เมืองในเทพนิยาย ดินแดนสองทวีป
อ้อมกอดเทือกเขาคอเคซัส ค่าครองชีพถูก
คงเป็นประเทศไหนไม่ได้ นอกจาก ตุรเคีย - จอร์เจีย
2 ปีครึ่งแล้วที่ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ เพราะไวรัสโควิด ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง ประเทศไทยประกาศยกเลิก test & go จ้า เริ่ม 1 พฤษภาคม 2565 จิตวิญญาณของนักท่องเที่ยวอย่างเราจะรอช้าอยู่ใย รีบหาตั๋วเครื่องบินทันที ประเทศที่ไปง่ายที่สุด เร็วที่สุด ไม่ต้องทำวีซ่า นั่นก็คือ ตุรกี Turkey หรือชื่อใหม่คือ ตุรเคีย Turkiye (ภาษาอังกฤษ อ่านว่า เทอร์คีเย่) และประเทศจอร์เจีย Georgia นั่นเอง
ทั้ง 2 ประเทศนี้ ถ้าดูกันตามสภาพภูมิศาสตร์อยู่ทวีปเอเชียค่ะ เราเลยขอเรียกว่าอยู่เอเชียนะ แต่วัฒนธรรม หรือสภาพบ้านเมืองต่างๆ จะเป็นแนวยุโรป ซึ่งตุรเคีย ฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย 30 วัน และจอร์เจีย 365 วัน แค่มีพาสปอร์ต ฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม ซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ไปได้แล้ว ไปเที่ยวกันเถอะ
รีวิวนี้ เราจะรีวิวเรื่องการเดินทางละเอียดมากนะคะ สำหรับสายลุยๆ แบบเราที่ชอบเดินทางเอง และเดินทางด้วยรถสาธารณะ สามารถตามได้เลย ราคาแต่ละอย่าง เรามีบอกไว้หมดค่ะ ซึ่งเป็นราคา ณ เดือนมิถุนายน 2565 (ราคาที่ตุรเคียปรับขึ้นตลอด เพราะอัตราเงินเฟ้อ)
ช่วงฤดูที่เหมาะสม
จริงๆ 2 ประเทศนี้เหมาะที่จะไปได้ทั้งปี ขึ้นอยู่ว่าชอบอากาศแบบไหน วิวเป็นยังไง
- ฤดูใบไม้ผลิ : เมษายน - กลางมิถุนายน
- ฤดูร้อน : กลางมิถุนายน - กลางกันยายน
- ฤดูใบไม้ร่วง : กลางกันยายน - ตุลาคม
- ฤดูหนาว : พฤศจิกายน - มีนาคม
ส่วนตัวเราเอง ไม่ชอบฤดูหนาว เพราะเคยเจอประสบการณ์พายุหิมะ เครื่องบินออกไม่ได้ นั่งรอที่สนามบินหลายชั่วโมงเลย ถนนลื่น ปิดถนน และถ้าไม่ได้ตั้งใจจะไปเล่นสกีที่จอร์เจีย ก็ข้ามฤดูหนาวไปจ้า แต่ข้อดีของฤดูหนาว คือ เป็น Low Season ทุกอย่างจะถูกลงค่ะ
ส่วนฤดูร้อน โดยเฉพาะ กรกฎาคม - สิงหาคมเนี่ย เป็น High Season นะคะ ทุกอย่างแพงขึ้นหมด โดยเฉพาะโรงแรม และตั๋วเครื่องบิน แต่ก็เป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ซึ่งคนไทยอย่างเราๆ ไม่ชอบแน่นอน 55
แนะนำว่าไปเดือน เมษายน - มิถุนายน และ กันยายน - พฤศจิกายน ดีที่สุด ซึ่งช่วงที่เราไป 7 - 19 มิถุนายน คือ ปลายฤดูใบไม้ผลิ เข้าต้นฤดูร้อน อากาศดีมาก ด้วยความที่เราไป 2 ประเทศ หลายเมือง มีทั้งอยู่ในเมือง และอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อุณหภูมิเลยต่างกันมาก ต่ำสุดที่ 7 องศา สูงสุดที่ 28 องศาค่ะ (แบบ feel like ก็ยัง 28 จริงๆ) ตอนกลางวันยังเดินเล่นได้สบายๆ ลมเย็น แต่แดดแรง กลับมาผิวคล้ำขึ้นเยอะเลย ให้เตรียมเสื้อผ้าไปทั้งร้อน และหนาว สำคัญ คือ ฮีทเทคค่ะ ใส่ไว้ด้านใน เสื้อผ้าจะได้ไม่ต้องหนามาก เพราะเราคนไทยอาจจะขี้หนาวกว่าคนต่างชาติหน่อย แต่เสื้อโค้ท รองเท้าบูทยาวถึงเข่า ไม่ต้องเอาไปนะคะ มันผิดฤดู ^^
เวลาที่ตุรเคีย ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง และจอร์เจีย ช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง
ซื้อตั๋วเครื่องบิน
สายการบินที่สะดวกที่สุดสำหรับการไป ตุรเคีย จอร์เจีย คือ Turkish Airlines เพราะบินตรงไปยังตุรเคียได้เลย ไม่ต้อง transit ให้เสียเวลา และใช้เวลาบินไปตุรเคียแค่ 10 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้นเอง ขึ้นเครื่อง ทานอาหาร หลับ ตื่นมา ทานอาหารอีกมื้อ ถึงเลย ดีงาม
จากตุรเคีย ไป จอร์เจีย ก็แค่ 2 ชั่วโมง 15 นาที เอง ด้วยความที่จอร์เจียไม่มีสายการบินไหน บินตรงจากไทยนะคะ ยังไงก็ต้องแวะ stop สักประเทศ ดังนั้น ไปควบ 2 ประเทศเถอะ คุ้มมาก
แพลนของเรา คือ บินจากไทยไปเที่ยวตุรเคียก่อน แล้วค่อยบินจากตุรเคียไปจอร์เจีย จากนั้นก็บินจากจอร์เจียกลับไทย ซึ่งจากจอร์เจียกลับไทย จะต้องแวะ transit ที่ตุรเคียด้วย หรือใครอยากจะสลับไปจอร์เจียก่อน แล้วค่อยไปตุรเคียก็ได้นะ ถ้าจะไปหลายๆ ประเทศแบบเรา ให้เลือก multi city ตอน search หาตั๋ว และกำหนดวันที่ต้องการได้เลย อยากอยู่ประเทศไหนกี่วัน จัดโลดค่ะ
เวลาสวยมาก ชอบๆ เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว เราก็มาแพลนการเที่ยวกัน ทริปนี้เราไปทั้งหมด 13 วัน (รวมวันเดินทาง) เที่ยวให้หายอยากไปเลย 555
ตุรเคีย
เนื่องจากสถานี่ท่องเที่ยวต่างๆ ในตุรเคียอยู่ห่างกันมากค่ะ คนละเมืองเลย ห่างกันแบบกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ - ภูเก็ต อะไรแบบนั้น การจะเที่ยวทุกที่ และใช้เวลาดื่มด่ำในแต่ละที่ ไม่ใช่แค่มาถึง เช็คอินแล้วรีบไป คงต้องอยู่เป็นเดือน ถ้าไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น แนะนำให้เลือกนะคะว่าอยากไปไหนบ้าง เราไป Cappadocia - Pamukkale - Istanbul (ที่วงไว้) ซึ่งเป็น 3 เมืองยอดฮิตของตุรเคียนั่นเอง
Cappadocia ภาพจำของทุกคน น่าจะเป็น โรงแรมถ้ำ และบอลลูน ไฮไลท์ของตุรเคีย และน่าจะเป็น dream destination ของใครหลายๆ คน รวมถึงเราด้วย
Pamukkale ปราสาทปุยฝ้าย ธารน้ำแร่ใต้ดินที่ไหลรวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนสีขาวโพลน มรดกโลกอันโด่งดัง
Istanbul ไม่ใช่เมืองหลวงนะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด แต่เป็นเมืองที่สำคัญมากในตุรเคีย เพราะเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรวรรดิละติน และจักรวรรดิออตโตมัน หรือที่รู้จักในชื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลที่เคยเรียนสมัยมัธยม ในยุคกลางเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด และร่ำรวยที่สุดในยุโรปด้วยนะ แค่นี้ก็ขนลุกแล้ว และเมืองนี้นั่นเอง ที่ได้ชื่อว่า มหานครสองทวีป ทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ทั้งทวีปเอเชีย และยุโรป
การเดินทางในประเทศระหว่าง 3 เมืองนี้ เรามีทั้งบินในประเทศ และรถบัสค่ะ เพราะอะไรจะบอกในรายละเอียดของแต่ละที่อีกทีน้า
จอร์เจีย
ประเทศนี้ถ้าจะไปทุกแห่ง ต้องขับรถค่ะ การเดินทางที่สะดวกในแต่ละเมือง คือ Road Trip และต้องขับรถขึ้นเขาจ้า ถ้าจะให้ชิวๆ ไม่รีบ ก็ต้องใช้เวลาสัก 2 สัปดาห์ในจอร์เจีย ถ้าไม่อยู่นานขนาดนั้น ก็ตามเราได้เลย คือ เมืองหลวง Tbilisi และขับรถไป Mtskheta, Gudauri, Kazbegi (ที่วงไว้) แค่นั้นพอ
สรุปแพลนเที่ยวของเรา 13 วัน ตามนี้เลย
Day 1 : เดินทางออกจากประเทศไทย
Day 2 - 4 : Cappadocia, Turkiye
Day 5 : Pamukkale, Turkiye
Day 6 - 8 : Istanbul, Turkiye
Day 9 - 10 : Kazbegi, Georgia
Day 11 - 12 : Tbilisi, Georgia
Day 13 : เดินทางถึงประเทศไทย
การแลกเงิน
