ทริปนี้ประทับใจมากค่ะ เลยอยากแชร์ประสบการณ์ ให้เพื่อนๆที่สนใจไปเที่ยว Bromo ได้แง่มุมเล็กๆน้อยๆจากทริปของพวกเรา ได้เอาไปปรับบ้าง อาจจะเล่าความรู้สึกแบบจัดเต็มหน่อยนะคะ แห่ะๆ

ความอยากไปเริ่มจาก เราได้ดูภาพสวยๆจากหลายๆกระทู้และตามเวปไซด์ต่างๆ อยากไปทันที แต่ก็แอบคิดนะคะ ว่ารูปที่เราเห็นตามเว็ปมันจะสวยเกินจริงไหมหนอ


.... สำหรับเราของจริงบรรยากาศจริงยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ

ที่สำคัญข้อมูลต่างๆตามเวปไซด์หาง่ายและ ละเอียดมาก ต้องขอบคุณพี่น้องชาวไทยผู้รักการรีวิวจริงๆค่ะ


รูปที่เราถ่ายมาลงนี้ดีบ้างไม่ดีบ้างเนื่องจากบางเวลาก็ไม่ได้ละเมียดละไม ถ่ายตอนรถวิ่งบ้าง ถ่ายตอนรีบๆ ถ่ายตอนเหนื่อยมากๆบ้าง ถ่ายด้วยมือถือบ้าง แต่ลงหมดเพราะอย่างให้เห็นบรรยากาศจริงมากๆ เบลอบ้าง อะไรบ้างต้องขออภัยด้วยนะคะ ^^


...มุมมองจากภาพถ่าย อาจซ้ำกัน... แต่เรื่องราวอาจต่างกันคนละมุม ..ลองอ่านดูนะคะ ^^



พอตัดสินใจจะไป เราได้ติดต่อไปทาง agent เกือบทุกที่ๆมีแนะนำไว้ ….พบปัญหาแบบเดียวกับที่หลายๆท่านที่แชร์ไว้ คือติดต่อยาก ตอบเมล์ช้า หรือไม่ตอบเมล์เลย …แต่เราก็ได้ราคามาจากหลายที่ค่ะ ได้ราคาแล้วถามอะไรเพิ่มเติม..หาย ...เมล์ขึ้น read แล้ว.. แต่ไม่ตอบ ทุกอย่างตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ...ไฟล์ก็จองแล้วขาดแต่คนพาไป แป่ววว

ระหว่างรออย่างเลื่อนลอยนั้น สวรรค์ก็ทรงโปรดค่ะ มีรุ่นพี่แนะนำไกด์คนนี้มา ชื่อพี่ Adit เป็นชายชาว Surabaya อายุประมาณสามสิบกลางๆ ปรากฏว่าพี่ Adit ตอบไลน์เร็วมาก ภาษาอังกฤษดี และข้อมูลค่อนข้างดีมาก ถามได้ทุกเรื่องตอบหมดทุกอย่าง ตอบแม้แต่เรื่องหยุมหยิมที่เราถามเกี่ยวกับของใช้ในโรงแรม (เรียกได้ว่าแกบ้าถามชั้นก็บ้าตอบแกย่ะ 555) แกเต็มใจตอบมาก เราไม่รู้สึกว่าพี่แกรำคาญเราเลย จนเรารู้สึกผิดเลิกถามไปเอง 555

ราคาของพี่ Adit เทียบกับที่เราได้จาก agent อื่น สำหรับเราพี่ Adit ให้ราคามาค่อนข้างดีค่ะ ของ agent อื่นเหมือนจะถูก แต่มักจะให้ราคาไม่หมดแล้วมาเก็บหน้างานเพิ่ม.... อันนี้ผู้บริโภคต้องลองสอบถาม เปรียบเทียบดูหลายๆที่ เทียบทั้งราคา และบริการที่รวมมาให้นะคะ ^^

สำหรับเราราคาของพี่ Adit กับบริการที่ได้ ถือว่าสมเหตุสมผลมากๆค่ะ ปลื้มพี่แกมากๆ

ราคาที่พี่ Adit เหมามารวมทั้งสิ้น 10,870,000 Rp (ราคานี้เหมารวม 5 คน)

**สิ่งที่เราพลาดคืออัตราแลกเปลี่ยนเราแลกในสนามบินดอนเมือง (แลกที่หน้า gate เพราะลืมแลกข้างนอกค่ะ) rate ในนั้น เงินอินโดx 0.0043= เงินไทย.....ซึ่ง ตอนนั้นลอง เช็คในเวป Super Rich จะได้ เงินอินโด x0.0028=เงินไทย ราคาต่างกันมากๆ ไม่คิดว่าจะต่างกันเยอะขนาดนี้ แต่ไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ หากใครจะไปต้องเตรียมเรื่องแลกเงินดีๆค่ะ ^^

**ราคารวม 10,870,000 Rp นี้ รวมบริการดังนี้ค่ะ**

- ค่ารถพร้อมคนขับ (คนขับและไกด์ คนเดียวกันค่ะ) และน้ำมันตลอดทั้ง 4 วันตั้งแต่รับสนามบินจนส่งสนามบิน รถยี่ห้อ Toyota Innova รถใหม่เอี่ยม สะอาด หอมทุกวัน ค่ะ

- ค่าเข้าอุทยานทุกที่ตามโปรแกรม

- ไกด์ท้องถิ่นที่จะพาเดินขึ้น Ijen

- ค่าห้องพักที่ Cemara Indah Bromo 2 คืน รวมอาหารเช้า

(กรุ๊ปเรารวมทั้งหมด 3 ห้องค่ะ Standard-Single-1room, Twin-2 rooms)

- ค่าเช่ารถ Jeep สำหรับทริป Bromo Sunsine tour ซึ่งเป็นราคาที่รวมไป จุดชมวิว Penanjakan 1 , Whispering Sands กับ Savannah เรียบร้อย แล้วค่ะ

(ตอนเย็นพี่ Adit ตั้งใจจะพาพวกเราไป Penanjakan2 ตอนพระอาทิคย์ตกดินด้วยค่ะ แต่ฝนตกซะก่อน หลังฝนตกหมอกลงแบบมองไม่เห็นอะไรเลย ..เลยอดไปเลยค่ะ)

**ทัวร์ Bromo Sunsine นี้ปกติไกด์จะปล่อยให้ไปกับคนขับรถจี๊ป เท่าที่เคยอ่านคนขับรถจะชอบขอเก็บเงินเพิ่มถ้าจะไปสะวันน่า หรือ Whispering Sands และคนขับจี๊ปบางคนจะแสดงอาการไม่พอใจหากแวะแต่ละจุดนานๆ ...ซึ่งกรุ๊ปเราพี่ Adit ตามไปดูแลด้วยไม่มี ปัญหาเลยค่ะ

- ค่าเช่าน้องม้า 5 น้องม้า ขี่พาขึ้นโบรโม่ (น้องม้าแข็งแรงมากๆค่ะ ตอนแรกเรากะว่าจะไม่เช่าเพราะสงสารน้องม้า แต่เราไปอี้เจี้ยนมาก่อนมันเดินไม่ไหวแล้วจริงๆค่ะ แห่ะๆ)

