มิวมิวยืนส่งยิ้มอยู่หน้าโรงแรม เพื่อรับเราไปยัง 3 อดีตราชธานีที่รายรอบมัณฑะเลย์ โดยประกอบด้วย มณีปุระ รัตนปุระ และอมรปุระ ซึ่งล้วนเป็นอดีตราชธานีในสมัยราชวงศ์คองบองทั้งสิ้น ก่อนที่พระเจ้ามินดง (Mindon) จะทรงย้ายราชธานีมายังมัณฑะเลย์ ในปีพ.ศ.2400 ซึ่งถือเป็นราชธานีสุดท้ายของการปกครองในระบอบกษัตริย์ในประเทศพม่า
![](/f/37517/607a8990f753e301fd7c81b1.jpg)
จากตัวเมืองมัณฑะเลย์ มิวมิวขับรถสองแถวคันเล็กไปตามเส้นทางลงใต้ เพื่อไปยังมณีปุระ (Munipura) หรือ สะกาย (Sagaing) เป็นที่แรก เนื่องจากต้องเดินขึ้นเขา ซึ่งการเดินยามเช้าที่มีแดดอ่อนๆ น่าจะดีกว่าการเดินตอนกลางวันที่แสงแดดกำลังร้อนแรง และในเวลาที่รถเริ่มเคลื่อนตัว ผมก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ผมเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนเริ่มจะเป็นไข้ จนอยากกลับโรงแรม เพื่อไปเอายาลดไข้ที่นำมาด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะความเกรงใจที่ต้องให้มิวมิวขับรถย้อนกลับ บวกกับความอยากเที่ยวที่มีมากกว่าความใส่ใจในสุขภาพของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด
![](/f/37517/607a89e26a792d01fec90a99.jpg)
แม้จะเป็นรถสองแถวที่ค่อนข้างเก่า แต่ความเร็วที่มิวมิวใช้นั้นน่ากลัวมิใช่น้อย สำหรับการจราจรของเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของพม่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ต่างคน ต่างใช้ความเร็ว จนต่างลืมว่าพื้นที่ถนนนั้น ไม่สามารถขยายได้ตามความต้องการของคนขับแต่ละคน
![](/f/37517/607a8a07f753e301fd7c81b2.jpg)
พ้นจากเขตตัวเมือง ความคับคั่งของรถราก็เปลี่ยนเป็นความร่มรื่นของแมกไม้สองข้างทาง พร้อมด้วยการปรากฏของสะพานขนาดใหญ่นามว่าสะพานอังวะ ที่ทอดตัวพาเราข้ามแม่น้ำอิรวดี โดยมีเนินเขาสะกายตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
![](/f/37517/607a8a260813cf01c6334ddc.jpg)
เหล่าเจดีย์ตั้งกระจายไปตามพื้นที่ของเนินเขาสะกายที่ขนานไปกับแม่น้ำอิรวดี แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เนินเขาเตี้ยๆที่ไม่ได้ใหญ่โตแห่งนี้ จะมีวัดตั้งอยู่ถึง 600 แห่ง จนทำให้เมืองสะกายถือเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันของประเทศพม่า และด้วยความกว้างใหญ่ของแม่น้ำอิรวดี จึงทำให้สายตาของผม มีเวลามากพอที่จะค่อยๆเก็บภาพความอลังการของเนินเขาสะกายแห่งนี้ไว้ ก่อนที่รถจะพาข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของสายน้ำ
![](/f/37517/607a8a5ff753e301fd7c81b3.jpg)
