รถจี๊ปพาเรากลับมาส่งที่บ้านพักในหมู่บ้านเคโมโร ลาวัง อีเมลดาเดินมาชวนเราให้เที่ยวด้วยกันต่อ เพราะใกล้ๆกันนี่มีน้ำตกมาดาการิปุระ อันเลื่องชื่อ เราไม่รอช้าที่จะตอบตกลง โดยคนทั้ง 9 คนที่ร่วมหัวจมท้ายกันตั้งแต่นั่งรถตู้มาจากโปรโบลิงโก ก็จะเที่ยวด้วยกันอีกที่ ก่อนที่จะแยกไปตามเส้นทางของตน
รถตู้คันเดิมมารับเรา โดยไม่คิดเงินเพิ่มสำหรับการไปเที่ยวน้ำตกมาดาการิปุระ ถือเป็นการชดเชยค่าโดยสารที่พวกเราจ่ายเพิ่มเมื่อวาน
ความเขียวสดของผืนป่าแผ่ตัวโอบล้อม เมื่อเราเดินทางมาถึงหมู่บ้านสาพิห์ (Sapih) อันเป็นที่ตั้งของน้ำตกมาดาการิปุระ (Madakaripura) เราเดินไปตามทางเดินที่ขนานไปกับสายน้ำ แม้เส้นทางจะถูกถากถางและปรับหน้าดินไว้อย่างดี แต่ก็มีหลายช่วงที่ต้องข้ามสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้คนท้องถิ่นที่นี่มีรายได้พิเศษจากการจูงนักท่องเที่ยวเดินข้ามลำน้ำ ถือเป็นอาชีพสุจริตที่แปลกดีมิใช่น้อย
นอกจากความใสเย็นของสายน้ำและความร่มรื่นของผืนป่าแล้ว ระหว่างทางยังมีความงามเล็กๆของดอกบัวตองที่ชูช่อผลิบาน และเหล่าผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังเริงระบำ แล้วเราก็หยุดการเดินที่เพิงเล็กๆริมสายน้ำเพื่อพักกินข้าว จนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ชาวอินโดก็จัดแจงเช่าร่มคันใหญ่คนละคัน อีเมลดาถามผมว่าไม่เช่าร่มเหรอ ผมส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับงงๆว่าเช่าร่มไปกันทำไม ฝนไม่ตกซักกะหน่อย
แต่ละคนเดินข้ามลำธารสู่สายน้ำใสสะอาดที่ไหลตกจากหน้าผาสูง ผมยืนลังเลว่าจะเข้าไปชมดีไหม เพราะดูจากจุดที่ผมยืน น้ำตกมาดาการิปุระไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือสวยงามมากนัก ซึ่งการตัดสินแบบง่ายๆ จากตำแหน่งที่ไกลจากสิ่งที่เห็น ทำให้ผมเกือบเสียโอกาสที่จะได้ชมน้ำตกที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เสียแล้ว แต่โชคดีที่แม่ค้าร้านอาหารเดินมาถามว่า ทำไมผมจึงไม่เข้าไปชมน้ำตก เพราะน้ำตกแห่งนี้ Very Beautiful
ผมเปลี่ยนใจเดินข้ามลำธาร แล้วเดินตรงไปยังสายน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในร่องเขา ภาพสายน้ำที่ปรากฏให้เห็นนั้นต่างจากภาพที่เห็นจากภายนอกอย่างลิบลับ เพราะสายน้ำนั้นไหลตกเป็นทางยาวจากหน้าผาที่สูงกว่าร้อยเมตร จนเกิดเป็นม่านน้ำตกที่ละอองน้ำฟุ้งกระจายเป็นบริเวณกว้าง เสมือนพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ ในเวลานี้ผมจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีเมลดาจึงถามผมว่าไม่เช่าร่มหรือ ผมจึงไม่รอช้าที่จะเช่าร่มคันใหญ่เพื่อพาตัวเองผ่านพายุฝนที่กำลังตกกระหน่ำ แล้วก้าวเดินไปในป่าลึก
หน่อยกับแต๋วที่ต่างไม่ยอมเช่าร่มยืนตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่ข้างแอ่งน้ำกว้าง อันเกิดจากการไหลตกของสายน้ำที่ทิ้งดิ่งผ่านหน้าผาสูงร่วม 200 เมตร ผมแหงนคอตั้งบ่าเพื่อมองขึ้นไปยังจุดกำเนิดของน้ำตก สิ่งที่ได้เห็นคือประจักษ์พยานแห่งความยิ่งใหญ่ของสายน้ำที่ทำให้น้ำตกมาดาการิปุระได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในชวาตะวันออก เป็นความยิ่งใหญ่ที่คนธรรมดาอย่างผมจะหยั่งถึง
เรากลับมาที่สถานีขนส่งโปรโบลิงโกอีกครั้ง เพื่อต่อรถไปเมืองสุราบายา (Surabaya) เมืองหลวงของจังหวัดชวาตะวันออก (East Jawa) เวลา 2 ชั่วโมงบนรถประจำทางสิ้นสุดลง สองวันที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างที่มา ได้มาเริงร่าใช้จังหวะชีวิตร่วมกัน ก่อนที่จะก้าวเดินไปตามจังหวะเวลาแห่งชีวิตที่ต่างกันไป คู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศสเลือกที่จะพักที่นี่ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะแบกเป้เดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ ในขณะที่ชาวอินโดทั้ง 4 คนมีจุดหมายเดียวกันคือนั่งรถกลับบ้านเกิดที่จาการ์ต้า ส่วนคนไทย 3 คนต้องนั่งรถอีก 8 ชั่วโมง เพื่อไปเมืองมาเกลัง (Magelang) สำหรับเป็นจุดเริ่มต้นในการชมมรดกโลกบุโรพุทโธ
และเวลาเพียงแค่ข้ามคืนที่กำลังพ้นผ่าน การเดินทางของผมก็จะเปลี่ยนเป็นการเดินทางเพียงลำพัง ตามจังหวะเวลาแห่งชีวิตที่ผมเป็น
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.13 น.