ให้แลกเงินไทยเป็นยูโร หรือ ดอลลาร์สหรัฐ ไปนะคะ แล้วไปแลกเงินตุรเคีย จอร์เจีย ที่ประเทศนั้นๆ อีกที แนะนำว่า ค่อยๆ แลกทีละ 100 ยูโร หรือ 100 ดอลลาร์ก็พอ ซึ่งสถานที่แลกเงิน คือ ในเมืองเลยค่ะ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว ร้านแลกเงินเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้แลกนะ มีเยอะกว่า 7-11 บ้านเราอีก เรทดีกว่าสนามบินเยอะมากจ้า
ตุรเคีย ใช้สกุล ลีรา (try) เราได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ลีรา = 2.0x บาท ปัดเป็น 2 บาทแล้วกัน
จอร์เจีย ใช้สกุล ลารี (gel) เราได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ลารี = 11.xx บาท ปัดเป็น 12 บาทแล้วกันค่าา
พร้อมแล้ว ก็ไปเที่ยวกันเถอะ Let's go
Day 1 : BKK
ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปลง Istanbul กันเลย
Day 2 : Istanbul - Cappadocia
มาถึงสนามบินที่ Istanbul แล้ว แพลนของเรา คือ จะไปเที่ยว Cappadocia เลยค่ะ ยังไม่เข้าเมือง Istanbul นะ ดังนั้น การจะไป Cappadocia ที่สะดวกที่สุด คือ เครื่องบินจ้า 1 ชั่วโมง 20 นาที ก็ถึงแล้ว เราเลยซื้อตั๋วเครื่องบินในประเทศต่อไว้ ซึ่งต้องดูดีๆ นะ เพราะ
สนามบินที่ Istanbul มี 2 สนามบิน นั่นคือ IST และ SAW สายการบินส่วนใหญ่ถ้าบินจากไทย จะลงที่ IST ค่ะ แล้วถ้าจะซื้อตั๋วต่อเลย ก็ให้เลือกเริ่มต้นที่ IST เท่านั้นนะคะ เพราะ 2 สนามบินนี้ ไกลกันมาก อารมณ์ดอนเมือง สุวรรณภูมิ เปลี่ยนสนามบินไม่ทันแน่ๆ ส่วนสนามบินปลายทางจะไป Cappadocia ให้เลือกสนามบิน ASR ไปลงที่เมือง Kayseri จ้า
ด้วยความที่เราซื้อ Turkish Airlines เหมือนกัน จึงสามารถแจ้งที่สุวรรณภูมิให้ Check Through กระเป๋าไปรับที่ ASR ทีเดียวได้ ตอนเครื่องลงที่ Istanbul ก็เดินตัวปลิวไปที่ Domestic Transfer ได้เลยค่ะ ทำการผ่าน immigration ตรงจุด Domestic Transfer ซึ่งคนจะไม่เยอะเท่าการเข้าเมือง แต่ด้วยความที่สนามบิน IST ใหญ่มาก เดินไกลมากนะ เผื่อเวลาต่อเครื่องไว้ก็ดี ควรมีอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป เผื่อเครื่องที่ออกจากสุวรรณภูมิ delay แล้วจะตกเครื่องนะจ๊ะ
อ้อ น้ำหนักกระเป๋าบินระหว่างประเทศ ได้ 30 กก. แต่บินในประเทศได้ 15 กก. เราเลยโหลดแค่ 15 กก. ตั้งแต่สุวรรณภูมิเลย ที่เหลือใส่กระเป๋าขึ้นเครื่อง ได้ 8 กก. กระเป๋าขึ้นเครื่องเราเป็นแบบกระเป๋าสะพายใบใหญ่ พับได้ ไม่มีล้อ แนวๆ กระเป๋า Longchamp รุ่นที่พับได้ เพราะใช้ขานี้ขาเดียว พอไม่ใช้แล้วก็พับเก็บ ไม่เกะกะวุ่นวาย สะดวกกับการเดินทางย้ายเมือง แนะนำเลยค่ะ
มาถึงสนามบินเมือง Kayseri แล้ว จะไป Cappadocia ยังไง
เมือง Kayseri ที่ตั้งสนามบิน ASR ยังไม่ใช่ Cappadocia นะ เราต้องต่อรถไปยังศูนย์กลางของ Cappadocia นั่นคือ เมือง Goreme ซึ่งห่างจาก Kayseri ประมาณ 1 ชั่วโมง การเดินทางง่ายมากค่ะ จอง Airport Transfer ไว้ล่วงหน้า จะมีทั้งแบบ Private และแบบ Share ติดต่อโรงแรมหาให้ก็ได้ หรือ search หาเองค่ะ เรา search หาเอง ได้แบบ Share มา 7 ยูโรต่อคน (ราคาท้องตลาด 10 ยูโร)
จอง Airport Transfer >> WhatsApp +905375949650
แต่เครื่องที่ออกจาก IST มา ASR ดีเลย์ไป 30 นาที พอมาถึง รอกระเป๋าจนหมดสายพาน กระเป๋าเราไม่มา ตอนนั้นคือตกใจ สิ่งที่กังวลที่สุด ก็คือกระเป๋าแหละ ถ้าไม่มานี่วุ่นวายเลย โชคดีมีคนยืนรอแบบเราอยู่ 5 ครอบครัว ใจชื้นขึ้นหน่อย แล้วพนักงานเดินมาขอดูตั๋ว แล้วก็พาเดินไปที่ห้อง Baggage Claim อ้อ กระเป๋าของกลุ่ม Check Through ไปตั้งรออยู่ในห้องนั่นเอง ทำให้ delay จากเวลาเดิมไป 1 ชั่วโมง รถที่เราจองไว้ไม่รอแล้วจ้า เพราะคนออกกันหมดสนามบินแล้ว ดีนะที่จองแบบจ่ายเงินสดให้คนขับเลย เลยไม่เสียตังค์ฟรี ^^ แต่แล้วจะไปไงล่ะ
วิธีไปเมือง Goreme จากสนามบิน ASR ด้วยรถสาธารณะ
ด้วยความที่รถที่จองไว้จากเราไปแล้ว ก็เดินทางได้ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ เรารู้ว่ามีรถบัสสาธารณะ แต่ไม่รู้รอบเวลาอะไรเลย เลยตัดความยุ่งยากด้วยการจอง Airport Transfer แต่ ณ จุดนี้ ต้องหาแล้วล่ะ เราเห็นรถบัสจอดอยู่หน้าทางออกนั่นแหละ ยังไม่ต้องถามอะไร คนขับก็ถามเราก่อนเลยว่า "ไป Cappadocia ใช่มั้ย ขึ้นเลยๆ บนรถไป Cappadocia กันหมด" โอเคขึ้น รถคันนี้จะไปส่งที่ Kayseri Bus Station นะคะ ราคาคนละ 22 ลีรา แต่เรายังไม่มีเงินลีรา เพราะจองรถไว้เป็นยูโรไง เลยจะไปแลกลีราในเมือง ... แต่ไม่ต้องห่วงจ้า คนขับรถคิดอัตราแลกเปลี่ยน แลกเงินให้เราเสร็จสรรพ (เรทดีกว่าในเมืองอีก)
พอไปถึง Kayseri Bus Station ก็เปลี่ยนรถอีกคันค่ะ รถจอดรออยู่แล้ว ราคาคนละ 60 ลีรา ไปส่งที่ Goreme Otobüs คือ สถานีรถบัสเมือง Goreme ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองนั่นเอง เราก็ลากกระเป๋าเดินไปโรงแรมได้เลยจ้า สะดวกมาก
ด้วยความที่เมือง Goreme เล็กมากๆ เอาเป็นว่าเดินถึงกันหมด ไม่จำเป็นต้องขับรถนะคะ เพราะจะหาที่จอดยาก และซอยแต่ละซอยก็แคบมากจ้า
วันนี้ไม่มีอะไร มาถึงเราก็ชิวๆ แลกเงิน (จุดแลกเงินจะมีตรง Goreme Otobüs ทุกร้านราคาเรทเท่ากันหมด) ซื้อซิม หาอะไรกิน และเดินเล่นในเมือง Goreme ก่อน เพราะวันเดินทาง เรามักจะทำโปรแกรมไว้หลวมๆ เพราะถ้าสถานการณ์จริงไม่เป็นไปตามแพลน ก็ไม่กระทบอะไร
ตอนเย็นไป Sunset Point เพื่อดูวิว panorama ค่ะ ค่าเข้าคนละ 5 ลีรา เราจะเห็นปล่องไฟนางฟ้าแบบนี้ สวยมาก เข้าใจแล้วทำไมเรียกว่า เมืองแห่งเทพนิยาย แต่เราไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ตกนะ เพราะฝนกำลังจะตกแทน 55 ไม่เป็นไร วิวสวยมาก ชดเชยได้
Day 3 : Cappadocia
เช้าวันนี้เราตื่นตี 3 ค่ะ อ่านไม่ผิด ตี 3 จริงๆ เพราะเราได้รับข้อความคอนเฟิร์มจากทัวร์บอลลูนที่ซื้อไว้ ตอนเย็นเมื่อวาน ว่าบอลลูนขึ้นได้จ้า จะมีรถมารับเราที่โรงแรมตอนตี 4 (ขึ้นอยู่กับฤดูนะคะ เข้าฤดูร้อน ตี 5 พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว เลยนัดตี 4)
Hot Air Balloon
การซื้อทัวร์บอลลูน แนะนำให้ซื้อล่วงหน้าถ้าไป High Season เพราะมีสิทธิ์เต็มสูงมาก การซื้อมีหลายวิธี
- ซื้อกับโรงแรมที่จองไว้ เขาจะเสนอราคามาให้เลย
- search หาเอง มีเยอะมากมายใน google แค่ search ว่า "hot air balloon Cappadocia"
- เดินหาในเมือง Goreme
ทัวร์บอลลูนที่นิยม จะมี 2 ขนาด คือ Standard จำนวน 20 - 28 คน (ราคาประมาณ 160 ยูโรต่อคน) ซึ่งจะถูกกว่าแบบ Comfort (ราคาประมาณ 180 ยูโรต่อคน) จำนวน 12 - 16 คน
นี่คือหน้าตาบอลลูนแบบ Standard เป็นบอลลูนใหญ่ค่ะ มี 8 ตะกร้า ตะกร้านึงก็ 3 - 4 คน ถ้าได้ตะกร้ามุม ก็โชคดี แต่ถ้าแบบ Comfort จะเป็นบอลลูนเล็กกว่า เหลือ 4 ตะกร้า ตะกร้านึงก็ 3 - 4 คนเท่ากัน แต่จะได้ตะกร้ามุมทุกคน
เราเลยซื้อแบบ Standard ด้วยความขยัน search หาเอง ทำให้ได้ทัวร์บอลลูนที่ราคาถูกที่สุดในท้องตลาดเลย เป็นของ Sultan Balloons 135 ยูโรต่อคน รวมประกันทุกอย่าง save budget ไปได้อีก ^^
ทางเข้าไปซื้อทัวร์บอลลูน >> https://www.privatetour.com/tu...