ทันทีที่เราข้ามสู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำอิรวดี ก็เท่ากับว่า เราได้เดินทางออกนอกเขตมัณฑะเลย์ และเข้าสู่เขตสะกาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชื่อว่า มณีปุระ โดยเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของราชวงศ์คองบอง ต่อจากเมืองชเวโบ (Shwebo) หรือ รัตนสิงห์ (Ratana Singha) ที่พระเจ้าอลองพยา ทรงตั้งขึ้นเป็นราชธานีแห่งแรกของราชวงศ์
![](/f/37517/607a8a8ef753e301fd7c81b4.jpg)
แต่เมืองมณีปุระก็เป็นราชธานีอยู่แค่เพียง 4 ปี คือจากปีพ.ศ.2303 ถึง 2307 ในสมัยพระเจ้านองดอว์จี (Naungdawgyi) กษัตริย์องค์ต่อมาคือพระเจ้ามังระ ก็ทรงย้ายราชธานีมาที่กรุงรัตนปุระอังวะ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของสายน้ำ แต่หากจะสืบประวัติให้ลึกกว่านั้น จะพบว่าเมืองสะกายแห่งนี้มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคอาณาจักรพุกาม โดยเคยเป็นราชธานีของรัฐฉาน ซึ่งในสมัยนั้นเป็นรัฐอิสระ แต่ไม่นานก็ตกอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรพุกาม ที่ขยายอาณาจักร จนกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น
![](/f/37517/607a8ac26a792d01fec90a9a.jpg)
มิวมิวจอดรถสองแถวที่หน้าสิงโตตัวโต โดยมีความแปลกกว่าที่อื่นๆ เพราะธรรมดาชาวพม่านิยมสร้างไว้เป็นคู่ที่ทางเข้าวัด แต่ที่นี่กลับสร้างไว้เพียงตัวเดียว
มิวมิวบอกว่านี้เป็นทางขึ้นไปยังยอดเขาสะกาย โดยใช้เวลาเดินขึ้น ลง และชมวัดต่างๆอย่างสบายๆไม่น่าเกิน 3 ชั่วโมง ฟังแล้วเหมือนจะสบาย แต่เมื่อเราเดินผ่านสิงโตตัวโต เราก็แทบจะถอดใจ เพราะสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า คือขั้นบันไดที่ทอดตัวขึ้นเขา โดยมองไม่เห็นปลายทาง
![](/f/37517/607a8b07f753e301fd7c81b5.jpg)
ธรรมดาการเดินขึ้นเขา ผมมักจะเป็นฝ่ายเดินรอแท่ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะอาการไข้ของผมเริ่มก่อตัวชัดมากขึ้น ทำให้เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด ในครั้งนี้จึงไม่มีใครนำใคร ไม่มีใครตามใคร เพราะเราต่างเดินแบบเหนื่อยๆไปตามขั้นบันไดที่ยังคงมองไม่เห็นปลายทาง
![](/f/37517/607a8bf30813cf01c6334ddd.jpg)
เราเดินไป พักไปตามชานพัก ระหว่างทางนั้นมีวัดเล็ก วัดน้อยหลายแห่ง แต่ละแห่งมีทางเดินเชื่อมถึงกันหมด แต่ส่วนใหญ่ต้องเดินแยกออกไปค่อนข้างไกล ในที่สุดเราก็ตัดสินใจแวะพักที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีทางแยกไม่ไกลเกินไปนัก นอกจากจะได้นมัสการการพระประธาน ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระมหามัยมุนี แต่มีสีขาว และได้ทำบุญแล้ว เรายังถือโอกาสพักเหนื่อยไปในตัว
