ในวันที่เราอยากใช้ชีวิตแบบชิลๆ สัมผัสวิถีชาวบ้านบ้าง...เราก็นึกถึงจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ อย่างที่ไม่คิดว่า..อุทัย..ก็มีอะไรดีกว่าที่คิดนะคะ เมืองประวัติศาสตร์ วัฒธรรม ธรรมชาติที่งดงามอีกแห่งหนึ่ง
เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวชมในหลายๆ ที่ ตอนแรกใจเราอยากพักริมแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวอุทัยธานี แต่ที่พักก็ช่างมีน้อยนิด แล้วก็เต็มด้วยสิ ตอนนั้นเราไปช่วงปลายปี อากาศเริ่มเย็นๆ นิดๆ
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากกทม. วิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านชัยนาท จนถึงอุทัยธานี และก็ตรงเข้าตัวเมืองอุทัยธานี ระหว่างทางผ่านไร่มัลเบอรรี่ The Sun House ไร่สุดท้าย รีสอร์ท เป็นร้านกาแฟ และมีแปลงมัลเบอรี่สามารถเดินเก็บผลมัลเบอรรี่ได้สดๆ เดินเล่นถ่ายรูปได้เพลินๆ และที่นี่มีที่พักชิลๆ ด้วย วิวข้างๆ ก็เป็นทุ่งนาเขียวขจี ธรรมชาติบำบัดกันไป
แล้วหลังจากนั้นก็ไปหาอะไรทานในแถวริมแม่น้ำ แบบวิถีชาวบ้าน ง่ายๆ อร่อยๆ แต่วิวดี บรรยากาศสบายๆ
เมื่อท้องอิ่ม เราก็มุ่งหน้าไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ อย่าง พระจุฬามณีเจดียสถาน และพระวิสุทธิเทพ ที่ประดิษฐาน พระวิสุทธิเทพ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้จำลองพระพุทธเจ้า ทรงเครื่องบนพระนิพพาน ประทับนั่งห้อยพระบาทอยู่บนแท่น กราบสักการะกันสักนิด เพราะถือว่าเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดอุทัยธานีนี้
แล้วก็มุ่งหน้าไป วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) ที่มีชื่อเสียงด้วยความสวยงามของวิหารแก้วสุดอลังการที่ประดับด้วยโมเสกแก้วกว่า 100 เมตร ทำให้วิหารระยิบระยับสวยงาม พระวิหารแก้วที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราชจำลอง และศพของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย ซึ่งถือว่านอกจากนั้นยังมีจุดน่าสนใจภายในวัดอีกหลายแห่ง เดินกันแบบครึ่งวันยังไม่ทั่วเลยค่ะ
และก็ได้เวลาเข้าที่พักซึ่งเป็นโฮมสเตย์ ในตัวเมืองอุทัยธานี ซึ่งเป็นแหล่งชุมชน ที่ง่ายๆ สบายๆ ใกล้กับถนนคนเดิน ถือว่าเป็นที่พักที่ไม่มีทีวี มีห้องพักไม่นัก มีทั้งแบบห้องน้ำในตัว และห้องน้ำต่างหาก ถือว่าค่ำนี้ก็พักที่นี่ตามชื่อโฮมสเตย์นี้เลยค่ะ... ค่ำนี้ที่อุทัย รอบๆ ก็จะมีร้านกาแฟ ร้านอาหารบรรยากาศชิลๆ ร้านขายของ และสนามบาส สนามฟุตบอล
และใกล้ๆ ที่พักนี่ก็มีถนนคนเดินแต่ต้องเดินไปอีกพอสมควร ระหว่างทางก็จะเจอร้านค้า ร้านกาแฟ ชื่อแปลกๆ อย่างร้านี้ นะคะ
และแล้ว...เราก็เดินมาถึงถนนคนเดินของจังหวัดอุทัยธานี.... ถนนคนเดินตรอกโรงยา ที่นี่จะมีร้านค้ามากมาย หลากหลายสไตล์ มีทั้งร้านค้าแบบโบราณ ของเก่าที่อนุรักษ์ไว้ ของที่ระลึก ของกินแบบแนวสตรีทฟู๊ดส์ แต่เป็นของกินพื้นบ้าน ขนม ผลไม้ หลากหลายไปหมด ถือว่ากว้างขวาง แต่ที่นี่จะหาที่จอดรถยากมาก ต้องจอดที่อื่นแล้วเดินมาที่นี่ค่ะ และที่สำคัญต้องรีบมาเดินนะคะ เพราะประมาณ 2 ทุ่ม ร้านต่างๆ ก็เริ่มทยอยเก็บแล้วนะคะ
คืนนี้ก็ต้องรีบนอน เพราะที่นี่ไม่มีทีวี และพอสามทุ่มก็เงียบมาก ที่สำคัญวันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้าไปเดินตลาดเช้า
เช้าวันใหม่กับวิถีชีวิตลุ่มน้ำสะแกกรัง พระอาทิตย์ดวงใหญ่มากเหนือลุ่มน้ำแห่งนี้ ช่างเป็นภาพที่สวยงาม ก่อนเดินชมตลาดเช้า วิถีชาวบ้านริมน้ำสะแกกรัง
และกิจกรรมที่ขาดไม่ได้คือ การใส่บาตรทางน้ำ ซึ่งพระสงฆ์ท่านรับบาตรทางเรือ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวก็จะมาใส่บาตรกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง แต่เขาก็จะมีการกำหนดคนลงไปใส่บาตร เพื่อความปลอดภัยค่ะ อาหารและดอกไม้ก็หาซื้อได้จากในตลาดนั่นแหล่ะค่ะ
และเราก็เจอร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงอีกร้านหนึ่ง คือร้านมุมสะแก ที่มีมุมนั่งเล่นสูง มองวิวริมแม่น้ำได้อย่างสวยงาม
ก่อนที่จะเดินข้ามสะพานน้ำใจอันสวยงาม ไปยังอีกฝั่ง ซึ่งมีอีกวัดคือ วัดอุโปสถาราม หรือวัดโบสถ์ จัดเป็นศาสนสถานเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานีตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงียบสงบ ในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ ผนังทั้ง 4 ด้านในงดงามไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวบอกเล่าถึงประวัติของพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน
