ฝากติดตามเพจของเราด้วยนะค้า ^^
https://www.facebook.com/wherewegopage
ถ้านึกถึง จ.ตรัง จะนึกถึงอะไรคะ
สำหรับไผ่นึกถึง จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้
ก็น่าจะมีทะเลแหละ ละมีอย่างอื่นอีกมั้ย?
พอไป search ดู อ๊ะ มี ‘ลอดท้องมังกร’ ด้วย
แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่ไป ‘หาดปากเมง’
แล้วก็พบว่าเป็นการเลือกที่ไม่ผิดเลย
ตรัง 2 วัน 1 คืน รอบนี้เรากะว่าจะให้เป็นทริปชิลล์ๆ ไม่สมบุกสมบันค่ะ
อืม....หวังว่ามันจะไม่สมบุกสมบันจริงๆนะ 5555
ตามมาดูกันค่ะ ว่ามันจะไม่สมบุกสมบันจริงป่าว
Day 1:
ทริปนี้เราบิน 8:10 น. เช้าอีกแว้ววว
พอมาถึงสนามบิน เดินออกประตูมาจะเจอคิวรถเลยค่ะ Shutter bus ที่นี่เป็นอารมณ์รถเมล์พัดลมค่ะ (รถสองแถวตรงสนามบินเค้ายกเลิกไปแล้วน้า พี่คนขับเค้าบอกมา) ราคาประหยัดสุดๆ แค่เที่ยวละ 12 บาท
เราไปลงที่ บขส เลยค่ะ เพื่อจะได้ไปต่อรถตู้เข้าหาดปากเมง
พอถึง บขส ขอแวะทานข้าวซักหน่อย อิ่มท้องแล้วก็เดินไปคิวรถตู้ นั่งคันที่เป็น ตรัง - สิเกา - ปากเมง นะคะ
ค่ารถก็คนละ 60 บาท พี่เค้าใจดีไปส่งให้ถึงที่พักเลย
การมาตรังรอบนี้เราเลือกนอนที่หาดปากเมงเลย จะได้อยู่ชิลล์ที่ทะเลยาวๆ เก็บพระอาทิตย์ตกแบบไม่รีบด้วย เราพักที่ Blue Shore Cottage
ค่าที่พักคืนละ 855 บาท
ห้องใหญ่และสะอาดดีเลยค่ะ แถมเดินข้ามถนนไปก็เป็นทะเลเลย
เราเช่ามอเตอร์ไซค์กับที่โรงแรม วันละ 300 บาท
ไม่ได้เป็นของโรงแรมเองนะคะ ทางโรงแรมเค้าจะโทรเรียกมาให้ แนะนำว่าใครอยากเช่าให้แจ้งที่โรงแรมไว้เลยค่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน
ระหว่างรอมอเตอร์ไซค์มาส่ง เราก็เลยเดินข้ามถนนมาถ่ายรูปเล่นตรงทะเลซะหน่อย
วันนี้ฟ้าใส แดดดี ลมแรง อากาศเป็นใจให้ถ่ายรูปสุดๆ (ถ้าไม่นับความร้อน 555)
ไม่รู้ว่าเพราะเป็น Low season บวกกับเรามาวันธรรมดาหรืออะไร แต่ชายหาดเงียบมากกก ไม่มีคนเลย
หาดตรงหน้าโรงแรมนี้ สามารถมองเห็นเกาะที่เรากับพี่ปุ่นเรียกเองว่า ‘หินปลาวาฬ’ 555 ได้ด้วย เรียกได้ว่าเกาะนี้แทบจะเป็น signature ของหาดปากเมง ที่ไม่ว่าในรูปถ่ายไหนก็จะมีเกาะนี้ติดไปด้วย
นอกจากทะเลแล้วถนนที่หาดปากเมงยังมีต้นสนปลูกอยู่สองข้างทางตลอดด้วยค่ะ
และแล้วมอเตอร์ไซค์ของเราก็มาซักที!!!