![](/f/37517/607a8c4e045c621ee5536a3f.jpg)
![](/f/37517/607a8c3f045c621ee5536a3e.jpg)
คิดแล้วก็เหมือนเป็นเคราะห์กรรมที่มาเป็นไข้ในระหว่างเดินทาง แถมยังเป็นในวันที่ต้องเดินขึ้นเขาอีก แต่ในเมื่อขั้นบันไดยังทอดยาว ปลายทางยังไม่ปรากฏ ผมจึงพักแค่เพียงหายเหนื่อย แล้วชวนแท่งมุ่งหน้าก้าวเดินกันต่อไป แต่ไม่นานก็หยุดแวะที่วัดอีกแห่งหนึ่ง ที่เจดีย์สีทองกำลังต้องแสงตะวัน จนชวนให้เดินเข้าไปชมความงาม
![](/f/37517/607a8c8a0813cf01c6334dde.jpg)
ณ ตำแหน่งนี้ นอกจากเหล่าเจดีย์ ที่กระจายจนทั่วเนินเขาสะกายแล้ว ยังสามารถเห็นราชมณีสุเล (Rajamanisula) ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองสะกาย โดยมีลักษณะเป็นรูปโดม ที่มีความสูงถึง 46 เมตร
![](/f/37517/607a8cab6a792d01fec90a9c.jpg)
![](/f/37517/607a9129f753e301fd7c81b7.jpg)
แล้วขั้นบันไดก็สิ้นสุดลงเมื่อเราเดินทางมาถึง วัดซูนอูพอนยาชิน (Soon Oo Pon Nya Shin) เราเดินเข้าไปในวิหารหลังใหญ่ ซึ่งนอกจากพระประธานแล้ว ภายในวิหารยังมีตู้รับบริจาคจำนวนหลายตู้ สงสัยจะคล้ายๆกับบ้านเราคือ ตู้นี้บริจาคค่าไฟฟ้า ตู้นี้ค่าน้ำ ตู้นี้เป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียน ตู้นี้ชำระหนี้สงฆ์ แต่ที่น่าสังเกตคือ เงินที่บริจาคในแต่ละตู้นั้น ส่วนใหญ่เป็นธนบัตรมูลค่า 10 จ๊าตบ้าง 20 จ๊าตบ้าง ซึ่งเมื่อเทียบมูลค่าเป็นเงินไทยแล้ว ธนบัตรแต่ละใบนั้นมีค่าไม่ถึง 1 บาท แต่มูลค่าทางการเงินนั้น ไม่สามารถเทียบมูลค่าทางศรัทธาได้ เพราะแม้มูลค่าเงินจะน้อย แต่ตู้บริจาคแต่ละตู้ก็ล้วนอัดแน่นไปด้วยเงินบริจาคจนเต็มทุกตู้
![](/f/37517/607a914f0813cf01c6334de0.jpg)
![](/f/37517/607a91130813cf01c6334ddf.jpg)
เนื่องจากที่ตำแหน่งที่ตั้งของวัดซูนอูพอนยาชิน ตั้งอยู่บนยอดเขางาพา (Nga pha) โดยเป็น 1 ใน 37 ยอดเขาแห่งแนวเทือกเขาสะกาย จึงทำให้มองเห็นเจดีย์น้อยใหญ่ได้โดยรอบ อีกทั้งยังเป็นวัดโบราณตั้งแต่ยุคที่เมืองสะกายยังเป็นราชธานีของรัฐฉาน ในปีพ.ศ. 1855 ล่วงสู่ปัจจุบันวัดแห่งนี้จึงมีอายุร่วม 700 ปี เวลาที่ผ่านมา ศรัทธาจึงสั่งสมมากขึ้น จนในวันนี้ ภายในวัดจึงมากไปด้วยพุทธศาสนิกชน จนทำให้เราแปลกใจว่า ในเมื่อภายในวัดมีพุทธศาสนิกชนมากขนาดนี้ แต่ทำไมตลอดเส้นทางที่เราเดินขึ้นมานั้น เราจึงไม่ได้สวนทางกับใครสักคน ยกเว้นพระสงฆ์เพียงไม่กี่รูป แล้วในที่สุด เราก็ได้พบคำตอบว่า ด้านหลังวัดมีถนนและมีรถจอดอยู่เต็ม !