- ค่าทัวร์น้ำตก Madakaripura รวมค่าตัวไกด์ท้องถิ่นที่น้ำตกแล้วนะคะ ^^

การจัดโปรแกรม เพื่อนๆไม่ต้องจัดเองหรอกค่ะ ฮาาา เพราะระยะทางแต่ละที่ห่างไกลกันมากเพื่อความชัวร์ แนะนำให้ ให้ไกด์จัดให้ดีกว่าค่ะ แค่บอกจำนวนคน+วัน+เวลาเที่ยวบินถึง และออกจากสุราบายา อย่างของเราพี่ Adit ทำโปรแกรมมาให้ คิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด แบบไม่ต้องเสียค่าใดๆจุกจิกเพิ่มที่หน้างานทั้งสิ้น ที่ต้องจ่ายเพิ่มคือ ค่าอาหารบางมื้อ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวค่ะ **เราไม่ได้ค้างคืนที่ Ijen นะคะ เลยไม่มีค่าที่พักที่ Ijen**



**หากใครสนใจติดต่อพี่ Adit สามารติดต่อผ่าน Line: aditbromo1927 หรือ FB page: Adit Adventure ได้เลยค่ะ**

**รับประกันในความน่ารัก มีน้ำใจ ใสซื่อ และอารมณ์ดีของพี่แกค่ะ บางครั้งตอบช้าก็มีบ้างเวลาที่แกขับรถอยู่ หรืออยู่พื้นที่ๆไม่มีสัญญานนะคะ แต่โดยรวมตอบเร็วค่ะ**




ค่าอาหารทุกมื้อ, ของใช้ , ขนมในมินิมาร์ท ราคาพอๆกับที่เมืองไทยค่ะ ของไม่แพงค่ะ เราเลยไม่ได้บอกราคาอาหารแต่ละมื้อ เอาเป็นว่าราคาพอๆกับทานข้าวในเมืองไทยร้านอาหารธรรมดาทั่วไปค่ะ ราคาไม่แพง ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นก็ไม่มีค่ะ จ่ายรวดเดียวหมดแล้วในแพคเกจ^^



โปรแกรมของเรา 12-15 เมษายน 2558 นะคะ

รวม 4 วัน 3 คืน รวมเดินทาง โปรแกรมจะโหดมากในวันแรก แต่วันต่อมาสบายๆ ได้โปรแกรมมาดังนี้ค่ะ

12 เมษายน

ถึงสุราบายาประมาณ 17:55 ไกด์จะมารอที่สนามบินแล้วตรงไปถึง Ijen เวลาประมาณ 01:30 ถึงแล้วเดินขึ้นเลย T_T

13 เมษายน

ประมาณ 09:30 น. ออกจาก Ijen เดินทางต่อไปโบรโม่ ถึงโบรโม่เวลาประมาณ 16:30 พักผ่อนตามอัธยาศัย

14 เมษายน

ตื่นตีสองครึ่งไกด์จะมารับตีสามเพื่อไปยอดเขา Penanjakan ชมวิวโบรโม่ตอนพระอาทิตย์ขึ้น และขึ้นปากปล่องโบรโม่

หลังจากนั้นกลับโรงแรม ทานอาหารเช้า

11:00 ไกด์มารับไปน้ำตก กลับจากน้ำตก พักผ่อนตามอัธยาศัย

15 เมษายน

ไกด์มารับ 05:30 ถึงสนามบินประมาณ 10:30 ไฟล์ออกจากสุราบายา 12:10 แวะเปลี่ยนเครื่องที่กัวลา ถึงกทม 18:05




Flight ไป Surabaya เราใช้ Air Asia นะคะ จองแยกบุ๊คกิ้งเป็น กทม- กัวลาลัมเปอร์- สุราบายา นะคะ เนื่องจากต้องการเลือกเวลาต่อเครื่องเองค่ะ เราเลือกต่อเครื่องที่ Kuala Lumpur มีบินหลายเที่ยวตรวจสอบได้ที่เวป airasia.com เลยค่ะ ราคาตั๋วแบบไม่มีโปร รวมไปกลับทั้งสองรูทติ้งก็ประมาณหมื่นต้นๆต่อคนค่ะ ถ้าซื้อแบบติดโปรอาจได้ไปกลับประมาณ 5,000 บาทเองค่ะ ^^



มีเหตุระทึกขวัญก่อนเดินทางด้วยค่ะ

ทีแรกจองไปกันแค่ 2 คน ก่อนเดินทางไม่นานมีเหตุเครื่องบินตกที่ Surabaya ตอนนั้นทำเอาไปไม่เป็นเลยค่ะ เกือบยกเลิกเที่ยวบินแล้ว ไปๆ มาๆ มีเพื่อนอยากไปเพิ่มมาอีก 3 เอ๊า จัดไปค่ะ 5555




ของใช้ที่ต้องเตรียมไป (เราไปช่วงเมษายน มีฝนเล็กน้อยค่ะ ส่วนตัวคิดว่าหน้าฝนนี้งดงามที่สุดเพราะจะมีหมอกชัวร์ๆ ฟินมากตอนยืนอยู่บน Penanjakan ค่ะ)

- เสื้อกันหนาว อันนี้ก่อนเราไปสับสนมาก ว่าควรจะเตรียมตัวหนาวแค่ไหน เอาเป็นว่าจัดเสื้อผ้าแบบคิดว่าไปดอยสูงๆตามภาคเหนือนะคะ อ่อ แล้วก็ ถ้าไปช่วงเดียวกับเรา เตรียมเปียกเตรียมชื้นนิดหน่อยนะคะ ^^

- เสื้อกันฝน สำหรับไปเที่ยวน้ำตกค่ะ

- ไฟฉาย .......ไม่แนะนำไฟฉายแบบที่ติดบนศรีษะ เพราะมันจะส่องตาคนอื่นค่ะ ^^"

- อะแด๊ปเตอร์ ปลั๊กที่นั่นเป็นแบบ 3 รู กลมๆ เอาอะแด๊ปเตอร์ไปด้วยนะคะ ที่โรงแรมไม่มีให้ยืมค่ะ ^^

- รองเท้าผ้าใบ เลือกที่เหมาะกับเดินกรวดหน่อยนะคะ ที่อี้เจี้ยนตอนเดินลงเป็นกรวดก้อนเล็กๆทางชัน เดินลงไปเกร็งตูดไป จบทริป ตรูดกระชับกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆ ...สวมถุงเท้าด้วยนะคะ (มันหนาวค่ะ) , รองเท้าแตะ ถ้าไปน้ำตกเอาไปด้วยนะคะ แต่ที่น้ำตกก็มีขายค่ะ ^^

- ยาแก้เมารถ ยาแก้เวียนหัว ยาแก้ปวด ยาลดน้ำมูก ยาสามัญ ยาหม่อง ยาดม พกไปจะอุ่นใจค่ะ จขกท เอาไปได้ใช้เลยค่ะ

- ขึ้นอี้เจี้ยน นำดื่มสำคัญมาก ควรเตรียมไปด้วยค่ะ เราเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำ เรายังจัดไปเยอะเลยกว่าจะถึง

- หน้ากากกันแก๊สหากจะเตรียมไปควรเตรียมหน้ากากขั้นแอดวานส์ค่ะ แบบธรรมดาทั่วไปกันอะไรที่นั่นไม่ได้ค่ะ ของเราพี่ Adit เตรียมไว้ให้แล้ว ดังจะเห็นในภาพต่อไปค่ะ ^^


บางข้อมูลบอกว่า ลงจากอี้เจี้ยนเสื้อกันหนาวจะเหม็นแก๊สไข่เน่ามาก ส่วนตัวเราคิดว่าไม่เท่าไหร่นะคะ ถือว่ากลิ่นแบบทนได้ ใส่ซ้ำได้ค่ะ เอ๊ะ หรือเราซกม๊ก !!! ^^"



