น่าน น่าน น่าน ว่าแล้วไง ว่าต้องมา
อีกหนึ่งจังหวัดที่เป็นเป้าหมายของนักเดินทาง เอาจริงๆ คือเมืองน่านเนี่ย ไม่มีอะไร นอกจาก ทิวเขาทั้งจังหวัด ทุ่งนา วัดสวยๆ ผู้คนที่น่ารัก วัฒนธรรมไทลื้อ เฮ้ย ! ไหนว่าไม่มีอะไร นี่มันแดนสวรรค์ชัดๆ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต แล้วไปหน้าไหนดี หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาวดี บอกเลย ไปได้ทุกหน้า แต่เราเลือกไปหน้าฝน เพราะชอบความเขียว สดชื่น ชุ่มฉ่ำ
การเดินทางไปจังหวัดน่านก็ไปได้หลายทาง รถยนต์ รถไฟ (ต้องต่อรถ) เครื่องบิน (เหมือนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีสนามบินด้วยนะ) ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเลย ครั้งนี้เราเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์ เพราะต้องการเที่ยวให้รอบเมืองน่านเลย วางแผนไว้ 4 วัน กะจะสัมผัสเมืองน่านให้เต็มอิ่ม ทริปนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางกัน 3 คน ผลัดเปลี่ยนกันขับรถ ถ่ายรูป
เราเริ่มรวมตัวกันจริงๆ ที่เมืองแพร่ จากเมืองแพร่ วิ่งตามถนนสาย 101 ถนนสายนี้เป็นสายหลักมาจากแยกเด่นชัย ไปจนถึงชายแดงประเทศลาว เราเลี้ยวขวาออกถนนสายรอง เส้น 1216 เพื่อไปที่อำเภอนาน้อย สภาพถนนค่อนข้างดี แต่โค้งเยอะ วิ่งได้แค่ 60 - 80 กม/ชม. เราวิ่งลัดเลาะไปตามภูเขา วิวสองข้างทางสวยงาม เขียวชะอุ่ม อากาศเย็นสบาย บางช่วงมีหมอกหนา จนต้องเปิดไฟตัดหมอกวิ่ง
พอขับไปถึงจุดชมวิวสวยๆ ก็ได้เวลาลั่นชัตเตอร์แรกของจังหวัดน่านแล้ว สวยจริง ถนนสายนี้มีจุดท่องเที่ยว ชมดอกซากุระบานในหน้าหนาวด้วย นั่นคือ ขุนสถาน แต่ทริปนี้เราไม่ได้ขึ้นไปดูเพราะเรามาหน้าฝน เราพักรับประทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในหมู่บ้านกลางเขาที่แสนเงียบสงบ ชาวบ้านกำลังเตรียมงานบุญออกพรรษากันที่วัด
เราเดินทางบนถนนสาย 1216 ต่อไปจนถึงอำเภอนาน้อย หาทางออกไปตามถนนชนบท ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านจนไปเจอถนน 4011 ขับตรงไปก็จะเจอป้ายบอกทางเล็กๆ จริงๆคือหลงแล้วหลงอีกเพราะขับตาม GPS
เราใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่กับการชื่นชมความงามตามธรรมชาติของหน้าดินที่ถูกกัดกร่อน ก่อให้เกิด รูปร่างสวยงามแปลกตา เสาดินนาน้อยขึ้นกับอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตอนที่เราไปเป็นช่วงบ่ายสามโมง ทั่วทั้งอุทยานเงียบสงบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวพลุกพร่าน
หลังจากนั้นเราออกเดินทางวกกลับไปตามเส้นทางเดิม เพื่อกลับไปยังตัวอำเภอนาน้อย ขนาดขากลับลองไม่เปิด GPS ยังหลงทางได้อีก ระยะทางแค่ 6 กม. จากตัวอำเภอ แต่ดูเหมือนไกลมาก (ที่จริงถ้าไม่อยากวกกลับไปที่อำเภอนาน้อย สามารถตรงไปตามถนนชนบท 4011 จะไปเจอทางออกไปถนนสาย 1083 เหมือนกัน แต่ทางไม่ค่อยดี) เมื่อถึงตัวอำเภอนาน้อย เราเหวี่ยงออกถนนเส้น 1083 เพื่อตรงไปดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ขับรถมาถึงทางเข้าอุทยานทางจะแคบ ชัน สองข้างทางทึบไปด้วยแมกไม้ อากาศเริ่มหนาวเย็น
บรรยากาศดอยเสมอดาวยามเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พอมีแสงให้เห็นบ้างบางช่วง แสงอาทิตย์ตัดกับเนินเขาหญ้าเขียวเข้ม เรานั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระชมภาพความงามตรงหน้า ดูดดื่มกับบรรยากาศ ช่างงดงามน่าจดจำ
ด้านหลังของที่ทำการอุทยานแห่งชาติเป็นเนินเขา ที่ชาวเขาทำการเกษตร มีทุ่งดอกไม้ป่าขึ้นสวยงาม เราใช้เวลากับการถ่ายรูป นั่นชมวิวทิวทัศ
พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมทั่วทั้งผืนป่า เราขับรถไปหาที่พัก เนื่องจากดอยเสมอดาวจะปิดให้บริการพักแรมในช่วงหน้าฝน แต่เปิดให้กางเต็นท์ได้ที่ผาชู้ ซึ่งห่างออกไปอีก 1.6 กม เราไปถึงก็มืดแล้ว กว่าจะติดต่อขอรับเต็นท์และชุดนอน กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะได้กินข้าวเย็นก็เกือบ 2 ทุ่ม ทั้งหิวและเหนื่อย โชคดีที่ฝนไม่ตก เมนูอาหารเย็นของเราวันนี้เป็นหมูกะทะ กับอากาศเย็น จิบเบียร์ไปด้วย ช่างได้บรรยากาศดีแท้
รุ่งเช้าเราตื่นนอนด้วยอากาศสดชื่น แสงอาทิตย์ยามเช้ากำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขา ทิวทัศเบื้องล่างมีไอหมอกลอยคลุ้ง เป็นภาพที่สวยงาม เราออกเดินทางเพื่อเข้าตัวจังหวัดน่าน โดยกลับไปที่อำเภอนาน้อย ใช้เส้นทาง 1026 ตรงไปอำเภอเวียงสา เข้าถนนหลักเส้น 101 เข้าตัวเมืองน่าน
ครั้งแรกที่สัมผัสเมืองน่าน เป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบ ผู้คนไม่พลุกพร่าน มีเสน่ห์แบบเมืองเหนือ เต็มไปด้วยวัด เมื่อถึงเมืองน่านเราปักหมุดแรกไว้ที่วัดภูมินทร์ ขับรถไปจอดไว้ข้างๆพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน แถวนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งให้เราเดินเที่ยวได้ เช่น วัดภูมินทร์ ( ตอนเย็นจะมีถนนคนเดิน และลานหน้าวัดภูมินทร์จะเปิดเป็นลานขันโตก พาแลง มีการแสดงพื้นเมืองให้ชม) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
แต่ก่อนอื่นเราเดินหาร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารกันที่นี่ เจอร้านอาหารเฮือนฮอม เป็นร้านอาหารสไตล์เมืองเหนือ มีขันโตก มีกับข้าวเหนือหลากหลายเมนู ได้กลิ่นอายเมืองเหนือโดยแท้
รับประทานอาหารเสร็จ ก็เดินดูเสื้อผ้าของพื้นเมืองที่ตลาดตรงข้ามกับร้านอาหารเฮือนฮอม เพื่อหาชุดพื้นเมืองใส่ให้เข้ากับบรรยากาศ เพราะหลังจากนี้จะเป็นการเที่ยวตามวัด ที่เมืองน่านวัดเยอะมาก