![](/f/37517/607a91c3045c621ee5536a42.jpg)
![](/f/37517/607a91de6a792d01fec90a9d.jpg)
แม้จะรู้แล้วว่า รถสามารถขึ้นยอดเขาสะกายได้ และแม้อาการไข้จะหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ในเมื่อทางเดินยังคงทอดยาวไปยังเหล่าเจดีย์ที่อยู่ไกลออกไป ผมจึงชวนแท่งเดินต่อ โดยแท่งไม่ลืมที่จะทักเตือนว่า ไปไหวแน่นะ
![](/f/37517/607a9208f753e301fd7c81b9.jpg)
![](/f/37517/607a922b6a792d01fec90a9e.jpg)
แล้วเราก็เดินทางมาถึง วัดอูมินโทนเส (Ou Min Thonese) ซึ่งแม้ทางเดินจะค่อนข้างไกล แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากนักเนื่องจากอยู่ในระดับความสูงที่ใกล้เคียงกับวัดซูนอูพอนยาชิน แต่อยู่คนละยอดเขากัน โดยคุณลุงผู้เฝ้าวิหาร ชวนให้ผมลองเอาสองตามองผ่านรูเล็กๆที่อยู่บนฝาผนัง สิ่งที่พบคือ พระพุทธรูปองค์จิ๋ว ที่ชวนให้สงสัยเหมือนกันว่าพระพุทธรูปองค์จิ๋วเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร จึงต้องไปแอบซุกซ่อนอยู่ในกล่องเช่นนี้ แต่สุดท้ายภาษาก็เป็นอุปสรรค ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับคุณลุงได้เกินกว่าการส่งยิ้ม
![](/f/37517/607a92b7045c621ee5536a43.jpg)
![](/f/37517/607a92970813cf01c6334de2.jpg)
![](/f/37517/607a9280f753e301fd7c81ba.jpg)
เราเดินลงตามขั้นบันไดสู่ตีนเขา ซึ่งบนเส้นทางนี้เราสวนกับชาวพม่าอีกหลายคนที่เลือกเดินขึ้นยอดเขาสะกายแทนการนั่งรถยนต์ ในเวลานั้นผมจึงได้รู้ว่า แม้ทั้งสองวิธีจะขึ้นถึงยอดเขาเหมือนกัน แต่ช่องทางการรับรู้นั้นต่างกัน ความทรงจำและความประทับใจจึงย่อมไม่เหมือนกัน
![](/f/37517/607a92e2045c621ee5536a44.jpg)
มิวมิวจอดรถรอเราที่ตีนเขา โดยก่อนขึ้นรถผมขอให้มิวมิวจอดรถบนสะพานอังวะ เพื่อถ่ายรูปเนินเขาสะกายอย่างชัดๆ แต่มิวมิวบอกว่าไม่สามารถจอดกลางสะพานได้ โดยจอดให้ผมลงที่เชิงสะพานแทน ผมจึงต้องเดินตากแดดสู่กลางสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำอิรวดี ซึ่งสะพานแห่งนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่กองทัพอังกฤษทิ้งระเบิดทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อสงครามได้สิ้นสุดลง และพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ สะพานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ในปีพ.ศ.2497 โดยมีชื่อว่าสะพานอังวะ (Inwa Bridge) ตามชื่ออดีตราชธานีอีกแห่งหนึ่งที่เราจะเดินทางไปหลังจากนี้
![](/f/37517/607a94100813cf01c6334de8.jpg)
![](/f/37517/607a9353f753e301fd7c81be.jpg)
![](/f/37517/607a9338f753e301fd7c81bb.jpg)
และ ณ ตำแห่งกลางสะพานอังวะ เหนือแม่น้ำอิรวดี ผมได้เห็นบรรดาวัดและเหล่าเจดีย์กระจายทั่วพื้นที่ตั้งแต่ไหล่เขาจนถึงยอด เนินเขาสะกายจึงน่าจะได้รับสมญานามว่า เนินเขาแห่งเจดีย์ เคียงคู่กับอาณาจักรพุกาม ที่ได้รับสมญานามว่าดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์
![](/f/37517/607a942b6a792d01fec90aa1.jpg)
![](/f/37517/607a93930813cf01c6334de4.jpg)
แม้กาลเวลาจะเดินทางมาสู่ยุคปัจจุบัน ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่ผ่านเลย แต่สำหรับชาวพม่าแล้ว กาลเวลาไม่ได้ทำให้ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาลดน้อยลงเลย เพราะชาวพม่ายุคปัจจุบันยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างวัด สร้างเจดีย์ ด้วยเชื่อว่า เป็นมหากุศลที่จะพาพวกเขาไปสู่สรวงสวรรค์ เฉกเช่นบรรพชนของพวกเขา เมื่อเกือบพันปีที่ผ่านมา
![](/f/37517/607a93e2045c621ee5536a45.jpg)
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันพฤหัสที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 08.46 น.