ณ เวลาตี 4 เรามานั่งรอที่ lobby รถตู้ก็มารับ มีอาหารรองท้องให้ทาน พวกขนมปัง ผลไม้ น้ำ และแล้วเวลาตี 5 บอลลูนก็ได้ลอยขึ้นฟ้าละค่ะ เราจะได้เห็นตั้งแต่แรกเริ่มเลยนะ เขาจะจุดก๊าซเข้าไปในบอลลูน แล้วเรียกเราขึ้นตะกร้า ตอนขึ้นบอลลูนแนะนำให้ใส่กางเกงนะคะ เพราะเราต้องปีนเข้าตะกร้า
โอ๊ย ดีใจมาก เพราะไม่ใช่แค่มีเงินจะขึ้นบอลลูนได้นะ จะต้องดูลม ถ้าลมแรง ฝนตก บอลลูนจะขึ้นไม่ได้ ก็จะได้เงินคืน หรือ เลื่อนไปอีกวันแทน ดังนั้น จะไป Cappadocia ต้องเผื่อเวลาไว้ 3 วัน 2 คืนค่ะ ถ้าเช้าวันที่ 2 ขึ้นไม่ได้ จะได้เหลือเช้าวันที่ 3 อีกวัน และที่สำคัญ ต้องพกดวงมาด้วยนะ
ตอนบอลลูนขึ้น เหมือนขึ้นลิฟท์ ลอยขึ้นตรงๆ ไม่น่ากลัวเลยค่ะ อยากให้ทุกคนที่ไปได้ไปขึ้นนะ ไม่ต้องกลัว เพราะมันคือ The Must จริงๆ วิวบนนั้นก็สวยมาก เราจะลอยละล่องไปเรื่อยๆ 1 ชั่วโมง เห็นปล่องไฟนางฟ้าที่สวยงาม เห็นบอลลูนเต็มไปหมด บรรยากาศแบบนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว
และเราโชคดีได้ตะกร้ามุมค่ะ ก็จะได้รูป private แบบนี้ ^^
สวยแบบลืมหายใจเลย พอครบ 1 ชั่วโมง บอลลูนก็จะลงมา กัปตันจะเทแชมเปญ (ไม่มีแอลกอฮอล์) ฉลองให้ทุกคนค่ะ พร้อมแจก Certificate ด้วยนะ
หลังจากนั้น รถตู้ก็จะกลับไปส่งเราที่โรงแรม ถึงโรงแรม 7 โมงนิดๆ เอง อาหารเช้าเวลา 8.30 - 10.30 ยังมีเวลาเหลือเฟือ นอนต่อได้
Day Trip in Cappadocia
กิจกรรมกลางวันของ Cappadocia คือ การทัวร์ Cappadocia นั่นเอง ไม่ได้อยู่แค่ในเมือง Goreme นะ จะออกไปเที่ยวรอบๆ ด้วย วิธีจอง Day Trip มี 3 วิธีแบบบอลลูนเลยค่ะ รถตู้ก็จะมารับส่งที่โรงแรมเหมือนกัน ถึงบอกว่า ไม่ต้องเช่ารถเลย แต่ถ้าใครอยากเช่ารถขับเที่ยวเองก็ได้เหมือนกันนะ
ทัวร์ที่นิยมกัน คือ Red Tour และ Green Tour ค่ะ แต่เราไม่ได้ซื้อทั้งคู่ 55
Goreme Open Air Museum
วันนี้เราจะไป Goreme Open Air Museum (อยู่ใน Red Tour) ค่าเข้า คนละ 125 ลีรา สามารถไปเองได้ โดยการเดินไปจากโรงแรม ใช้เวลา 20 นาทีก็ถึงแล้ว ไม่ต้องกลัวหลงทาง เดินตาม google map ไป เดินสบายมาก ชาวต่างชาติเดินไปเองกันเต็มเลยจ้า
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยห้องต่างๆ มากมาย แต่เราดูไม่รู้เรื่อง เป็นคนไม่อินกับพิพิธภัณฑ์ หรือพระราชวังทุกชนิด แต่ที่นี่เป็น Outdoor ไง มุมถ่ายรูปเยอะ ถ่ายรูปอย่างเดียว ^^
Sunset Tour in Cappadocia
นี่เลย กิจกรรมตอนเย็น คือ ซื้อทัวร์ชมพระอาทิตย์ตก ไม่ว่าจะเป็น ขี่อูฐ ขี่ม้า ขับ ATV เราซื้อทัวร์ขับ ATV ค่ะ เพราะเราเคยขี่อูฐที่โอมาน และขี่ม้าที่รัฐ Utah สหรัฐอเมริกาแล้ว แต่ชีวิตนี้ไม่เคยขับ ATV (ซะงั้น) ATV จะคิดราคาเป็นคัน บาง agent ก็ให้คันนึงนั่งได้ 2 คน บางที่ก็ให้คนเดียวเท่านั้น เราเลือกแบบนั่งได้ 2 คน เพราะไม่มั่นใจการขับ ATV ของตัวเอง การจองก็เหมือนบอลลูนเลย มี 3 วิธี เรา search หาเองค่ะ ได้มาถูกเป็นพิเศษอีกแล้ว ราคาปกติ 30 ยูโร (นั่งได้ 2 คน) ตอนจองได้โปรโมชั่น เหลือ 20 ยูโร และจองผ่านแอพได้ลด 10% อีก เหลือ 18.9 ยูโร (นั่งได้ 2 คน) ถูกเวอร์ๆ
ทางเข้าไปซื้อทัวร์ ATV >> https://www.viator.com/tours/G...
เวลา 17.00 รถตู้ก็มารับเราที่ lobby โรงแรม พาไปขับ ATV ไปกันเป็นคาราวาน ATV เลย แต่ละกลุ่มย่อยก็จะมี Staff ดูแล จริงๆ คือ มันง่ายมากนะ แต่ที่บังคับมันหนักอ่ะ Staff บอกว่า จุดที่รถเยอะ ให้แฟนเราขับ ให้เราขับจุดง่ายๆ พอ ดีละ ไม่ซื้อแบบนั่งคนละคัน เพราะมีหลายคันเลยที่เป็นผู้หญิงขับคนเดียว Staff ต้องมาช่วยขับ
เส้นทางของการขับ ATV คือ Love Valley, Red Vally, Rose Valley และ Cavusin Old Villages ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในเส้นทาง Red Tour ค่ะ นี่คือ สาเหตุที่เราไม่ได้ซื้อ Red Tour เพราะมันซ้ำซ้อนกันนั่นเอง
รถตู้กลับไปส่งที่โรงแรม ประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ ค่ะ หิวมาก เราบอกคนขับว่า ไม่ต้องไปส่งเราที่โรงแรมนะ ขี้เกียจเดินมาร้านอาหารอีก ให้จอดให้เราหน้าร้านอาหารเลย
Day 4 : Cappadocia
กิจกรรมยามเช้าอีกวัน ถ้าเมื่อวานนี้ได้ขึ้นบอลลูนไปแล้ว นั่นคือ การถ่ายรูปกับบอลลูนนั่นเอง ก็จะมี ทัวร์ถ่ายรูปบอลลูนกับรถคลาสสิค ทัวร์ขี่ม้า ทัวร์ขี่อูฐ เราเลือกที่จะถ่ายรูปบอลลูนที่โรงแรมค่ะ แหม พักโรงแรมถ้ำทั้งที จะออกไปถ่ายรูปข้างนอกทำไม
เรารู้แล้วว่า บอลลูนจะขึ้น ตี 5 จนถึง 6 โมงเช้า เราเลยตื่นตี 4 นิดๆ ค่ะ มาแต่งตัวพร้อมจะถ่ายรูปกับบอลลูนหน้าห้อง พอเปิดประตูห้องออกไป ตี 5 นิดๆ โอ้โห บอลลูนลอยเต็มหน้าโรงแรมเลย มันฟินมาก โรงแรมนี้ดีตรงที่ทุกห้องจะมีระเบียง สามารถดูบอลลูนหน้าห้องได้เลย ไม่ต้องไปแย่งกันตรงดาดฟ้า ดังนั้น พื้นที่ดาดฟ้าที่เป็นจุดถ่ายรูป เลยไม่มีคนเลยจ้า เราถ่ายกัน 2 คน ไม่ต้องเข้าคิว ไม่ต้องเกรงใจใคร ดีเริ่ด
รูปเดี่ยวแล้ว ก็ขอรูปคู่บ้าง อุปกรณ์ประจำตัวของเรา คือ ขาตั้งกล้องค่ะ กะเวลาบอลลูนลอยมา รีบกด 10 วินาที โอ๊ย สวย
พร็อพที่เห็น เราจัดกันเองนะ 55 พรมที่เก้าอี้ เอาออกไปจากห้อง ส่วนหมอนมีวางกองๆ ไว้ตรงดาดฟ้า ก็เอามาจัดค่ะ ถ่ายไปรัวๆ 1 ชั่วโมงเต็มอิ่มมาก เปลี่ยนมุมจากดาดฟ้า มาหน้าห้อง กลับไปดาดฟ้าใหม่ สวยจริงๆ
มาดูโรงแรมถ้ำที่เราพักกันบ้าง เป็นถ้ำจริงๆ แล้วเจาะเข้าไปค่ะ คือ มันแปลก มันสวย มันดีไปหมด ใครไป Cappadocia แนะนำว่าต้องนอนนะ จะได้ฟีลจริงๆ เราพักที่ Elite Cave Suites ได้มาคืนละ 40 ยูโร (จองผ่าน Booking) คุ้มมาก สวยขนาดนี้ อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์นะคะ อาจจะไม่ถูกปากเท่าไร แต่อิ่มมาก เอ๊ะ งง 55
วันนี้ ตอนแรกตั้งใจจะซื้อ Day Trip แบบ Green Tour นะ แต่มันมี hiking ด้วย เหนื่อยเกินไป เราอยากเที่ยวชิวๆ แต่ก็อยากไป Underground City ที่อยู่ใน Green Tour อ่ะ เลยหาข้อมูลมาแล้ว ไปเองได้นะ เลยไปเองซะเลย แต่ที่นี่เดินไปแบบเมื่อวานไม่ได้แล้วนะ ต้องนั่งรถสาธารณะไป เราก็ check out ฝากกระเป๋าไว้ แล้วเริ่มออกเที่ยวกันเลย
Kaymakli Underground City
Underground City จะมี 2 แห่ง คือ Kaymakli และ Derinkuyu เราเลือกไป Kaymakli ค่ะ เพราะถึงก่อน และทัวร์นิยมไป Derinkuyu ทำให้คนที่ Derinkuyu มากกว่า
ปล. ไม่ต้องแปลกใจนะ ทำไมเราใส่ชุดที่ไปขับ ATV เพราะตอนแรกเตรียมชุดขับ ATV เป็นขาสั้นค่ะ แต่แดดแรงมาก เลยเอาชุดวันนี้ไปใส่ก่อน ^^
เริ่มต้นการเดินทาง เดินไปที่ Goreme Otobüs นั่งรถเมล์ที่เขียนว่าไป Nevsehir คนละ 10 ลีรา บนรถชาวต่างชาติเพียบ นิยมเที่ยวเองเหมือนกัน (ใครอยากไป Uchisar ที่อยู่ใน Red Tour ก็ไปเองได้เช่นกันค่ะ ขึ้นรถตรงนี้แหละ)
