ขออำลาด้วยภาพวิวจากตำแหน่งที่นั่ง 58A ให้ชมกันค่ะ ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ
ขอบคุณ SONY A6500 + Lens CZ 16-70mm F4 + FE 35mm f1.8 และ Iphone 11
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
รับชมในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ (อย่าลืมกด HDด้วยนะ)
ขอฝากติดตามผลงานรีวิวก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ
https://pantip.com/profile/232499
.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)
ค่าตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) 3,080 บาท
ค่าเช่ารถ (2 วัน+เกินเวลา) 1,800 บาท
ค่าที่พักบูชิตา นิมมาน (2 คืน) 1,400 บาท
ค่าอาหารร้านมีนามีข้าว 628 บาท
ค่าเข้าเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 600 บาท
ค่าอาหารร้านแจ่วฮ้อนพะเยา 240 บาท
ค่าเครื่องเล่นโป่งแยงจังเกิ้ล 300 บาท
ค่าอาหารร้านบ้านม่อนม่วน 918 บาท
ค่าเข้าสวนพฤกษศาสตร์ฯ 140 บาท
ค่ารถพ่วงเข้าสวนดอกไม้ 40 บาท
ค่าเข้าสวน I Love Flower Farm 140 บาท
ค่าอาหาร Rooftop Bar 790 บาท
ค่าอาหารร้านโกเผือกโกดำ 90 บาท
ค่าสามล้อ 60 บาท
ค่ารถแดง 40 บาท
ค่าอาหารร้านชมคาเฟ่ 750 บาท
เติมน้ำมัน 440 บาท
รวมทั้งสิ้น 11,456 บาท (ตกคนละ 5,728 บาท)
In My Eye
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.18 น.