เราโดยสารรถไฟฟ้า MRT แบบนั่งยาวจนถึง Taft ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย โดยเราเคยมาที่สถานีนี้แล้วในวันแรกเพื่อไปยังย่านมากาติ จำได้ว่าใต้สถานีนี้เป็นเขตชุมชนและตลาดขนาดใหญ่ของย่านปาเซ (Pasay) ในวันนี้จึงได้โอกาสลงไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวมะนิลาในย่านนี้สักครั้ง
บรรยากาศของตลาดริมทางในย่านปาเซ นั้นไม่ต่างจากเมืองไทยนัก โดยมากไปด้วยร้านค้าแผงลอยที่ตั้งวางขายกันเต็มทางเท้า จนผู้สัญจรไปมาต้องลงไปเดินริมถนนแทน มีทั้งร้านขายเสื้อผ้า ของกิน ของใช้อย่างละลานตา แม้จะดูวุ่นวายไปนิด แต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของชีวิตที่ชวนให้เดิน ให้ถ่ายรูปอย่างไม่รู้เบื่อ มีก็แต่เพื่อนร่วมทางของผมนี่สิ ที่เริ่มจะออกอาการเบื่อ พร้อมกับพูดว่า
“นี่จะเดินไปถึง SM Mall เลยหรอ มันหลายกิโลอยู่นะ”
เพื่อไม่ให้จุ๋ยอารมณ์เสีย จึงจัดการโบกแท็กซี่เพื่อนั่งตากแอร์เย็นฉ่ำไปยัง SM Mall of Asia หนึ่งในสุดยอดห้างของประเทศฟิลิปปินส์ ริมอ่าวมะนิลา
SM Mall of Asia แห่งนี้เปิดให้บริการเมื่อปีค.ศ.2006 เคยครองตำแหน่งห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของฟิลิปปินส์ และใหญ่เป็นอันดับ 11 ของโลก แต่เมื่อเกิดห้างใหม่ๆขึ้นมาห้างแห่งนี้จึงค่อยๆถูกเลื่อนอันดับลง ปัจจุบันตกไปอยู่อันดับ 4 ของฟิลิปปินส์ แต่อย่างไรเสีย อันดับ 1 ก็ยังคงเป็นของกลุ่ม SM เหมือนเดิม นั่นคือห้าง SM Seaside City ที่เมืองซีบู โดยเจ้าของเป็นตระกูลคนฟิลิปิโนเชื้อสายจีน ซึ่งติดอันดับต้นๆของผู้ที่รวยที่สุดในประเทศ
คนขับแท็กซี่ถามว่าจะให้ไปส่งที่อาคารไหน เพราะ SM Mall of Asia แห่งนี้ใหญ่เหลือเกิน มีอาคารมากถึง 4 อาคาร ดูรวมๆแล้วคล้ายๆกับห้างฟิวเจอร์ปาร์คที่ย่านรังสิต เพราะมีขนาดใหญ่พอกัน โดยเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วที่โดยสารแท็กซี่มาที่ห้างแห่งนี้ เพราะแค่ลานจอดรถก็ยาวเป็นกิโลแล้ว หากเดินมีหวังได้ขาลากแน่
ภายในอาคารหลักของห้างมากมายไปด้วยร้านค้า เราเดินภายในอาคารนี้ไม่นานเท่าไหร่เพราะบรรดาร้านต่างๆส่วนใหญ่เป็นร้านข้ามชาติที่มีสาขาในเมืองไทย อีกทั้งเราไม่คิดจะซื้ออะไรอยู่แล้ว แค่มา Window shopping และเดินตากแอร์ให้หายเหนื่อยเท่านั้น เราจึงชวนกันไปอาคาร Entertainment Mall ที่ตั้งอยู่ริมอ่าวมะนิลา และเป็นศูนย์รวมของร้านอาหาร
ก่อนที่จะจัดการกับมื้อเย็น เราเดินออกนอกห้าง แล้วข้ามไปยังบริเวณอ่าวมะนิลา บริเวณริมอ่าวถูกสร้างเป็นลานสวนสนุกที่มีเครื่องเล่น 4 – 5 อย่าง เช่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน ที่ต่างติดไฟไว้อย่างสวยงามตัดกันอย่างดีกับสีของท้องฟ้าที่มืดมิด ชวนให้อยากกลับเป็นเด็กอีกครั้ง
แล้วก็ได้เวลาเลือกอาหารสำหรับค่ำนี้ ร้านอาหารนั้นมีให้เลือกมากมาย ยิ่งเดินก็ยิ่งเลือกไม่ถูก สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าร้าน Rayes Barbeque เพราะเป็นร้านที่ไม่เคยเห็นในหลายๆห้างที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีลูกค้าอยู่แน่นร้านจึงน่าจะการันตีความอร่อย แล้วก็เป็นดังที่คิด เพราะอาหารที่ผมสั่งนั้น คือ ชุดทูน่าบาบีคิว นั้นอร่อยยิ่งนัก เพียงแค่ต้องอดทนรอนานเกือบชั่วโมงเท่านั้นกว่าอาหารจะยกมาเสริฟ
แม้สถานที่ไปในวันนี้จะค่อนข้างผิดหวังเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับอาหารแล้วถือเป็นสุดยอดความอร่อยทุกมื้อ แม้แต่ไอศครีมข้างทางยังอร่อย วันสุดท้ายในกรุงมะนิลาเราจึงกินอิ่ม แต่เกือบนอนไม่หลับ เพราะถูกปิดฉากด้วยการชมน้ำพุเต้นระบำที่ลานหน้าโบสถ์มาลาเต้ ที่สวยงามจนแทบไม่อยากกลับไปนอน
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.10 น.