สวัสดีครับ รีวิวนี้เป็นทริปที่ต่อเนื่องจาก Part 1 : The vibe of Christmas ที่เราไปเดินเที่ยวชมบรรยากาศเมืองหลวงแห่งคริสต์มาสอย่าง Strasbourg และ Colmar ที่นี่ https://pantip.com/topic/38450907 เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมจริงๆ ที่ได้มาเที่ยวตลาดคริสต์มาสของแท้ ซึ่งหลังจากเราเดินทางออกจาก Colmar แล้ว เรานั่งรถบัสต่อไปยัง Lyon เพื่อต่อรถไปยัง Chamonix ในวันรุ่งขึ้น
Chamonix- Mont-Blanc นั้นเดิมเป็นชุมชนเล็กตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส มีชื่อเสียงในกลุ่มของนักสกีและนักเดินเขา และเมื่อชุมชนแห่งนี้ได้เป็นสถานที่ในการจัดโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งแรกในปี 1924 ก็ทำให้ Chamonix มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในระดับนานาชาติจวบจนในปัจจุบัน
การเดินทางไป Chamonix สามารถทำได้หลายรูปแบบ
1. ขับรถ มาจาก Switzerland ส่วนใหญ่จะเดินทางฝั่ง Geneva กัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นผ่านทางหลวง A40 ซึ่งมีค่าทางด่วน วิธีการจ่ายค่าทางด่วนดูได้ที่กระทู้ Part 1 ครับ
2. รถบัส ถ้าเดินทางมาจากฝั่ง Geneva จะมี Flixbus ให้บริการ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าอยู่ในฝรั่งเศสแล้วเดินทางมาต่อรถที่ Lyon มี Ouibus ให้บริการ ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
เช็คตารางเวลาได้ที่นี่ครับ https://www.goeuro.com
- การขับรถ สำหรับรถที่ใส่ winter tyre สามารถขับเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัยครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วเนื่องจากกฎหมายฝรั่งเศสไม่ได้บังคับ บริษัทรถเช่าจะไม่ใส่มาให้ จึงเป็น option ที่เราต้องซื้อเพิ่มในราคาวันละ 10 ยูโรขึ้นไปแล้วแต่รุ่นของรถ ดังนั้นใครที่ไม่ได้ซื้อออปชั่นยางเพิ่ม สามารถขับรถไปจอดได้ที่เมือง Annecy แล้วนั่งรถบัสต่อมา Chamonix ได้ครับ
การเดินทางภายใน Chamonix ถ้าเราเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวปกติ พักในตัวเมือง ไม่ได้เป็นนักสกีที่ต้องไปรีสอร์ทนอกเมือง ไม่จำเป็นต้องใช้รถสาธารณะภายในเมืองเลยครับ แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปเป็นช่วงคริสต์มาสต่อปีใหม่ ทำให้ที่พักในตัวเมืองมีราคาสูงมาก เราจึงไปพักกันนอกเมืองที่สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถสาธารณะคือ
- รถเมล์ โดยทั่วไปจะให้บริการ 06.30 – 20.00 เช็คเส้นทางและตารางเดินรถได้ที่นี่ http://www.chamonix.com/pdf/chamonix-bus-2019.pdf
- รถไฟ รถไฟวิ่งเชื่อมต่อจาก Chamonix ข้ามพรมแดนไปฝั่งเมือง Martigny ฝั่ง Switzerland เช็คตารางเวลาเดินรถที่นี่ครับ https://www.chamonix.com/pdf/train-sncf-hiver-2018-2019.pdf
- สำหรับหลังสองทุ่มไปแล้ว Chamonix จะมีบริการรถสาธารณะอีกแบบคือ Night bus ซึ่งช่วงที่ผมเดินทางไปมีรถให้บริการทุก 1 ชั่วโมง เช็คเส้นทางและตารางเวลาได้ที่นี่ https://www.chamonix.net/sites/default/files/Attachments/chamonix-bus-nuit.pdf
