วันนี้จะพาไปชมบรรยากาศจุดกางเต็นท์ที่ สภ.ปิล๊อก สัมผัสอากาศเย็น เด่นในตำนานเหมืองแร่ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ตลอดเส้นทางถนนทางหลวงชนบท 4088 เช่นจุดชมวิว กม.15 ที่สามารถมองเห็นเขื่อนเขาแหลม จุดชมวิวเนินช้างศึกในช่วงเย็น และเช้า พร้อมบรรยากาศในหมู่บ้านปิล๊อก และเหมืองปิล๊อก ก่อนไปเที่ยวน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ขากลับ
เมื่อช่วงโควิดเริ่มคลี่คลาย นักท่องเที่ยวก็เริ่มหลั่งไหลมาเยือน ครั้งนี้ก็มีโอกาสได้มาเยือนปิล๊อก นับเป็นครั้งที่ 3 ช่วงที่มาก็ยังมีสายฝนโปรยปราย
สำหรับถนนสายนี้มีการปรับปรุงสร้างเสร็จเป็นบางช่วง บางช่วงเส้นทางนี้ยังมีสภาพทางที่ค่อนข้างชำรุด อีกทั้งบางช่วงก็มีการซ่อมแซมก่อสร้างถนนอยู่ การเดินทางจึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับรถเล็ก และโหลดต่ำ ช่วงที่มีฝนตก สภาพถนนค่อนข้างจะเป็นหลุมเยอะ และลึก
ครั้งนี้จุดหมายเราตั้งต้นที่จะไปกางเต็นท์นอนที่หมู่บ้านอีต่อง แต่ช่วงนี้จุดกางเต็นท์หลายๆ ที่ ก็งดให้กางเต็นท์ตามจุดต่างๆ ในส่วนของทางราชการ สถานที่พักก็ค่อนข้างจะเต็มและเป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่อง จุดกางเต็นท์ที่โรงเรียนจากปลายปีที่แล้วที่เคยไปกาง ตอนนี้ไม่อนุญาตให้กางจากสถานการณ์ช่วงโควิด แต่มีการเปิดห้องเรียนให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพักอาศัยแทน
เราจึงย้อนกลับมายัง หน้าลานสนามหญ้า สภ. ปิล๊อก ที่อนุญาตให้กางเต็นท์ได้ที่บริเวณสนามหญ้าฟรี จะมีห้องน้ำให้บริการอยู่ใกล้ๆ หลังจากกางเต็นท์เสร็จก็หาของกินฆ่าเวลา จะมีอาหารตามสั่ง ขนมจีน ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด และอาหารอื่นๆ ราคาไม่แพง พร้อมกับเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศสวยๆ บริเวณจุดป้ายบอกทางเข้าสู่เขตหมู่บ้านปิล๊อก หากาแฟสดดื่ม ก่อนที่เย็นๆ จะขับรถไปหาของกินที่หมู่บ้านอีต่องอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อยามเย็นมาถึงก็ขับรถไปเดินเล่นภายในหมู่บ้านชมบรรยากาศยามเย็น หลังจากสายฝนเริ่มหยุดมีเพียงละอองฝนโปรยปราย พร้อมหมอกก็ฟุ้งกระจายไปทั่วสวยงามตลอดสระน้ำหมู่บ้าน มีสะพานทางเดินสร้างใหม่ให้สามารถเดินลัดเลาะสระน้ำได้ สำหรับซุ้มที่แขวนป้ายไม้ได้มีการย้ายจุดแขวนไปยังสะพานเหมืองแร่ใกล้ๆ จากจุดเดิม
ครั้งนี้มาก็ใกล้เย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก เลยนั่งรถรับจ้างประจำทางคนละ 50 บาท ไป-กลับ เพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวเนินช้างศึก ครั้งนี้ไม่แน่ใจสภาพทางว่าจะเป็นแบบไหน จากครั้งที่แล้วช่วงฝนสภาพทางค่อนข้างเละ และชำรุด ครั้งนี้จึงตัดสินใจนั่งรถท้องถิ่นขึ้นไปกันก่อน เมื่อฝนเริ่มหยุด หมอกเลยขึ้นหนาตาปกคลุมไปทั่วบริเวณเนินเขาต่างๆ สลับกับบางครั้งก็จะมีกระแสลมพัดผ่านทำให้หมอกฟุ้งกระจายเป็นช่วงๆ เลยชมพระอาทิตย์ตกได้ไม่เต็มที่ สำหรับเนินช้างศึกนี้ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์ที่สำคัญจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาชมทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกได้ หรือจะมากางเต็นท์นอนบนนี้ก็ได้ แต่ห้องน้ำไม่สะดวกเท่าที่ควร ควรจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นมาให้เพียงพอทั้งอาหาร เครื่องดื่ม น้ำสำรอง