บอกกระเป๋ารถเมล์ว่าจะไป Underground City ค่ะ พอถึงจุดลงรถ เค้าจะบอกเรา พอลงรถก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม (ที่มีตัว D แปะที่เสา คนยืนรอกันเยอะๆ) รอขึ้นรถเมล์คันถัดไป ที่มีป้ายไป Underground City หรือ Kaymakli ไปได้หมด ไม่แน่ใจก็ถามคนขับรถก่อนขึ้นอีกที
ค่ารถที่ไป Kaymakli คนละ 14 ลีรา บอกคนขับค่ะว่าจะไป Kaymakli Underground City พอถึง เขาก็บอกเรา ลงรถปุ๊บ เดินข้ามถนน ก็จะเห็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารค่ะ เดินตรงเข้าไปเลย ก็จะเจอ Kaymakli Underground City แล้ว
เข้าไปซื้อตั๋ว คนละ 75 ลีรา ในนี้เย็นสบาย เดินๆ มุดๆ แฟนเรา คือ สนุกมาก เหมือนเล่นของเล่น บางจุดก็แคบมาก เตี้ยมาก ไม่เหมาะกับคนกลัวที่แคบค่ะ
ขากลับ นั่งรถเมล์ที่จอดรอตรงร้านอาหารได้เลย บอกคนขับว่า ไป Goreme เขาก็จะให้ลงจุดเดิม แล้วก็ข้ามถนนไปที่เสาตัว D ที่เดิม รอรถที่มีป้ายไป Goreme ค่ะ ง่ายมาก แต่เราเหลือเวลาเยอะแยะ พอลงรถเมล์ เลยเดินเล่นชมเมือง Nevsehir ก่อน เจอร้านผลไม้ ถูกมาก จัดไปทั้งสตรอเบอรี่ และเชอรี่ แล้วค่อยขึ้นรถต่อไป Goreme (ตลอดเวลาที่อยู่ Istanbul เราจะเจอร้านแบบนี้เยอะมาก ซื้อทานทุกวันเลย)
การเดินทางจาก Goreme ไป Pamukkale
มี 2 วิธี คือ
- นั่งรถบัสจาก Goreme Otobüs ตรงไปเมือง Pamukkale ได้เลย วิธีนี้สะดวก แต่ใช้เวลานาน แนะนำให้นั่ง Overnight Bus
- นั่งเครื่องบิน เร็ว แต่ไม่สะดวก เพราะจะต้องนั่ง Airport Transfer กลับไปยังสนามบิน ASR เมือง Kayseri ก่อน แล้วบินไปสนามบิน DNZ เมือง Denizli แล้วนั่ง Taxi มาที่เมือง Pamukkale อีกที (ไม่มีรถสาธารณะ) หรือเช่ารถขับมา ห่างจาก Pamukkale 1 ชั่วโมง
เราเลยซื้อตั๋วรถ Overnight Bus ไปเมือง Pamukkale ซึ่งสามารถซื้อตั๋วที่ Goreme Otobüs ได้เลยค่ะ มีหลายบริษัทให้เลือก หรือจองในเว็บไซต์ Obilet มาก่อนก็ได้ ราคาเท่ากัน แต่ในเว็บเป็นภาษาตุรเคียนะคะ ใช้ google translate แปลเอานะ
ถ้าไม่ได้นอนค้างที่เมือง Denizli แนะนำให้นั่งรถของบริษัท Nevsehir รอบ 20.15 ราคาคนละ 280 ลีรา จะเปลี่ยนเป็นรถเล็ก (ฟรี) ตรงไปยังเมือง Pamukkale เลย แต่รถบริษัทอื่นจะไปลงที่ Denizli Otobüs แล้วต้องต่อรถมินิบัสเข้าเมือง Pamukkale ค่ะ แต่ก็ไม่ไกล ห่างกันแค่ 20 นาที
Day 5 : Pamukkale
6.00 เราก็ถึงเมือง Pamukkale แล้ว รถจะมาจอดที่บริษัท Nevsehir เราไม่ได้จองโรงแรม เพราะจะเดินทางต่อเย็นนี้เลย ก็สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้า แปรงฟัน ล้างหน้าได้ ส่วนกระเป๋าเดินทาง จะเก็บที่ไหน แนะนำว่า ให้มาซื้อตั๋วรถที่จะไป Istanbul ที่เมือง Pamukkale ค่ะ มีหลายบริษัทเช่นกัน เดินหาได้ ถูกใจเวลาไหน ซื้อตั๋ว และขอฝากกระเป๋าได้เลย ที่บริษัท Nevsehir ก็มีขายนะ แต่เราไม่รู้ว่าที่เมือง Pamukkale มีขายตั๋วด้วย เพราะเป็นเมืองเล็กมากๆ เลยซื้อตั๋วมาล่วงหน้าแล้ว ซึ่งคนขับรถเล็ก ของบริษัท Nevsehir ก็ใจดี ให้เราฝากกระเป๋าฟรี ^^
ปล. เมือง Pamukkale ไม่มีร้านแลกเงินนะ ให้แลกเผื่อค่าตั๋ว ค่ารถบัส และค่ากิน ตั้งแต่เมือง Goreme เลยค่ะ
ทางเข้า Pamukkale จะมี 3 ประตูด้วยกัน
- City Gate ประตูจากหมู่บ้าน ในเมือง Pamukkale สำหรับคนที่พักที่เมือง Pamukkale หรือนั่งรถมาลงในเมือง Pamukkale แบบเรา เข้าไปจะเจอปราสาทปุยฝ้ายอันโด่งดังเลย (จุด A)
- South Gate ประตูนี้สำหรับคนขับรถส่วนตัว และทัวร์ เข้าไปจะเจอ Theater (จุด B)
- North Gate ประตูนี้สำหรับคนนั่งรถบัสมา เข้าไปจะเป็นเมือง Hierapolis (จุด C)
แต่ไม่ว่าเข้าประตูไหน สุดท้าย เราก็เดินเที่ยวทุกจุดอยู่ดี เพราะค่าตั๋ว รวมทั้ง Pamukkale และ Hierapolis ไว้แล้วค่ะ ^^
หลังจากเสร็จธุระส่วนตัว เราก็เดินไปทานอาหารเช้า ซึ่งร้านเปิดค่อนข้างสายค่ะ มีไม่กี่ร้านที่เปิด แล้วเราก็เข้า Pamukkale หรือ ปราสาทปุยฝ้ายอันโด่งดัง ตอน 8.00 ซึ่งเป็นเวลาเปิดพอดี คนละ 150 ลีรา แนะนำให้มาแต่เช้า หรือ ถ้าเข้ามาช่วงบ่าย ก็ต้องอยู่จนเย็นไปเลย เพราะตอนกลางวันคนเยอะมหาศาล ไม่ได้รูปสวยๆ แน่นอน
พยากรณ์อากาศวันนี้ ตอนแรกบอกว่าฝนจะตก โอ๊ย ลุ้นมาก อย่าตกเลยนะ อุตส่าห์นั่งรถมาเกือบ 10 ชั่วโมง แล้วคืนนี้นั่งรถต่อไป Istanbul อีก และแล้วฟ้าฝนก็เป็นใจค่ะ เลื่อนไปตกตอนเย็น ค่อยยังชั่ว
การเดินชมปราสาทปุยฝ้าย จะต้องเดินตามทางแบบในรูปด้านบน ที่มีคนเดินเป็นแถว ห้ามใส่รองเท้านะ ต้องถอดรองเท้าถือไว้ เพราะเขากลัวว่าจะไปทำลายธรรมชาตินั่นเอง
สำคัญเลย อย่าลืมเตรียมชุดว่ายน้ำมาใส่ด้วยนะคะ โดยต้องใส่ไว้ด้านในเลย จุดนี้ไม่มีห้องน้ำ
เราอยู่ตรงนี้น่าจะ 2 ชั่วโมงอ่ะ มันฟินมาก มาตั้งแต่เปิด คนน้อยจริงๆ หลังจากเต็มอิ่มกับปราสาทปุยฝ้ายแล้ว เราก็เดินไปเมือง Hierapolis ซึ่งเป็นเมืองกรีกโบราณ ประมาณ 2,000 กว่าปีก่อนคริสตกาล ยิ่งใหญ่ อลังการ และขลังมาก
โชคดีที่วันนี้ฝนจะตก เมฆเลยเยอะ ช่วยบังแดดได้บ้าง เพราะ Pamukkale และ Hierapolis ไม่มีตึก ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย ใครไม่ชอบร้อนๆ จะไม่เดินไป Hierapolis ก็ได้นะ แต่ค่าตั๋วก็รวมไปแล้ว เดินไปดูความยิ่งใหญ่ของกรีกโบราณเถอะ สวยอลังการจริงๆ
เมื่อซื้อตั๋วเข้ามาในนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวหิวจ้า อยู่ได้ทั้งวัน เพราะมีร้านอาหารขายเพียบ แต่ราคาจะสูงหน่อย มีที่นั่งเยอะแยะเลยค่ะ อารมณ์ Food Court ให้นั่งพักผ่อน หรือเดินเหนื่อยๆ ก็มานั่งพักได้ แต่กลิ่นบุหรี่ก็เยอะมากนะ ใส่แมสก์ไปค่ะ จุดนี้จะอยู่ตรง Cleopatra Antique Pool (Thermal Pool) อยู่ระหว่าง Pamukkale และ Theatre ซึ่งสระนี้ ถ้าหากจะลงเล่นน้ำ ต้องซื้อตั๋วเพิ่มต่างหากตั้งแต่ทางเข้าค่ะ
เราตั้งใจจะนั่งพัก รอแสงเย็นที่ปราสาทปุยฝ้าย เพราะเราต้องเดินกลับออกไปทาง City Gate อยู่แล้ว แต่พยากรณ์ว่าฝนตกตอนเย็น เราเลยไม่รอแสงเย็นละ ตอนนั้นเพิ่งบ่าย 3 เดินกลับ ผ่านปราสาทปุยฝ้าย คนเยอะมากจริงๆ เป็นไปได้ยากมากที่จะถ่ายรูปแล้วไม่ติดคน เราก็เดินออกประตู ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วไปเมือง Denizli เลยดีกว่า
การเดินทางจากเมือง Pamukkale ไป Denizli Otobüs ง่ายมากค่ะ ไปยืนรอรถมินิบัสที่หน้าร้าน Holiday Restaurant จะมีรถมาจอด พาไป Denizli Otobüs เลย (ซึ่งก็คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารประจำจังหวัด รถบัสจะไปเมืองต่างๆ ต้องจอดที่นี่) ค่ารถคนละ 9 ลีรา นี่เลยเป็นเหตุผลที่เรานั่ง Overnight Bus ไป Istanbul ต่อ เพราะมันสะดวกกว่าการนั่งเครื่องบินมากจริงๆ
