สวัสดีค่ะ ช่วงปลายเดือนมกรา – กุมภา 2022 ที่ผ่านมา เราได้เดินทางไปเที่ยวโซนยุโรปตะวันออกคนเดียวเป็นเวลา 15 วัน วันนี้เลยจะมารีวิวแพลนทริป การเดินทาง เกร็ดเล็กน้อยที่เราเจอมาเพื่อเป็นแนวทางให้คนที่สนใจค่ะ
แพลนการเดินทางของเราคร่าวๆ จะเป็นตามนี้ค่ะ
1 | เดินทางจากไทยไปเวียนนา ประเทศออสเตรีย ถึงตอนเที่ยงๆ |
2 | HallStatt, Austria. |
3 | Budapest, Hungary |
4 | Kutna Hora, Czech Republic |
5 | Vienna, Austria 1.Hofburg palace 2.Museum of Natural History |
6 | Wachau valley, Melk, Austria |
7 | 1.Schonbrunn palace 2.Imperial Furniture Collection นั่งรถไฟข้ามคืนไปคราคุฟ โปแลนด์ |
8 | Krakow, Poland 1.Oskar Schindler Factory 2.Fragment of gretto wall 3.The Old Synagogue 4.Schindler's List Passage |
9 | Krakow, Poland 1.Rynek Underground 2.Wieliczka Salt Mine |
10 | Krakow, Poland 1.Hipolit House 2.Auschwitz and Birkenau |
11 | Krakow, Poland 1.Eagle pharmacy 2.Podgórze Museum นั่งรถบัสจากคราคุฟ ไปวอซอร์ โปแลนด์ |
12 | Malbork castle, Malbork, Poland |
13 | Warsaw, Poland 1.ตรวจ RT-PCR สำหรับใช้เป็นหลักฐานเข้าประเทศไทย 2.Polin museum 3.Royal route |
14 | Warsaw, Poland 1.Warsaw zoo 2.Cathedral of St. Michael the Archangel and St. Florian the Martyr 3.Warsaw Barbican 4.Łazienki Park บินกลับไทยตอนเย็น |
ในส่วนของตอนที่ 1 จะครอบคลุมเรื่องการเดินทางในออสเตรีย และโปแลนด์เท่านั้น ส่วนประเทศเช็กกับฮังการี เราเดินเท้าไปแต่ละที่ จึงไม่สามารถนำข้อมูลมาแชร์ได้ค่ะ
ออสเตรีย
การเดินทางในออสเตรีย บอกได้คำเดียวว่าง่ายมากเลยจ้า การเดินทางทุกอย่างสามารถเช็กได้ผ่านเว็ปไซต์ หรือผ่านแอป และตรงเวลา 99.9 %
1.ดารเดินทางในเวียนนา – มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน (U-Bahn) รถไฟชานเมือง (S-Bahn) รถราง (Tram) รถเมล์ และรถไฟ
แอปที่แนะนำให้โหลดไว้ใช้เลยคือ Wien Mobil เป็นแอปที่ใช้เช็กว่า ถ้าเราจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ต้องนั่งรถอะไร สายไหน และมีรอบออกตอนกี่โมงบ้าง แถมยังเลือกดูรอบรถล่วงหน้าได้ด้วย ง่ายและสะดวกมากค่ะ
วิธีการใช้งานจะคล้ายกับกูเกิ้ลแมป คือเราใส่จุดที่เราอยู่ และสถานที่หรือสถานีที่เราจะไป แอปจะโชว์ว่าเราสามารถเดินทางด้วยวิธีไหนบ้าง ใช้เวลาเท่าไหร่ มีรอบออกตอนกี่โมงบ้าง และจะถึงปลายทางในเวลากี่โมง
ตัวอย่างตามภาพด้านล่าง คือการเดินทางจากสถานีรถไฟกลาง ไปยังสถานีรถไฟตะวันตกด้วยการนั่งรถไฟใต้ดิน หรือ U-bahn ค่ะ
