"นครนายกคงเป็นที่รู้จักดีสำหรับใครหลายๆคน เพราะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำตก และภูเขา และจังหวัดนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่อีกด้วย น้ำตกที่ขึ้นชื่อก็ได้แก่ น้ำตกสาริกา น้ำตกวังตะไคร้ นำตกนางรอง เพราะฉะนั้นหลายคนจะมองนครนายกเป็นเมืองแห่งความสนุกสนานกับการเล่นน้ำตก หรือล่องแก่ง อันที่จริงนครนายกยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัด ชุมชนวัฒนธรรม อาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง และอื่นๆ"
ทริปนี้พวกเราจะไปเที่ยวนครนายกในอีกมุมมองหนึ่งที่ผสมผสานวัฒนธรรมและธรรมชาติเข้าด้วยกัน พร้อมกับลิ้มลองอาหารพื้นบ้านที่หากินที่อื่นไม่ได้อีกด้วย
วันแรก
เราออกเดินทางจาก กทม เวลาเดิมคือ 7 โมงเช้า ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงพวกเราก็เดินทางมาถึงสถานที่แรกสำหรับทริปนี้คือ พุทธสถาน จีเต็กลิ้ม นอกจากเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแล้วยังได้พัฒนาเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนครนายก ส่วนใหญ่แล้วผู้คนนิยมมากราบไหว้ ขอพรพระ และเทพเจ้าตามความเชื่อและศรัทธา
เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ของจีเต็กลิ้ม เข้ามาแนะนำว่าเราควรจะเริ่มต้นไหว้สักการะจากจุดไหนก่อนหลัง แล้วก็ชี้แจงเส้นทางเพื่อให้เราได้เข้าไปสักการะพระพุทธรูป และเทพเจ้าต่างๆได้อย่างครบถ้วน
เราเริ่มจากไหว้ศาลเจ้าที่ แป๊ะกง
จากนั้นก็กราบขอพรหลวงพ่อสำเร็จ
เดินเข้าไปด้านในของพุทธสถาน ก็จะเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดมังกรกมลาวาสที่เยาวราช เป็นองค์ที่สวยงามมากๆ
ต่อจากนั้นก็สักการะเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ยะหยก ที่มีน้ำหนักถึง 1000 กิโล สวยงามมาก
เจ้าหน้าที่แนะนำให้เรานำกระเป๋าสตางค์ไปรองไว้ที่ปากพังพนที่อยู่ในมือขององค์ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะแล้วลูบพังพอนจากหางจรดหัว จำนวน 8 ครั้ง พร้อมอธิษฐาน เพื่อให้เงินทองไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าสตางค์ของพวกเรา เช่นนั้นแล้วทุกคนก็นำกระเป๋าสตางค์ออกมาปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพวกเราเดินต่อไปอีกด้านหนึ่งของพุทธสถาน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ยะองค์ใหญ่ ที่สามารถมองเห็นอย่างโดดเด่นตั้งแต่เราเข้าสู่บริเวณลานจอดรถด้านหน้า
ภายใต้องค์เทพฯ เป็นสถานที่ประดิษฐานขององค์เทพเจ้าสำคัญอีกหลายองค์ให้พวกเราได้สักการะ ขอพร
เสร็จสรรพก็ใกล้เวลาอาหารกลางวัน เราเลือกที่จะไปชิม ขนมหน่อไม้ ที่บ้านบางพลวง เพราะความสงสัยว่าหน่อไม้จะนำมาทำขนมได้อย่างไรกัน
ชุมชนแปรรูปเสื่อกกบ้านบางพลวง ซึ่งผลิตและจำหน่าย สินค้าโอทอป จากเสื่อกก และยังเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของป้าชุ่ม
พวกเราไปถึงร้านป้าชุมประมาณ 11.30น อาหารพร้อมเกือบทุกอย่างแล้ว ป้าชุ่มได้นำอาหารจัดลงโต๊ะให้พวกเรา
เห็นรายการอาหารแล้วบอกเลยว่า มันเยอะมาก สำหรับ 6 คน
จากแรกเป็นปลานิลเผาเกลือเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดหน้าตาจัดจ้าน
ตามด้วยกุ้งแม่น้ำเผาตัวขนาดย่อม
น้ำพร้กปลาทูพร้อมผักสด และผักต้ม
ต้มจืดหน่อไม้สด กระดูกหมู
ข้าวที่เสิร์ฟก็เป็นข้าวไรซ์เบอรี่เพื่อสุขภาพซะด้วย
ก่อนเริ่มรับประทานอาหาร ป้าชุ่มมีน้ำมะนาวปั่นเย็นชื่นใจมาเสิร์ฟให้สดชื่นแต่ว่าถ่ายรูปไว้ไม่ทัน หมดเสียก่อน
พวกเราเริ่มลงมือรับประทานอาหาร ต้องบอกว่าอร่อยทุกอย่าง น้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจัดจริง ต้มจืดหน่อไม้ก็อร่อย ไม่ขม