สัญญานอินเตอร์เนต ที่อี้เจี้ยนไม่มีค่ะ ลงมาแล้วจึงมี แต่ที่โบรโม่ สัญญานดีค่ะ ที่โรงแรมมี Wifi เฉพาะในร้านอาหาร และบริเวณล๊อบบี้ค่ะ



********************************

ปล. หากเพื่อนๆที่สนใจจะไปแต่อ่านความลำบากของเราแล้วกลัว อยากบอกว่า ไม่ต้องกลัวนะคะ ในกลุ่มที่ไปด้วยกัน มีเราคนเดียวที่ไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ก่อนไปไม่ได้พักผ่อนมาเต็มที่ อดนอน ทานอาหารน้อย และที่สำคัญเรากินยาแก้เมารถผิดเวลา ตอนถึงที่นั่นยากำลังออกฤทธิ์ค่ะ เลยง่วงและอ่อนเพลียมากๆ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆเดินสบายๆ เหนื่อยไม่มากค่ะ ^^

ต้องสรุปแบบฟันธงให้เลยว่า อย่างเราเราไปไหวทุกคนคงไปไหวค่ะ ถ้าไม่ป่วยหรือมีโรคประจำตัวนะคะ แห่ะๆ

********************************

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวระหว่างทางของพวกเราและพี่ Adit นะคะ ^^เริ่มจาก แวะ รับประทานอาหารที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ค่ะ ไก่ย่างที่ Food court อร่อยมากกก^^


อิ่มแล้วเชิญขึ้นเครื่องต่อค่ะ ^^


ถึงแล้วสนามบินสุราบายา ลงจากบันไดเครื่องจะมีเจ้าหน้าที่มากำกับให้เดินตามเส้นสีเหลืองเราไม่รู้เรื่องเดินทะเล่อทะล่า โดนดุเบย 555



ต่อไปนี้เป็นการเล่าเรื่องโดยใช้ฟิลลิ่งล้วนๆ ยาวหน่อยนะคะ แห่ะๆ ช่วงนี้ไม่มีภาพปลากรอบนะคะ เนื่องจากเป็นช่วงเดินทางไม่ได้ถ่ายอะไรเลยมืดด้วยค่ะ แต่หลังจากนี้ รูปเยอะเลยค่ะ ^^

พี่ Adit รับเราที่สนามบินไฟล์ดีเลย์ค่ะเครื่องลงจริงประมาณ 18:15 น. เราเลยจะไม่ได้แวะพักกินข้าวตามที่ได้ตกลงกันไว้ พอเจอกันพี่ Adit รีบวิ่งไปซื้อโรตีบอยมาให้พวกเราไว้กินบนรถคนละอัน และแจ้งว่าไปถึงแล้วเราต้องเดินขึ้นเขาต่อเลย ฉะนั้นขอให้พวกน้องๆต้องนอนให้หลับบนรถนะจ๊ะ ......เอิ่บบบบบบบ

ถนนที่นั่นขรุขระ รถเยอะค่ะ ส่วนใหญ่เป็นมอร์เตอร์ไซด์และรถบรรทุก พี่ Adit ของเราขับรถเก่งมาก พี่แกแซงทุกคน แซงซ้าย แซงขวา แซงขวา แซงซ้าย คำว่าเบาไม่มีอยู่ในสารานุกรมของพี่ Adit .....แวร๊กกกก แล้วก รูจะหลับได้ไหม !!! สรุป หลับไม่ลง พอแวะปั้มเราจัดไป 1 อ้วก (จขกทคนเดียวค่ะคนอื่นไม่เป็น^^) ถึงกระนั้นพวกเราก็ลงความเห็นกันว่าแกขับเก่งมาก และทุกคนรู้สึกปลอดภัย ทำไมไม่รู้ค่ะ อิอิ....

เดินทางต่อ พอเข้าเขตป่าๆ อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ เย็นขึ้น เย็นขึ้น เย็นขึ้น จนจึงเย็นมากกกก 6 ชั่วโมงผ่านไป เราถึงจุดที่จอดรถ เวลาตอนนั้นประมาณ 01:30 พี่ Adit ปล่อยให้เราขึ้นไปกับไกด์ท้องถิ่น ซึ่งก็คือคนงานในเหมืองนั่นเอง ไกด์ท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ดูแลพวกเราดีมาก ตามติดพวกเราตลอด ดีมากๆ เรียกได้ว่าหนาวกายแต่อุ่นใจ...

ทางเดินขึ้น Ijen ชัน ถึงชันมาก และมองมิเห็นข้างทางหรือสิ่งใดๆทั้งปวง วิสัยทัศน์แค่ไฟฉายตรงหน้า แต่ว่าก็จะมีมีกรุ๊ปนักท่องเที่ยวเดินไปด้วยกันเยอะแยะ ไม่น่ากลัว ความกลัวไม่มีเลย มีแต่ความเหนื่อย5555 และไม่ต้องกลัวหลง เพราะเป็นทางเดินถนนลูกรังไม่ใช่ป่าเขา พื้นเป็นหินภูเขาไฟ เป็นดินบ้างกรวดบ้างลูกรังบ้าง สลับกันไปเพื่อพิสูจน์ความอดทนของข้อเข่าและกล้ามตูด เหนื่อยและท้อมาก แง๊ๆ ไกด์บอกต้องเดิน 4 กิโล ทางนี่เรียกได้ว่าชันมากๆ บางช่วงชันถึงประมาณ 45 องศากันเลยทีเดียว ทางลาดก็มีอยู่บ้างประมาณ 5% ของทางทั้งหมด 555

อากาศจากที่อยู่ด้านล่างหนาวมากๆ จากที่ตอนก่อนขึ้นประโคมเสื้อใส่กันหลายชั้น พอได้เดินแบบนี้เริ่มบอกไม่ถูก หนาว แต่ทำไมเหงื่อไหลพรากกก 555

เดินต่อไป เดินๆๆๆๆๆๆ เดินๆๆๆๆๆ เดินๆๆๆ เดินไม่ไหวแล้วโว้ยยย จัดไปอีก 1 อ้วก ระหว่างนั่งอ้วก มีคนมามุงเราด้วย อย่าถามว่าอายไหม 55555 ....เสียงคนข้างๆบอกไหวไหม ไม่ไหวลงไปรอที่รถ .....บร้าาาาาาาาาาาาาาา หรออออออออ แกรรรรรรรร๊ ฉันมาจากโคราชเด้ล่าาาา ฮึดต่อไป แบบกระท่อนกระแท่น จนถึงปากปล่อง เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สำเร็จแล้ว หันไปมองหน้าไกด์ ไกด์ผายมือออกมา ป่ะ ฉันจะพาลงไปที่นั่น .........