เรายังกดเข้าไปเพื่อดูสถานีที่ต้องนั่งผ่านได้ด้วย
หรือจะถอยออกมาดูโลเคชั่นของเราตามแบบกูเกิ้ลแมปก็ยังได้
แถมยังดูรอบการเดินทางล่วงหน้าได้ด้วย สะดวกมากๆ เลย
สำหรับป้ายรถเมล์ และรถราง หากเราขี้เกียจเปิดแอป ก็สามารถดูตารางรถที่ป้ายรถเมล์ได้ จะมีระบุไว้อยู่ว่ารถจะผ่านป้ายตอนกี่โมงบ้าง ซึ่งอาจจะไม่ได้มาตรงเวลาเป๊ะๆ เหมือนรถไฟใต้ดิน ส่วนหนึ่งคงขึ้นอยู่กับการจราจรบนท้องถนนด้วยค่ะ ตอนที่เรารอรถราง ก็เลทไปไม่เกิน 5 นาที ถือว่ารับได้ค่ะ
ค่าเดินทางในเวียนนา หากซื้อตั๋วรายเที่ยวจะค่อนข้างแพง อย่างค่ารถไฟฟ้าใต้ดิน ราคารอบละ 2.4 EU หรือประมาณ 100 บาท เมื่อซื้อแล้ว เราต้อง Validate ตั๋วด้วยการเอาไปสอดกับเครื่อง Validate สีน้ำเงินที่ติดอยู่หน้าบันไดเลื่อน ทางลงไปชานชาลา เพื่อให้มันตอกวันเวลาที่เริ่มใช้ตั๋ว ถึงจะถือว่าตั๋วนี้สมบูรณ์ค่ะ ถ้าเราซื้อแล้วลืมสอดเข้าไปในตู้นี้ หากโดนสุ่มตรวจ จะถือว่าเรายังไม่ได้ซื้อตั๋ว และต้องเสียค่าปรับซึ่งแพงกว่าค่าตั๋วหลายเท่าตัวค่ะ
แต่ไม่ต้องตกใจไป เวียนนาเขามีตั๋วเหมาแบบอื่นๆ ให้เลือกอีกค่ะ ตั๋วเหมาแต่ละใบ เมื่อซื้อแล้วจะสามารถใช้ขนส่งในใจกลางเวียนนา (เรียกว่า Core center zone) ได้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็น U-Bahn S-Bahn รถราง หรือรถเมล์ค่ะ แถมยังใช้เป็นส่วนลดค่าตั๋วรถไฟไปยังสนามบินได้ด้วยนะคะ
**หมายเหตุ ที่เวียนนาจะไม่มีทั้งตู้หรือคนตรวจตั๋ว ใครก็สามารถเข้าออกในสถานีรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถรางได้หมดเลย ถ้าเราทำเนียน ไม่ซื้อตั๋วแล้วไปใช้บริการ หากวันใดแจ็กพอต ถูกสุ่มตรวจตั๋วขึ้นมา จะโดนค่าปรับหลังแบะเลยค่ะ ไม่คุ้มกันเลย
ประเภทตั๋วเหมาที่มีในเวียนนา
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูที่ https://www.wienerlinien.at/ ค่ะ
ช่วงที่อยู่ออสเตรีย ตอนแรกเราแพลนจะย้ายที่พักไปตามเมืองต่างๆ แต่ติดเรื่องค่าที่พักแต่ละที่ค่อนข้างแรงสำหรับคนเดียว เลยต้องคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างจริงจัง ทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง บลาๆๆ ก่อนจะสรุปออกมาว่า เราควรจะพักที่พักเดียวในเวียนนาประมาณ 1 อาทิตย์ ซึ่งจะได้ราคาลดพิเศษ คำนวณแล้วอยู่ในงบ ซื้อตั๋ว Weekly pass แล้วเดินทางไปเมืองอื่นๆ แบบเดย์ทริปแทน อาจจะเหนื่อยเดินทางหน่อย แต่ก็ไม่ต้องลำบากลากกระเป๋าเดินทางไปมา
เราจึงซื้อตั๋ว Weekly pass ออนไลน์ เมื่อซื้อมาแล้วจะได้ตั๋วเป็นไฟล์ PDF ให้ปริ้นออกมาแล้วจะใช้ได้เลยค่ะ ตั๋วใบนี้จะทำให้เราเดินทางในเวียนนาได้ไม่อั้นตั้งแต่วันจันทร์นี้จนถึง 9 โมงวันจันทร์หน้า