เมื่อไปถึง Denizli Otobüs ที่นี่ใหญ่มาก ใหญ่พอๆ กับสนามบินต่างจังหวัดเลย มีแอร์ มีที่นั่งรอ มีร้านอาหาร สะดวกสบายมาก
เราจองรถบริษัท Metro ไว้ รอบ 22.00 (เลือกไปลงที่ Esenler Otogari ใน Istanbul นะคะ) ราคาคนละ 370 ลีรา ซึ่งเหลือเวลาอีกเยอะมาก เราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ เอาตั๋วให้พนักงานขายตั๋วดู แล้วขอฝากกระเป๋าไว้ได้ค่ะ จากนั้นเราก็เดินเล่นในเมือง Denizli แลกเงินเพิ่ม ทานอาหารเย็นในเมือง แล้วค่อยกลับมาที่ Otobüs เพื่อนั่งรอรถที่จะไป Istanbul ซึ่งตอนที่เรากำลังทานมื้อเย็น ฝนก็ตกจริงๆ ด้วยล่ะ พยากรณ์แม่นมาก
Day 6 - 8 : Istanbul
เวลา 8.00 รถบัสก็มาถึงเมือง Istanbul ซึ่งตอนซื้อตั๋วให้เลือกจุดลง คือ Esenler Otogari ไม่ต้องกลัวว่าจะลงผิดนะ เพราะเป็นสถานีสุดท้ายเลย คนลงหมดรถเมื่อไร ก็นั่นแหละ ลงตามเลยจ้า (จะอยู่ติดกับ Metro สาย M1 สถานี Otogar ดังนั้น เดินทางต่อสะดวกมากค่ะ)
เราจะเดินทางไปโรงแรม และเที่ยวสถานที่ต่างๆ ตลอด 3 วันนี้ ด้วยรถสาธารณะ ซึ่งโปรแกรมเที่ยวของเราที่ Istanbul เป็นสายชิว แพลนหลวมมาก ออกจากโรงแรม 10 โมง 11 โมง นอนเต็มอิ่ม ไม่เหนื่อย เน้นเดินเล่น ถ่ายรูป กินของอร่อยๆ แต่ไม่เข้า Museum และ Palace นะคะ เราเคยไปมาเยอะทั้งอเมริกา และยุโรป สรุปคือ ไม่อิน ^^ ถ้าตามแพลนของเรา ใครมีเวลาไม่พอ สามารถตัดเหลือ 2 วันได้นะ แต่ถ้าจะเข้าทุกๆ Museum และ Palace ก็ 3 วันค่ะ เพราะต้องเผื่อเวลาต่อแถวเข้าสถานที่ต่างๆ ด้วย
Istanbul ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งด้วยช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) ทำให้ด้านขวา คือ ฝั่งเอเชีย และด้านซ้าย คือ ฝั่งยุโรปค่ะ จึงทำให้ถูกเรียกว่า "ดินแดนสองทวีป" นั่นเอง
ระบบขนส่งสาธารณะที่ Istanbul
การเดินทางที่นี่ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ สะดวกสบายมากๆ เลย เชื่อมถึงกันหมด สนุกด้วย
ทริปนี้เรานั่งทั้ง
- Metro รถไฟใต้ดิน (ราคา 7.67 ลีรา)
- Tram รถราง (ราคา 7.67 ลีรา)
- Marmaray รถไฟที่ลอดทะเลเชื่อมฝั่งยุโรปกับเอเชีย (ราคา 15.xx ลีรา)
- Metro Bus รถเมล์ (ราคา 7.67 ลีรา)
- Ferry เรือข้ามฟาก (ราคา 8.xx ลีรา)
ค่าโดยสารรถแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน แต่ราคาเดียวตลอดสายจ้า จะนั่งใกล้ นั่งไกล ก็ราคาเดียวกัน ดีเนอะ เริ่มต้นจากการซื้อบัตรเติมเงิน Istanbulkart ก่อน ราคา 25 ลีรา บัตรใบเดียวใช้ได้กับระบบสาธารณะทุกประเภท และใช้ได้หลายคนค่ะ เพราะจะสแกนแค่ขาเข้า ไม่สแกนขาออก เพราะราคาเดียวตลอดสายอยู่แล้ว เรามา 2 คนก็ซื้อใบเดียว
จากนั้นก็เติมเงินไปค่ะ ไม่ต้องเติมเยอะทีเดียว ให้ทยอยเติม เพราะถ้าเหลือ ก็คืนไม่ได้นะ การซื้อบัตร และเติมเงิน ทำได้ที่ตู้สีเหลือง หาง่ายมาก มีทุกสถานี Metro, Tram รวมถึงท่าเรือ ยกเว้นป้ายรถเมล์เท่านั้นค่ะที่ไม่มีตู้เหลืองนี้
ส่วนตัวเราชอบรถ Tram นะ เราว่ามันสวยดีอ่ะ มีรถรางกลางเมือง (อยากให้มีในกรุงเทพฯ แต่คงเป็นไปไม่ได้) เรานั่งทุกวันเลย เพราะโรงแรมห่างจาก Tram สถานี Gulhane แค่ 100 เมตร และที่สำคัญรถมาถี่มาก ไม่ต้องรอนานเลย แต่ช่วงเย็น คนเยอะมากนะ เบียดกันเลยแหละ
พักย่านไหนดี
ใน Istanbul ที่นักท่องเที่ยวนิยมพัก คือ
- Taksim เป็นแหล่งช้อปปิ้ง แบบสยามสแควร์ มีรถ Metro สาย M2 ผ่าน
- Sultanahmet มีรถ Tram สาย T1 ผ่าน แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะอยู่ตามเส้นทางของรถ Tram สาย T1 ค่ะ ดังนั้น แนะนำว่าพักย่าน Sultanahmet จะสะดวกมากๆ
ที่พักของเรา คือ Erenler Hotel เป็นแนว Backpacker แต่เราอยู่แบบ private bathroom (อยู่เส้นทาง Tram T1 สถานี Gulhane ถัดจากสถานี Sultanahmet) ซึ่งที่นี่ ไม่ใช่โรงแรมเดิมที่เราจองตั้งแต่อยู่ไทย แต่เราต้องจองใหม่ด่วนๆ ก่อนไป Istanbul แค่ 4 วัน เนื่องจากโรงแรมเดิมถูก Cancel เราเลยเลือกโรงแรมใหม่ที่ใกล้ๆ เดิม เพราะชอบทำเลมาก ห่างจากสถานีแค่ 100 เมตร เดินสบายสุดๆ และการจองใกล้ขนาดนี้ ราคาก็สูงขึ้น ซึ่งเราใช้งบเท่าเดิม เลยได้ห้องที่เล็กลง และไม่มีอาหารเช้า แต่ไม่ซีเรียสจ้า เน้นทำเลมากกว่า เราแนะนำย่านนี้เลยนะคะ โรงแรมใหญ่ๆ หรูๆ ก็มี แต่กระชั้นชิดขนาดนั้น ราคามันไปไกลมากแล้ว
วิธีการเดินทางมาโรงแรม : นั่ง Metro M1 จากสถานี Otogar ไปสถานี Yenikapı จากนั้นนั่ง Marmaray สถานี Yenikapi ไปสถานี Sirkeci Exit 2
เรามาถึงโรงแรม 10 โมงเช้า ตอนนั้นฝนตกพรำๆ ตกๆ หยุดๆ มาทั้งคืน ตั้งแต่เรานั่ง Overnight Bus มาจาก Pamukkale แล้วล่ะ โรงแรมให้ early check-in เลยค่ะ ดี๊ดีย์ จะได้รีบอาบน้ำ 555 เพราะนั่ง Overnight Bus มา 2 คืน ใช้แค่ทิชชูเปียกมาตลอด ตอนนี้เลยได้จัดแจงทำทุกสิ่งอย่าง เดินไปทานมื้อเที่ยงใกล้ๆ รอฝนหยุด และแล้วบ่าย 3 กว่า ฝนก็หยุดสนิท แดดออก ฟ้าแจ่ม ได้ออกเที่ยวละค่ะ
Kadikoy
ย่านนี้ คือ Istanbul ฝั่งเอเชีย ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่รู้จักกันเนี่ย จะอยู่ฝั่งยุโรป ดังนั้น ถ้าใครมีเวลาพอ เราแนะนำให้มาเที่ยวฝั่งเอเชียด้วยนะ เราจะได้เห็นมุมที่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปค่ะ
วิธีการเดินทาง สามารถเดินทางได้ทั้ง 2 แบบ เราเลยเลือกไปกลับไม่เหมือนกัน
ขาไป : นั่ง Tram T1 จากสถานี Gulhane ไปสถานี Eminonu ต่อเรือข้ามฟาก
ขากลับ : นั่ง Marmaray จากสถานี Sogutlucesme ไปสถานี Sirkeci ออก Exit 2 ถึงหน้าโรงแรมพอดี
ใช้เวลาแป๊บเดียว ก็ข้ามมาฝั่งเอเชียแล้ว เราขึ้นเรือประมาณ 16.00 ลมเย็นสบาย กินลมชมวิวริมน้ำได้เลย ร้านอาหารเพียบ
เดินไป Landmark ของ Kadikoy กัน นี่เลย วัวกระทิง แต่ไม่ใช่ Wallstreet ที่นิวยอร์คนะ
จากจุดวัวกระทิง จะเป็นถนนสายแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารเพียบ เดินเล่นสบายๆ มีรถ Tram เล็กๆ ด้วย คล้ายๆ ย่าน Taksim ฝั่งยุโรปเลย
ของโปรดเราค่ะ "หอยข้าว" ไม่รู้เรียกว่าอะไร 55 เป็นหอยแมลงภู่อบพร้อมกับข้าว บีบมะนาวลงไป ตัวละ 3 ลีรา (เดาว่าคนท้องถิ่นน่าจะซื้อได้ถูกกว่านี้ เพราะไม่มีป้ายราคา) เรากิน 3 วันติด ตั้งแต่เมือง Denizli ละ อร่อย ถูกปากมาก
ลองให้หมดจ้า Street Food นี่ก็ข้าวโพดปิ้งเหมือนบ้านเราแหละ รถเข็นตามแหล่งท่องเที่ยวใน Istanbul จะมีความเป็นหลังคาสีแดงแบบนี้ทั้งหมด ดูน่ารัก เป็นระเบียบมาก
พอพระอาทิตย์ตก เราก็ไปบาร์ บอกเลยย่านนี้ บาร์เพียบ และถูกมาก 2 แก้วนี้ ราคา 125 ลีราเอง
