เที่ยวสิงคโปร์ โอ้โหนี่มันโคตรลำบาก (ตอนที่ 4)

highlights:

  • งงๆ ในเกาะ Sentosa
  • เดินวนรอบห้างเพราะเชื่อ Google Map
  • ร้าน Song Fa Bak kut teh
    ปล. รูปที่ถ่ายมามันอาจจะพังไปสักหน่อย ให้โฟกัสความวายป่วงของเราดีกว่า พังกว่ารูปอีก 55555

---------------------------------------------------------------------------------

หลังจากตอนที่แล้ว [เที่ยวสิงคโปร์ โอ้โหนี่มันโคตรลำบาก (ตอนที่ 3)] ที่เราถ่ายรูปกันจนเบื่อและนั่งพักจนหายปวดหลัง ใช่ค่ะอิฉันไปสิงคโปร์ด้วยอาการปวดหลัง แล้วแถมต้องเดินเยอะมากกกกกกกก บวกกับต้องยืนบนรถไฟฟ้านานๆ มันทำให้อาการยิ่งไปกันใหญ่ 

เราก็เลยเดินไปรอรถ Tram กันที่ Siloso point ตรงจุดเดิมที่เราลงรถมา ตอนที่เราขึ้นรถมาเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะไปจอดให้เราลงตรงไหน แต่ทางที่เขาเข้ามามันคุ้นๆ เหมือนจะเป็น Casino โอ๊ะ Casino 

คือถ้าดูจากในแผนที่แถบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่ารถ Tram จะมาจอดให้เราลงที่ Casino

แต่เราหาทางเข้า Casino ไม่เจอ เจอแต่ป้ายก็เลยอดเห็นว่าข้างในเป็นยังไง  แล้วเราก็เลยลองเดินตามที่คนอื่นๆ เข้าไปกันเผื่อจะเจอก็ได้

ปรากฏโผล่ออกมาที่ไหนก็ไม่รู้จ้ะแมรรร่ 55555 ที่นี่ที่ไหนกัน

คิดอะไรไม่ออกหาที่นั่งก่อนแล้วกัน แล้วสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเราคือพัดลมยักษ์ ตัวใหญ่ม๊ากกกกก แล้วไม่ได้มีตัวเดียวด้วยนะ มันมีอยู่เยอะมากๆๆๆๆ นั่งแล้วไม่อยากลุกเลยย เย็นฉ่ำ

คือจริงๆ เป้าหมายการมาที่เกาะ Sentosa เราอยากมาถ่ายรูปคู่กับลูกโลกหน้า Universal Studios Singapore แล้วก็รูปคู่กับเจ้า Merlion ตัวพ่อที่เขาประกาศว่าจะทุบทิ้งตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2562 ซึ่งตอนเราไปน้องยังอยู่จ้าาาา แต่ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวยและหิวข้าวมากกกกกกกก เราก็เลยตัดสินใจไปสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เราที่สุด สถานีไหนก็ได้ ยอมแพ้ล้าววววว ฮรือออออ TT^TT 

แต่เราก็ไม่ได้โชคร้ายเกินไปนัก ก็คือระหว่างทางที่จะเดินไปสถานีเราก็ได้เจอกับเจ้า Merlion ตัวพ่อจริงๆ แต่อยู่ไกลม๊ากกกกเลยขี้เกียจถ่ายรูปมา แล้วก็เดินต่อมาอีกนิดนึงเจอน้องตัวลูกแทน และแล้วในที่สุดฉันก็มีรูปคู่กับ Merlion สักที เดี๋ยวเขาหาว่าไม่ได้มาสิงคโปร์จริงๆ 5555555

ถัดจากเจ้า Merlion ตัวลูกไม่ไกล ก็คือลูกโลก Universal Studios Singapore งื้ออออออออออ อยากไปถ่ายรูปคู่ แต่พอเป็นคนแล้วถ่ายอยู่ไกลๆ ก็พอเนอะ 5555555

แล้วในที่สุดเราก็เจอกับสถานีรถไฟฟ้าแล้วววว เย้ ตอนขาออกจากเกาะ Sentosa เราจะไม่เสียเงินแล้วนะ ขึ้นฟรีกลับไปได้เลย

พอเราข้ามเกาะกันมาได้ ซึ่งดูจากแผนที่ก็แอบเห็นว่ามีร้าน Song Fa Bak kut teh อยู่แถวๆ นี้ด๊วยยย แต่เราก็ไม่ได้ดูว่ามันอยู่ชั้นไหนของห้าง Harbourfront เราก็เลยเซ็ท Google Map จากสถานีรถไฟฟ้าไป 

แต่ด้วยความเป็น Google Map มันก็หลอกให้เราเดินวนรอบห้าง Vivo city อยู่นั้นแหละ เดินกันจนฝนจะตกยังหาทางเข้าห้าง Harbourfront ไม่เจอเลย หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย ปวดหลังก็ปวดหลัง แถมยังปากหนักไม่ยอมถามคนแถวนั้นอีก โอ๊ยแมรรร่ ตัดกำลังตัวเองไปยาวๆ เลยจ้าาาา 55555

และแล้วมนุษย์เพื่อนเราก็เลยไปถามทางจนเจอกับทางเข้าห้าง Harbourfront จนได้ พอเดินเข้าประตูมาปุ๊ปฝนก็เทกระหน่ำแบบไม่เกรงใจเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเข้ามาที่ชั้นไหนของห้าง อิ Google Map ก็ได้พาเราเดินวนรอบห้างทั้งชั้นอีกแล้วจ้ะ 5555555 