**ตั๋วนี้จะเริ่มใช้ได้ทุกวันจันทร์เท่านั้น ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นใช้วันไหนในอาทิตย์ๆ นั้น ตั๋วก็จะหมดอายุในเช้าวันจันทร์ถัดไปอยู๋ดี ไม่ได้นับวันที่เราเริ่มใช้งานครั้งแรกเป็นวันที่ 1 แล้วรันต่อไปอีก 7 วันค่ะ**
เราสามารถซ์้อตั๋ว Weekly pass ได้ล่วงหน้าหลายอาทิตย์เลยค่ะ
ความแตกต่างของการซื้อตั๋วออนไลน์กับการซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติหรือเคาเตอร์
- ไม่ต้องเดินหาที่ซื้อตั๋วหน้างานให้เสียเวลา – ที่เวียนนาจะแตกต่างจากบ้านเรา อาจเพราะค่าครองชีพสูง ตำแหน่งไหนสามารถลดได้ เขาก็เลือกที่จะไม่จ้าง เพราะฉะนั้น หากเราคิดจะไปที่เคาเตอร์รถไฟใต้ดินเพื่อซื้อตั๋วล่ะก็ คิดผิดถนัดค่ะ จากที่ไปอยู่มาอาทิตย์นึง เราไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ขายตั๋วเลยสักคนค่ะ หากใครจะซื้อ ต้องไปซื้อที่ตู้อัตโนมัติเท่านั้น สามารถจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรก็ได้
- สำหรับบัตร Weekly pass หากซื้อออนไลน์ บนบัตรจะระบุชื่อเจ้าของบัตรไว้อย่างชัดเจน ไม่สามารถโอนให้คนอื่นใช้ได้ หากทำหาย ก็แค่ปริ้นบัตรใบใหม่ออกมาก็จะใช้ได้ตามปกติ แต่หากซื้อเป็นตั๋วที่ตู้อัตโนมัติ หรือเคาเตอร์ บัตรจะไม่ได้ระบุชื่อผู้ใช้ ใครที่ถือบัตรใบนี้สามารถใช้ได้หมด หากทำหายไปจะต้องซื้อใหม่ลูกเดียว
2.การเดินทางระหว่างสนามบินเวียนนาเข้าตัวเมืองเวียนนา
มีให้เลือก 3 แบบค่ะ
1.The Schnellbahn S7 หรือรถไฟ S7
เราเลือกเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถไฟขบวนนี้ เพราะสามารถใช้ Weekly pass ลดค่าตั๋วได้ ค่าตั๋วราคาปกติที่ 4.2 EU แต่เมื่อมีตั๋วนี้อยู่ เราจะจ่ายเงินเพิ่มเพียงแค่ 1.9 EU เท่านั้น
สาเหตุที่ต้องเสียเงินเพิ่ม เนื่องจากบัตรเหมาที่ซื้อมา ใช้ได้เฉพาะขนส่งในใจกลางเวียนนาหรือที่เรียกว่า Core zone เท่านั้น แต่สนามบินตั้งอยู่นอกเมืองเวียนนา เราจึงต้องเสียค่าโดยสารส่วนนอกเมืองเวียนนาไปจนถึงสนามบินค่ะ
ตอนที่เราคุยกับเจ้าหน้าที่ทางอีเมล์ เขาแจ้งว่าตั๋วรถไฟสามารถซื้อได้ที่ตู้อัตโนมัติ หรือที่โต๊ะบริการนักท่องเที่ยว...ซึ่งไม่รู้อยู่ตรงไหน 55 พอรับกระเป๋าแล้วเดินออกประตูมาข้างนอก เราก็เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตามป้ายที่ระบุว่าไปยังสถานีรถไฟเลย ป้ายจะให้ลงทางลาดไปใต้ดิน ลอดอุโมงค์ แล้วพอออกไปปุ๊บ ก็เจอแต่ตู้อัตโนมัติ เลยต้องยืนงง หาวิธีกดตั๋วราคาพิเศษเอาหน้างาน ถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน - -
หน้าตาตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ มีภาษาอังกฤษให้เลือก
