เราเรียกแท็กซี่ให้พาไปทำเนีบมาลากันยัง แต่คนขับโบกมือปฏิเสธไม่พาเราไป ผมจึงลองเปิดแผนที่ใน Google จึงพบว่าทางเข้าทำเนียบนั้นอยู่ตรงสี่แยกที่กลุ่มคนใส่เสื้อแดงประชุมกันนั่นเอง ซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่เราอยู่ชนิดเดินข้ามถนนก็ถึง มิหน้าหละคนขับแท็กซี่จึงปฏิเสธในการพาไป เพราะมิเตอร์ยังไม่ทันหมุน เราก็คงถึงทำเนีบกันเสียก่อน
บริเวณสี่แยกที่เมื่อครู่มีกลุ่มคนใส่เสื้อแดงชุมนุมกัน ในเวลานี้ผู้ชุมนุมเริ่มบางตาลงจนแทบไม่เหลือ แต่กลายเป็นกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษาจำนวนมากที่กำลังเดินจากสี่แยกเข้าไปตามถนน Mendiola ซึ่งมีปลางทางที่ทำเนียบมาลากันยัง จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงมีนักเรียน นักศึกษาจำนวนมากเดินเข้าไปในถนนเส้นนี้ ทั้งๆที่ต้นถนนนั้นปิดทั้งประตู พร้อมวางลวดหนามแบบหีบเพลงจำนวนหลายชั้นไว้ตลอดแนว อีกทั้งยังมีทหารยืนรักษาการอยู่ มีแค่ประตูด้านข้างเท่านั้นที่เปิดไว้สำหรับคนเดิน
เห็นนักศึกษาเดินผ่านประตูอย่างเป็นเรื่องปกติ เราจึงเดินเข้าไปบ้าง โดยทหารก็ไม่ได้ตรวจหรือขอดูพาสปอร์ตแต่อย่างใด แต่เราก็ต้องหยุดอย่างทันที ไม่ใช่เพราะถูกทหารเรียกตรวจ แต่เพราะรถขายไอศครีม ที่มากไปด้วยเด็กนักเรียนกำลังมุงซื้อ
“กินไอศครีมรถเข็นแบบนี้ เดี๋ยวก็ท้องเสียหรอก” จุ๋ยห้ามทันทีเมื่อผมตรงเข้าไปต่อแถวเด็กนักเรียนที่กำลังซื้อไอศครีม
“ไม่เสียหรอก เด็กกินเยอะขนาดนี้ ขนาดเด็กยังกินได้เลย แล้วผู้ใหญ่ธาตุแข็งกว่าเด็กตั้งเยอะ ทำไมจะกินไม่ได้”
“จริงดิ”
“เนี่ย มีรสมะม่วงด้วย มะม่วงนี่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์เลยนะ ดูเนื้อไอศครีมเหนียวน่ากินเชียว แถมถ้วยละ 20 เปโซเอง ลองดูสักหน่อยเถอะ”
จุ๋ยจึงมาต่อแถวซื้อด้วย 1 ถ้วย ไอศครีมมะม่วงจึงเป็นความสำเร็จชิ้นแรกในการชักชวนให้คุณชายจุ๋ยกินอาหารริมทางได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ถึงขั้นเอ่ยปากชม แต่ไม่ว่าจะไปเมืองไหน ลองได้เห็นรถขายไอศครีมเป็นต้องตรงเข้าไปดูว่ามีไอศครีมมะม่วงหรือเปล่า
แล้วเราก็ได้รู้ว่าทำไมบนถนนเส้นนี้จึงมีนักศึกษามากนัก เพราะนอกจากเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการและทหารแล้ว ถนน Mendiola ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยถึง 2 แห่งคือ Centro Escolar กับ La Consolacion
ทำเนียบมาลากันยัง (Malacanan) ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ Pasig เส้นเลือดสายหลักของกรุงมะนิลา ที่มีปากน้ำอยู่บริเวณป้อมแซนติเอโก้ที่เราไปเยือนเมื่อวาน เดิมทำเนียบมาลากันยังแห่งนี้เป็นที่พักที่ทำงานของผู้นำการปกครองตั้งแต่สมัยสเปนเป็นเจ้าอาณานิคม จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีบทบาท จึงกลายเป็นที่ทำการของผู้ว่าการชาวอเมริกัน เมื่อฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชอาคารหลังนี้จึงกลายมาเป็นทำเนียบของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ทุกยุคทุกสมัย
ปัจจุบันพื้นที่ทำเนียบนี้ได้จัดพื้นส่วนหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่หากใครได้เข้าไปเห็นเป็นต้องตาโตกับความใหญ่โตและสุดแสนอลังการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องเก็บรองเท้าของนางอิเมลด้า อดีตสตรีหมายเลข 1 ในสมัยที่ประเทศฟิลิปปินส์มีประธานาธิบดีชื่อมาร์กอส โดยผู้หญิงเพียงคนเดียวมีรองเท้าหรูราคาแพงลิบมากถึง 30,000 คู่ จนร้านขายรองเท้าทั่วโลกยังต้องอาย เพราะแค่ใส่วันละคู่ก็ต้องใช้เวลาร่วม 100 ปี
เราเดินเลียบเลาะไปตามรั้วของเขตทำเนีบมาลากันยังด้วยความกลัวๆ เพราะมีทหารยืนถือปืนเป็นระยะ อยากจะควักกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ก็กลัวนายทหารจะยกปืนขึ้นมาจ่อหัว จนถึงป้อมด้านหน้าทางเข้าหลักของทำเนียบ เราจึงเข้าไปสอบถามนายทหารถึงวิธีการเข้าในส่วนพิพิธภัณฑ์ เขายืนแบบฟอร์มให้เรา โดยบอกว่าต้องกรอกแบบฟอร์มนี้แล้วยื่นเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันทำการ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงสามารถเข้าไปชมภายในได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่พาชม เป็นอันว่าเราหมดสิทธิ์ที่จะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ได้ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะพรุ่งนี้เราก็จะเดินทางจากกรุงมะนิลาไปซีบูแล้ว จุ๋ยพยายามหาวิธีเข้าไปข้างในเพื่อให้เห็นตัวอาคารทำเนียบที่ว่ากันว่าสวยงามและใหญ่โตสักเพียงไม่กี่นาที ด้วยการขอเข้าไปสอบถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ด้านใน แต่นายทหารก็ไม่อนุญาต โดยในมือยังคงกำปืนไว้ไม่ยอมปล่อย เราจึงถอดใจ เพราะไม่อยากให้พี่ทหารยกปืนขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงกว่านี้
ระหว่างการเดินกลับ บริเวณริมรั้วซึ่งเป็นตำแหน่งที่พอมองเห็นทำเนียบมาลากันยังได้อย่างชัดเจน ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปในมุมที่ลับสายตาจากนายทหารที่ป้อม แต่ดันเป็นเวลาที่มีทหารอีกนายหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาพอดี เขาหยุดรถแล้วตรงเข้ามาหาเรา ผมรีบเก็บกล้องลงทันที เขาถามว่าเราได้ถ่ายรูปทำเนียบไหม เราปฏิเสธ แล้วรีบเดินไปตามถนนโดยเร็ว มันไม่คุ้มกันเลยจริงๆกับการได้รูปถ่ายในระยะไกลจากริมรั้ว แลกกับการเสี่ยงถูกจับ เฮ่อ...ไปดูรูปจาก Google ก็ได้ จริงไหม
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.51 น.