เราก็แบบเดินไม่ไหวแล้วววว หิววววมากกกกกก ปวดหลังมากกกก ก็เลยหาที่นั่งแถวนั้นนั่งลงไปเลย แล้วก็พยายามเสริซหาว่าร้าน Song Fa Bak kut teh มันอยู่ชั้นไหนกันแน่ หาจนท้อยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน เกือบจะเข้าไปนั่งกินข้าวร้านที่อยู่ตรงหน้าอยู่และ 5555

ด้วยความที่เรามัวแต่เสริซหาว่าร้านมันอยู่ตรงไหน พอเงยหน้าขึ้นมา เอ้าาาา เพื่อนหายไปล้าววว เราก็เลยนั่งรออยู่ที่เดิมสักพักใหญ่ จนเพื่อนเดินกลับมา Process ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเสียเวลาไปชั่วโมงนึง

ในที่สุดดดดดด ก็เจอร้าน Song Fa Bak kut teh แล้ววววววววว น้ำตาจะไหล ถ้าเพื่อนไม่เดินไปถามทางมาคือเรายอมแพ้แล้วนะ ไม่หาแล้วนะ 5555

ด้วยความที่เราไม่ได้กินข้าวที่เป็นข้าวจริงๆ มาเกือบ 2 วัน สั่งกันไม่ยั้งเลยแมรร่เอ๊ย เรื่องราคาค่อยว่ากันทีหลังเลย 55555 

ความดีงามพระรามแปดของร้านนี้ก็คือ Bak kut teh ที่เติมน้ำซุปได้ไม่อั้น ถ้าพนักงานเห็นน้ำซุปเราพร่องก็จะมาเติมอีกให้เรื่อยๆ จนกว่าเราจะพอเลย ส่วนเรื่องรสชาติคือดีเลยแหละ ดีสมคำร่ำรือ เราไม่เคยกินซุปกระดูกหมูที่เข้มข้นหอมพริกไทยแล้วอร่อยขนาดนี้ ไม่เค็มด้วย >//< แล้วอีกอย่างที่ชอบก็คือไส้พะโล้ที่กินกับน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ คือดีมากกกก 

รู้ตัวอีกทีคือทุกอย่างหมดเกลี้ยง เยียวยาจิตใจจากความวายป่วงได้หมดเลยยย

แล้วพอตอนไปจ่ายเงินเท่านั้นแหละ อลังการเลยจ้าาาาา 555555

ค่าอาหารทั้งหมด 35.2 $ แต่สิ่งที่เราลืมคิดก็คือ service charge ที่นี่เราจะต้องจ่ายทั้ง service charge 10% แล้วก็ Vat อีก 7% ราคารวมทั้งหมดมันก็เลยอลังการกันไปใหญ่เลยทีนี้ ถ้าไปสิงคโปร์อย่าลืมนึกถึงจุดนี้กันด้วยนะจ๊ะๆ

หลังจากที่เติมพลังกันเสร็จเรียบร้อยแบบหนักท้องแต่เบากระเป๋ากันแล้ว เราก็กลับไปที่ที่พักเพื่อไปเอากระเป๋าแล้วย้ายที่พักไปอีกที่นึง อาการปวดหลังก็เล่นงานอิฉันอีกแล้วจ้ะ ระหว่างรอรถไฟก็เลยทรุดลงไปนั่งกับพื้นรอ 

เราแนะนำจากใจเลยนะ ไปเที่ยวแบบปวดหลังที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ที่สิงคโปร์อะ 5555555 คือตอนแรกกลัวปวดเท้าแล้วเดินไม่ไหว ทริปนี้เลยใช้รองเท้า asics kayano 25 แล้วใช้แผ่นรองข้างในเป็น currexsole สรุปคือไม่ปวดเท้าเลย แต่ดันมาปวดหลังแทน บ้าบอที่สุด ฮรืออออออออ

แล้วในที่สุดเราก็หอบร่างอันสะบักสะบอมมาถึงที่พักใหม่คืนนี้ของเรา ที่เลือกที่นี่เพราะอยู่ใกล้ MRT แล้วก็ติดกับป้ายรถเมล์ที่สุดแล้ว

แต่แล้วที่นี่ก็เซอร์ไพรส์เราด้วยการที่ได้ห้องอยู่ชั้น 5 และไม่มีลิฟท์ และชะนีน้อยสองคนก็ต้องแบกกระเป๋า 10 kg ที่หอบมาจากไทยขึ้นไป 555555555555555555 พอขึ้นไปถึงหมดแรงข้าวต้มแล้ววว นอนเอาแรงสักหน่อยแล้วกันตอนค่ำๆ จะไปเที่ยวไหนค่อยว่ากันอีกเรื่อง

นี่แค่วันแรกในสิงคโปร์นะ ยังบันเทิงขนาดนี้ 55555 ถ้าอยากรู้ว่าตอนหน้าจะบันเทิงลำบากลำบนอะไรกันที่ไหนอีก โปรดติดตามตอน [เที่ยวสิงคโปร์ โอ้โหนี่มันโคตรลำบาก (ตอนที่ 5)] และสามารถติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราได้ที่ [https://th.readme.me/id/JKtrytotry] หรือพูดคุยกันได้ในเพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ความคิดเห็น