สถานีต้นทาง ให้เลือก Flughafen Wien ส่วนปลายทางให้กดเป็น Wien
วิธีไปชานชาลาคือเดินลงบันไดเลื่อนไปค่ะ บันไดเลื่อนอยู่ใกล้ๆ กับตู้ขายตั๋วเลย
คำว่า Wien เป็นภาษาเยอรมันของคำว่าเวียนนา ซึ่งเราจะเจอคำนี้ทุกที่
ใครมีตั๋วเหมาอยู่แล้ว ให้ติิ๊กที่ช่องขวาล่าง ที่มีคำว่า Kernzone ( หากแปลเป็นภาษาอังกฤษคือ Corezone )
เมื่อไปที่หน้าถัดไป ให้เลือกซ์้อขบวนที่มีคำว่า S7 ก็จะจ่ายเพิ่มแค่ 1.9 EU เท่านั้นค่ะ
เมื่อลงบันไดเลื่อนมาข้างล่างก็จะเป็นชานชาลา ถ้าเข้าเมืองเวียนนาให้หันหน้าออกจากบันไดเลื่่อน แล้วเดินไปรอที่ฝั่งซ้ายรถจะมาตามเวลาที่ระบุไว้บนตั๋ว หากไม่แน่ใจให้ถามคนแถวนั้นดูก้ได้ว่าถูกขบวนไหม
นี่ขอนั่งข้างหน้าเลยจ้า จะได้ดูว่าต้องลงตอนไหน เอาจริงๆ ตอนขึ้นก็ขึ้นไปแบบงงๆ ตอนแรกเข้าใจผิดว่าต้องเปลี่ยนขบวนหนึ่งครั้งด้วย เลยไม่แน่ใจว่าต้องไปลงที่สถานีไหนเพื่อเปลี่ยนขบวน แต่พอหาข้อมูลระหว่างนั่งบนรถไฟดูอีกที อ้าว สายเดียวถึง ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนนี่นา
บนตั๋วจะระบุว่าสถานีปลายทางคือ Core zone Vienna - - ไอ้เราก็งง แล้วจะต้องไปลงที่สถานีไหนวะ บอกมาเสียกว้างขนาดนี้ คำตอบคือ ให้ลงที่สถานี Wien Mitte นะคะ แล้วเรียนเชิญต่อรถไฟฟ้า รถไฟ รถราง หรือว่ารถเมล์ตามอัธยาศัย
2.Vienna airport Bus (8EU)
เป็นรถบัสที่วิ่งจากสนามบินเข้ามาในตัวเมือง มีอยู่ 2-3 เส้นทาง รถจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ค่ารถคนละ 8 EU
3.The City Airport Train (CAT)
เป็นรถไฟสนามบินโดยเฉพาะ จะเริ่มเปิดอีกครั้งช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 นี้ ตอนที่เราไปยังไม่เปิดใช้บิรการ จุดขึ้นรถไฟจะเป็นจุดเดียวกับรถไฟ S7 ค่ะ ค่ารถจะแพงกว่า แต่จใช้เวลาเดินทางสั้นกว่า
3.การเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟในออสเตรีย
การเดินทางด้วยรถไฟในออสเตรียนั้นง่าย สะดวก และตรงเวลามากค่ะ (ย้ำ ตรงเวลามากๆ รถออกตามเวลาเป๊ะ ช้าไปนาที สองนาทีคือตกรถไฟนะจ๊ะ) บริษัทรถไฟหลักๆ จะมีอยู่ 2 เจ้าคือ ÖBB และ Westbahn
1. ÖBB (www.oebb.at) เป็นรถไฟหลักของประเทศออสเตรีย มีหลายเส้นทางให้เลือกทั้งเส้นทางในและนอกประเทศ
สามารถจองได้โดยตรงผ่านเว้ปไซต์หรือแอป ÖBB หากจองโดยตรง จะได้ตั๋วรถไฟที่ถูกกว่าจองผ่านเว็ปคนกลาง เช่นTrainline หรือ Omio หากจองล่วงหน้าจะมีตั๋วรถไฟราคาพิเศษปล่อยออกมา (เที่ยวรถไฟที่มีคำสีเขียวว่า Sparschiene ticket ) ทำให้ประหยัดเงินไปได้เยอะเลยค่ะ