- การจ่ายค่าบัตรโดยสาร ถ้าเป็นรถไฟสามารถซื้อตั๋วได้ที่ห้องจำหน่าย (Billets) ที่สถานี Chamonix-Mont-Blanc ถ้าเป็นรถเมล์สามารถซื้อเงินสดได้ที่คนขับรถเลย
จากรูป บนสุดคือ Carte d'Hote ที่โรงแรมควรแจก
ซ้ายมือคือ Chamonix Pass ขวามือคือ Night Bus pass, กับ bus pass ปกติ
** แต่ ... โดยปกติที่พักจะได้รับ Carte d’Hote คือเป็น Day pass สำหรับใช้บริการรถสาธารณะครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่เราเข้าพักอยู่แล้ว ดังนั้น ตอนเช็คอินที่พัก ลองสอบถามถึง pass นี้ดูครับว่าที่พักเรามีแจกให้หรือไม่
*** หรือ ถ้าซื้อ Mont Blanc Unlimited pass ราคาคนละ 65 ยูโรก็สามารถใช้รถสาธารณะได้ฟรีเช่นกัน
Mont Blanc 1-day pass บัตรเดียว วันเดียว เที่ยวได้หมด.. มั้ง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่นักสกีและมีเวลาน้อยแบบพวกเรา วิธีที่คุ้มค่าที่สุดในการเที่ยวตามจุดต่างๆ คือการซื้อบัตรรวม ความคุ้มค่าของบัตร Mont Blanc Unlimited มูลค่า 65 ยูโรต่อท่าน คือ
1. สามารถใช้กับ Ski Area ได้เกือบทั้งหมด ** ยกเว้นบางแห่งที่จำกัดเฉพาะนักสกี pedestrian อย่างเราๆเข้าไม่ได้
2. ใช้ขึ้นสถานที่ท่องเที่ยวหลักได้ คือ
- Aiguille du Midi กระเช้าขึ้นเขา + ลิฟท์เพื่อขึ้นไปชมยอด Mont-Blanc รวมถึงถ่ายรูปบริเวณ Step into the void หรือที่เรียกกันแบบไทยๆว่า แค่ก้าวเดียวก็เสียวเว่ย 55+
- Montenvers Mer de Grace ธารน้ำแข็งที่มีการละลายอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย คาดว่าอีกไม่เกิน 20 ปี น่าจะหายไปหมดแล้ว
- Luge Alpine Coaster Descent เป็น Roller Coaster ลงเขา คล้ายๆ Rodel Bahn ที่แถวๆ Blausee ใน Switzerland (ซื้อแยกเองราคาประมาณ 7 ยูโร)
2. ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วในแต่ละสถานที่ที่คุณอยากไป
3. บัตรนี้รวมรถสาธารณะทั้งหมดในพื้นที่ **ยกเว้น Night bus
สถานที่ซื้อบัตร บริเวณห้องทางด้านขวาของสถานีกระเช้า Aiguille du Midi
เช็คข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.montblancnaturalresort.com/en/nos-forfaits?utm_source=chamonix.com%21&utm_campaign=bouton-web-chamonix.com&utm_medium=web
ที่พัก สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยแนะนำที่นี่เลยครับ
Gite le Belvedere ตั้งอยู่ที่สถานี Argentire เดินทางด้วยรถไฟเพียง 15 นาทีเท่านั้น เราพักกัน 2 คืน ห้อง Double bed มีห้องน้ำส่วนตัว ราคาคืนละประมาณ 50-60 ยูโรไม่รวมอาหารเช้า เตียงนอนนุ่มสบาย ห้องน้ำกว้าง ฮีทเตอร์ขนาดใหญ่พอที่จะทำให้ห้องอุ่นพอสู้กับอากาศ -5 ข้างนอกได้อย่างสบาย
ทริปนี้เริ่มต้นจาก เรานั่งรถบัส Ouibus มาจาก Lyon โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง รถบัสก็ได้วิ่งเข้ามาจอดที่สถานี Chamonix-sud อากาศที่นี่อุณหภูมิประมาณ 0-2 องศาซึ่งไม่หนาวจนเกินไป (หรอ) อาจจะเป็นเพราะว่าเราเจออากาศหนาวแบบนี้มาเป็นระยะเวลาหลายวันแล้วทำให้ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ ที่ Chamonix sud เป็นสถานีรถบัสหลัก ที่เชื่อมต่อกับรถสาธารณะภายในเมือง รวมถึงสามารถเดินไปขึ้นรถไฟ Chamonix express ได้ในระยะที่ไม่ไกลมาก