เราขี่ย้อนกลับไปเริ่มต้นทางหาดปากเมง เอาจริงๆขี่เลยช่วงหาดปากเมงไปนิดหน่อย ผ่านทางต้นไม้ร่มรื่น เย็นสบาย แล้วก็ไปเจอช่วงหาดที่เงียบสงบสุดๆ แบบไม่มีร้านค้า ไม่มีเก้าอี้ผ้าใบตั้ง และไม่มีคนเลย
ตรงนี้เป็นชายหาดกว้างๆสุดลูกหูลูกตาที่ยื่นเข้าไปในทะเล ถ่ายรูปบางมุมแอบเหมือนเดินอยู่ในทะเลทรายเลย
จะบอกว่าตรงนี้ถ่ายรูปสวยมากกก แต่ก็ต้องทนแดดหน่อยนะคะ เพราะมันเป็นที่โล่งกว้าง รับแดดเต็มๆเลย
มองไปทางขวาจะเห็นเป็นภูเขาสะท้อนน้ำสวยเลยค่ะ
พี่ปุ่น: “ตรงนั้นเป็นอะไรอ่ะ”
ลูกไผ่: “นั่นสิ ที่เหมือนเป็นทางยื่นออกไปอ่ะนะคะ”
พี่ปุ่น: “เดี๋ยวขี่รถไปดูกัน”
ลูกไผ่: “โอเช”
จุดดรอปถัดไปของเราก็เลยจะเป็นทางเดินที่ยื่นออกมาในทะเลที่เราเห็นไกลๆลิบๆ
พอมาถึงเราก็เลยค้นพบว่า ที่นี่ก็คือ ‘ท่าเรือปากเมง’ นั่นเอง
ช่วงนี้ตรงทางเรือปากเมงเค้ามีก่อสร้างอะไรซักอย่างอยู่ล่ะค่ะ ดูเหมือนจะเป็น community mall ไรงี้ (ไม่แน่ใจนะ) สองข้างทางเดินก็จะเป็นทะเลที่มีต้นโกงกางน้อยๆโผล่แซมขึ้นมาต้านคลื่นลมทะเล ก็สวยอยู่นะ 555
ท่าเรือปากเมง เป็นสุดทางฝั่งขวาพอดี เราเลยขี่รถย้อนกลับเพื่อไปอีกฝั่ง แต่ว่าขอเติมน้ำมันก่อนไปซะหน่อย เลยแวะถามคุณป้ารถเข็นที่จอดอยู่ข้างทาง
ลูกไผ่: “ขอโทษนะคะ ปั๊มน้ำมันไปทางไหนอ่ะคะ”
คุณป้า: “นี่ เดี๋ยวเลี้ยวไปทางซ้ายมือนี่เลย แต่เป็นแบบเติมเองนะ”
ลูกไผ่: “เห...เติมเองเหรอคะ แล้วแบบปั๊มใหญ่ๆอ่ะคะ”
คุณป้า: “ปั๊มใหญ่ๆอยู่ไกลมาก”
ลูกไผ่: “อ๋อออ”
คุณป้า: “เลี้ยวซ้ายนี้ไปเลยนะคะ ร้านน้องจอยอ่ะจ่ะ”
ลูกไผ่: “โอเค ขอบคุณมากๆเลยนะคะ”
ว่าแล้วเราก็ขี่ไปตามทางที่คุณป้าบอก พอกำลังจะจอดรถตรงหน้าร้านที่มีที่เติมน้ำมัน ก็เห็นคุณป้าขี่รถตามมาแล้วตะโกนบอกว่า “ตรงนี้แหละ เลี้ยวเข้าไปเลย”
โหย....คุณป้าน่ารักมา ตามมาบอกทางให้ด้วยอ่ะ
ที่ร้านจะเป็นตู้เติมน้ำมัน เราก็ทำหน้างงๆกัน พอดีว่าตรงนั้นมีคุณลุงอยู่ เค้าก็ตะโกนถามว่า
“เติมเป็นมั้ยลูก”
ลูกไผ่: “ไม่เป็นค่ะ แฮะ แฮะๆ”
คุณลุงแกก็เดินออกมาสอนเป็นขั้นเป็นตอน จนเราเติมเสร็จเลย
โอ้ย คุณลุงน่ารักและใจดีมากๆ
ทำให้เราค้นพบว่า คนตรังน่ารักมากกกกกก
เชื้อเพลิงเต็มกำลังแล้ว พร้อมออกไปแว๊นกันต่อแว้ววว