เฮ้ย ไปไหน!!!! ถึงแล้วไม่ใช่หร๊อออ ...เงิบแพ๊พพพ ไกด์ชี้ลงไปข้างล่าง คือ ต้องลงไปเบื้องล่างนั่น เพื่อจะไปดู blue fire หรือ ลาวาสีน้ำเงิน หรืออีกชื่อคือ blue flame พระเอกของท้องเรื่องในวันนี้ เรามองตามลงไป เห็นคนข้างล่างตัวเล็กนิดเดียวเป็นจุดๆสีดำๆ เคลื่อนไหวได้ และมีแสงวิบวาว (ไฟฉาย) ข้างๆ มันต้องไกลมากๆสินะ มีเสียงกรี๊วกร้าว และเสียงปรบมือดังมาจากข้างล่างเป็นระยะๆ มันต้องดีใช่ไหมเขาถึงกรี๊ดกัน!! เสียงนี้แหละสะกดจิตให้ต้องตามไป 5555ขาสั่นเป็นกลองเพลเลยทีเดียว เพราะคำว่าชันมากคงไม่ใช่...... อาจจะพูดได้ว่า โค..ตพร่อ..งโค...ตแมร่.......งชันเลยฮับ 5555

ลงไปอีกประมาณ 1 กิโล เป็น 1 กิโลที่ยาวนานที่สุดในชีวิต 55 เดินไปคิดไป "ก..รูลงไปแล้วจะขึ้นยังไงว๊ะเนี่ย" <<< อันนี้เผลอคิดออกมาดังๆด้วยค่ะ มีน้องคนไทยที่มาอีกกลุ่มแอบขำ ...แห่ะๆอายค่ะ ........คิดในใจอีกครั้ง!! เอาวะฮึดสุดท้าย ต้องไหวๆๆๆ หารู้ไม่หลังจากนั้น ตลอดทริปนี้ ต้องมีคำว่าฮึดสุดท้ายอีกประมาณสามพันแปดร้อยสี่สิบฮึด ..........


ฮ๊าาาาาาในที่สุดก็ลงมาถึง ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูกค่ะว่า ดีใจไหม อีกใจนึงแอบคิดว่า ... เมิ....งพยายามเกินไปหรือปล่าวที่จะมา 555 55555

เมื่อลงไปถึงเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินสวยงาม ท่ามกลางความมืด เพื่อนๆที่มาด้วยกันให้ฉายา Blue Fire นี้ว่า เตาแก๊สลัคกี้เฟรมขนาดยักษ์ แป่วววววววว จุดนี้ต้องขออภัยหากไม่มีภาพ ความสามารถไม่ถึงค่ะ ช่างภาพหลายท่านกล่าวว่า Blue Fire นี้เป็นอะไรที่ถ่ายยากจริงๆ เพราะนอกจากมืดแล้วยังจะมีควันฟุ้งบดบัง โฟกัสยาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากชม อากู๋ค่ะ มีภาพสวยๆเยอะเลยค่ะ แฮ่

ตอนนี้เวลาประมาณตีสี่ เราก็ต้องหาที่พักนั่งกันตามโขดหิน เพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้นจะได้เห็นทะเลสาปสีเทอร์ควอยซ์ซึ่งตอนนี้ดำปิ๊ดปี๋อยู่ตรงหน้า ....

อากาศช่างดีเหลือเกิน (หรอ) ควันจากเหมือง เป็นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากกรดกำมะถันลอยมาให้เราสูดดมอยู่เป็นระยะ ดีที่ไกด์เตรียมหน้ากากมาให้

สำหรับผู้ที่กำลังจะไป ถ้าจะเตรียมหน้ากากเบๆ สีเขียวๆ ขาวๆ แบนๆ แบบที่คุณหมอให้คุณตอนเป็นหวัด บอกได้เลยว่าา ...วางไว้ที่บ้านเถิดครับ 55555

ตอนนั่งหอบอยู่นั้นในใจได้แต่คิดว่า ...เฮ้อ มนุษย์หนอ ช่างสรรแสวงหาที่จะมาน้ออออออออออ

พื้นที่เรานั่ง เย็นและชื้น แต่ไม่มีอารมณ์ไฮยีนเลยค่ะ พวกเรานอนเลยค่ะ 555 ตอนนี้อยากได้เสื่อมาก ใครแบกไปได้แนะนำค่ะ เพื่อความฟินพูดจริงค่ะ ถ้าเราได้ไปอีกเราจะแบกที่รองนอนไปด้วย หาที่เป็นพลาสติกเบาๆ เอาไปแล้วเก็บไปทิ้งเองด้วยนะคะ เราเห็นนักท่องเที่ยวทิ้งขวดน้ำ ทิ้งขยะตามทางเต็มเลย เราเห็นแล้วเราโมโห !!!!

ปล. ขออนุญาตย้ำอีกครั้ง (กลัวไม่ไปกันอ่ะค่ะ แห่ะๆ) หากเพื่อนๆที่สนใจจะไปแต่อ่านความลำบากของเราแล้วกลัว อยากบอกว่า ไม่ต้องกลัวนะคะ ในกลุ่มที่ไปด้วยกัน มีเราคนเดียวที่ไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากเราเป็นคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ก่อนไปไม่ได้พักผ่อนมาเต็มที่ อดนอน ทานอาหารน้อย และที่สำคัญเรากินยาแก้เมารถผิดเวลา ตอนถึงที่นั่นยากำลังออกฤทธิ์ค่ะ เลยง่วงและอ่อนเพลียมากๆ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆเดินสบายๆ เหนื่อยไม่มากค่ะ ^^


ปิ๊ง! เช้าแล้วค่า

คนงานเหมืองที่นี่ชีวิตเลวร้ายมากๆเลยค่ะ.... พวกเขาต้องแบกกำมะถันขึ้นลงระยะทางเท่าที่เราเดินขึ้นมา วันละสองเที่ยว ระหว่างขุดกำมะถันต้องสูดดมซัลเฟอร์แบบไม่มีอะไรป้องกัน แบกนำหนักกำมะถันข้างละ 85 กิโล ขายได้วันละประมาณ Rp 50,000 - 75,000 หรือ ประมาณ 200-300 บาทไทย

เคยดูสารคดี ชีวิตพวกเค๊าน่าสงสารมากค่ะ ทำเพราะไม่มีทางเลือก T_T ...โอ้ชีวิต ....


พวกเค๊าทำงานท่ามกลางหมอกควันทำได้ไงก็ไม่รู้ค่ะ หลายคนไม่มี mask ขนาดเราเผลอสูดเข้าไปแค่เสี้ยววินาทีก็แทบตาย



ไกด์บอกพวกเราว่าเวลาอยู่ที่นี่ ให้สังเกตุหากน้ำสีฟ้าในทะเลสาบ หากเปลี่ยนเป็นสีหรือมีลักษณะแปลกๆเมื่อใด แปลว่าหลังจากนั้นจะมีแก๊สพิษร้ายแรงลอยขึ้นมา ซึ่งแก๊สพิษนี้หากสูดดมเข้าไปสามารถทำให้สลบได้ เห็นเมื่อไหร่ให้วิ่งขึ้นแบบไม่คิดชีวิต เฮ่ออออ หายใจยังลำบากเอาแรงที่ไหนมาวิ่งหื้อ!!?? ถ้ามันเกิดฉันคงเป็นคนแรกที่สลบ แหละแกร๊ ^^"


หน้ากากแบบนี้ค่ะ (สีดำ) ที่พี่ Adit เตรียมมาให้ ^^


คนงานในเหมืองค่ะ กำมะถันออกจากเตาสดๆร้อนๆ ตอนร้อนอยู่จะเป็นสีส้ม เย็นแล้วจะแข็งและเป็นสีเหลือง น่ากิน เง้อออ !!


