สวัสดีจ้าาาทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนไปเปลี่ยนบบรยากาศการเที่ยวกรุงเทพด้วยการนั่งเรือกันนนน *0* ซึ่งการสำรวจกรุงด้วยเรือในครั้งนี้มาจากการที่เรามีเวลาอันน้อยนิดกระจิดริดเพียงครึ่งวันเท่านั้น 

เราก็เลยพยายามเสาะหาที่เที่ยวในแบบที่เราชอบนั่นก็คือ การเที่ยวแบบชมสถาปัตยกรรมตึกฝรั่งเก่าๆ เหมือนอย่างที่เราชอบ เช่น ย่าน Beach street ที่ปีนัง, บ้านอาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี, บ้านสิงหไคล หรือแม้กระทั่งดิโอลด์สยาม ก็เป็นสิ่งที่เราชื่นชอบมากๆ เช่นกัน

ดังนั้นแล้วการจะมาตามหาสถาปัตยกรรมตึกฝรั่งเก่าๆ เราก็เลยมาเริ่มต้นกันที่ ท่าเรือสาทร ถ้าคิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูกให้นั่ง BTS มาลงที่สถานนีสะพานตากสินจะง่ายที่สุด แล้วก็เดินๆ ตามป้ายที่เขียนบอกว่าไปท่าเรือ หรือจะถามทางจากคนแถวนั้นก็ได้ทั้งหมดเลยจ้า

ซึ่งตอนแรกเราเกือบจะถอดใจจากการนั่งเรืออยู่แล้วเพราะเหมือนกับว่าตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายๆ ของวันธรรมดาบวกกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เที่ยวเรือน้อยมากๆ คนแถวนั้นก็เลยบอกให้เรานั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปแทนดีกว่า จะเร็วกว่า ถ้าจะนั่งเรือก็ต้องรอเลยนานแหละ

แต่รุงเทพไม่ใช่สิ่งที่เราจะมาได้บ่อยๆ ถ้าพลาดจากการนั่งเรืออย่างที่ตั้งใจไว้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้มาอีกไหม เดินวนไปวนมาแล้วก็คิดอยู่นานมาก เอาวะ รอนานก็ไม่เป็นไรได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ ถ้าไม่ทันยังไงแค่ได้ไปย่านตลาดน้อยก็ยังดีกว่ามานั่งเสียดายทีหลังก็แล้วกัน 5555

หลังจากที่ไปซื้อตั๋วขึ้นเรือ ที่มีราคาถูกแสนถูกเพียงแค่ 15 บาทตลอดสายเท่านั้นเอง นั่งได้ตั้งแต่ท่าสาทรยันเมืองนนท์ คุ้มมากๆ แต่เราแค่ไม่มีเวลาเท่านั้นเอง 5555

รอประมาณ 15 นาที เรือก็มาจอดเทียบท่า อาจจะเป็นเพราะท่าสาทรเป็นต้นทางล่ะมั้งผู้คนก็เลยบางตา เลือกที่นั่งได้ตามสะดวกเลยจ้าาา ด้วยความที่เราจะไปลงท่าเรือสี่พระยาไม่ไกลมาก เลยเลือกนั่งท้ายๆ เรือ

เรือลำนี้จะเป็นเรือที่ค่อนข้างจะลำใหญ่กว่าเรือข้ามฟากเยอะเลย ความโคลงเคลงก็น้อยตามไปด้วย นั่งถ่ายรูปชมวิวไปได้สบายๆ ไม่มีปัญหาเลยจ้าาา

ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็มาถึงท่าเรือสี่พระยาเป้าหมายที่แรกของเราแล้ววว ซึ่งท่าเรือสี่พระยานี้ถ้าเราเดินตรงตามทางออกจากท่าเรือมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นประตูสู่ชุมชนย่านตลาดน้อยที่ผู้คนที่ชอบความเป็นศิลปะนิยมมาถ่ายรูปกัน 

แต่วันนี้เราจะมาสำรวจโดยการเลี้ยวขวาก่อน ก็จะเจอสถานที่แรกที่เรียกว่า "ตรอกกัปตันบุช" ซึ่งกัปตันบุชคนนี้เป็นเจ้าท่าในสังกัดของกรมเจ้าท่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 และเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งของรัชกาลที่ 5 สถานที่แห่งนี้แต่เดิมทีเคยเป็นที่ตั้งอาคารบ้านเรือนของกัปตันบุชมาก่อน จึงเรียกต่อๆ กันมาว่า ตรอกกัปตันบุช นั่นเองงง