Sparschiene ticket ตั๋วราคาพิเศษนี้มีจำนวนจำกัดในแต่ละขบวน ยิ่งมีคนซ์้อเยอะ ราคาพิเศษจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ราคาถูกสุดที่เราเจอคือ 9.9 EU หรือประมาณ 400 บาท แต่สำหรับเส้นทางยอดฮิตติดอันดับอย่าง Hallstatt หรือ Salzburg ราคาต่ำสุดที่เจอคือ 19.9 EU ค่ะ
เราจองผ่านแอป ÖBB โดยตรงเลย เวลาจะซื้อตั๋ว ต้องกดเลือกวัน และเวลาที่เราต้องการเดินทาง มันจะขึ้นว่าในช่วงเวลานั้นมีรถไฟขบวนไหนบ้าง ใช้เวลาเดินทางรวมเท่าไหร่ ต้องเปลี่ยนขบวนกี่ครั้ง
เวลาในการเปลี่ยนขบวนอาจจะดูน้อย เราเคยเจอเวลาเปลี่ยนขบวนสั้นสุดประมาณ 3 นาที ตอนแรกก็คิดว่า OMG นี่ชั้นจะขึ้นรถไฟทันไหมนี่ แต่เอาเข้าจริงมันง่ายมากค่ะ ใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีด้วยซ้ำ เพราะพอลงจากรถไฟปุ๊บ ก็เจอะกับชานชาลาที่ต้องขึ้นเลย แค่กลับหลังหัน แล้วเดินไปอีกสามก้าวเท่านั้นเอง
การจ่ายเงิน
สามารถจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ ก่อนจ่ายเงินเราสามารถเลือกซื้อออพชั่นเสริม เช่น ประกันการยกเลิก เลือกที่นั่ง หรืออัพเกรดชั้นที่นั่งได้
เมื่อจ่ายเรียบร้อยแล้ว ตั๋วรถไฟจะถูกผูกติดกับแอปมือถือของเราเลย เราสามารถเลือกจะแปลงตั๋วออกมาเป็น PDF ไฟล์ เพื่อปริ้นออกมาเป็นกระดาษ หรือโชว์ QR โค้ดตั๋วรถไฟในแอปได้เลย เราเลือกที่จะแปลงตั๋วรถไฟเป็นกระดาษ เผื่อมือถือเกิดมีปัญหาขึ้นมา จะได้ยังมีตั๋วไว้เดินทางอยู่
ใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟในออสเตรีย แนะนำให้โหลดแอปนี้ติดมือถือได้เลยค่ะ เพราะเที่ยวที่เรานั่ง บางครั้งอาจต้องเปลี่ยนขบวน เขาจะอัพเดทเรียลไทม์ ระหว่างเดินทาง เราสามารถเช็กสถานะได้เรื่อยๆ ว่า จะถึงประมาณกี่โมง รถไฟขบวนต่อไปที่ต้องขึ้น ต้องไปขึ้นที่ชานชาลาไหน กี่โมง
หมายเหตุ: หากจองเจ้านี้สามารถเลือกขึ้นหรือลงรถไฟได้ทั้งที่สถานีรถไฟ Westbahnhof และ Hauptbahnhof
2. Westbahn (https://westbahn.at/en/) จะเป็นรถไฟไปทางฝั่งตะวันตกของออสเตรีย สิ้นสุดที่เมือง Salzburg เท่านั้น มีเส้นทางให้เลือกไม่เยอะ แต่ราคาโดยรวมจะถูกกว่า ÖBB สามารถจองออนไลน์ผ่านเว้ปไซต์ได้เลย แถมยังมีราคาพิเศษเมื่อจองล่วงหน้าด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ: หากจองรถไฟเจ้านี้ ส่วนใหญ่จะต้องขึ้นที่สถานีรถไฟ Westbahnhof เป็นหลัก
แถบราคาด้านซ้ายสุด คือราคาพิเศษค่ะ มีจำกัดที่นั่งในแต่ละขบวนแบบเดียวกับ ÖBB หากใครจะไป Salzburg แนะนำให้จองล่วงหน้ากับเจ้านี้เพราะค่าตั๋วถูกกว่าค่ะ
ที่เวียนนาจะมีสถานีรถไฟหลัก 2 สถานี คือ Westbahnhof กับ Hauptbahnhof