โฟกัสได้เหียกมาก 555 ขออภัยค่ะ ^^"



ตอนนี้ส่วนใหญ่ได้รูปจากมือถือนะคะ เพราะว่าเหนื่อยมากค่ะ บาดเจ็บสาหัส หายใจรวยริน แขนตัวเองยังอยากเด็ดทิ้งเลยค่ะ (พูดจริงๆค่ะ ต้องลองไม่ลองไม่รู้ 55 ) เลยไม่ค่อยมีแรงยกกล้องขึ้นมาถ่ายเลยค่ะ ขนาดเป็นกล้องเล็กๆนะคะ 55


ระดับความชันค่ะ หินก้อนๆเล็กๆใหญ่ๆขาวๆพวกนี้แหละค่ะ ที่เราใช้ไต่ลงไปตอนลงไปดู Blue fire ในตอนที่มันมืดตื๊ดตื๋อค่ะ ภาพที่เห็นถ่ายตอนกลับ นี่เพิ่งตะกายขึ้นมาได้สเต็ปเดียวแล้วมองลงไปนะคะ ลองเทียบ scale กับคนจิ๋วๆไกลๆดูค่ะ ^^"


ยิ่งใหญ่แค่ไหน เทียบกับขนาดคน มุมบนขวา ตัวกระจี๊ดริด ^^


ความเร็วในการเดินของเรา อาจเทียบได้กับการเดินจงกลม 5555

Blue fire อยู่ตรงนี้ค่ะ ตรงที่มีควันพวยพุ่งออกมา ถ้าเช้าแล้วจะมองไม่เห็นแล้วค่ะ ^^



เช้าวันนั้น อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ฟ้าไม่มีแดดส่องลงมา แต่เราก็อยู่ใกล้พอจะเห็นสีฟ้าของนางอยู่บ้าง ไกด์บอกว่า ทะเลสาบสีสวยนี้เป็นกรดที่มีค่าสูงมากกระป๋องลงไปยังละลาย ไกด์บอกว่าต้องอยู่ถึงแดดแรงๆนางจึงจะสวยเต็มที่ แต่พวกเราไม่ไหวแล้ว ไปดีกั่ว ปืนขึ้นไป โอ้ยยย ป้าเข้าเสื่อมมมมม และอยากเป็นลม จะได้ปลิวไปไม่ต้องเดิน ตอนขึ้นนี่เลิกบ่นแล้วออกแนวปลง 555 เฮ่อออออ

ตอนเดินขึ้นว่าโหดแล้ว ขาลงเป็นไรที่ทรมานสุดๆ เราต้องต่อสู้กับกรวดเล็กๆที่พื้นไปตลอด 4 กิโลที่ขึ้นมา จิกเท้าไม่ให้ลื่นไถลไปกับหินลูกรัง เราไม่เคยรู้สึกถึงเอ็นร้อยหวายเท่าวันนี้มาก่อน #กล้ามตูดก็เช่นกัน 555 #มีความกระชับตูด 555

ระหว่างเดินลงสองข้างทางวิวสวยจับจิต จนบางครั้งลืมเหนื่อยไปเลย จะมีคนงานเหมืองถือกระบุงเปล่าเดินสวนขึ้นบ้างก็แบกกระบุงกำมะถันแซงเราไป เป็นระยะๆค่ะ

ต่อนะคะ กิจกรรม (จิตรกรรม) ฝาผนังค่ะ มีทุกที่ในโลกที่วัยรุ่นเข้าถึง 55




ตระกร้าใส่กำมะถันวางทิ้งไว้เป็นระยะ ไม่กลัวหาย ไม่มีใครเอาไปได้ ลองขโมยดูแล้วไม่ไหวค่ะ มันหนักมากก >.<"


หลังคาไกลๆนั่น จุดพักค่ะ ไกลแท้ .....


เดินต่อไป


ถึงแล้วค่ะจุดพัก ...ของเรา และของคนงานเหมืองด้วย แวะซื้อน้ำ ซื้อขนมต้มมาม่าได้ที่นี่ค่ะ ^^


มีตุ๊กตาแกะสลักที่ทำจากกำมะถันวางขายค่ะ แต่เรานำกลับบ้านไม่ได้นะคะ เขามิให้นำออกค่ะ^^



ลงรูปข้ามค่ะ ....อันนี้รูปบนปากปล่อง ตอนที่เพิ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ค่ะ

.........อี้เจี้ยน เป็นเหมืองกำมะถัน เป็นทะเลสาบน้ำกรดบนภูเขาที่ใหญ่และมีค่าความเป็นกรดสูงที่สุดในโลก... สวย แปลก ดุ อันตราย หลายอารมณ์ หลายรส ตอนนี้เข้าใจแล้วที่ผู้คนต่างบอกให้มาเพราะมันสวยมาก และเป็นประสบการณ์ที่หายากค่ะ


แต่มาครั้งเดียวก็พอ ครั้งเดียวก็หมดแรงแล้ว 555 ถึงจะเหนื่อยแต่เราก็ประทับใจเป็นอย่างมากเลยนะคะ



ถึงลานจอดด้วยความปลอดภัย จขกท ถึงคนสุดท้ายเพราะอ่อนแอสุดค่ะ พี่ Adit และเพื่อนๆรออยู่แล้ว รู้สึกซึ้งที่ทุกคนไม่ว่าอะไรที่เราอ่อนแอ 55 มีล้อบ้างไรบ้างพอกรุบกริบ จุดนี้รู้สึกอิจฉา พี่ Adit ที่ได้นอนหลับเต็มที่

...............ออกเดินทางเจอโค้งแรก ขอจอดจัดไปอีก 1 อ้วก พี่ Adit เห็นท่าไม่ดีเลยพาพวกเราไปโรงแรมใกล้ๆ ( Catimor Homestay) จัดห้องหับสำหรับอาบน้ำให้ฟรี !!!! โอวจุดนี้ซึ้งมาก..... พวกเราเลยสนองน้ำใจอย่างไว อาบน้ำอาบท่า หาของรองท้อง มื้อแรกของวันคือ มาม่าอินโด มีให้เลือกจะเอาแบบใส่ไข่ดาวหรือแบบใส่ไก่ทอด พวกเราสั่งมาลอง ลงความเห็นว่าอร่อย ทั้งสองแบบ อิอิ กินอิ่ม พักผ่อน ดีขึ้นแล้วไปต่อ ^^

ระหว่างทางใกล้ถึงโบรโม่ พี่ Adit แวะให้เราทานข้าวมื้อจริงจังที่ร้านอาหารท้องถิ่นริมทะเล อาหารอร่อยถูกปาก ราคาไม่แพงมาก เดินไปเยี่ยมชมชายหาดเล็กน้อยก่อนขึ้นรถ ท้องอิ่ม รู้สึก ฟินนนนนน

อาหารผัดๆทอดๆ จืดนิดหน่อยแต่ทานได้อร่อยค่ะ ^^


ทานเสร็จแล้วเดินไปส่องชายหาดเล็กน้อย ทะ เล สี ดำ ทรายดำค่ะ สีนี้เลย แต่สวยแปลกตาดีค่ะ อิอิ


ไหนๆทรายก็ดำ ฟ้าก็จืด โทนนี้เลยนะคะ


หลังจากดื่มด่ำกับอาหาร และชายหาด ก็ออกเดินทางต่อไปโบรโม่ค่ะ

รุ่งขึ้นเราไปถึงโบรโม่แล้ว ไกด์เล่าว่า อี้เจี้ยนเมื่อวานตอนเราออกมาแล้ว นางปล่อยพิษออกมา มีคนงานในเหมืองได้รับก๊าซพิษและสลบถึง 3 คน ต้องมีทีมกู้ภัยเข้าไปนำตัวส่งโรงพยาบาล และใกล้ๆกันมีภูเขาไฟกำลังปะทุ เหวอออออ รุ่งขึ้นอีเจี้ยนปิด ประกาศเป็นเขตอันตรายไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นค่ะเดินทางต่อไปโบรโม่นะคะ