เราขี่รถเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีมากๆค่ะ ขี่จนมาเจอ ‘สะพานปากเมง’ ที่มีคนจอดรถยืนตกปลากันอยู่บนสะพาน หันไปดูวิวตรงสะพาน
ลูกไผ่: “หูวววว สวยอ่าาาาาา”
พี่ปุ่น: “จอดมั้ยๆ”
ลูกไผ่: “จอดค่ะจอด”
คือวิวจากสะพานคือสวยมากกกก เป็นวิวที่สวยเกินความคาดหวังของเรามากๆ
สำหรับไผ่แล้ว เรียกได้ว่าตื่นตาเลยก็ว่าได้ค่ะ
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นหมู่บ้านของชาวประมงแถวนั้น ซึ่งก็สวยไปอีกแบบกับอีกฝั่งหนึ่งล่ะ
ด้านล่างสะพาน จะมีชาวประมงตรงนั้นเตรียมของออกเรือด้วยล่ะ
เราหยุดถ่ายรูปตรงสะพานปากเมงกันพักใหญ่เลย แล้วจึงออกเดินทางต่อ ไม่ห่างกันนักเราจะเจออีกสะพานหนึ่ง ซึ่งมีคนตกปลาอยู่เหมือนกัน 555
สะพานนี้ชื่อว่า ‘สะพานฉางหลาง’ ซึ่งพอหันไปมอง อูวววววววว......
วิวแบบอลังการ สวยไม่แพ้กับสะพานปากเมงเลย จอดสิคะ รออะไร! 555
วิวจากสะพานฉางหลางคือคลีนมากมาก สวยไม่แพ้วิวเมืองนอกเลย
จอดถ่ายรูปกันพักใหญ่ (อีกแล้ว 555) เราก็เดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายถัดไปของเราก็คือ ‘อุทยานหาดเจ้าไหม’
วันนี้เจ้าหน้าที่คิดค่าเข้าอุทยานเราแค่คนละ 30 บาทค่ะ งื้อออ ใจดีจุง
ซึ่งบัตรเข้าอุทยานตรงนี้ เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถใช้ผ่านเข้าหาดหยงหลิงได้ด้วย
จากทางเข้า ต้องขี่รถเข้าไปอีกระยะนึงค่ะ ขี่ตามป้ายบอกทางไปชายหาดเรื่อยๆได้เลย ข้างในอุทยานวันนี้มีแค่เด็กนักเรียนที่มาเข้าค่ายทำกิจกรรม นอกนั้นไม่มีคนเลย เราเหมาหาดอีกแล้ว 555
ตรงหาดเจ้าไหมนี้ จะมีทางเชื่อมเดินไปที่ ‘เขาแบนะ’ ได้ด้วยค่ะ
เดินอยู่ที่หาดเจ้าไหมกันซักพัก นั่งชั่งใจกันอยู่ว่า เราจะอยู่ถ่ายพระอาทิตย์ตกที่หาดเจ้าไหมนี้ หรือว่ากลับไปที่หาดปากเมงที แต่แล้วก็ตัดสินใจว่า กลับไปถ่ายที่หาดปากเมงดีกว่า เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาว่า พระอาทิตย์ตกที่หาดปากเมงสวยมาก
ระหว่างทางผ่านสะพานปากเมงอีกครั้ง พี่ปุ่นเกิดอยากแวะถ่ายรูปอีกซักนิดเลยจอด ไผ่เลยกะจะควักโทรศัพท์มากดซะหน่อย
ลูกไผ่: “พี่ปุ่น โทรศัพท์ไผ่หายอ่ะ”
ล้วงกระเป๋ากระโปรงก็แล้ว หาในกระเป๋ากล้องก็แล้ว
พี่ปุ่น: “เดี๋ยวเราลองโทรเข้าดู”
เงียบกริบ.......
