"ชัยภูมิ เช็คอิน กิน เที่ยว คืนเดียวก็สนุกได้"
เรื่องมีอยู่ว่า ตา ซึ่งเป็นน้องที่สนิทคนหนึ่ง และมักจะได้ร่วมเดินทางด้วยกันบ่อยๆโทรมาบอกว่าเพื่อนของเธอชื่อว่าน้าดอยผู้ซึ่งเป็นนักเดินทางอีกท่านหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนจากกรมการท่องเที่ยว ให้ช่วยนำเสนอจังหวัดท่องเที่ยวที่ถูกจัดอันดับเป็นเมืองรองให้เป็นที่รู้จักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป น้าดอยจึงได้จัดทำโปรแกรมทัวร์แบบ 2 วัน 1 คืน แล้วชักชวนเพื่อนฝูงจำนวนหนึ่ง ไปยังจังหวัดชัยภูมิ ตอนที่ตาโทรมาบอก ในใจก็คิดว่า ชัยภูมิ ก็คือทุ่งดอกกระเจียวที่เราเองก็เคยไปแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจ แต่เพราะตาเองก็จะร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย เราก็เลยตกลงไปด้วย และก็ไม่ลืมที่จะชักชวนน้องสาวอีกคน น้องฟาง ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
วันแรก
เช้าตรู่ของวันเดินทาง น้าดอยแจ้งเวลานัด ตี 5 แถวๆสวนลุม เพราะต้องทำการตรวจ ATK ก่อนออกเดินทาง เราว่าก็ดีนะ เพราะช่วยเพิ่มความมั่นใจในระหว่างเดินทาง เพราะผู้ร่วมเดินทางแต่ละท่านต่างคนต่างมา ที่เรารู้จักก็คือ ฟาง และ ตา
ส่วนน้าดอย เราก็มารู้จักกันวันนี้แหละ
หลังจากทำการตรวจเรียบร้อยและผลออกมาเป็นลบ คณะก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดชัยภูมิ สังเกตุเห็นส่วนใหญ่จะหลับหลังจากรถออกได้ประมาณ 30 นาที ไม่แปลกเพราะเราเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน
ระหว่างทางจอดพักที่จุดชมวิวลำตะคอง พอรถจอดเท่านั้นแหละ ทุกคนดูกระปรี้กระเปร่า พร้อมลงไปเก็บภาพสวยๆ ไม่เว้นแม้แต่น้องฟาง ก็ได้รูปคู่กับน้าดอยมาแล้ว
จากนั้น เดินทางต่อไปยังร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวันมื้อแรกที่ร้านอาหาร มาตา เป็นร้านเน้นอาหารไทย
รายการอาหารก็ดูหลากหลายดี ราคาก็ไม่แพง
จานนี้เป็นเมนูที่ทุกคนต้องสั่ง
ส่วนเราชอบจานนี้ที่สุด ผลไม้สด รสชาติการยำสุดยอด
เมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน
ส่วนคนนี้อร่อยกับทุกอย่าง
ตามธรรมเนียม หลังอาหารกลางวัน ต้องตามด้วยกาแฟซักแก้ว น้าดอยก็เลยพาพวกเราแวะไปร้านกาแฟ บี แอนด์ พี คาเฟ่ เป็นร้านกาแฟที่มีไร่กาแฟ และ สวนดอกไม้สวยๆ ไว้ให้ถ่ายรูปกันสนุกสนาน
สนุกแค่ไหน ให้ภาพมันฟ้อง
สาวน้อย สาวใหญ่ ไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว
ที่สุดต้องยกให้ป้ามด ชนะเลิศทุกรูป ทั้งๆที่อายุเกินเจ็ดสิบ แต่ยังสดใส แข็งแรงไม่ต่างจากสาวๆเลยทีเดียว เราจะได้ยินเสียงป้ามดกำกับช่างภาพตลอดว่า หนูต้องนั่งลงลูก รูปป้ามดจะได้ตัวสูงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่แสดงว่าป้ามดไม่ธรรมดาจริง ยังกับนางแบบมืออาชีพเลยทีเดียว รู้มุมกล้องด้วย
ทุกคนได้เครื่องดื่มที่ถูกใจ ส่วนเราชอบดื่มชามากกว่า เราเลยได้แก้วนี้มา ชาเขียวมะนาว สดชื่น ส่วน ตา กับ ฟาง ก็ได้รูปสวยๆ หลายรูปเหมือนกัน