“เจดีย์สามสมัย” ซึ่งเจดีย์ที่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน เจดีย์ทรงระฆังเป็นศิลปะแบบอยุธยา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมศิลปะแบบผสมผสานระหว่างอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ตั้งเรียงรายอยู่ในแนวระนาบเดียวกันอย่างสวยงาม
และกิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างของที่นี่คือ การล่องเรือชมวิถีชีวิตของชาวลุ่มน้ำสะแกกรังนี้ โดยนั่งเรือหางยาง และมีคนเรือเป็นมัคคุเทศก์แนะนำสถานที่ต่างๆ บรรยายเป็นบทเพลงให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน และคนเรือและชาวอุทัยปลาบปลื้มคือ พระตำหนักส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเรียบง่าย ชาวอุทัยธานีภาคภูมิใจที่พระองค์องค์เลือกจังหวัดนี้สร้างพระตำหนักค่ะ
แล้วเราก็กลับไปเดินเล่นซื้อของที่ตลาดเช้ากัน อย่าง น้ำยาอุทัยทิพย์ ที่หลายคนอยาจไม่รู้ว่า ที่นี่ก็มีจำหน่ายและส่งไปทั่วประเทศนะคะ
แล้วเราก็กลับไปรับประทานอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์ อย่าง ค่ำนี้ที่อุทัย จัดไว้ให้มาดูความน่ารับประทานกันนะคะ
แล้วก็ถึงเวลาเช็คเอ้าท์ ที่เราต้องออกเดินทางกันไปต่อ ขอบคุณการต้อนรับที่อบอุ่นที่เลือกที่พักไม่ผิดจริงๆ ค่ะ
โดยเริ่มจากเข้าไปสักการะศาลหลักเมือง จังหวัดอุทัยธานี ที่เมื่อสักครู่ได้ล่องเรือผ่านมา
แล้วไปต่อด้วยในเมือง อย่างวัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสะแกกรัง มีบันได 449 ขั้นขึ้นไปสู่ยอดเขา หรือจะเลือกขับรถขึ้นไปก็ได้ พอขึ้นไปถึงชมวิวเมืองอุทัยฯ จากบนยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งยอดเขาแห่งนี้นับเป็นจุดที่สูงที่สุดของตัวเมืองอุทัยธานี ทำให้เราสามารถเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนด้านล่างไปไกลจนสุดสายตา
และด้านล่างก็กราบสักการะบูชา “หลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวอุทัย ซึ่งสันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นในสมัยพญาลิไท มีอายุประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว ด้วยเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยสีเหลืองทองอร่าม ประดิษฐานเป็นพระประธาน ท่ามกลางความวิจิตรงดงามของลดลายไทยที่ประดับด้วยกระจกสีบนผนังของวิหาร
แล้วเราก็ไปหาสถานที่ท่องเที่ยวอื่นต่อ... อย่าง ต้นไม้ยักษ์
และเมื่อแดดร่มลมตก...ก็ได้เวลาที่เราต้องรีบเข้าที่พัก ซึ่งที่นี่จะไกลพอสมควร นั่นคือ โรงแรมอวตารมิราเคิล ซึ่งทางเข้าโหดพอสมควร แต่พอเข้าไประหว่างทางเป็นท้องนาเขียวขจี เป็นโรงแรมที่ตกแต่งสไตล์ลอฟท์ แบบปูนเปลือย ตกแต่งให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ห้องพักมีระเบียง ห้องน้ำเปิดโล่ง เห็นท้องฟ้า
ที่นี่มีบริการสปาเกลือที่่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเกลือที่ใช้เป็นเกลือเย็นเหมาะกับอากาศเมืองไทย ไม่ต้องกลัวว่าจะร้อนจนเกินไป อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยขจัดของเสียในร่างกาย ช่วยทำให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ หลังจากทำสปาก็จะรู้สึกผ่อนคลาย ตัวเบา จนอยากหลับพักผ่อนเลยล่ะค่ะ
เมื่อออกไปไหนไม่ได้แล้ว..ก็ต้องหาอะไรทานที่รีสอร์ทก็จะมีอาหารตามสั่ง อาหารจานเดียวง่ายๆ หม่ำๆ เบาๆ หลังจากทำสปากันมานะคะ
ไฮไลท์ของโรงแรม คือ สระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ ที่โอบล้อมไปด้วยทิวเขา ได้สัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติ และความเป็นส่วนตัวสุดๆ เลยค่ะ
วัดถ้ำเขาวง ตั้งอยู่ในตำบลบ้านไร่ ตัววัดเป็นสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทย 4 ชั้น ใต้ถุน และมีรอยพระพุทธบาทจำลองให้เราไว้สักการะค่ะ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม รวมทั้งสะพานไม้ข้ามบ่อน้ำ สงบร่มรื่นมาก ทั้งอากาศ และธรรมชาติบำบัดกันไปนะคะ
Once Chill Life
วันพฤหัสที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.51 น.