แต่สำหรับของหวาน ป้าชุ่มก็เสิร์ฟกล้วยบวชชีที่ทำจากกะทิคั้นสด ไม่ใช่กะทิกล่องเหมือนหลายๆร้าน จึงทำให้รสชาติกล้วยบวชชีของป้าชุ่มถูกปากพวกเรามา
รายการสุดท้าย และเป็นรายการที่ทำให้พวกเราเลือกมาร้านป้าชุ่ม ก็คือ ขนมหน่อไม้ จานนี้
หน้าตาขนมคล้ายกับขนมกล้วย ขนมฟักทองทั่วๆ แต่ที่เราเป็นนั้นเป็นหน่อไม้หั่นเป็นเส้น ผสมอยู่กับแป้งและโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด
รสชาติอร่อยมาก ก่อนกินพวกเราจินตนาการไม่ออกเลยว่ารถชาติของหน่อไม้เมื่อมาเป็นขนมจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อลองชิมแล้ว บอกเลยว่าอร่อยมาก แนะนำเลยค่ะ
อิ่มหนำสำราญกันแล้วก่อนออกจากร้านพวกเราก็ได้แวะชมผลิตภัณฑ์เสื่อกกที่ร้านป้าชุ่มซึ่งเป็นศุนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป เราก็เลยเสียสตางค์ซื้อกระเป๋าไปหนึ่งใบ
เป็นธรรมดาที่หลายๆคนต้องการกาแฟหลังจากอาหารกลางวัน เพื่อเราจึงแนะนำให้เราไปแวะดื่มกาแฟดอยช้าง แต่ที่พิเศษคือกาแฟดอยช้างร้านนี้อยู่ที่ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ ภูมิภูเบศร ที่จริงเป็นเพราะเพื่อนเราอยากเยี่ยมชมศูนย์แห่งนี้เพราะทราบมาว่าเป็นสาขาที่แยกออกมาจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ซึ่งมีชื่อเรื่องของยาสมุนไพรไทยนั่นเอง
ศูนย์แห่งนี้ก็น่าสนใจดีนะ มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร คล้ายๆกับที่โรงพยาบาลฯ แต่ที่โดดเด่นคือเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้น ซึ่งตกแต่งเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของใช้เครื่องไม้เครื่องมือ
และตัวอย่างสมุนไพรไทยเพื่อให้ผู้ที่แวะมาเยี่ยมชมได้ศึกษา
เราชอบบ้านไม้นะ วิวก็ดีมีบ่อน้ำล้อมรอบ
อากาศก็ดี แถมได้ความรู้อีกด้วย หลังจากเดินชมรอบๆ เราก็มารวมตัวกันที่ร้านกาแฟดอยช้าง
วันนี้เราได้มอคคาปั่น คนอื่นๆก็ได้เครื่องดื่มถูกใจ
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยังวัดโคกอู่ทอง ซึ่งเป็นที่ล่ำลือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของมณฑปซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของสรีระของหลวงปู่โสฬส ผู้ซึ่งเป็นที่เลื่อมไสศรัทธาจากลูกศิษย์ทั่วประเทศไทย วัดนี้ตั้งอยู่ในเขต ต.โพธิ์งาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี แต่เนื่องจากสองจังหวัดนี้อยู่ติดกันจนแทบแยกไม่ออก พวกเราจึงรวมวัดนี้ไว้ในโปรแกรมของทริปนี้ด้วย
จากภายนอกของมณฑปเป็นสีฟ้าอมเขียว มีการตกแต่งสวยงาม
และเมื่อพวกเราเข้ามาด้านในก็ยิ่งตะลึงกับความสวยงามของรายละเอียดการตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นเสา หน้าต่างกระจก เพดาน พื้น ล้วนสวยงามจริงๆ
ภานในตัวมณฑป เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระราชทานโดยพระสังฆราชองค์ก่อน มีองค์พระนาคปรก พระบรมรูปเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 และ เสด็จพ่อรัชกาลที่ 9 และบริเวณตรงกลางเป็นโลงแก้วบรรจุสรีรของหลวงปูโสฬส เพื่อให้เราได้สักการะ
สิ่งที่พิเศษที่สุดคือตู้นี้ หลายๆท่านเมื่อเดินทางไปวัดเพื่อทำบุญไหว้พระ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาวัตถุมงคลติดมือกลับไปด้วย แต่ที่นี่จะมีพระ และวัตถุมงคลจากหลากหลายวัด เพื่อให้เช่าสักการะ แต่ความพิเศษอยู่ที่พระแต่ละองค์นั้นมีการประเมิณราคาจากเซียนพระ และหากท่านใดต้องการเช่าบูชา ก็สามารถร่วมทำบุญกับวัดในราคาที่ถูกประเมินไว้สำหรับแต่ละองค์ได้เลย เนื่องจากพระและวัตถุมงคลเหล่านี้ล้วนมีผู้ใจบุญมีจิตกุศลถวายให้กับทางวัด และทางวัดเองก็ได้นำมาต่อยอดบุญให้ญาติโยมได้เช่าบูชาและร่วมทำบุญ