ระหว่างทาง พี่ Adit จอดที่มินิมาร์ท ให้เราซื้อของค่ะ พี่ Adit บอกว่าช่วงนี้ไม่มีเบียร์ขายนะจ๊ะ เพราะเป็นช่วงถือศีล มีขายเฉพาะที่โรงแรม พวกเราก็ไม่เชื่อค่ะ ต้องไปเห็นด้วยตา นั่นไงในตู้แช่เพียบบเบยยย ต๊ายยยย พี่ Adit หลอกเรา!!! ดังนั้นจัดชุดใหญ่ค่ะ


หน้าตาแบบนี้เลย

ขึ้นมาบนรถคอมเพลนพี่ Adit เล็กน้อย นี่ๆๆๆ เธอหลอกฉัน หนอยๆๆๆ เขามีขายจ้านี่ๆๆๆ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ

เปิดบนรถ....ซัดเข้าไป ....... เงิบบบบบบ เพราะมันคือ เบียร์แอลกอล์ฮอล์ 0% คล้ายๆ หมูเจ เนื้อเจ เวรกรรม - -"

พยายามบิ้วให้เมา เอ้า ไม่สามารถ วางมันลงเถอะ .....ขอบอกว่า ถึงวันกลับ เบียร์ 0% ยังเหลืออยู่ 555555



เดินทางต่อใกล้ถึงแล้ว ทางเริ่มคดเคี้ยว บนป่าเขา อากาศดีมาก มาก มาก ม๊ากกกกกกกกกกกกก จนเราต้องเปิดกระจกรับลม ภูเขาที่นี่ ลักษณะเป็นหน้าผาที่สูงมากๆ และต้นไม้ที่ขึ้นบนภูเขามองไกลๆเหมือนภูเขาหินที่มีหญ้ามอสแปะอยู่ เป็นความสวยงามที่แปลกตามาก พอเราเข้าไปในนั้นแล้วเราเหลือตัวเล็กนิดเดียว เหมือนมด เหมือนปลวก ...แป่ววววว มดก็พอค่ะ ^^"

วิวระหว่างทาง




ภูเขาหญ้ามอส (เราตั้งกันเอง) สูงมากๆ โอบล้อมพวกเราไว้จนพวกเราเหลือตัวเล็กกระจี๊ดริด

พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่ที่นี่ ปลูกกระหล่ำปลี ถั่วลันเตา แครอท มีสตอร์เบอร์รี่ด้วย และอื่นๆอีกมากมาย เค๊าบอกว่าดินจากเถ้าถ่านของการระเบิดจากภูเขาไฟนี่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ชาวบ้านเลยขอเสี่ยงที่จะอยู่ค่ะ เพราะอย่างน้อยก็ไม่อดตาย ^^ ดอกไม้สองข้างทางที่เราเห็นเยอะสุดเป็นดอกลำโพง และมีเป็นดอกไม้คล้ายๆบัวตอง (เหมือนกันเลยค่ะ แต่ไม่ทราบว่าใช่ไหม) แล้วก็ต้นสนเป็นปุ่มๆปมๆ แปลกตา พวกเราเพลิดเพลินมากกับวิวสองข้าง เปิดกระจกรับลมอากาศสดชื่นมากๆ เสียงฮู๊วฮ๊าวตลอดเวลา เราตื่นกับวิวจนลืมเมารถเลยค่ะ



และแล้วก็ถึงโรงแรม เราพักที่ Cemara Indah พี่ Adit บอกเราว่า ไม่ต้องไปนอนโรงแรมสวยหรูที่ไหน เพราะมันไม่ได้ฟิลลิ่ง 555 ที่นี่โอเคสุดแล้ว กรี๊ดอีกรอบกับวิวตรงหน้า โอววววว มันดีงามมากกกกกก


มองไปเบื้องล่างเห็นคนขี่ม้าตัวเล็กๆจิ๋วๆ


บรรยากาศที่พัก


หลังจากเอาของเข้าห้องเรียบร้อยก็มาสามัคคีชุมนุมที่ห้องอาหารค่ะ เนื่องจากมี wifi พวกเราห่างหายจากโลกโซเชี่ยลและโทรศัพท์มา 1 วันเต็ม ทุกคนเลยตั้งหน้าตั้งตาจิ้มๆๆๆๆๆ ถูๆๆๆๆๆๆ ไถๆๆๆๆๆ ๆๆๆ อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ แชร์รูปอย่างเมามันส์ แล้วก็ กดไลค์กันเองอย่างเมามันส์ 5555


ห้องพักใช้ได้นะคะ สะอาด ห้องน้ำก็สะอาด สภาพไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ภาพที่คิดไว้ก่อนมาค่อนข้างสยดสยองมากมายเลยทีเดียว 55 ที่เห็นรกๆนั่น ทำเองค่ะ ฮาาา



กลับมาที่ห้องอาหารค่ะ อาหารที่โรงแรม อร่อย สะอาด ให้เยอะ ราคาไม่แพงมากค่ะ จัดไปค่ะ

หมี่ผัด


ไก่ทอด


ไข่เจียวทะเลที่มีซอสพริกและถั่วลันเตาด้านบน



อันนี้เหวอสุดวางปุ๊บทุกคนหันมาสบตาโดยไม่ได้นัดหมาย 555 เขาเขียนไว้ว่ามันคือสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ โรยชีส

ลองให้แล้วค่ะ ก็อร่อยดีนะ อิอิ


และเบียร์ของแท้ค่ะ แต่เรา ก็ หา กัน จน เจออออออออ


ทานข้าวเสร็จก็แยกย้ายไปพักผ่อน ระหว่างนั้นเราเห็นพี่ Adit วนเวียนอยู่ที่ล๊อบบี้ตลอดเวลา ไม่ไปไหน คอยอยู่ตอบคำถามพวกเราตลอด พรุ่งนี้จะมารับตีสาม ห้ามต่อ เพราะฉะนั้นรีบนอนนะ ^^



ตอนเช้าพี่ Adit มารับตรงเวลาเป๊ะ แกให้เหตุผลว่าถ้าไปช้าคนจะเต็ม เราก็ไม่รู้สึกอะไรจนกระทั่ง ...

ขึ้นไปถึง นี่ตื่นตีสองครึ่งยังไม่ทันเลย คนเยอะมาก ขออภัยที่ถ่ายมาได้แบบนี้นะคะ ง่วงนอน ไร้สติ เดินชนคนตลอดเลย อิอิ


เอ้าไหนๆก็มาแล้วดูวิวไปก่อน ...ไหนล่ะวิว .....มืดตื่บ


มองขึ้นไปบนฟ้า ว้าววววว ดาวเยอะมาก ถ่ายไม่เป็นได้มาแค่นี้ค่ะ


เมื่อไม่มีที่ยืนในสังคม ....ร้องไห้หนักมาก 5555555


เริ่มสว่าง พี่ Adit เห็นพวกเราหงอยๆ เลยพาปีนรั้วลงไปข้างล่าง เฮ้ยยย......จะดีหรอออออ........ตามไป จัด ได้มา 1 รูป เป็นรูปนี้ค่ะ เป็นรูปแห้งๆไม่ค่อยมีจิตวิญญาน 555


พี่ Adit บอก ไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวจะพาไปอีกที่ สวยกว่านี้ ...อ้าว !!!!!!!!!