ถ้าเราเดินจามถนนเจริญกรุง 30 ถัดจากตรอกกัปตันบุชมาเรื่อยๆ จนสุดถนนแล้วเลี้ยวขวาตามแนวถนนเจริญกรุงไปเรื่อยๆ เราก็จะพบกับตึกขนาดใหญ่มากกกกกก ที่เราเจอโดยบังเอิญแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าอยู่แค่ตรงนี้เองหรอ 5555

สถานที่นี้ก็คือ "ไปรษณีย์กลางบางรัก" นั่นเองจ้าาา ของจริงคือทั้งสูงและใหญ่ม๊ากกกกกก กินพื้นที่ไปหลายช่วงตึกเลยทีเดียว และตัวตึกก็มีความเก่าแก่ด้วยอายุประมาณแปดสิบกว่าปี อู้หู้ววววตึกเมื่อแปดสิบกว่าปีที่แล้วสร้างได้อลังการขนาดนี้เลยหรอ *0*

ความพิเศษของที่แห่งนี้คือสามารถมาส่งไปรษณีย์ได้จริง มีคนมาใช้บริการจริง และยังสามารถขึ้นไปชมวิวที่ชั้นดาดฟ้าได้อีกด้วย ทั้งยังเป็นสถานที่จัดงานแสดงศิลปะหลายๆ งานที่เจ๋งมากเต็มไปหมด

นี่คือวิวที่ชั้นดาดฟ้าของอาคารนี้ ที่สามารถชมวิวเมืองได้แบบฟรีๆ >//< แล้วที่ดาดฟ้าก็ไม่ได้เป็นที่โทรมๆ น่ากลัวแต่อย่างใดใด มีการจัดพื้นที่ในลักษณะของสวนหย่อมลอยฟ้าแล้วก็มีมุมให้เดินถ่ายรูปได้ด้วย *0*

หลังจากเดินออกจากไปรษณีย์กลางบางรักไปจนถึงถนนเจริญกรุง 38 ก็จะเห็นแนวกำแพงของศูนย์การค้าโอ.พี. เพลส ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ ๕ ที่ขาวสะอาดทอดยาวตามแนวถนนไปเรื่อยๆ 


แล้วเดินไปไงมาไงไม่รู้ก็จะมาโผล่ที่ซอยเจริญกรุง 40 ถ้าเดินลัดเลาะตามแนวรั้วโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ก็จะมีกลิ่นอายความเป็นตึกฝรั่งตลอดทั้งแนว เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยมากๆ ที่ยังหลงเหลือให้เราได้เห็น >//<

ถ้าเดินไปจนสุดถนนเจริญกรุง 40 ก่อนถึงท่าเรือโอเรียนเต็ล ก็จะพบกับตึกสีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ หากสังเกตดีๆ ในรูปจะเห็นว่าเป็นตึก "East Asiatic Company Thailand Building

หรือถ้าในภาษาไทยก็คือตึกเก่าของบริษัทอีสต์เอเชียติกที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลที่จัดแสดงผลงานศิลปะบ้างเป็นครั้งคราว

ถัดจากตึกเก่าสีขาวนั้น ข้างกันเราสามารถมองเห็น โบสถ์อัสสัมชัญ ในโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ที่ได้รับการบูรณะมาเรื่อยๆ ซึ่งตกแต่งด้วยหินอ่อนอิตาเลียนและภาพจิตรกรรมเพดาน เป็นโบสถ์อายุร้อยกว่าปีที่สวยมากๆ และใหญ่โตโอ่อ่าเลยทีเดียว

เดินงงไปงงมาก็มาเจอกับนายท่านเจ้าถิ่น นอนสบายไม่สนใจทาสเลยน้าาา >//<

สารภาพตามตรงว่าตอนหาข้อมูลมาเราหามาแค่ที่โบสถ์อัสสัมชัญที่เดียวเลยกะว่าแค่ลงเรือปุ๊ปถึงโบสถ์ปั๊ป ถ่ายรูปสองสามรูปแล้วไปต่อ ที่ไหนได้เรือไม่ได้จอดท่าโอเรียนเต็ลให้เราแต่ไม่จอดที่ท่าสี่พระยาแทน ทำให้เราได้ค้นพบว่าระหว่างทางมันมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเราที่ชอบสถาปัตยกรรมเก่าแบบนี้มากๆ 

แต่การล่องเรือเที่ยวกรุงเทพ สัมผัสชีวิตย่านริมน้ำยังไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ โปรดติดตามตอน [ล่องเรือเที่ยวกรุงเทพ สัมผัสชีวิตย่านริมน้ำ (ตอนที่ 2)] และสามารถติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราได้ที่ [https://th.readme.me/id/JKtrytotry] หรือพูดคุยกันได้ในเพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ความคิดเห็น