Gulhane Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่ อยู่ตรง Tram T1 สถานี Gulhane ก็คือ ตรงโรงแรมเราพอดีค่ะ เดิน 100 กว่าเมตร ก็ถึงสวนแล้ว เตรียมชุดมาวิ่งด้วยนะ นี่เรามาวิ่งเกือบ 9 โมงเช้า อุณหภูมิแค่ 18 องศาเอง
Dolbamache Palace
วิธีการเดินทาง : นั่ง Tram T1 จากสถานี Gulhane ไปสถานี Kabatas เดินต่อไม่กี่เมตร
พระราชวังโดลบามาเช่ อยู่ติดริมทะเลเลยค่ะ ที่นี่ปิดวันจันทร์นะคะทุกคน เราเลยตั้งใจมาวันจันทร์ 55 เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ชอบเข้า museum และ palace ขนาดพระราชวังแวร์ซายล์ เรายังไม่อินเลยจ้า พอมาวันที่ปิด เลยได้ถ่ายรูปแบบประตูปิดสวยๆ แบบนี้
Taksim Square
ย่านนี้ เป็นแหล่งช้อปปิ้งค่ะ เหมือนสยามสแควร์ คนเยอะมาก ถึงมากที่สุด เราชอบสัญลักษณ์ของ Taksim คือ รถ Tram สีแดง
วิธีการเดินทาง : มี 2 แบบ คือ
1. เดินย้อนกลับมาตรงสถานี Kabatas จะมี Funicular เป็นรถไฟฟ้าลอดอุโมงค์ไปสถานี Taksim
2. เดินต่อจาก Dolbamache Palace ไปค่ะ ไม่ไกลมาก แต่เมื่อยมาก เพราะเดินขึ้นเนินตลอด บ้านเมืองแถบนี้เป็นเนิน ต้องเดินชันเกือบตลอดทางเลย
เราเลือกข้อ 2 ค่ะ เพราะมีเวลา เลยคิดว่าเดินเล่นดูบ้านเมืองไปด้วย แต่ๆๆ เราไม่รู้ว่าเดินขึ้นเนินไง ดูระยะทางจาก google map เออ ไม่ไกล มีเวลาเหลือเฟือ เดินได้ 555 ถ้าเลือกใหม่ได้ แนะนำข้อ 1 นะคะ
กิจกรรมของเราที่นี่ ไม่ใช่การช้อปปิ้งแต่อย่างใด แต่เป็นการตามหารถ Tram สีแดง เพราะนานๆ ที จะมาสักคัน และกินไอติมตุรกีที่โด่งดังใน Social เอาจริงๆ คือ ไม่อร่อย และแพงกว่าคุณภาพมาก ลูกเดียวเล็กๆ นี้ 75 ลีรา ถือว่าเป็นค่าถ่ายคลิปชมการแสดงละกัน
เนื้อก้อนใหญ่ๆ แบบนี้ แล้วแล่ออกมาเป็นแผ่นเล็กๆ เอามาม้วนกับแผ่นแป้งเป็นกลมๆ เมืองไทยเรียก เคบับ ที่นั่นเรียกว่า Doner นะ จัดไป
Balat
ย่านนี้ จะดังใน IG นะคะ เพราะบ้านเมืองเป็นสีๆ น่ารัก
วิธีการเดินทาง : นั่งรถเมล์จากป้าย Taksim Tunel (ป้ายรถเมล์นี้ลงไปในอุโมงค์เลยค่ะ) ไปป้าย Fener ซึ่งขึ้นได้หลายสายมากค่ะ search ใน google map ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง
และที่สำคัญไม่ต้องกลัวหลงนะ รถเมล์ที่นี่ มีจอบอกค่ะ ว่าต่อไปป้ายอะไร และป้ายรถเมล์ ก็มีชื่อติดด้วยนะ คือ ง่ายสุดๆ เลย เรานี่ชอบรถเมล์ที่นี่เลยล่ะ
การตามหาบ้านสีๆ จะแอบยากนิดนึง เพราะอยู่ตามตรอกซอกซอย และเป็นเนินอีกแล้วจ้า เดินขึ้นเนินไปค่ะ
เราจะเจอผลไม้แบบนี้ เยอะมากใน Istanbul และราคาถูกมากๆ ด้วย เรากินทุกวันเลย โดยเฉพาะเชอรี่ แต่ในรูปเป็นสตรอเบอรี่นะ ร้านนี้ลูกใหญ่มาก
Bosphorus Cruise
พลาดไม่ได้กับการล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส ชมวิว 2 ข้างทางของ Istanbul ทั้งฝั่งเอเชีย และยุโรป ใช้เวลาล่องเรือ ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มันฟินมากค่ะ
วิธีการเดินทาง : นั่งรถเมล์จากป้าย Fener (ฝั่งตรงข้ามกับขามานะ) มาลงป้าย Eminonu มีหลายสายเช่นเดิมค่ะ search จาก google map ได้เลย
พอลงรถเมล์ปุ๊บ เราจะเห็นตู้ขายตั๋ว และเรือก็จอดอยู่ข้างๆ เลย เรือออกทุกชั่วโมง ราคาคนละ 60 ลีรา เราลงเรือรอบ 17.00 ค่ะ ตอนออกไปกลางทะเล ได้เห็นปลาโลมาด้วย แต่ไวมาก ถ่ายรูปไม่ทัน
ล่องเรือกลับมา ได้เวลาอาหารเย็นพอดี อย่าลืมทาน Balik Ekmek นะ เป็นแซนวิชปลา ร้านจะอยู่ตรงท่าเรือเพียบเลย มีหลายร้าน และเราก็สามารถเดินข้ามสะพานไป Galata ได้ ตอนเย็นๆ จะเห็นคนตกปลาเต็มเลย
Sultanahmet
วันนี้เราจะเที่ยวชม Mosque และเดินซื้อของฝาก เริ่มต้นจาก Suleymaniye Mosque ที่อยู่ห่างโรงแรมที่สุด แล้วเดินเที่ยวย้อนกลับมาเรื่อยๆ จนถึงโรงแรมค่ะ ซึ่งการเที่ยว Mosque ต้องแต่งตัวเรียบร้อย และเตรียมผ้าคลุมผมไปด้วยนะ ถ้าไม่ได้เตรียมไป ทางมัสยิดก็มีให้ยืม แต่ใส่ต่อๆ กัน ซึ่งอาจจะไม่ได้สะอาดมาก แนะนำว่าเตรียมไปเองดีกว่า เราก็เตรียมไปเองค่ะ
วิธีการเดินทาง : นั่ง Tram T1 สถานี Gulhane ไปสถานี Beyazit แล้วเดินต่อ คราวนี้ไม่ใช่เนินแล้ว เป็นทางราบธรรมดา สบายมาก
Grand Bazaar แหล่งของฝากที่ใหญ่มากค่ะ อย่าพลาดที่จะซื้อขนม Turkish Delight กลับ เป็นขนมหวานขึ้นชื่อ ถ้าใครอยากชิม ให้มาที่ Grand Bazaar นะ มีให้ชิมทุกร้านเลย เราเดินชิมจนอิ่มอ่ะ แต่ก็ซื้อกลับนะจ๊ะ ^^ เวลาซื้อ เราแค่แจ้งว่าจะเอากี่กรัม (ไม่ควรต่ำกว่า 500 กรัมขึ้นไปนะคะต่อกล่อง เพราะกล่องค่อนข้างใหญ่) เค้าจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 1 ซม. แล้วคละรส ใส่กล่องสวยๆ จากนั้นก็เอาไปซีลให้ เก็บได้ 6 เดือนจ้า
Obelisk of Theodosius เสาโอเบลิสก์ อนุสาวรีย์เสาหินแห่งอียิปต์โบราณ อายุกว่า 3,500 ปี เคยตั้งอยู่ในมหาวิหารคาร์นัก (Karnak Temple Complex) ที่ประเทศอียิปต์ จนกระทั่งได้นำมาไว้ที่ Hippodrome แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันออก ปัจจุบันก็คือ จตุรัส Sultanahmet นี่เอง
Blue Mosque มัสยิดสีฟ้า Landmark ของ Istanbul ด้านในยังซ่อมแซมอยู่นะคะ
Hagia Sophia มหาวิหารหลวงอายุ 1,400 ปี ซึ่งในอดีตเป็นคริสตสถานของชาวกรีกนิกายออร์โธดอกซ์ ในอาณาจักรโรมันตะวันออก หลังจากที่ถูกกองทัพชาวออตโตมันโจมตี วิหารแห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นมัสยิด จนกระทั่งปี 1935 ที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนอีกครั้งให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เมื่อปี 2020 รัฐบาลตุรกี เปลี่ยนเป็นมัสยิดอีกครั้งหนึ่ง
จากตรงนี้ เราเดินกลับโรงแรมได้เลย ซึ่งเรา Check-out และฝากกระเป๋าไว้ตั้งแต่ช่วงสาย แต่เนื่องด้วยโรงแรมเราเป็นแบบ Backpacker ข้อดี คือ จะมีห้องน้ำแบบ Shared Bathroom ด้วย ซึ่งจะอยู่พื้นที่ส่วนกลาง ไม่ได้อยู่ในห้อง เราเลยกลับไปขอเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปทานมื้อเย็น และไปสนามบิน สบายตัวเลย อิอิ
การเดินทางจาก Sultanahmet ไปสนามบิน IST
ง่ายมากๆ ค่ะ จากโรงแรม เราก็นั่ง Tram T1 สถานี Gulhane ไปสถานี Yusufpasa พอออกจากสถานี ก็เดินข้ามถนนเลย ตามลูกศรที่เราทำไว้ให้ (ไม่ต้องข้ามรางรถรางไปอีกฝั่งนะ)
พอข้ามถนนเสร็จ จากนั้นเดินตาม google map ได้เลย ไม่หลงแน่นอน search คำว่า "Havaist Aksaray" ค่ะ ตอนเราไปถึง มีรถบัสจอดรออยู่แล้ว จ่ายเป็นเงินสด หรือบัตรเครดิต คนละ 52 ลีรา (ใช้บัตร Istanbulkart ไม่ได้นะ) รถจะไปจอดที่สนามบิน IST เลย ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่ให้เผื่อเวลาไว้ด้วยนะคะ บางเวลารถอาจจะติดได้
รอบเวลารถเช็คที่นี่ได้ >> https://www.hava.ist/en/Voyage...