แงงงงงงง สุดท้ายพี่ปุ่นเลยไม่ได้ถ่ายรูป แล้วต้องพาไผ่ขี่รถย้อนกลับไปที่หาดเจ้าไหม แล้วก็คอยมองตามทางว่ามีร่วงอยู่ระหว่างทางรึเปล่า
พี่ปุ่น: “น่าจะร่วงอยู่ตรงที่จอดรถแน่เลย”
แล้วก็ ใช่ค่ะ! โทรศัพท์วางนอนอยู่กับพื้นตรงที่เราจอดรถไว้ที่หาดเจ้าไหมจริงๆ งื้ออออ ต้องมีเรื่องมาให้ระทึกตล๊อดดด ตล๊อดดด
ได้โทรศัพท์แล้วก็พากันขี่รถกลับไปยังหาดปากเมง เดชะบุญ ที่ยังมาทันแสงเย็นพอดี
บรรยากาศยามเย็นที่หาดปากเมง ชิลล์มากกกกค่ะ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคน และสวยมาก
เราเลยเดินเล่นได้รูปกันมาเป็นกระบุงเลย
แล้วก็นั่งทานข้าวริมหาด นั่งดูทะเลค่อยๆแสงหมด ฟังเสียงคลื่นไปเพลินๆ เป็นวันที่ชิลล์สุดๆเลย
[ มีต่อนะคะ ]
Day 2:
ทริปนี้เป็นทริปที่เราตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่ม ไม่ต้องรีบตื่นมาดูอะไรตอนเช้าทั้งนั้น ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องร้อน เราเลยตื่นสาย เก็บของ check out แล้วฝากของไว้ที่โรงแรม จริงๆวันนี้เราตั้งใจจะขี่รถเลียบชายหาด ซ้ำเส้นเดิมที่เราไปมาเมือวานไปเรื่อยๆ
วันนี้เรามีเวลาคืนมอเตอร์ไซค์ถึงบ่ายสอง เราเลยโทรนัดแนะพี่รถตู้เมื่อวานให้ช่วยมารับเรากลับเข้าเมืองตอนบ่ายสองเช่นกัน จากนั้นก็แวะทานข้าวร้านข้างๆโรงแรม
ลูกไผ่: “หรือเราจะไปหาดหยงหลิงเลยคะ”
พี่ปุ่น: “ไปเหรอ จากนี่ตั้ง 20 กิโลนะ”
ลูกไผ่: “อื้อ นี่เพิ่ง 11 โมงอยู่เลย ไปครึ่งชั่วโมง กลับอีกครึ่งชั่วโมง บวกเวลาเดินเล่นอีก ทันค่ะ”
ทานเสร็จเราเลยมุ่งหน้าไปหาดหยงหลิง แล้วค้นพบว่า เฮ้ยยย ไกลแฮะ 5555
ตอนนี้บอกได้เลยว่าผิวไหม้ทั้งคู่จ้าาา (จากที่ไหม้จากทริปอื่นมาแล้ว รอบนี้เรียกว่าเกรียม 555)