จุดซื้อ Unlimited pass
เนื่องจากวันนี้เรามาถึง Chamonix กันในช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว ดังนั้นวันนี้แผนของเราจึงเป็นการเดินชมเมือง เดินถ่ายรูปตามมุมสวยๆ แวะซื้อของที่จำเป็นสำหรับ 3 วัน 2 คืนในเมืองหิมะแห่งนี้ จุดหมายแรกที่เราแวะคือสถานีกระเช้า Aiguille du Midi เพื่อแวะซื้อบัตร Unlimited pass สำหรับใช้ในวันรุ่งขึ้น ราคารวม 2 คน 130 ยูโร กระเป๋าแบนกันไป
Casino shop supermarket หลักของเราในเมืองนี้
เนื่องจากเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับ Switzerland ทำให้สถาปัตยกรรมของเมืองได้รับอิทธิพลมาจากอีกฝั่งไม่มากก็น้อย ที่นี่มีกลิ่นอายของความเป็นสวิสฯ แทรกอยู่ตามอาคารแบบฝรั่งเศส และงานจิตรกรรมแบบฝรั่งเศสก็มีกระจายอยู่ทั่วทุกมุมให้เรายังรู้สึกถึงความเป็นฝรั่งเศสอยู่
เมื่อหมาเมืองหนาวจากมองโกเลียมาเจอหมาพันธุ์ใหญ่จากสวิสเซอร์แลนด์
ในมื้อเยน เรามาลองหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Chamonix คือร้าน Josephine ร้านนี้มีทั้งอาหารคาว และของหวาน ซึ่งเราลองของหวานตามใจสาวๆ สั่งมาสองอย่างคือ
เป็นไอศกรีมเกาลัด (ที่ฝรั่งเศสชมชอบกินเกาลัดกันมาก จึงมีผลิตภัณฑ์หลายๆแบบที่มีเกาลัดเป็นส่วนผสม)
เป็นเค้กกับชูครีมและมูสกาแฟ
กินเค้กอร่อยๆ ในบรรยากาศเย็นๆ หนาวๆ จนลืมดูเวลา สุดท้ายเราก็พลาดรถไฟกับรถบัสเที่ยวสุดท้ายไป ก็เลยถือโอกาสเดินชมเมืองในตอนกลางคืน ดูไฟสวยๆ รอเวลาขึ้นรถบัสรอบดึกตอนประมาณ 21.00 บรรยากาศในเมืองยังคงครึกครื้นจากเสียงของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเช่นเดียวกับเรา ถนน ร้านค้าต่างๆก็ตกแต่งร้านเข้ากับบรรยากาศของคริสต์มาสและวันปีใหม่ คริสต์มาสที่ Chamonix ให้ความรู้สึกเป็นเมืองหนาว แตกต่างจาก Strasbourg และ Colmar ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ แต่ก็มีความสวยงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
เรานั่งรถบัสจาก Chamonix-sud มาลงที่สถานี Argentiere รถบัสลัดเลาะมาตามทางในภูเขา บรรยากาศของนอกเมืองนี้แตกต่างจากใน Chamonix โดยสิ้นเชิง เขตนอกเมืองจะเป็นย่านที่พักอาศัยมากยิ่งขึ้น บ้านเดี่ยวตั้งอยู่ตลอดทาง ถูกหิมะปกคลุมจนกลายเป็นทุ่งหญ้าสีขาวโพลนตลอดแนวถนน เราแอบไปสำรวจราคาบ้านกับบริษัทเอเจนซี่ใน Chamonix มา บ้านเดี่ยวลักษณะนี้มีราคาขายถึงกว่า 1,000,000 ยูโรขึ้นไป ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงเปรียบเทียบได้กับบ้านพักตากอากาศในทอสคาน่าเขาใหญ่
ผ่านไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานี Argentiere ที่หมายของเรา หมู่บ้านเล็กๆนี้เป็นอีกหนึ่งสกีรีสอร์ทที่อยู่ใกล้เคียงกับ Chamonix ดังนั้นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในย่านนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นนักสกีที่พึ่งกลับมาจากการฝึกซ้อม ทานอาหาร เติมหลัง หรือไม่ก็คงทบทวนและวางแผนเพื่อพัฒนาทักษะของตนเองในวันรุ่งขึ้น เสียดายที่ผมเล่นสกีไม่เป็น สงสัยคงต้องไปหาโอกาสลองฝึกเล่นดู อาจจะเริ่มจากประเทศใกล้ๆเมืองไทยก่อนแบบฮอกไกโดก่อน