เงินตุรเคียที่เหลือ เราไม่ได้แลกกลับเป็นยูโร หรือดอลลาร์สหรัฐนะคะ แนะนำให้แลกเป็นเงินจอร์เจียที่สนามบิน IST เลยหลังจากเช็คอินเสร็จ พอไปถึงจอร์เจียจะได้ไม่วุ่นวายจ้า
Day 9 - 10 : Kazbegi
ใช้เวลาบินจากตุรเคียมาจอร์เจียแค่ 2 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้นเอง มีอาหาร 1 มื้อบนเครื่องบิน วันนี้เราจะเช่ารถขับไป Kazbegi ค่ะ ซึ่งการเช่า local rental car ราคาถูกกว่าบริษัทเช่ารถที่ดังๆ ในสนามบิน ขั้นตอนง่ายๆ คือ จองรถไว้ล่วงหน้า และจ่ายเป็นเงินสดตอนรับรถที่จอร์เจีย และไม่ต้องใช้บัตรเครดิตการันตีด้วยค่ะ เราสามารถใช้ใบขับขี่เมืองไทยรุ่นใหม่ที่เป็น Smart Card ได้เลย เพราะมีข้อมูลภาษาอังกฤษบนบัตรอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำใบขับขี่สากลนะ อันนี้ชัวร์ เพราะเราก็ใช้ใบขับขี่ไทยจ้า
จองรถ >> https://carsandrooms.ge
การนัดรับรถ คืนรถในเมือง Tbilisi ฟรีค่ะ แต่ถ้ารับและคืนรถที่สนามบิน ต้องจ่ายเพิ่ม 15 ยูโรต่อเที่ยว เราอยากจะเข้าเมืองไปซื้อซิมอยู่แล้ว เลยนัดรับที่โรงแรมที่เราจะกลับมาพักคืนพรุ่งนี้ ตอนคืนรถก็ที่เดียวกัน คนที่มาส่งรถจะได้ไม่งง ^^ ที่สำคัญช้อปซิมการ์ด Magti ก็อยู่ใกล้โรงแรมพอดีเลย เดินไม่กี่เมตร เปิดเวลา 9.00 (ถ้าไป Kazbegi แนะนำให้ใช้เครือข่ายนี้นะคะ เพราะสัญญาณแรงมาก แม้กระทั่งบนเขา) เลยนัดรับรถตอน 9.30
ปล. จะซื้อซิมการ์ด Magti ที่สนามบินก็ได้นะ แต่จะมีแต่แพ็คเกจราคาสูงๆ แต่มาซื้อที่ช้อปในเมือง จ่ายแค่ค่าซิม + Unlimited Net ใช้ได้ 7 วัน ราคาแค่ 10 ลารี ซึ่งเรามาแค่ 4 วันไง เหลือเฟือ ส่วนการแลกเงิน ให้แลกนิดหน่อยติดตัวไว้ก่อน เพราะในเมืองจะเรทดีกว่ามาก ซึ่งเราแลกเงินลีราตุรเคียที่เหลือ เป็นลารีจอร์เจียมาแล้วจากสนามบิน IST เลยมีเงินติดตัว สบาย ไร้กังวล
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
ขั้นตอนนี้เป็นอะไรที่ง่ายมาก รถเมล์สาย 337 จะจอดอยู่หน้าประตูสนามบินเลย เดินออกจาก Arrival Hall แล้วเดินไปขวาสุด จะเห็นรถเมล์เลยค่ะ คันแรกออกเวลา 6.55 แต่เราออกไป 6.45 รถก็จอดรอแล้ว มีที่วางกระเป๋าเดินทางบนรถ การจ่ายเงิน ก็ใช้บัตรเครดิตแตะได้เลย ราคา 1.5 ลารี แต่ตอนลงรถจะยากนิดนึง ตรงที่หน้าจอบอกป้ายรถเมล์ไม่ทำงาน และภาษาจอร์เจีย คือ อ่านไม่ออกจ้า เพราะไม่ใช่ font ภาษาอังกฤษ แต่เรา download map แบบ offline ไว้ ก็ดู google map เอาค่ะ ลงฝั่งตรงข้ามช้อป Magti เลย แล้วก็หาอะไรทานเป็นมื้อเช้าใน supermarket รอช้อปเปิด ส่วนที่แลกเงิน ยังไม่เปิดค่ะ เช้าเกินไป
เมื่อได้รถ เราก็ขับออกไปเที่ยวกันเลย พวงมาลัยด้านซ้ายนะคะที่นี่ ถนนในเมืองจะค่อนข้างวุ่นวายนิดนึง ให้ดู google map ดีๆ เราจะเปลี่ยนจากฟีลเมือง ไปฟีลภูเขา ธรรมชาติกันแล้ว
Jvari Monastery
ที่นี่เป็นโบสถ์บนเขา เห็นวิวมุมสูงรอบๆ สวยดี
เสร็จจากตรงนี้ เราแวะเมือง Mthkseta เป็นเมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย ไปทานกลางวัน และแลกเงิน (ตอนเช้าร้านแลกเงินใน Tbilisi ยังไม่เปิด) เมืองนี้เรทดีค่ะ แนะนำให้แลกเผื่อจนถึงกลับเข้า Tbilisi เลย
จากเมือง Mthkseta ไป จะเริ่มเป็นทางขึ้นเขาไปตลอด และระหว่างทาง จะมีรถบรรทุกค่อนข้างเยอะ ทั้งขับ และจอดข้างทาง เพราะเป็นเส้นทางไปชายแดนประเทศรัสเซียจ้า จะใช้ความเร็วไม่ค่อยได้นะคะ และรถตำรวจจอดตรวจข้างทางเยอะมากๆ ค่อยๆ ขับไปเนอะ โดนใบสั่งจะไม่คุ้มค่ะ ^^
Kazbegi
หรือชื่อใหม่ คือ Stepantsminda เป็นเมืองเล็กๆ ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาคอเคซัส ดังนั้น ไม่ว่าจะพักโรงแรมไหน เราก็จะได้ชื่นชมกับเทือกเขาคอเคซัส แบบใกล้ชิดค่ะ ซึ่งตลอด 2 วันที่นี่ ใช้คำว่าสวยได้เปลืองมากค่ะ หายใจเข้าก็สวย หายใจออกก็สวย ขนาดนั้นเลยจริงๆ
โรงแรมที่เราพัก ชื่อ Paradise Hotel Kazbegi เป็นแบบ guesthouse แต่ห้องใหญ่มาก ราคาถูกมากไม่ถึงพันบาท คือ คุ้มเวอร์ มีระเบียงชมวิวด้วยนะ แต่อากาศหนาวมาก นั่งได้แป๊บๆ เข้าห้องดีกว่า มีฮีทเตอร์
ตอนเย็น เราแวะไป Room Hotel Kazbegi โรงแรมชื่อดัง เพราะวิวพาโนรามามากค่ะ ที่นี่เราไม่จำเป็นต้องมาพัก ก็สามารถมาทานอาหาร สั่งเครื่องดื่มแบบเราได้นะ วิวสวยมาก คุ้มมากจ้า
Gergeti Trinity Church
เช้าวันนี้ หมอกหนามากค่ะ อุณหภูมิเลยลดลงอีก หนาวมาก 10 องศา เสียดาย ฟ้าเลยไม่แจ่ม ได้ดูทะเลหมอกแทน ก็โรแมนติกไปอีกแบบเนอะ ^^ ต้นฤดูร้อนแบบนี้ สามารถขับรถขึ้นไปเองได้เลยค่ะ ถนนดี เราใช้ Toyota Prius ขับขึ้นไปได้สบาย
จากบนโบสถ์ เราจะเห็นหมู่บ้านค่ะ คราวนี้เราจะลงไปถ่ายย้อนขึ้นมาให้เห็นโบสถ์กันบ้าง ทางเดินก็จะเป็นทางแคบๆ ลงเขา ค่อยๆ เดินลงไปนะ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวจะกลายเป็นไถตกเขาจ้า
ตามภาพโปรโมทการท่องเที่ยว ณ จุดนี้ เราจะเห็น Mount Kazbek ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ในจอร์เจีย ซึ่งฤดูนี้จะได้เห็นหญ้าเขียวๆ เห็นโบสถ์ที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ บนยอดเขามีหิมะปกคลุม ตัดกับท้องฟ้าสีบลูสกาย ซึ่งจะสวยมากๆ แต่แต้มบุญที่จอร์เจียเราน้อยไปหน่อยค่ะ ได้เห็นแต่ทะเลหมอกหนามากจ้า มองไม่เห็นยอดเขาใดๆ เสียใจ
ตรงนี้เหมือนจะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ (มั้ง) เพราะมีไม้กางเขนด้วย เราเห็นชาวต่างชาติรองน้ำดื่มกัน ศักดิ์สิทธิ์มั้ย เราก็ไม่รู้นะ รู้แต่เป็นน้ำมาจากเทือกเขาเลย สะอาดมาก ลองแล้ว โอเค ดื่มได้ เราเลยเอาขวดมากรอกไปดื่มในรถเลยจ้า ประหยัดค่าน้ำไปอีก 55
Juta
เสร็จจากโบสถ์ เราจะไป trekking เบาๆ กันที่ Juta แรกๆ ก็ถนนดี จนอีก 7.5 กม. จะถึง Juta ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขรุขระมาก เราเคยใช้ Mazda3 ขึ้นเขา ขรุขระทุรกันดารที่โอมานมาแล้ว เลยคิดว่าทริปนี้ Toyota Prius น่าจะไหวน่ะ ซึ่งก็ไหวจริงๆ แต่ต้องขับเบาๆ ช้าๆ ระวังหลุมนะคะ ถนนจะไปสิ้นสุดที่หมู่บ้าน Juta ค่าจอดรถ 5 ลารี หลังจากนั้นต้องเดินเข้าไป ระยะทาง 1.5 กม. จะถึงโรงแรม Fifth Season ชื่อดัง ทางเดินทรหดมาก ขอเตือนไว้ก่อน
เส้นทางแห่งความลำบาก จะนำพาไปสู่จุดหมายปลายทางที่สวยงามเสมอ พยายามเดินขึ้นไปนะคะ เหนื่อยก็พัก เมื่อเห็นวิวด้านบน จะลืมเหนื่อยไปเลย
กรี๊ด ถึงแล้ว สวยมากกกกก สวยจนลืมหายใจ แม้เราจะไม่ได้พักที่นี่ แต่ก็สามารถเดินขึ้นมาได้ค่ะ
อากาศดี วิวดี จนหลับไปเลย 55
นี่จ้า มาดูทางเดินขึ้นลงจากที่จอดรถ ถึง Fifth Season กัน เรารู้สภาพนะว่าต้องเจออะไร แต่ขอสวยไว้ก่อน ใส่บูทไปค่ะ เราเดินได้สบายนะเพราะเป็นคนถนัดใส่รองเท้าส้นสูงอยู่แล้ว แต่ตอนเดินขึ้น ถ่ายรูปไม่ไหว ทางเดินชันมากจ้า ขรุขระอีก เหนื่อย ^^ เลยถ่ายตอนเดินลง
Gigantic Sculpture
ทางผ่านออกมาจาก Juta เราจะเจอรูปปั้นแบบนี้ แวะถ่ายรูปนิดนึง