1.Westbahnhof ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเวียนนา อดีตเคยเป็นสถานีรถไฟหลัก ก่อนที่จะถูก Hauptbahnhof ซึ่งสร้างขึ้นทีหลังแย่งชิงตำแหน่งไป ปัจจุบันเป็นต้นสายของรถไฟเจ้า Westbahn
2.Hauptbahnhof เป็นสถานีรถไฟหลัก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเวียนนา แม้ที่พักเราจะใกล้กับ Westbahnhof มากกว่า แต่เราต้องมาขึ้นรถไฟที่สถานี Hauptbahnhof ทุกวัน เพราะใช้ระยะเวลาในการเดินทางสั้นกว่าขึ้นจาก Westbahnhof
2.โปแลนด์
การเดินทางในวอร์ซอ และคราคุฟ
ราคาของตั๋วเดินทางรายเที่ยวด้วยรถไฟ รถราง และรถไฟฟ้าใต้ดินในโปแลนด์ จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ
1. ระยะเวลาที่เราจะโดยสาร
2.โซนที่เราจะเดินทางไป เช่น โซน 1 โซน 2 เข้าใจว่าคือการแบ่งโซนใจกลางเมือง กับโซนนอกเมืองค่ะ ราคาของการเดินทางในแต่ละโซนจะแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีตั๋วร่วมสองโซน ซึ่งจะแพงที่สุด
3.ประเภทของตั๋ว ตั๋วเต็มราคา กับตั๋วครึ่งราคา (เด็ก คนพิการ)
แอปที่คนโปแลนด์นิยมใช้ในการเดินทางคือ แอป Jakdonade ว่ากันว่าจะครอบคลุมกว่ากูเกิ้ลแมป (เขาว่างั้นนะ) แต่พอเราลองใช้แล้วชอบกูเกิ้ลแมปมากกว่า จึงแทบไม่ได้แตะแอปนี้เลยค่ะ
Krakow (คราคุฟ)
- รถเมล์จะมีตั๋วรายเที่ยว 4 แบบให้ซื้อ คือ แบบเดินทาง 20 นาที กับ 60 นาที และยังแบ่งย่อยไปอีกเป็นตั๋วเต็มราคากับตั๋วครึ่งราคา
- บางป้ายรถเมล์จะมีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติอยู่ หน้าตาจะคล้ายๆ กับตู้เอทีเอ็ม แต่ขนาดใหญ่กว่า แนะนำให้ซื้อได้เลยค่ะ เพราะตู้ตามป้ายรถเมล์ จะสามารถรูดบัตรได้ แต่ตู้ขายตั๋วบนรถเมล์ บางตู้จะรับเฉพาะเหรียญเท่านั้น หากเราไม่มีเหรียญ ก็ต้องหาแลกกับผู้โดยสารบนรถ ไม่ก็ลงที่ป้ายถัดไปเพื่อซื้อตั๋วก่อน
- ภาพตู้ซื้อตั๋วที่ตั้งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ บางสถานีตู้นี้จะตั้งอยู่ห่างสถานีไปหน่อย ตอนแรกเรานึกว่าตู้เอทีเอ็มจริงๆ
- จากภาพด้านล่าง ตู้ใหญ๋ๆ คือตู้ซื้อตั๋ว....ที่ไม่รับบัตร และไม่รับแบงก์ เราเลยต้องลงจากรถเมล์ไปซื้อตั๋ว แล้วค่อยรอรถเมล์คันต่อไป - - เพราะฉะนั้น ซื้อก่อนขึ้นรถแหละค่ะ ดีสุดแล้ว
- ตู้สีเหลืองที่อยู่ใกล้ๆ กันคือตู้ Validate ตั๋วค่ะ มันจะปั้มว่าตั๋งเราใช้ได้ถึงเมื่อไหร่
ตั๋วที่ปั๊มแล้วกับยังไม่ปั๊ม
- เมื่อขึ้นมาบนรถเมล์แล้ว ต้องสแตมป์ระยะเวลาที่เราขึ้นกับตู้สีเหลืองบนรถเมล์ ถึงจะถือว่าตั๋วของเราสมบูรณ์ค่ะ หากไม่สแตมป์แล้วโดนสุ่มตรวจ เท่ากับว่าเรายังไม่ได้ซื้อตั๋วรถเมล์ ต้องจ่ายค่าปรับค่ะ