ส่วนรูปนี้ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี โดนน้าดอยขโมยซีนเฉยเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ออกจากร้านกาแฟ เดินทางต่อไหว้พระที่วัด อรุณธรรมสถาน หรือ วัดพระธาตุชัยภูมินั่นเอง ตามธรรมเนียม คนไทยออกเที่ยวก็ต้องมีการแวะไหว้พระทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคล
วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา รถขึ้นไม่ถึง พวกเราจึงต้องลงเดิน ระยะทางพิสูจน์ม้า รูปสวยๆพิสูจน์คน ไม่ว่าจะเหนื่อย จะเมื่อยแค่ไหน ได้ยินเสียงนับ หนึ่ง สอง สาม นางแบบก็พร้อมเสมอ สังเกตุที่เท้า มีการเพิ่มความสูงได้ด้วย แต่ละคน นางแบบมืออาชีพทั้งนั้น
แต่ในที่สุดทุกคนก็เดินขึ้นมาถึงวัด
วันนี้เราโชคดีที่หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสท่านอยู่ที่วัดพอดี เราได้สนทนาธรรมกับท่านนิดหน่อย
แต่โชคดียิ่งกว่านั้นคือ ได้รับพระสีวลีเป็นของแถม
วัดนี้สวยจริงๆ ปฎิมากรรมผสมผสานระหว่างไทย ลาว
ก่อนที่เราจะขึ้นไปสักการะพระธาติบริเวณด้านบน เจ้าหน้าที่วัดแนะนำให้เรากราบสักการะเจ้าพ่อพญาแลเพื่อเป็นสิริมงคลก่อน น้าดอยเคยมาที่วัดนี้แล้ว เลยพาพวกเราเดินลอดใต้อนุสรณ์พญาแลเพื่อให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย
ทางขึ้นไปยังองค์พระธาตุเป็นบรรได ไม่สูง ไม่ชันมาก แต่สีหน้าของน้องฟาง บ่งบอกว่า มื้อกลางวันได้ย่อยสลายไปสิ้นแล้ว
ทุกคนขึ้นมายังด้านบนเพื่อกราบสักการะองค์พระธาตุ
ตา เป็นผู้ที่รู้กาลล่วงหน้า วันนี้มาในชุดสีแดง เป็นมงคล เหมาะกับการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่างยิ่ง
หลายคนสงสัยว่า น้องฟาง เดินหาอะไรอยู่ เดินขึ้น เดินลง หลายรอบ คำตอบคือ น้องฟางได้ยินว่ามีเทพทันใจที่วัดนี้ สามารถดลบันดาลเรื่องเนื้อคู่ได้
แต่ในที่สุดน้องก็หาไม่เจอ
ด้านหลังของวัด กำลังก่อนสร้างเพิ่มเติม แต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาก็คือสิ่งนี้
ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม ทำให้แต่ละคนเข้าประจำตำแหน่งเพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึก โดยที่ไม่ทันได้ฟังความเป็นมาด้วยซ้ำ
เราเองก็เดินชมความงาม พร้อมสักการะองค์พระธาตุ และ พระพุทธรูปรอบวัด และเก็บภาพสวยๆเป็นที่ระลึกไปด้วย
พวกเราใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงที่วัดแห่งนี้ก็ต้องรีบกลับลงมาเพราะเรายังต้องไปต่ออีก 2 แห่ง ซึ่งเป็นจุดที่ไม่สามารถจะพลาดได้
มอหินข้าวคือจุดหมายถัดไป สถานที่ที่ถูกเรียกว่า Stonehenge Thailand เราไม่เคยไปดูต้นตำหรับ แต่เราว่าที่นี่ก็ดูยิ่งใหญ่มาก ไม่น่าเชื่อว่าธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้และยังคงอยู่ให้เราได้มาเยี่ยมชมจนถึงทุกวันนี้
ทุกคนรีบเก็บภาพสวยๆ
โดยเฉพาะน้องฟาง ภาพนี้ให้สิบคะแนนเต็ม ยอมใจ กับการโดดของน้อง
จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ผาหัวนาค ซึ่งน้าดอยบอกว่าไม่มา ถือว่ามาไม่ถึงชัยภูมิ
รถจอดบริเวณลานด้านล่าง แล้วพวกเราก็เดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร เป็นหน้าผา ที่สำคัญคือ พระอาทิตย์กำลังตก ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีสลับ เหลือง ส้ม ฟ้า เทา บอกไม่ถูก แต่ว่าสวยมาก นับว่าเรามาถึงในเวลาที่เหมาะเจาะมาก