ระหว่างทางลง อากาศหนาวมากๆๆๆๆๆ เราเลยขอพี่ Adit แวะกินไมโลที่ร้านข้างทางลงค่ะ


อยากทานอะไร ฉีกซองเลยค่า 555


คนที่นี่ ดื่มกาแฟเคล้ากล้วยทอดค่ะ


ระหว่างดื่มไมโล พี่ Adit ก็ เอ็นเตอร์เทนพวกเราด้วยโชว์มายากล แถมเล่นพร้อมเฉลยด้วยค่ะ 555 เป็นความสามารถพิเศษของพี่ Adit แกค่ะ 55 ก่อนกลับเมืองไทยพี่ Adit ให้ไพ่มายากลแฟนเรา 1 สำรับ บร๊ะ ใจดีเกิ้นน


พวกเราไม่ถนัดกล้วยทอดเลยจัดข้าวโพดปิ้งมาเคล้าไมโลค่ะ รสชาตข้าวโพดปิ้งเป๊ะ! เหมือนที่เมืองไทย ไม่ผิดเพี้ยนเลยค่ะ ^^



โฉมหน้าพี่ Adit ของพวกเรา


ระหว่างทางลงมีดอกไม้ขายค่ะ ดอกไม้ที่จะนำไปบูชาเทพเจ้าที่ปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ เมื่อก่อนโยนสัตว์เป็นๆลงไปค่ะ เดี๋ยวนี้เลยทำดอกไม้เป็นรูปสัตว์แทน ดอกไม้พวกนี้ไม่เหี่ยว เก็บไว้ได้ 5 ปี ไกด์เขาว่าอย่างนั้นค่ะ^^


วิวจากที่จอดรถ ถ้ามาหน้าฝนช่วงเดียวกับที่พวกเรามา (April) เส้นขอบฟ้าไม่มีนะคะ ที่นี่ หมอกแน่นดั่งยืนอยู่บนเมฆ อิอิ



มีสาวๆหิ้วกาแฟขายตามรถแบบนี้ด้วยค่ะ


รถจี๊ปมีหลากสี เวลาจอดเรียงกันแลดูน่ารักจริงๆค่ะ (คันนี้สีออกวินเทจ)


ของพวกเราสีเขียวค่ะ อิอิ



จุดชมวิวจุดที่สองนี้ มันกรี๊ดมากค่ะ ตอนเดินลงไปแล้วเห็นวิวนี่แบบว่ากรี๊ดดังลั่นทุ่งมาก สวยม๊ากกกกกกก เชิญชมค่ะ

หมายเหตุ: ดูจากรูปความงามไม่ได้ครึ่งกับที่เห็นด้วยตานะคะ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ในรูปดูดีกว่าของจริง แต่ที่นี่ค่ะพูดได้เต็มปากว่าของจริงดูดีกว่ารูปหลายเท่าเลยค่ะ^^


ที่เห็นอยู่ตรงหน้าผานั้นคือหมู่บ้านค่ะ ชื่อหมู่บ้าน Cemara Lawang ตรงเสาสัญญานนั่น โรงแรมที่พักของเราค่ะ ^^


อยากบอกว่าตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันเพลินจริงๆเลยแม่คุณเอ้ย อารมณ์ประมาณยืนปากห้อยๆน้ำลายย้อย 555


ไม่รู้จะเริ่มถ่ายตรงไหนก่อน มันเหมือนสามล้อถูกหวย จัดวางไม่ถูกมันสวยหมดทุกสิ่ง กลับบ้านเปิดดูรูป เฮ้อ อยากจะไปแก้ตัวซะจริงๆค่ะ ^^


ต่อค่ะ


คนที่นี่นิยมถ่ายพรีเวดที่นี่โบรโม่นี้ค่ะ แห่ะๆ



รูปนี้มีใครเห็นรถจี๊ปสีชมพูไหมเอ่ยย


ซูมใกล้อีกนิด เห็นรถคันจิ๋วๆ เพลินจังเลยค่ะ ^^


ทางลงและทางขึ้นจุดชมวิวสองช่วงหนึ่งเป็นแบบนี้ค่ะ


พวกเราฟินกับการเซลฟี่กันมาก


ปิดท้ายจุดชมวิว 2 ด้วยรูปพี่ Adit แกบอก หันกล้องมาทางนี้ คนน่ารักอยู่ตรงนี้ -*-


อิ่มกับจุดชมวิวแล้ว เดินทางต่อค่ะ รูปถ่ายในช่วงนี้ส่วนมากจะส่องจากบนรถที่ค่อนข้างกระเด้งกระดอนนะคะ หากไม่คมชัด โปรดอภัย (อันที่จริงก็ไม่คมชัดทั้งหมดนั่นแหละแก >.<) 555


เสร็จแล้วขึ้นม้าต่อค่ะ ทีแรกสงสารม้า แต่เห็นระยะทางแล้ว ไม่ไหวค่ะ ม้าแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดเยอะ จัดไปค่ะ แห่ะๆ^^


จขกท พูดเล่นๆให้เพื่อนฮาๆ กับพี่ Adit ว่ามีม้าสีขาวไหม ฉันเป็นอัศวินนะ พี่ Adit จัดให้เฉยเลยค่ะ รู้สึกเกรงใจ 5555


ขึ้นไปแล้วจะเห็นวิวดังนี้ค่ะ


ร้านขายของด้านบนค่ะ


ของไม่ต้องแช่เย็นค่ะ เห็นแดดจ้าแบบนี้แต่หนาวววมากค่ะ ^^


ทางที่ต้องขึ้นไปต่อค่ะเจออี้เจี้ยนมาแล้ว แค่นี้หรอ หึหึ หอบค่ะ 55555


ซื้อดอกไม้กะเค๊าด้วยประมาณ 100 บาท


มองลงมาเห็นรถจี๊ปเป็นจุดๆ แถวๆ


ประกอบพิธีกรรมกะเค๊าเล็กน้อย


วิวตอนขี่ม้าลงค่ะ


ลงมาแล้วพี่ Adit พาไปสะวันน่าต่อค่ะ กล้องแบตใกล้หมดเต็มที มือถือลืมไว้ที่โรงแรม


ขโมยรูปสะวันนาและทรายกระซิบจาก IG คุณแฟนมาลงเพิ่มค่ะ แห่ะๆ


ทรายกระซิบ ที่ถ้าใครไปช่วงเดือนนี้มันจะไม่กระซิบนะคะ เพราะเป็นหน้าฝนอากาศชื้นค่ะ เห็นเป็นแบบนี้ค่ะ


เสร็จแล้วกลับมาทานข้าวที่โรงแรมค่ะ ข้าวผัด ผัดหมี่ ไข่เจียว ^^


ข้าวผัด ไข่ดาว และผงรสดี เง้อออ...



หลังจากทานข้าวเรียบร้อย พี่ Adit ก็นัดเวลาเพื่อที่จะพาไปน้ำตกค่ะ ระหว่างนี้ไม่มีรูปนะคะ เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดคิดค่ะ ....