- ไม่แน่ใจว่ามีตั่วเหมาไหม ส่วนตัวคิดว่ามีค่ะ แต่สถานที่เที่ยวไม่ได้ไกลกันมาก (ห่างกันไกลสุดประมาณ 3 กิโลเมตร) เราจึงใช้วิธีการเดินตลอดค่ะ
Warsaw (วอร์ซอ)
คล้ายกับคราคูฟ ต่างตรงที่ว่าจะแบ่งเป็นแบบ 20 นาที และ 75 นาทีแทน หากซื้อตั๋วใบหนึ่งแล้ว สามารถนำมาใช้กับขนส่งๆ อื่นได้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้บนบัตรค่ะ
เมื่อซื้อตั๋วรายเที่ยวที่นี่ ไม่จำเป็นต้องสแตมป์ตั๋ว (Validate) เพราะ
- ตั๋วรถเมล์จะระบุเวลาที่ตั๋วใบนี้หมดอายุไว้บนตั๋วอยู่แล้ว
- ตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน จะถูกสแตมป์เวลาเมื่อเราสอดบัตรผ่านประตูเข้าไป
หากซื้อตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วตั๋วที่เราซื้อไว้ยังไม่หมดอายุ เราสามารถขึ้นรถเมล์ต่อได้เลยโดยไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่
หากซื้อตั๋วรถเมล์ แล้วจะนำตั๋วใบนั้นมาใช้กับรถไฟฟ้าใต้ดินต่อ ให้นำ QR โค้ดบนตั๋ว ไปสแกนที่ช่องตรวจตั๋วของรถไฟใต้ดิน แล้วประตูรถไฟใต้ดินจะเปิดออกค่ะ
ที่นี่จะมีตั๋วเหมาหลายแบบ เราซื้อแบบตั๋วสุดสัปดาห์มา ราคา 24 Zloty ใช้ได้ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มของวันศุกร์ จนถึงเช้าวันจันทร์ และใช้ทั้งโซน 1 และ 2 ในวอร์ซอ
ภาพตั๋วเรียงลำดับจากบนไปล่างคือ
(บน) ตั๋วรถเมล์ (กลาง) ตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน (ล่าง) ตั๋วสุดสัปดาห์ที่ซ์้อจากตู้ขายตั๋วรถไฟใต้ดิน
ตั๋วด้านซ้าย เมื่อสอดเข้าไปในตู้ตรวจตั๋วที่สถานีรถไฟใต้ดิน มันจะปั๊มเวลาที่เริ่มใช้งาน
ส่วนตั๋วรถเมล์จะมีระบุวันเวลาที่ตั๋วหมดอายุไว้บนตั๋วอยู่แล้ว จึงไม่ต้อง Validate ตั๋วอีก ตรงแถบสีแดงจะมีเขียนไว้เลยว่า Do not validate
2..การเดินทางระหว่างสนามบินวอร์ซอเข้าตัวเมือง
เราบินกลับไทยจากสนามบินวอร์ซอ ที่วอร์ซอจะมี 2 สนามบิน คือ Chopin (ในเมือง) และ Modlin (นอกเมือง) เราบินกลับจากสนามบิน Chopin (WAW) ซึ่งการเดินทางจากตัวเมืองไปที่สนามบินนั้นง่ายมาก...นั่งรถเมล์ค่ะ ค่าโดยสารก็ใช้เรทเดียวกับการเดินทางด้วยรถเมล์ปกติเลย ส่วนเส้นทางรถเมล์ สามารถเช็กได้จากแอป หรือจากกูเกิ้ลแมปก้ได้ค่ะ
3.การเดินทางระหว่างเมืองในโปแลนด์
ถ้าเลือกได้...เราแนะนำให้นั่งรถบัสค่ะ 5555 รถบัสที่โปแลนด์จะมีแบบหลักๆ คือ Local bus กับ International
Bus
1.Local Bus/Van – คนโปแลนด์นิยมใช้ ค่าโดยสารจะถูกกว่า ไม่สามารถเช็กตารางเวลา หรือค่าโดยสารออนไลน์ได้ ต้องไปเช็กหน้างานเท่านั้น ราคาค่าโดยสารแต่ละเจ้าอาจไม่เท่ากัน คนขับอาจพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนความสะอาดภายในรถนั้น...แล้วแต่ดวงค่ะ 555