พอขี่ไปจนถึงทางเลี้ยวสุดท้ายจะเข้าสู่ทางเข้าหาด แดดที่เคยเปรี้ยงๆ ก็กลายเป็นเมฆดำตั้งเค้าอยู่บนหัวเรา แล้วมันก็เริ่มหยดเปาะแปะ เปาะแปะ จนกระหน่ำตกลงมา ดีที่เราเร่งเครื่องตอนท้าย ไปหลบอยู่ใต้ร่มหน้าด่านเก็บเงินผ่านทางทันพอดี
จ่ะ....อิชั้นตกฝนค่าาาา 555
ทำอะไรไม่ได้ เราก็ยืนรอฝนหยุดใต้ร่มคันน้อยๆกันอยู่พักใหญ่ เริ่มสิ้นหวังว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้ไปที่หาดแล้ว อาจจะต้องดูจังหวะฝนซา แล้วอาศัยจังหวะนั้นชิ่งขี่รถกลับ
แต่ เดี๋ยว! เราขี่ฝ่าแดดมา 20 กิโลเลยนะเว้ย แล้วทะเลก็อยู่ตรงหน้านี่อีกไม่กี่เมตร
แต่แล้วฝนก็ซาลง เย้!!!! เราอาศัยจังหวะนั้นขี่รถเข้าไปเสี่ยงดวง เดินหาดกัน
แล้วเราก็ค้นพบว่า มันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่ามาก ชายหน้าอึมครึมทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ที่ไม่มีคนซักกะคนเดียว มันเป็นอีกบรรยากาศที่ดี และสวยมากกกกก
อยากจะบอกว่าใครที่มาหาดปากเมงแล้ว อยากจะให้ยอมขี่รถอีก 20 กิโลเพื่อมาที่นี่จริงๆค่ะ ไม่ผิดหวังเลย
จริงๆที่นี่เค้ามีเส้นทางเดินลอดถ้ำไปทะลุกับชายหาดด้วยนะคะ แต่ด้วยฝนตกเมื่อกี้นี้ทางเดินน่าจะเดินลำบาก และเราต้องทำเวลาแข่งกับฝนที่ไม่รู้จะตกลงมาอีกเมื่อไหร่ เราก็เลยเลือกใช้เวลากับชายหาดดีกว่า
ซึ่งตรงนี้ก็มีซอกหินที่สามารถเข้าไปถ่ายรูปสวยๆ แบบไม่ต้องเดินลอดถ้ำเหมือนกันน้า
ดูนาฬิกาบ่ายโมงแล้ว
ลูกไผ่: “พี่ปุ่นกลับกันเถอะค่ะ บ่ายละ เผื่อเวลาไว้หน่อย”
ว่าแล้วเราก็พากันขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พัก เพื่อไปรอพี่รถตู้ที่นัดกันไว้ แต่!
มันไม่ได้ราบรื่นจ้าาา พอขี่ไปซักพัก
ลูกไผ่: “พี่ปุ่น ไผ่ว่ามันมีน้ำหยดโดนไผ่”
พอมองขึ้นไปบนหัว โอ้โห....เมฆดำก้อนใหญ่เลยจร้าาา ขากลับนี่ไม่ได้ฝ่าแดดนะ แต่ขี่รถหนีฝน!!!