จากนั้นพวกเราก็เดินทางเข้าที่พักที่ได้จองไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ชื่อว่า เดอะ ฟอเรส โฮม รีสอร์ท เป็น โรงแรมขนาดเล็ก รูปแบบรีสอร์ท มีสระไหว้น้ำ และต้นไม้ร่มครึ้มทั่วบริเวณ
ห้องพักแบบเรียบง่าย
มีทั้งบ้านเป็นหลัง
และห้องบนตึกสองชั้น
พวกเราเลือกนอนแบบห้องบนตึก
อาหารเย็นวันนี้ร้านนี้เลย อิสานชมจันทร์ เค้าว่าร้านนี้ขึ้นชื่อ จากรีสอร์ทมาร้านอาหารไม่ไกล ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ร้านกว้างขวาง น่าจะจุคนได้ซัก 200 คน อาหารเป็น ไทย อิสาน
พวกเราดูไม่ค่อยหิวกันเท่าไหร่ คิดว่าจะสั่งอาหารกันซัก 3-4 อย่างก็น่าจะพอ แต่ปรากฏว่าพอเห็นเมนูแล้วลืมตัว
ปลาคังผัดฉ่า
ส้มตำเกาเหลาทะเล
น้ำพริกกะปิ ปลาทู
ลาบหมูทอด
ปลาทับทิมทอดกระเทียม
ไก่ย่าง
อาหารทุกอย่างหมดเกลี้ยง อิ่ม อร่อยมากๆ และที่สำคัญราคาไม่แพง
นครนายกเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ค่อยมีแหล่งสถานบันเทิง เพราะฉะนั้นเมื่อจัดการกับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วพวกเราก็กลับโรงแรม
วันที่ สอง
พวกเราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้า จุดหมายแรกคือพุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ ตั้งอยู่ใน ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 90 ซม.อีกจำนวน 1,250 องค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงครั้งที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ให้แก่พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป สถานที่แห่งนี้เป็นที่เลื่อมไสศรัทธาของคนไทย จะเห็นได้จากรถที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ ทั้งใกล้ ไกล เพื่อมาสักการะขอพร
จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังร้านกาแฟยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งคือ ทุ่งนามุ้ย
ร้านกาแฟชายทุ่ง ที่มีสะพานไม้ทอดยาวไปในทุ่งนาเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าไปถ่ายรูปสวยๆ
ก็ได้รูปสวยๆกันถ้วนหน้าจริงๆ
น่าเสียดาย ถ้าหากพวกเรามาที่นี่ช่วงปลายเดือน น่าจะได้เห็นนาข้าวเป็นสีเขียวมากกว่านี้เพราะต้นข้าวน่าจะโตขึ้นกว่านี้อีก
สถานที่ต่อไปก็พิพิธภัณฑ์ เฮือนไทยพวน ซึ่งเป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชาวพวน
ซึ่งจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวพวน
การแต่งกาย และ ประวัติความเป็นมาต่างๆ บนเรือนไม้สองชั้นที่มีลักษะคล้ายบ้าน
ต่อจากนั้นพวกเราก็แวะสักการะหลวงพ่อเสาร์ 5 วัดธรรมปัญญา และลอดใต้โบถส์เพื่อความเป็นสิริมงคล
จุดแรกเมื่อมาถึง พวกเราก็เข้าไปกราบสักการะหลวงพ่อเสาร์ 5 ในโบสถ์ เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกที่สวยงามมาก ภายในโบถส์ก็มีภาพวาดฝาผนังที่สวยงาม
จากนั้นพวกเราก็ลงไปยังใต้โบสถ์เพื่อเดินลอดใต้โบสถ์ และกราบสักการะพระพุทธรูปจากวัดต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนที่จะเดินทางกลับ กทม
ดูเหมือนว่าทริปนี้เป็นทริปที่เน้นไปในการเข้าวัดทำบุญ แต่ก็เป็นการท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งที่ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง อิ่มบุญ อาหารพื้นบ้านก็อร่อยอิ่มท้อง สำหรับที่นอนก็ถือว่าพอใช้ได้ เราชอบตรงที่บรรยากาศร่มรื่นดี ถ้าใครอยากลองอาหารเช้าแบบที่คนพื้นที่เค้ากินกัน แนะนำให้จองห้องแบบไม่รวมอาหารเช้า แล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อเข้าไปที่ตลาด แล้วหาไข่กระทะ กาแฟโบราณ ต้มเลือดหมูร้อนๆกับข้าวเปล่า ก็มีร้านอร่อยหลายร้านอยู่นะ จบทริปอย่างสวยงามและอิ่มบุญพร้อมวางแผนทริปต่อไป เร็วๆนี้
TipOnTheRoad
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.47 น.