2.International Bus – เช่น Flexbus สามารถดูตารางเวลาและซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์ได้เลย ค่ารถจะแพงกว่าอีกแบบหนึ่ง แต่ก็มั่นใจในคุณภาพได้มากกว่า
Train
บอกได้คำเดียวว่า เรามีประสบการณ์ไม่ดีกับรถไฟที่โปแลนด์ 55 เรานั่ง 4 ครั้ง เจอดีเลย์แทบทุกครั้ง สั้นบ้างยาวบ้าง ระยะยาวสุดที่เจอก็คือ 2 ชม.ค่ะ หึๆ สามารถเช็กตารางรถไฟและราคาได้ที่เว้ปไซต์ www.polrail.com ราคาในเว็ปจะเท่ากับตอนไปซื้อหน้างานเลย...แพงเท่ากัน รอบที่มักจะถูกสุดคือรอบเช้าตรู่ ไม่ก็รอบที่ใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ
ถ้าจะให้เราแนะนำหากจำเป็นต้องนั่งรถไฟโปแลนด์ก็คือ เลี่ยงเที่ยวรถไฟที่ต้องเปลี่ยนขบวนค่ะ เผื่อเจอดีเลย์ จะได้ลุ้นแค่รอบเดียว ไม่ต้องลุ้นหลายรอบ
จบตอนที่ 1 จ้า
รีวิวทั้งหมดในซีรีส์นี้มีทั้งหมด 10 ตอนค่า
1 การเดินทางในออสเตรีย และโปแลนด์ https://th.readme.me/p/39977
2 เมือง UNESCO ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เช้าไปเย็นกลับก็ทำได้ https://th.readme.me/p/39994
3 เดย์ทริป Wachau Valley และ Melk Abbey UNESCO 2 แห่งระหว่างเมือง Melk Dürnstein และ Krems https://th.readme.me/p/39997
4 เดย์ทริปไป Budapest เยี่ยมชม Buda castle และโรงพยาบาลใต้ดิน Hospital in the Rock Nuclear Bunker Museum https://th.readme.me/p/39998
5 เดย์ทริปไป Kutna Hora แวะชม Sedlec Ossuary โบสถ์โครงกระดูกอันโด่งดัง กับประสบการณ์ตกรถไฟคนเดียวที่เช็ก! https://th.readme.me/p/40003
6 สองวันในเวียนนา ลัลล้าใน Museum of natural history และ ทำความรู้จักกับ Sisi ใน Hofburg palace และ Schonbrunn palace https://th.readme.me/p/40004
7 ยินดีต้อนรับสู่เมืองคราคุฟ เมืองที่ถูกย้อมด้วยเลือดของชาวยิว เยี่ยมชม Oskar Schindler's Enamel Factory Rynek Underground ใน Kraków โปแลนด์ https://th.readme.me/p/40102
8 ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์แห่งความตาย Auschwitz and Birkenau concentration camps และเหมืองเกลือ Wieliczka Salt Mine https://th.readme.me/p/40103
9 เดย์ทริปไป ปราสาทมาลบอร์ก UNESCO ปราสาทยุคกลางที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลก Malbork castle Poland https://th.readme.me/p/40104
10 2 วันในวอร์ซอ เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิวที Polin Museum และเดินเล่นที่ Łazienki Park https://th.readme.me/p/40105
Duck's journey
วันพฤหัสที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 18.37 น.