และนี่จ้า รถ Toyota Prius ที่เช่าไว้ ราคาวันละ 30 ยูโร เช่า 2 วัน 60 ยูโร รวมประกัน (ยกเว้นยางแตก) คุ้มมาก ประหยัดน้ำมันมาก แต่ถ้าไม่ใช่ฤดูร้อน ใช้รถนี้ไม่ได้นะ แนะนำให้เช่าโฟร์วีลค่ะ
Russia Georgia Friendship Monument
นี่บ่าย 3 แล้ว ทะเลหมอกยังไม่หายไปจ้า ได้ชมทะเลหมอกกันเต็มอิ่มเลย 55 แถมก่อนหน้านี้ฝนตกด้วย แต่โชคดี เรามาถึงตอนฝนหยุดแล้ว ค่าจอดรถ 3 ลารี
ขับลงมาถึงเมือง Gudauri ละค่ะ ซึ่งที่นี่เป็นสกีรีสอร์ทในฤดูหนาว ดูเสาไฟฟ้าสิ น่ารัก แต่ดูสิ ฟ้าครึ้มเชียว
Ananuri Fortress
ขับต่อลงมา ก็จะเจอป้อมปราการ Ananuri เป็นป้อมปราการเก่าแก่ของจอร์เจีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Aragvi พอลงมาจากเขาแล้ว ทะเลหมอกหายไป ฟ้าแจ่มละจ้า
กลับมาถึง Tblisi ตอนเย็น เราพักที่ Old Villa Rustaveli ห้องดี ทำเลดีมาก มีที่จอดรถ และรถเมล์สาย 337 ไปสนามบินผ่านถนนหน้าโรงแรมเลย สะดวกมากๆ ใกล้ Shop Magti ที่เราซื้อซิมด้วย (นี่เลยเป็นสาเหตุที่เรานัดรับรถเช่าที่นี่) และเรายังสามารถเดินไปแหล่งท่องเที่ยวได้ โดยไม่ต้องนั่งรถเมล์ หรือรถไฟใต้ดิน ดังนั้น 2 วันใน Tbilisi เราจะเดินเที่ยวกันค่ะ
Day 11 - 12 : Tbilisi
The Chronicle of Georgia
เช้านี้นัดคืนรถตอน 9.30 เราเลยรีบตื่นเช้า ไปที่นี่ก่อน The Chronicle of Narnia เอ้ย ไม่ใช่ นั่นมันชื่อหนัง 55 แต่ที่นี่ คือ The Chronicle of Georgia ต่างหาก เป็นอนุสรณ์ขนาดยักษ์ เล่าถึงประวัติศาสตร์ 3,000 ปีของจอร์เจีย อลังการมาก ขลังมาก ซึ่งที่นี่นั่งรถสาธารณะไปไม่ได้นะคะ ต้องขับรถไปเท่านั้นจ้า และข้อดีของการไปถ่ายรูปตอนเช้า ไม่มีคนเลย ถ่ายรูปได้สวยมาก
ยิ่งใหญ่ อลังการแบบนี้จริงๆ เห็นแฟนเรามั้ย ตัวเล็กนิดนึง
Holy Trinity Cathedral of Tbilisi
เวลายังเหลือ เราเลยขับรถไปมหาวิหารของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ใหญ่ที่สุดของประเทศจอร์เจีย และเป็น Signature ของเมือง Tbilisi เลยค่ะ
ได้เวลาขับรถกลับไปเติมน้ำมัน คืนรถพอดี ซึ่งเรานัดคืนรถที่โรงแรม สะดวกสบายมาก หลังจากนั้นทานอาหารเช้า ซึ่งอาหารเช้า จะค่อนข้างสาย เวลา 8.00 - 10.00 กลับมา 9.30 ยังทานอาหารต่อสบายๆ กว่าจะได้ออกไปเที่ยว 11 โมงอีกแล้วจ้า สายชิวเหลือเกิน
Old Town Tbilisi
เราจะเดินเที่ยว Old Town กัน เริ่มต้นจาก Clock Tower หอนาฬิกาเบี้ยวๆ เป็นที่ตั้งของจุดจำหน่ายตั๋วสำหรับโรงละคร Rezo Gabriadze Theatre ที่อยู่ด้านหลังของหอนาฬิกา
ละแวกนี้จะมีความเก่า ความอาร์ทนิดนึง มีงานศิลป์ขายตรงนี้ด้วย เก๋ๆ
The Bridge of Peace สะพานแห่งสันติภาพ เชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่า และเมืองใหม่ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ Michele De Lucchi สะพานสวยมากค่ะเป็นโครงเหล็ก และกระจกใส
เมื่อข้ามสะพานมา ก็จะเป็น Rike Park สวนสาธารณะ และมีอาคารรูปทรงเหมือนอุโมงค์ขนาดใหญ่ Rike Concert Hall สวยงามมาก
ต้องบอกว่า จอร์เจียเป็นชาติที่ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดในยุโรป เชื่อกันว่า ผลิตตั้งแต่ 7,000 - 5,000 ปีก่อนคริสตศักราชแล้ว โอ้โห เก่าแก่มากจริงๆ ซึ่งไวน์ท้องถิ่นที่นี่ราคาถูกมากค่ะ ถ้าเป็นขวด เราเห็นต่ำสุดขวดละ 11 ลารี ก็ 130 บาทเท่านั้น อยากหิ้วกลับเลย แต่กลัวแตกในกระเป๋าเนี่ยสิ
เราเลยทานมื้อเที่ยง และดื่มไวน์ที่ร้านอาหาร Machakhela - Samikitno ร้านชื่อดังใน Meiden Bazar ไวน์ขาว Rkatsiteli (Marani) แก้วละ 3.5 ลารี และไวน์แดง Saperavi (Marani) แก้วละ 4.5 ลารี จัดไปทั้งหมด 3 แก้ว แค่ 11.5 ลารีเอง
อิ่มแล้ว เดินขึ้นเขากัน เป็นถนนที่รถขับขึ้นไปได้นะคะ ดังนั้น เดินได้สบาย แค่ชันหน่อย แต่ไม่ยากเลย ง่ายกว่าที่ Juta เยอะ ^^ เดินขึ้นไปจะถึง Narikala Fortress ป้อมปราการที่วิวสวยมาก ด้านหลังป้อม เห็นโบสถ์ Holy Trinity Cathedral of Tbilisi ด้วย
จากนั้นเดินต่อไป Mother of Georgia ระหว่างทางถ้ามองลงไป จะเห็น The Bridge of Peace และ Rike Concert Hall แบบเต็มๆ และที่ Rike Park เราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาบนเขาได้นะ ราคา 2.5 ลารีต่อคน
ซึ่ง Mother of Georgia ต้องถ่ายรูปไกลๆ แบบนี้นะคะ ถึงจะเห็นรูปปั้นเต็มๆ เพราะของจริงคือ ใหญ่มากๆ
เดินกลับลงเขาไป ก็จะเป็น Maiden Bazar ที่เดิม เราจะเห็น Vakhtang Gorgasali Statue และ Matekhi St. Virgin Church อยู่ฝั่งตรงข้าม เดินข้ามสะพานไปถ่ายใกล้ๆ หน่อย
ทั่วแล้วค่ะ Old Town Tblisi เราเดินกลับโรงแรมโดยข้ามสะพานไปทางรูปปั้น Vakhtang เพื่อจะได้เดินกลับถนนคนละเส้นกับขามา เดินชมวิวไปเรื่อย อากาศเย็นสบาย แวะนั่นแวะนี่ หาร้านผลไม้ อยากกินเชอร์รี่ เพราะมันถูกมากๆ แบบที่เมืองไทยโลเป็นพัน ที่จอร์เจียโลละ 120 บาท ส่วนที่ตุรเคีย ถูกไปอีก กินทุกวันเลยทริปนี้ 55 ... สรุปวันนี้ เดินไป 10 กม. ค่ะ แม่เจ้า
New Tiflis
เช้าวันกลับ เราก็ยังชิวต่อไป ตอนสายๆ เดินจากโรงแรมไป New Tiflis ย่านเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร และคาเฟ่เก๋ๆ แนวยุโรป ฝากท้องมื้อเที่ยงที่นี่เลย
และนี่จ้า สายเบียร์ต้องชอบ เบียร์ที่นี่มาเป็นแกลลอนเลย เทียบกับขวดปกติบ้านเรา คนละ size แต่ราคาพอๆ กัน แถมมีโปรโมชั่นลดราคาอีกต่างหาก เมื่อคืนเราซื้อเบียร์ไปดื่มที่โรงแรม ขนาด 2 ลิตร แค่ 5 ลารีเองจ้า หาง่ายมาก supermarket เพียบ
เราเดินกลับไปโรงแรม ลากกระเป๋าไปรอรถเมล์สาย 337 ตอนบ่าย 2 รถมาค่อนข้างตรงเวลานะคะ เลทจาก google map แค่ไม่กี่นาที แนะนำให้มารอก่อนเวลานิดนึง ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็ถึงสนามบินค่ะ สะดวกสบายมากๆ
Day 13 : BKK
เรานั่ง Turkish Airlines ค่ะ ก็จะบินจากสนามบิน TBS (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย มาเปลี่ยนเครื่องที่ IST (Istanbul) ประเทศตุรเคีย ตอนนี้แหละได้เวลาซื้อของที่ Duty Free แล้ว เพราะเป็นสนามบินสุดท้ายก่อนกลับไทย แล้วเราก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิตรงเวลาโดยสวัสดิภาพค่ะ ^^
สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้
- โชคดี เราได้ค่าตั๋วเครื่องบินถูก เลย save ไปได้เยอะ
- โรงแรม เน้นทำเล ความสะดวกสบาย สะอาด รีวิวดี แต่ไม่เน้นห้าดาว
- อาหาร มีทั้งมื้อแพง มื้อถูกสลับกันไป แต่ทานครบ 3 มื้อ อิ่มทุกมื้อ
- ใช้รถสาธารณะ และสองเท้าเป็นหลักค่ะ ได้ฟีลนักท่องเที่ยวนะ
- ทัวร์บอลลูน และ ATV เราขยัน search หาเยอะ จนเจอราคาถูกที่สุด แต่คุณภาพเดียวกัน
ราคาทริปนี้ คือ 80,452 บาท (ไม่รวมของฝาก และช้อปปิ้งจ้า) เป็นราคาสำหรับ 2 คนนะคะ ถ้าคิดต่อคน ก็ 40,000 บาทเอง ถูกเกินไปมั้ยเนี่ย คุ้มมากๆ
เราชอบทริปนี้มากนะ เห็นแบบนี้แล้ว อย่ารอช้า รีบแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวตุรเคีย จอร์เจียเถอะ ^^
Travelholic
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 10.21 น.