เช้าวันต่อมา เรารีบเดินทางกลับมาที่ Aigulle Du Midi อีกครั้งในตอนเช้าตรู่ เพื่อรอขึ้นกระเช้าเที่ยวแรกประมาณ 08.10 รถกระเช้าใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงสถานีบนเขาที่ระดับความสูงประมาณ 3700 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เราต่อลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุดของสถานี ซึ่งเป็นจุดชมวิว
ชั้นบนสุดเป็นจุดที่เราสามารถชมวิวได้ 360 องศารอบตัว ยอดเขา Mont Blanc จะสามารถมองเห็นได้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนตัวเมือง Chamonix จะอยู่ทางทิศเหนือของจุดชมวิวนี้
ในช่วงเช้าเริ่มมีนักปีนเขาออกผจญภัย ขนาดเราที่แค่มาชมวิวเฉยๆยังแทบไม่ไหว ต้องขอชื่นชมในความแข็งแกร่งและความอดทนของคนกลุ่มนี้ต่ออากาศอุณหภูมิ -10 องศา
จากจุดชมวิว เราเดินไปอีกฝั่งเพื่อถ่ายรูปที่ Step into the void ที่เป็นห้องกระจกใสทุกมุมที่ยื่นออกนอกตัวอาคาร สามารถเห็นวิวได้ทุกมุม รวมถึงใต้ขาของเราด้วย
เมื่อเช้าไปใน the void เจ้าหน้าที่จะให้เราถอดรองเท้า และส่งมือถือเพื่อให้ จนท.ถ่ายให้ ซึ่ง จนท.จะกดอย่างรวดเร็วมากและให้เวลาเราต่อรอบไม่นานนัก แต่เมื่อหมดรอบแล้วเราสามารถไปต่อแถวเข้าอีกรอบได้ ดังนั้น รอบแรกเราไปถ่ายกันเป็นคู่ ส่วนรอบที่สองผมออกมายืนข้างอาคารเพื่อถ่ายรูปให้ติดมุมของ the void
เราลงจากยอดเขาประมาณ 10.00 ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนี้มีคิวรอขึ้นกระเช้ายาวมากครับ ดังนั้นแนะนำว่า ให้มาขึ้นกระเช้าตั้งแต่รอบแรกๆ จะได้ไม่ต้องรอคิวนานมากนัก
เรามองกลับไปมองยอดเขา Mont Blanc อีกรอบ จริงๆแล้ว ตัวผมเองเห็น Mont Blanc ครั้งแรกระหว่างทางที่ขับรถทาง Zermatt เพื่อไปยัง Lausanne ภาพทะเลสาบ Geneva เบื้องหน้าตัดกับแนวเทือกเขาสูงใหญ่ที่กั้นเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างฝรั่งเศสและสวิสเซอร์แลนด์ จากวันนั้นจนถึงวันนี้เพียงแค่ปีเดียวโดยที่ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสได้มาที่นี่เร็วขนาดนี้
ก่อนที่เราจะขึ้นรถไฟไปดูธารน้ำแข็งกันในตอนบ่าย เราแวะมาหาอาหารเติมพลังกันในเมือง เราเดินตามกลิ่นขนมปังไปยังร้านนึงๆ สั่งลองมาสองอย่าง
จานแรกคือ คีชผักขมแซลมอน จานที่สองคือ พิซซ่าแฮมชีส เท่าที่ผมมาเที่ยวฝรั่งเศสแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ อาหารส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมด้วยเนย ชีส แฮม เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นทั้งครัวซอง ขนมปัง พิซซ่า หรือแม้ถ้าเข้าไปทานในร้านอาหารแบบ fine dining ก็ยังหนีไม่พ้นเนยกับชีส ซึ่งพอมาเที่ยวซักพักก็เริ่มโหยหาอาหารไทยเข้าแล้ว
