เดือนธันวาคมลมหนาวเริ่มมาปกคลุม อากาศเย็นสบายทุกอย่างสวยงามไปหมด ต้นไม้ ขุนเขา และดอกไม้ที่เบ่งบาน ดอยหลวงเชียงดาวเป็นจุดมุ่งหมายที่อยากไปพิชิตมากหลังจากได้ยินชื่อเสียงมานาน ก่อนที่จะเริ่มเดินเราต้องไปอบรมกับกรมอุธยานก่อน เขาจะแนะนำและตรวจเช็คของว่าเราเอาอะไรขึ้นไปบ้างและจะต้องนำกลับลงมาให้หมด การเดินป่าแนะนำให้ใช้รองเท้าเดินป่าจะดีที่สุด คนที่ใส่รองเท้าผ้าใบไปลื่นล้มกันเยอะมาก อันตรายพวกทางเดินแคบมากและเป็นเหว ต้องก้มลงมองทางดีๆ คนอื่นได้ทำการจ้างลูกหาบ ส่วนเราได้แบกกระเป๋าขึ้นไปเอง ประมาณแปดกิโล (งกไง😂)

ได้นั่งรถมาจนถึงจุดเดินทาง ก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในรถขณะเดินทางมา ทุกคนน่ารักเป็นกันเองมากทำให้เราใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะมาคนเดียวมีอะไรจะได้ขอความช่วยเหลือทัน ส่วนมากคนที่มาเดินก็จะมากันเป็นหมู่คณะ เราโดดเดี่ยวมาก

ก็ได้เริ่มออกเดินทางโดยได้เดินตามพี่ๆลูกหาบไป ระหว่างทางก็จะเจอกับพืชพันธ์ต่างๆ ที่ไม่ได้เห็นและเจอง่ายๆทั่วไป เจอกับภูเขาทับซ้อนกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะ " ดอกเทียนนกแก้ว " ช่วงที่ไปมีเหลือให้เห็นแค่สองดอก พี่ลูกหาบใจดีมากเดินหาให้จนเจอ มันสวยมากจริงๆ ถ้าบินได้ก็คงคิดว่าเป็นนกแล้วละ ฮ่าๆ

พอเดินทางขึ้นมาถึงจุดกางเต็นท์แล้วก็จะทำการเก็บสัมภาระ เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปยอดดอยหลวงเชียงดาวต่อ เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินเมื่อมาถึงยอดดอย ก็จะพบกับอีก 2 ดอยอยู่ข้างหน้า คือดอยสามพี่น้อง และดอยพีระมิด ถ้าได้ยืนอยู่บนนั้นอยากจะบอกว่า สวรรค์บนดินมีจริง สวยงามมากและอากาศเย็นมากจะมีลมพัดแรงอยู่ตลอด คนที่ไปกับเพื่อนก็นั่งเฮฮา นั่งสวีทกับแฟนบรรยากาศมันใช่มาก แต่เราไปคนเดียวก็มีภูเขานี่ละที่นั่งเป็นเพื่อน ถ้าใครโชคดีก็จะได้เห็นกับ กวางผา แต่เราโชคร้ายไม่เจอเลย เขาไม่ยอมออกมาให้เราเจอเลย ในตอนกลางคืนก็จะได้เห็นความสวยงามของดวงดาวเต็มท้องฟ้าแต่เราไม่ได้ออกมานั่งดูเท่าไหรเพราะหนาวเกินจะทนไหว พอเช้าตรู่ก็จะเดินทางขึ้นไปดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้น ใครที่ชอบธรรมชาติ ชอบภูเขาบอกเลยว่าต้องมาที่นี่ให้ได้

ทริปนี้ประทับใจกับผู้คนที่ได้พอเจอระหว่างทางมาก เพราะจุดมุ่งหมายเดียวกันทำให้พูดคุยกันง่ายขึ้น ไปคนเดียวไม่เหงาเลยจริงๆ เจ้าหน้าที่และลูกหาบก็น่ารักมาก บอกเลยว่าจะต้องมีทริปหน้าที่ดอยหลวงเชียงดาวอีกแน่ เราเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นะ อาจจะงงๆ แต่ก็อยากจะแชร์เรื่องราวที่ได้พบเจอ ถ้าอยากจะถามอะไรเพิ่มเติมก็คอมเม้นถามได้เลยนะค่ะ

วรรณวิสา ศรีพรม

 วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.46 น.

ความคิดเห็น