เย็นนี้พลาดโอกาสจากการชมพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร นั่งรถไปหาของทานกันอย่างหมูกะทะ กับบรรยากาศฝนๆ หนาวๆ ที่ได้กินของร้อนๆ ที่ลูกชายนี่ชอบทานจังเมื่อมาเที่ยวกางเต็นท์นอนแบบนี้ อีกทั้งได้เดินเล่นชมวิว ชมตลาดถนนคนเดินยามค่ำคืนภายในหมู่บ้าน ก่อนกลับไปนอนพักผ่อนที่ลานกางเต็นท์ โดยตั้งใจจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งยามเช้า พร้อมชมทะเลหมอก
เมื่อยามเช้ามาถึงเราก็ตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปบนเนินช้างศึกก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น โดยรถส่วนตัวของเราเอง สำหรับรถนำเที่ยวรับจ้างนั้นก็จะมีบริการนำเที่ยวจากหมู่บ้านเริ่มเที่ยวแรกช่วง ตี 5 เมื่อเราขึ้นมาถึงเช้านี้หมอกค่อนข้างจะฟุ้งกระจาย พร้อมความเย็น และความชื้นที่จับตัวอยู่ในอากาศ เช้านี้นักท่องเที่ยวก็ทยอยขึ้นมากันอย่างต่อเนื่อง เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นแต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากมีหมอกปกคลุมหนาตาไปทั่ว สลับลมที่พัดแรงบางช่วงทำให้หมอกกระจายปกคลุมไม่เห็นอะไรเลย เมื่อลมสงบ ความสวยก็จะมีให้ชมสลับกันไปมา
เนินช้างศึก จะเป็นจุดที่ตั้งของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๑๓๕ บริเวณด้านบนจะสามารถมองเห็นได้ถึง 360 องศา ทั้งหมู่บ้านปิล๊อก เนินช้างศึกที่เป็นเนินแบ่งเขตแดน และแนวส่งท่อก๊าซเชื่อมต่อไทย-พม่า ตลอดจนบรรยากาศภายในประเทศพม่า อีกทั้งถ้าท้องฟ้าเปิดจะสามารถมองเห็นถึงทะเลอันดามันทางทิศตะวันตกได้ สำหรับเนินช้างศึกนั้นยังมีเหมืองเก่า ด้วยกันอีก 2 เหมือง ใต้ฐานซึ่งมีความมืดมาก และแคบระยะทางเข้าไปลึกพอประมาณ หากจะเข้าควรเตรียมอุปกรณ์ในการเดินสำรวจให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย เหมืองมีขนาดความกว้าง และสูงไม่มากเดินเข้าได้ทีละคน แค่พอเดินสวนทางได้ แต่ควรสลับกันเข้า และไม่ควรเข้าไปเพียงลำพัง มันมืดมาก
หลังจากชมความสวยงามบนเนินช้างศึกแล้วก็ได้เดินทางลงไปยังจุดกางเต็นท์เพื่อเก็บเต็นท์ และอาบน้ำก่อนเดินทางมาหาของกินยามเช้าต่อที่หมู่บ้านอีต่อง พร้อมหาจุดถ่ายรูปสวยๆ ภายในหมู่บ้าน และบริเวณโดยรอบเหมืองปิล๊อก
ก่อนเดินทางไปชมความสวยงามของน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ต่อที่อุทยาน สำหรับช่วงนี้ทางอุทยานจะเปิดให้นักท่องเที่ยวสลับกันเข้าออก รองรับนักท่องเที่ยวภายในน้ำตกครั้งละ 50 คน เมื่อมีนักท่องเที่ยวทยอยออกมาก็จะเปิดให้นักท่องเที่ยวทยอยเข้าไปเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโควิด และการแพร่กระจาย อีกทั้งช่วงนี้ยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำตกได้
สำหรับค่าเข้าอุทยานจะเสียค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 40 บาท และเด็ก 20 บาท สำหรับผู้สูงอายุเกิน 60 จะไม่เสียค่าเข้า เมื่อชำระค่าเข้าอุทยานแล้วก็เดินต่อไปอีกเพียง 300 เมตร เท่านั้นก็จะพบลำธาร และน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ที่สวยงาม
***หมายเหตุ ช่วงสถานการณ์โควิด ด่านชายแดนยังปิดไม่เปิดให้เข้าเที่ยวชมตามจุดชมวิวเนินเสาธง และช่องเขาขาด จุดเชื่อมต่อชายแดนไทย-พม่า แต่มีภาพจากครั้งที่แล้วที่มาเที่ยวให้ชมบางส่วน
ขากลับจุดชมวิวที่อีกหนึ่งที่สวยงามก็คงหนีไม่พ้นจุดชมวิว กม.15 ที่เราจะสามารถมองเห็นวิวภายในเขื่อนเขาแหลมได้ ตอนขามาฝนตกเลยแวะชมได้นิดหน่อย สำหรับขากลับท้องฟ้าเปิดเป็นใจ เลยได้เห็นความสวยงามภายในเขื่อนได้เต็มที่
เที่ยวไทยกับAn
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 11.26 น.