เราได้รูปสวยๆ กันหลายรูป
ฟาง ยังคงเป็นนางแบบมืออาชีพ แต่ในภาพเหมือนผิดหวังที่ตามหาพระเจ้าทันใจที่วัดไม่เจอ อิ อิ
เราเองก็แอบได้รูปมาเหมือนกัน
แต่เราชอบรุปนี้มาก พี่หนิม กำลังยืนมองต้นไม้เพลินๆ เราเลยแอบเก็บภาพนี้มา น้องฟางแอบกระซิบว่า พี่เค้าคุยกับต้นไม้ได้เหรอคะพี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หลังจากนั้นก็ถึงเวลากินอีกแล้ว มื้อเย็นวันนี้ น้าดอยบอกว่าเด็ดมาก
ร้านอาหารบ้านกัปตัน อยู่ห่างจากผาหัวนาคประมาณ 40 นาที เป็นสวนอาหาร แต่น่าเสียดายที่พวกเราไปถึงก็มืดแล้วทำให้มองไม่เห็นสวนสวยๆ
อาหารพร้อมรอพวกเราอยู่แล้ว
อาหารไทย ดูหน้าตาดีทีเดียว
เราชอบจานนี้ที่สุด รสจัดสะใจ และเราชอบกินผักอยู่แล้ว
แต่ละคนก็ชอบแต่ละจานต่างกันไป
เราชอบรสชาติโดยรวม เพราะเราชอบรสจัดอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ หรือ เด็กอาจจะรู้สึกว่ารสจัดเกินไป
อิ่มท้องกันทุกคน ก็ได้เวลาเข้าเช็คอินที่โรงแรมที่พัก
น้าดอยจองห้องพักที่ รร บันเดอร์ เป็น รร ขนาดเล็ก ตอนที่พวกเราไปถึง ก็มืดแล้วทำให้ไม่เห็นอะไรรอบๆ รร มากนัก
อาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยกันมาทั้งวัน เมื่อได้รับกุญแจต่างคนต่างเข้าห้องพักของตัวเอง เพื่อพักผ่อน
วันที่สอง
น้องฟาง ตื่นเช้ามาก และเธอก็ได้มีโอกาสเห็นภาพนี้
พระอาทิตย์กำลังขึ้น สวยงามมากจริงๆ
หลังจากเก็บภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงไปเช็คเอาท์ แล้วเดินเล่น รอบๆ รร
จึงได้เห็นว่าหน้า รร เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ออกกำลังกายของคนท้องที่
แต่ที่เราติดใจคือ ภาพทะเลสาบ แล้วมีภูเขาเป็นฉากหลัง สวยงามจริงๆ
มื้อเช้าเป็นแบบง่ายๆ ข้าวต้ม ขนมปัง กาแฟ ผลไม้ จากนั้นพวกเราก็ออกจาก รร เดินทางมุ่งหน้าไปยังศูนย์รักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว บริเวณ ทุ่งกะมัง เมื่ออกกำลังกายเดินป่ากัน
เมื่อเดินทางไปถึง เราต้องเปลี่ยนรถเป็นรถของพื้นที่ แต่ก่อนเข้าพื้นที่เจ้าหน้าที่ให้เราทำการวัดอุณภูมิ เป็นนโยบายช่วงโควิดระบาด เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
นอกจากวัดอุณภูมิแล้วเจ้าหน้าที่ได้แจกถุงเท้ากันทากให้ทุกคน เราแอบได้ยินหลายคนถามเจ้าหน้าที่ว่า แจกถุงเท้ากันทาก แสดงว่ามีทากใช่ไม๊ น้ำเสียงดูเหมือนจะกลัว และลังเลว่าจะเดินหรือว่าจะรออยู่ด้านนอก
แต่ในที่สุดทุกคนก็ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ส่วนตัวเรา ชอบการเดินป่าอยู่แล้ว น้องฟาง เดินป่าเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นกว่าใคร
เส้นทางการเดินไม่ลำบาก เพราะมีสะพานไม้ เดินสะดวก
คนมีอายุก็เดินได้สบาย
ต้นไม้อุดมสมบูรณ์มาก
อากาศก็สดชื่น
เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ดูแลเราอย่างใกล้ชิด
คอยให้รายละเอียด ความเป็นมาของศูนย์ฯ ฟังแล้วเพลินดี
ทางเดินทางบางช่วงเป็นพื้นดิน นี่แหละเหตุผลทำไมต้องใส่ถุงเท้ากันทาก
เรามองเป็นทากออกมาต้อนรับพร้อมจะเกาะขาเราไปเพื่อดูดเลือด
