ในเมื่อการเกิดขึ้นของเมืองนี้เกี่ยวข้องกับอเล็กซานเดอร์มหาราช และราชวงศ์ปโตเลมี ฟาโรห์ราชวงศ์สุดท้ายของอียิปต์ สถานที่สำคัญในเมืองอเล็กซานเดรียจึงเกี่ยวข้องตามไปด้วย โดยสถานที่สำคัญส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เริ่มจาก ห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย (Library of Alexandria) ในอดีตกาลห้องสมุดแห่งนี้เป็นที่รวบรวมศิลปวิทยาการจากทั่วทั้งอียิปต์ และยังครอบคลุมไปถึงกรีก เอเชียไมเนอร์ และอาณาจักรต่างๆในยุโรป ตำรับตำราจึงมีมากมายโดยเฉพาะจากนักปราชญ์กรีก ทั้ง พลาโต โซเครติส และอีกหลายต่อหลายคน ถือเป็นห้องสมุดที่ล้ำมากในสมัยนั้น
ไม่เพียงแค่นั้น จากการขุดค้นยังพบซากของโบราณสถานที่มีลักษณะเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่อีกหลายห้อง นักประวัติศาสตร์จึงสัณนิษฐานว่า นอกจากการเป็นห้องสมุดแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังอาจเป็นมหาวิทยาลัยอีกด้วย จนเมื่อจูเลียด ซีซาร์ จักรพรรดิ์แห่งโรมันมีชัยชนะเหนือพระนางคลีโอพัตรา พระองค์ได้เผาห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรียไปบางส่วน โดยยังเหลือพื้นที่บางส่วนที่ใช้งานได้ แต่สุดท้ายแล้วห้องสมุดแห่งนี้ก็ถูกเผาอย่างย่อยยับอย่างน่าเสียดายโดยธีออโดเชียส จักรพรรดิ์แห่งโรมัน ตำหรับตำราต่างๆที่ถูกเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดจึงถูกทำลายตามไปด้วยอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุจากความคิดที่ว่า ตำราเหล่านั้นขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาคริสต์
ล่วงเข้าสู่ยุคปัจจุบันองค์กรยูเนสโก และประเทศต่างๆอีกหลายประเทศได้ช่วยกันเนรมิตห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรียให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งบนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่ตั้ง โดยเป็นห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดห้องสมุดหนึ่งในโลก ด้วยความสูงถึง 10 ชั้น ภายในรวบรวมหนังสือจากทุกมุมโลก มากกว่า 8 ล้านเล่ม เรียกว่าอยากหาหนังสือจากชาติไหน ก็มีให้บริการ ส่วนผนังภายนอกก็ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กัน เพราะประดับด้วยตัวอักษรทั้งยุคโบราณและยุคปัจจุบันของประเทศต่างๆทั่วโลก แต่น่าเสียดายจริงๆที่เรามาเยือนในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่ปิดทำการ จึงทำได้เพียงยืนมองความอลังการจากภายนอกเท่านั้น
เราเดินทอดน่องชมทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีสายลมโชยพัดมาให้ชื่นใจไปตลอดทาง ยามเช้าเช่นนี้มีนักตกปลาหลายคนมาปล่อยเวลาให้ไหลไปอย่างเชื่องช้าด้วยการนั่งตกปลาท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลที่สุดแสนผ่อนคลาย แต่ไม่รู้ว่าเรามาเคาะประตูเมืองอเล็กวานเดรียเช้าเกินไปหรืออย่างไร ตลอดสองข้างทางจึงไม่มีร้านอาหารใดเปิดให้บริการ
แล้วเราก็ถอดใจที่จะเดินต่อ เพราะมองไปไกลสุดสายตาก็ยังคงเห็นถนนที่ทอดตัวเลียบไปตามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด เมื่อรถประจำทางซึ่งเป็นรถตู้วิ่งผ่านมาพร้อมกวักมือชักชวนให้เราขึ้น เราจึงลองขึ้นตามที่เขาเชิญชวนโดยมีจุดหมายที่สะพานสแตนเลย์ ซึ่งเสียค่าโดยสารเพียงคนละ 3 ปอนด์เท่านั้น
สะพานสแตนเลย์ (Stanley Bridge) ถูกสร้างขึ้นในตำแหน่งที่ชายหาดโค้งเว้าจนเกิดเป็นอ่าวขนาดเล็ก สะพานแห่งนี้จึงทำหน้าที่เชื่อมจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของอ่าวด้วยความยาว 400 เมตร แต่ความสำคัญของสะพานสแตนเลย์นั้นไม่ได้อยู่ที่การทำหน้าที่ของมัน หากแต่อยู่ที่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมจนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองอเล็กซานเดรีย
สองฝั่งของสะพานสร้างขึ้นเป็นหอคอยสูงด้วยศิลปะแบบอียิปต์อย่างสวยงาม ซึ่งแค่ยืนถ่ายรูปกับหอคอยคู่นี้ก็ได้รูปที่สวยงามแล้ว แต่หากอยากจะเห็นความสวยงามอย่างแท้จริงของสะพานนี้ต้องเดินไปบริเวณโค้งอ่าวที่ทำเป็นชายหาด จะได้เห็นตัวสะพานที่ทอดข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยิ่งหากเป็นช่วงเวลาค่ำด้วยแล้ว สะพานสแตนเลย์จะยิ่งเพิ่มความสวยงามมากขึ้นไปอีกจากแสงไฟที่อาบไล้ แต่การมาเดินยามเช้าที่อากาศสุดแสนเย็นสบายนี้ก็สุขใจกับภาพที่สวยงามของสะพานเกินบรรยายแล้ว
แล้วที่ริมอ่าวซึ่งมีสะพานสแตนเลย์ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า เราก็พบร้านอาหารที่แสนคุ้นเคย นั่นคือร้านแมคโนนัลด์ ไม่ต้องคิดมากว่ามาเที่ยวต่างประเทศจะต้องหาอาหารท้องถิ่นทาน ในเมื่อหิวกันขนาดนี้เราจึงพร้อมใจตรงเข้าไปเป็นลูกค้ากลุ่มแรกของวัน
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.42 น.