วัดภูมินทร์เป็นวัดแรกที่เราเข้าชมและกราบนมัสการพระพุทธรูป ความพิเศษของที่นี่คือจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ บอกเล่าความเป็นไปของวิถีการดำเนินชีวิต แฝงคติธรรม หนึ่งในภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่และมีชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วโลก คือ ภาพกระซิบรัก เป็นภาพที่หนุ่มสาวชาวไทลื้อกำลังกระเช้าเย้าหยอก กระซิบกระซาบบอกคำหวานแก่กัน เป็นอีกหนึ่งความสวยงามน่าตราตรึงใจ ที่ทุกคนต้องมาดูให้เห็นกับตาสักครั้ง
ถัดจากวัดภูมินทร์เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ที่นี่เคยเป็นคุ้มเจ้าเมืองเก่า มีการปรับปรุงใหม่เป็นศิลปะผสมระหว่างศิลปะตะวันตกกับแบบไทย เป็นที่เก็บงาช้างดำซึ่งถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าคู่เมืองน่าน ด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจะมีซุ้มลีลาวดีให้เราได้ถ่ายรูป
ช่วงบ่ายเราออกเดินทางไปเยือนโฮงเจ้าฟองคำ ซึ่งเป็นเรือนที่เจ้าฟองคำเคยอาศัยอยู่ในสมัยก่อน ตัวเรือนเป็นศิลปะแบบล้านนาโบราณ เป็นกลุ่มเรือน 3 หลังเชื่อมต่อกัน ใต้ถุนยกสูง ใต้ถุนบ้านจัดเป็นนิทรรศการสาธิต กระบวนการทอผ้า ซึ่งเป็นงานที่เจ้าฟองคำเชี่ยวชาญ ส่วนด้วนบนบ้านจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตชาวล้านนา
ช่วงเย็นเราเที่ยวตามวัดรอบๆ เมือง คือวัดพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นวัดประจำจังหวัดน่าน วัดนี้มีองค์พระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านนอกหุ้มด้วยทองเหลืองทั้งองค์ งดงามมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินทางออกจากตัวเมืองน่าน ไปตามถนนสาย 1080 เพื่อไปอำเภอปัว ระหว่างทางเราแวะไปถ่ายรูปคาเฟ่สุดคูลที่วัดศรีมงคล และเดินทางเข้าอำเภอปัว ก่อนถึงตัวอำเภอปัว เราแวะเช็คอินกันที่ตูบนาคาเฟ่ วัดภูเก็ต วันนี้เที่ยวคาเฟกันให้เต็มอิ่มกันไปเลย ยังไม่หมดครับเรายังไปต่อคาเฟ่กันอีกที่กาแฟไทลื้อ ไปชิมกาแฟกันสักหน่อย
จากนั้นขับรถไปตามถนน 1256 เพื่อขึ้นไปตามถนนลอยฟ้าที่เป็นเส้นทางไปอำเภอบ่อเกลือ อยากบอกว่าวิวสุดยอดมาก เราแวะถ่ายรูปถนนไปตลอดทาง วิวสองข้างทางก็สวยเกินบรรยายจริงๆ
ตอนกลับรู้สึกหิวเลยหาร้านข้างทางทานกันง่ายๆ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ริมแม่น้ำ บรรยากาศดีมากๆ ทานก๋วยเตี๋ยวไปลมก็พัดโชยมา เย็นสบาย
เย็นๆเราค่อยกลับไปหาที่พักที่เราจองไว้ ที่พักชื่อ ต้นแหลงโฮมสเตย์ เป็นที่พักเหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อน ด้านหลังเป็นทุ่งนาให้ถ่ายรูปได้
คืนนี้ที่เมืองปัว เมืองอันเงียบสงบ เต็มไปด้วยท้องทุ่งและภูเขาสวย สัญญากับตัวเองไว้เลยว่ายังไงก็ต้องกลับมาที่นี่อีก สวยจนลืมไม่ลง ยังไงก็เชิญชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวเมืองน่าน เมืองที่ต้องห้าม พลาด กันดูสักครั้งนะครับ
อยากเที่ยวก็เที่ยว
วันพฤหัสที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.23 น.