ในตอนบ่ายเราไปต่อคิวขึ้นรถไฟที่สถานี Montenvers เพื่อไปชมธารน้ำแข็งข้างบน รถไฟใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็เดินทางถึงที่หมาย
เอาภาพในอดีตไปดูก่อนครับ
Mer de Glace หรือ Sea of Ice เป็นธารน้ำแข็ง (Glacier) ที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Chamonix นอกเหนือจากธารน้ำแข็งแล้ว เรายังสามารถเดินลงบันได 500 ขั้น (ใช่แล้วครับ !! 500 ขั้น) ไปดูถ้ำน้ำแข็งได้ ซึ่งถ้ำน้ำแข็งที่กล่าวถึงนี้เกิดจากการขุดเข้าไปในตัวธารน้ำแข็ง แต่ถ้ำนี้ก้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากการละลายและการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็งเองกว่า 70 เมตรในแต่ละปี
นอกจากความสวยงามแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่เสมือนมีชีวิตแห่งนี้คือตำราทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวชี้วัดสภาวะอากาศของโลก ตอบคำถามทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เป็นบันทึกวงจรชีวิตของโลกที่เราอยู่อาศัยอยู่ และรูปภาพที่ผมถ่ายมานั้นเป็นภาพบันทึกในช่วง ค.ศ. 1950 ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา ธารน้ำแข็งแห่งนี้ได้ละลายลงอย่างรวดเร็ว และตัวธารน้ำแข็งเองมีระดับต่ำลง 30 ซม.ในทุกๆ ปี
ผมเคยได้ดูรายการ เถื่อน Travel ใน Season 2 ของคุณวรรณสิงห์ ที่ไปเมือง Svalbard ที่เกาะ Greenland ที่แห่งนั้นมีผลลัพธ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลกอย่างชัดเจน คือ ในฤดูหนาวนั้น ไม่มีทะเลสาบน้ำแข็งเราเราสามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น หากมนุษย์อยากเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น Mer de Glace ก็เป็นอีก 1 หลักฐานที่แสดงออกอย่างชัดเจนเช่นกัน
จากสถานีรถไฟ เรานั่งกระเช้าต่อเพื่อไปยังธารน้ำแข็ง เบื้องหน้าคือบันไดกว่า 430 ขั้น ที่มีขั้นบันไดเพิ่มขึ้นทุกๆปีตามการละลายของธารน้ำแข็งเอง
นอกจาก Jokulsarlon ที่ Iceland แล้ว นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้มีโอกาสเห็นธารน้ำแข็งใกล้ๆขนาดนี้ แต่รอบนี้แตกต่างไปคือเราจะเดินเข้าไปใต้ธารน้ำแข็งกันเลย ทางเดินนั้น นำไปสุดที่ปากทางเข้าถ้ำน้ำแข็ง
หลังจากลงไปกว่า 500 ขั้นแล้ว ใช่ครับ เราต้องเดินกลับขึ้นมาอีก 500 ขั้น 55+ ระหว่างทางก็นึกไปเรื่อยๆถึงประสบการณ์ที่เราได้เห็นในหลายๆ ประเทศ อย่างที่ Iceland เองก็ยังไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกของเราได้ชัดเท่ากับที่ Mer de Glace นี้ ระหว่างกำลังเดินกลับก็ได้เดินสวนกับคุณลุงชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่พูดขึ้นว่า (คุณลุงพูดภาษาไทยได้ ล้อเล่น !! ผมแปลเป็นไทยมาให้ครับ)
“ผมเคยมาที่นี่เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว และที่ป้ายนี้คือความสูงของธารน้ำแข็งในตอนนั้น แล้วตอนนี้ล่ะ คุณลองมองลงไปข้างล่างสิ...ผมไม่รู้เลยว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ”
ใช่แล้วครับ อีกสิบปีต่อไป คุณลุงอาจต้องเดินเท้ากว่า 2,000 ขั้น เพื่อลงไปดูธารน้ำแข็งและอุโมงค์น้ำแข็งข้างล่างก็เป็นได้