เมื่อเราไปถึงน้ำตก มีพ่อค้าในพื้นที่เข้ามารุมขายเสื้อกันฝน ขายรองเท้าแตะ พี่ Adit ของเราก็จัดการซื้อของให้ มีรองเท้าแตะและเสื้อกันฝนสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมไป (ไม่เก็บตังค์พวกเราด้วย) คิดว่าน่าจะรวมในแพคเกจแล้ว แต่ก็ปลื้มนะคะ ทั้งๆที่พวกเราควักเงินออกมาจ่ายพ่อค้าแล้วพี่ Adit ชักกลับมาคืนเฉยเลยค่ะ Y_Y


ตอนเดินเข้าน้ำตก พวกเราตื่นตาตื่นใจมากๆ เพราะเป็นทางเดินเข้าที่สวยงามมาก มีหน้าผาเขียวชอุ่มสูงมากๆขนาบซ้ายขวาสูงมาก หากจะให้เทียบ คล้ายๆในฉากหนังล่าขุมทรัพย์ในป่าอะเมซอน แห่ะๆ

เดินสักพัก ฝนเริ่มตก และตกหนักขึ้น หนักขึ้น น้ำในลำธารน้ำตกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มๆ .....เฮ้ยยเคยดูสารคดี เค๊าบอกว่าถ้าน้ำสีชานมเย็นแบบนี้คือต้องออกนะ เริ่มใจไม่ดีค่ะ หันไปหาพี่ Adit แว๊ปแรกที่เห็นหน้า นางแลดูหน้าตื่นๆ เลยถามไปว่า .... พี่ Adit เราจะปลอดภัยใช่ไหม? นางตอบอย่างมั่นใจ I don't know เงิบ เงิบ เงิบ!!! ..... เหวอออ 555 พี่ Adit บอกว่า ถ้าอันตรายจะมีเจ้าหน้าที่ด้านบนประกาศเตือน ....ยังไงดีล่ะ.. พี่ Adit บอกงั้นรอก่อน (ที่เพิงพัก) รอฝนหยุด แล้วค่อยไปต่อ ระหว่างรอพวกเราหันไปหน้าผาเห็นฝั่งตรงข้ามเริ่มมีดินและหินไสลด์ เหว้อออออ..... เพื่อนเราหันไปถาม พี่ Adit .... พี่ Adit ๆๆๆ เรามี hope ไหม? ...พี่ Adit มองหน้าแล้วตอบว่า โน โฮบ 555555 อยู่ทำไม ไปสิครับพี่น้อง 5555


พวกเราบอก ป่ะ กลับ สีหน้าพี่ Adit ดูผิดหวังมาก ที่ไม่ได้นำเราขึ้นไปชมความสวยงามของน้ำตก Madakaripura แห่งนี้ ....ต้องท้าวความไปตอนจองทัวร์ เนื่องจากบ้านเราอยู่โคราช ซึ่งใกล้ๆเขาใหญ่มากๆ ตอนจองทัวร์เราบอกพี่ Adit ว่า เราขอไม่ไปน้ำตกนะ เพราะบ้านเรามีน้ำตกเยอะมาก แกก็แบบว่า ทำไมล่ะ ต้องไปนะ มันสวยนะ ...เรายืนยันว่าไม่ไป แกก็แบบว่า คอยส่งรูปน้ำตกอันนี้มาให้ตลอดๆ... บอกยูต้องไปน้ำตก !!! จนพวกเราใจอ่อน ...เออไปก็ได้วะ!! เอาข้าวเหนียวไปด้วยเว้ยเห้ย!!! ไปจิ้มน้ำตก!!!

......ตัดภาพกลับมาที่น้ำตก ระหว่างที่เราเดินออกนั้นเราก็เห็นน้ำตกเกิดใหม่จากน้ำฝนแรงๆ ที่ไหลล้นจากหน้าผาหลายสาย ไหลลงมาพร้อมดินโคลนและหิน ระหว่างที่พวกเราเผลอชื่นชมน้ำตกใหม่อยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาด้านหลัง RUNNNNNNNNN!!!! เสียงเจ้าหน้าที่ๆอยู่ด้านบนนั่นเอง วิ่งหนีลงมา และบอกให้พวกเรารีบวิ่ง เท่านั้นแหละครับ ป่าราบเลยครับ 5555

ทริปน้ำตกนี้ แทนที่นักท่องเที่ยวจะเสียใจที่ไม่ได้เห็น กลับเป็นไกด์ที่เสียใจไม่ได้พาไปดู 555

ขึ้นรถมาได้พวกเราทั้งตื่นเต้นทั้งฮา แล้วก็ต้องปลอบไกด์ว่า ไม่เป็นไรนะจ้ะเอ่เอ๊ พวกเราโอเค ไม่ต้องเสียใจ 5555 นับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ดีที่รอดมาได้ ดีที่ยังไม่ได้เดินไปไกล .... กลับออกมาทางเดิม ระหว่างทางมีต้นไม้ล้มขวางถนน มีก้อนหินก้อนเท่ารถตุ๊กๆขวางทางอยู่ ... เงิบบบ มาได้ไงเนี่ยยย


พี่ Adit ปลอบใจด้วยการแวะไร่สตอร์เบอร์รี่ พวกเราซื้อสตอร์เบอร์รี่ 1 กิโล ป้าเจ้าของพาเดินไปเด็ดสดๆเลยค่ะ ตอนจ่ายตังค์พี่ Adit บอกว่าไม่ต้องจ่าย ชาวไร่ให้กินฟรี ชาวไร่บอกว่าพอดีลูกมันไม่สวย .....อรู๊ยยยยย ทำไมพวกเขาช่างดีกับเราขนาดนี้ .... สตอร์เบอร์รี่ ภูเขาไฟ ลูกเล็กๆ แต่หวาน หอม อร่อยมากๆเลยค่ะ

หลังจากนั้นก็กลับที่พักค่ะ พักผ่อนตามอัธยาศัย พี่ Adit บอกจะพาไปแซ่บสะเต๊ะไก่ร้านอร่อยในหมู่บ้าน จะพาไปเดินเล่นในหมู่บ้าน แต่ตลอดเวลาที่เราไปอยู่ที่นั่น หนาวมาก หมอกลง ฝนปรอย ร้านปิดทุกวันค่ะ อดเลย แฮ่



เช้ามาก็เตรียมตัวกลับค่ะ พี่ Adit มารอตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ระหว่างทางก็สวยงามเหมือนเดิม ไม่อยากกลับเลยค่ะ ^^

คนอินโดน่ารัก อัธยาศัยไมตรีดีมากๆ เช่นคุณป้าท่านนี้ เราขับรถผ่าน ทีแรกคุณป้านั่งกอดเข่าธรรมดาๆ พอเราขอถ่ายรูป คุณป้ายิ้มหวาน โพสท่าให้ถ่ายแบบว่ามืออาชีพอายไปเลยค่ะ รู้สึกดีที่ได้ไปเที่ยว โบรโม่ ค่ะ


วิวระหว่างทางกลับบ้าน T_T


บ้านไหนประกอบอาหารจะเห็นควันลอยออกมาจากหลังคาแบบนี้ค่ะ


ร้านขายผัก ..ก็งงอยู่นะคะว่าขายใครเพราะทุกบ้านก็ปลูกผัก 55


ต้นแครอทค่ะ ^^


อันนี้ถนนหนทางบนพื้นราบเข้าตัวเมืองค่ะ


เห็นอะไรกันไหมเอ่ย...พี่ Adit บอกว่า คนบนเกาะชวานี้พกปืนยาวได้ค่ะ ถูกกฏหมาย เอาไว้ยิงปลา ล่าสัตว์ Y_Y


ถึงสนามบินแล้ว บ๊ายบายพี่ adit ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้วค่ะ ^^


เครื่องเราค่ะ .....เง้ออออ


อ่อๆไม่ใช่ค่ะ ลำนี้ๆๆ แหมจอดซะใกล้กันเชียว

อิอิ จบแล้วยาวเลยขอบคุณที่ติดตามค่ะ หวังว่าคงชอบนะคะ สวัสดีค่ะ ^^

ความคิดเห็น