หลายคนก็หวาดระแวงกลัวจะโดนทากเกาะ เราก็กลัวนะ แต่ก็อยากเดิน
ป้ามดของเราไม่น้อยหน้าสาวๆ
เดินชมนก ชมไม้ ไม่บ่นเหนื่อยซักคำ แถมยังเป็นนางแบบให้เราเป็นระยะอีกด้วย
ส่วนน้องฟางของเราก็ไม่น้อยหน้า เก็บมอสแก่ได้จากทางเดิน ดูเหมือนอยากจะถามว่า สิ่งนี้กินได้หรือไม่
เจ้าหน้าที่นำเราเดินลึกเข้าไปในป่า จนถึงปลายทางที่เป็นสะพานแขวนให้เราได้เก็บภาพเป็นที่ระลึก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเราเดินทางกลับออกมา
โดยรวมแล้วเราชอบเส้นทางนี้นะ
ก็เป็นป่าอีกแบบนึง ถึงแม้ว่าระหว่างทางเดิน ไม่ค่อยมีสัตว์หรือแมลงให้เห็น แต่ก็ถือว่าป่าค่อนข้างสมบูรณ์
ดูเวลาก็บ่ายสามโมง แต่ว่าพวกเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย มิน่า รู้สึกหิวๆ โดยเฉพาะน้องฟาง
เราใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึง ร้านอาหารพื้นบ้าน ชื่อร้าน ลาบเป็ดบ้านสวน ซึ่งเป็นร้านที่น้าดอยบอกว่ารสชาติของลาบเป็ดที่นี่เด็ดจริงๆ
บรรยากาศร้านเป็นธรรมชาติมาก เหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด หน้าตาอาหารน่ากินมาก
เราชอบจานนี้ที่สุด ปลานิลย่างกินกับน้ำจิ้ม
จานอื่นๆก็รสชาติดีไม่แพ้กัน
อาหารทุกอย่างหายวับไปกับตา พวกเราไม่ได้หิวนะ แต่ว่าอาหารมันอร่อยเกินไ
หลังจากเรารับประทานอาหารกลางวันมื้อนั้นเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาออกเดินทางกลับ กทม หลังจากขึ้นรถได้ไม่นานแต่ละคนก็หลับพักผ่อน วันนี้อากาศค่อนข้างดี แต่จากการเดินป่าในช่วงกลางวันทำให้หลายคนเกิดอาการอ่อนเพลีย แต่เราเป็นคนที่ไม่ค่อยนอนหลับระหว่างทางเพราะชอบนั่งชมวิวระหว่างทางมาก
ระหว่างทางกลับเรานั่งนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสองวันหนึ่งคืนนี้ นึกไปก็อมยิ้มไป เพื่อนร่วมเดินทางแต่ละคนน่ารัก ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวกับญาติผู้ใหญ่พร้อมๆกันหลายๆคน แต่ล่ะท่านให้ความสนิทสนมกับพวกเราอย่างมากถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เราชอบคำพูดนึงของน้าดอยตอนนั่งรถไปที่ศูนย์รักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวที่ว่า บางครั้งหัวใจสำคัญของการเดินทางก็ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเสมอไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากกว่า
การไปชัยภูมิครั้งนี้จากตอนออกเดินทางซึ่งเรายังไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ตลอดสองวัน เราได้ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ยกเว้นทุ่งดอกกระเจียวที่น้าดอยบอกว่าใครๆก็ไป และหลายๆคนก็เคยไปมาแล้ว จึงพาเราไปที่ใหม่ๆบ้าง กินอาหารพื้นบ้านหลากหลาย
มิตรภาพจากเพื่อนร่วมทางทุกคน ทำให้พวกเรารู้สึกว่า บางครั้ง การไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ก็ให้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีเหมือนกันนะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ
TipOnTheRoad
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 06.43 น.