***
คืนสุดท้ายใน Chamonix แล้ว เดินเล่นยามค่ำคืนกันดีกว่าครับ
เดินเล่นเรื่อยๆในเมืองก็ได้พบกับ Parade ประเพณีพอดีครับ เป็น parade ของ Fairy (ภูตน้อย) 3 ตน เดินไปแวะดูร้านสวยๆ ของน่ากินตามทาง ก็เลยแวะร้านเค้กอีกร้านที่มีชื่อเสียงในย่านนี้
นอกจากตลาดกลางเมืองจะมีซุ้มของกินให้เลือกแล้ว ในเมือง Chamonix ก็มีร้านอาหาร ร้านของหวาน และซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ทุกมุมของเมืองครับ เราเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็แวะอีกร้านซื้อเค้กลองมาชิมครับ เมืองนี้ของหวานอร่อยทุกร้านเลยย
****
สรุปแล้ว Chamonix ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ไม่ควรพลาดถ้าหากได้มาท่องเที่ยวในฝรั่งเศสฝั่งตะวันออก เมืองนี้สามารถเดินทางจากเมืองใหญ่อย่าง Lyon หรือ Geneva ในฝั่ง Switzerland ได้อย่างสะดวก เหมาะทั้งการมาเที่ยวกับครอบครัว คู่รัก หรือแม้แต่เพื่อนฝูงก็มาผจญภัยกันได้
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว อาหาร ของหวานก็เป็นชื่อเสียงอีกหนึ่งอย่างของเมืองแห่งนี้ ทั้งอาหารฝรั่งเศสเอง อิตาเลี่ยน ยุโรปอื่นๆ อาหารจีน ญี่ปุ่น ก็มีให้เลือกตามความต้องการของเราอย่างครบถ้วน สำหรับวันต่อไปผมจะเดินทางกลับไปยัง Lyon แล้วเราจะไปอดีตหัวเมืองใหญ่ของโรมันที่ยังคงมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร สถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมถึงวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายที่ได้ส่งผ่านมายังคนยุคปัจจุบัน
ระหว่างนั้นสามารถอ่านรีวิวที่ผมเคยพาไปเที่ยวประเทศต่างๆ ได้ครับ แล้วพบกันที่ Lyon ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านมาติดตามกัน
- อยากขับรถเที่ยว Iceland กันไม๊ กดที่นี่เลย >> https://pantip.com/topic/35798202
- หรืออยากขับรถเที่ยว Switzerland ขึ้น Titlis Jungfrau Zermatt Matterhorn กดที่นี่เลย >> https://pantip.com/topic/36398268
- ชอบมรดกโลกไม๊ ไป 1-day trip เมืองมรดกโลก Bruges ที่ Belgium กันครับ https://pantip.com/topic/37706288
- เบื่อยุโรปแล้ว งั้นไปเที่ยว Cape Town ขึ้นเขา ดูฉลามกัน >> https://pantip.com/topic/36610015
- เที่ยว France ดูตลาดคริสต์มาสที่ Strasbourg กับ Colmar >> https://pantip.com/topic/38450907
หรือสามารถติดตาม Page Facebook “Travel Route : เที่ยวตามทาง” ได้อีกช่องทางนึงครับ โดยผมตั้งใจทำเพื่อแนะนำการเตรียมตัว โดยเฉพาะการเดินทางและการไปขับรถยังต่างประเทศ รวมทั้งอัพเดทเรื่องราว บทความ สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทาง นักท่องเที่ยวด้วยตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมให้ทริปของท่านครบถ้วน สมบูรณ์ ราบรื่น 55+
https://www.facebook.com/travelroutetrip/
ปล. รูปภาพในกระทู้นี้ถ่ายโดยกล้อง Fuji X-E3+ 35 F1.4 และ Iphone XR
เที่ยวตามทาง
วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.19 น.