จ่ะ ทริปไม่สมบุกสมบัน 555
แต่แล้วเราก็รอดกลับมาถึงที่พักแบบเปียกนิดหน่อย แล้วก็นั่งรถตู้กลับเข้าตัวเมืองตรังด้วยราคาคนละ 60 บาทเท่าเดิม
เราเหลือเวลานิดหน่อย เลยเดินไปที่ ‘โบสถ์คริสต์จักรตรัง’
พี่ปุ่น: “อ้าว ประตูล็อกอ่ะไผ่”
ลูกไผ่: “อ้าว วันนี้เค้าปิดเหรอคะ”
พี่ปุ่น: “ต้องถ่ายจากด้านนอกละล่ะ”
ด้วยความพยายาม เราก็ยังจะเลนส์กล้องยื่นเข้าไปในรั้ว พยายามเก็บรูปซักหน่อย
พอถ่ายเสร็จ เดินไปอีกนิด
พี่ปุ่น: “อ้าว ประตูอยู่ทางนี้”
อ้าว 555555
เค้าเปิดประตูด้านข้างจ้า
วันนี้โบสถ์ไม่เปิดนะคะ แต่รอบๆโบสถ์นี่มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะเลย
ถัดจากโบสถ์
พี่ปุ่น: “นี่ เดี๋ยวไปร้าน Old Town Cafe กันอยู่ใกล้ๆโบสถ์เลย”
ใช่แล้วค่ะ จากโบสถ์เดินไปทางขวามือของโบสถ์จิ๊ดนึง แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอร้าน ‘Old Town Cafe’
ระหว่างทางที่เดินไป จะเป็นตึกเก่า เดินๆไปก็แวะแช๊ะถ่ายรูปได้ตลอดทางเลยค่ะ (นี่ขนาดทางเดินสั้นๆนะ 555)
และเราก็ถึงแล้ว ‘ร้าน Old Town Cafe’ แล้ว
ร้านจะออกแนววินเทจอาร์ทๆจีนๆ (เอ๊ะ ยังไง 555)
ส้มโอ (อีกแล้ว) บอกว่า ถ้ามาเมืองตรัง ต้องชิมชาเย็นของตรังนะ เจ้มจ้นมากๆ
เราเลยต้องลองสั่งซะหน่อย เค้าจะมีชาเย็นปกติ กับชาซีลอนนะคะ ซึ่งชาซีลอนเนี่ยจะเป็นชาใต้ รสชาติจะเข้มและฝาดกว่า เราก็ลองอันที่เข้มกว่าอยู่แล้ว และก็เข้มจริงค่ะ อร่อยเลย
นอกจากนี้ที่ร้านจะมีขนมโบราณให้เลือกทานกันด้วยนะคะ
และถ้าใครยังไม่อิ่มล่ะก็มีหมูสะเต๊ะให้สั่งด้วย
ซึ่งเราสั่งหมดค่ะ 555
คนหิว 2020
อิ่มแล้วก็พากันเดินไปที่หน้าสถานีรถไฟตรัง เพื่อรอรถ shutter bus ที่จะเข้าสนามรอบสุดท้ายตอน 17:00 น. เดินไปถึงเวลาเหลือนิดหน่อยก็เลยเดินเข้าไปถ่ายรูปในสถานีรถไฟซักพัก พอเดินออกมา
พี่ปุ่น: “เฮ้ย ไผ่รถคันนี้รึเปล่า”
ไผ่หันไปมอง อ้าว เฮ้ย! รถ shutter bus กำลังขับผ่านหน้าสถานีรถไฟพอดี รีบโบกสิค๊าบ รออะไร!
เกือบไปแล้วววว นี่ถ้าตกรถแล้วไม่มีแล้วนะ รอบสุดท้ายแล้ว 5555
ก็จะปิดทริปแบบเกือบตกรถ (อีกแล้ว)
เป็นอีกทริปที่ว่าจะไม่สมบุกสมบันแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นล่ะค่ะ 555
แต่ ตรัง เป็นจังหวัดที่น่าไปมากเลยน้า เป็นเมืองรองที่ ทะเลสวยมากกกก คนน่ารัก แถมเป็นจังหวัดที่เที่ยวได้แบบไม่แพงเลย แนะนำให้ไปเลยค่ะ
——————————
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเดินทางไป - กลับบ้าน - สนามบิน คนละ 358 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบินไป - กลับ ตรัง คนละ 225 บาท
ค่าที่พัก คนละ 428 บาท
ค่า Shutter bus ไป-กลับตัวเมืองตรัง คนละ 24 บาท
ค่ารถตู้ ไป-กลับหาดปากเมง คนละ 120 บาท
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ที่หาดปากเมง + ค่าน้ำมัน คนละ 180 บาท
ค่าอาหาร คนละประมาณ 516 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 1,851 บาท/คน
——————————
ฝากติดตามทริปหน้าด้วยน้าาา
Where We Go
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.04 น.