เที่ยวกันหนัก ก็หิวกันหนัก เราจึงไม่คิดอะไรมากกับการเดินหาร้านอาหาร เพราะทุกคนต่างตกลงปลงใจร่วมกันในการเดินเข้าไปยังร้านพิซซ่าท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าป้อม ร้านนี้เป็นร้านห้องแถวขนาด 1 คูหา ที่สุดแสนยากลำบากในการเข้าสู่โต๊ะอาหาร เพราะนอกจากต้องขึ้นบันไดไม้แคบๆที่แสนชันไปยังชั้น 2 แล้ว ตำแหน่งที่ตั้งของโต๊ะยังอยู่ริมระเบียงที่มีระยะห่างระหว่างพื้นกับเพดานเพียงแค่ 1 เมตรเศษ ซึ่งหากไม่ระวังการจะลุกจะนั่งแต่ละทีมีอันได้หัวชนเพดาน
สำหรับรสชาติของพิซซ่าหน้าเห็ด ที่มาพร้อมกับสลัดผักสดๆนั้นสุดยอด โดยเฉพาะสลัดผักนั้นชาวอียิปต์ไม่ได้ราดด้วยน้ำสลัดแบบที่เราคุ้นเคย หากแต่จะบีบมะนาว และทานคู่กับเกลือผสมน้ำตาล จึงปราศจากไขมัน 100%
เราอิ่มกันในเวลาทำละหมาดช่วงกลางวัน ชาวมุสลิมจำนวนมากจึงเข้าไปทำละหมาดภายในมัสยิดเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามร้านพิซซ่า จนล้นออกมาบนทางเดิน แต่สำหรับมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอเล็กซานเดรียคือมัสยิด Abou El Abbas El Morsy Mosque ซึ่งห่างออกไปไม่ไกล มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่คริสตวรรษที่ 13 แต่มัสยิดที่เห็นในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปีค.ศ.1929 โดยสถาปัตยกรรมได้รับแรงบรรดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของบรรดาอาคารเก่าแก่ในกรุงไคโร โดยมองดูเหมือนมีการเจาะฉลุลวดลายไปเสียทุกส่วน จึงเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่และสวยงามยิ่งนัก
ทีแรกเราหวังที่จะเข้าไปชื่นชมความสวยงามภายใน แต่เอาเข้าจริงๆเรากลับไม่กล้าเข้าไป เพราะอย่างที่บอกว่าในเวลานี้เป็นเวลาการทำละหมาดช่วงกลางวันของชาวมุสลิม การให้ความเคารพและไม่รบกวนการประกอบพิธีกรรมของเจ้าบ้านจึงเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนควรปฏิบัติ
สถานที่สำคัญริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นหมดลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่สำคัญของเมืองอเล็กซานเดอร์จะหมดลงตามไปด้วย เพราะยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง การเดินทางด้วยแท็กซี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งนอกจากได้เดินทางไปยังจุดหมายแล้ว เรายังได้เที่ยวย่านเมืองเก่าอเล็กซานเดรียโดยไม่รู้ตัว
ในเขตเมืองเก่านี้ยังมีรถรางให้บริการ โดยวิ่งบนเส้นทางเดียวกับรถยนต์ การจราจรจึงสุดแทนวุ่นวาย เพราะนอกจากจะวุ่นวายจากบรรดาร้านค้าแผงลอย ที่ไม่ใช่แค่วางแผงบนทางเดิน แต่ล้นมาจนกินเลนของถนนไปเกือบครึ่งแล้ว ยังสุดแสนจะวุ่นวายในเวลาที่มีรถรางผ่านเข้ามา ซึ่งรถรางที่มีสภาพสุดแสนเก่านี้ต้องหยุดสลับกับแย่งช่องทางกับรถยนต์ จนทึ่งในความสามารถของคนขับรถที่สามารถหลบหลีกกันได้อย่างน่าตกใจ โดยมีทิ้งร่องรอยของผลงานที่ผ่านมานับสิบๆปีไว้กับด้านข้างรถรางที่มีรอยเฉี่ยวชนจนเกินกว่าจะนับรอยแผล
ตอนขึ้นรถแท็กซี่เราบอกให้คนขับไปส่งเราที่สุสานใต้ดินแห่งอเล็กซานเดรีย โดยโชว์รูปว่าเราต้องการไปที่แห่งนี้ แต่เมื่อลงจากรถแทนที่จะเห็นสุสานใต้ดินเรากับพบเสาปอมเปย์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า นั่นคงเพราะตั้งอยู่ใต้ดินคนขับแท็กซี่คงไม่เคยไปหรือไม่รู้จัก จึงพาเรามาส่งยังเสาปอมเปย์แทน ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงเข้าชมเสาปอมเปย์กันก่อน ส่วนการไปสุสานใต้ดินจะไปกันอย่างไรไว้ค่อยว่ากัน
เสาปอมเปย์ (Pompey’s pillar) เป็นเสาหินแกรนิตที่มีความสูงถึง 27 เมตร ชื่อของเสามาจากชื่อสหายคนสนิทของจูเลียส ซีซาแห่งโรมัน เข้าตำราเพื่อนรักหักเหี่ยมโหด เพราะแม้จะสนิทกันแค่ไหนสุดท้ายก็แตกคอกัน ปอมเปย์หนีจากโรมันมาหลบซ่อนอยู่ที่อเล็กซานเดรีย แต่ก็ไม่วายที่นักบวชอียิปต์มาพบเข้า เพื่อหวังจะเอาใจจูเลียส ซีซา จึงสังหารปอมเปย์ในตำแหน่งที่เป็นที่ตั้งของเสาแห่งนี้ สายน้ำไม่อาจตัดขาด มิตรภาพก็เช่นกัน แม้จะแตกคอกันอย่างไร แต่จูเลียส ซีซาก็โมโหยิ่งนักที่อดีตเพื่อนรักถูกสังหาร จึงสั่งประหารนักบวชรูปนั้นเป็นการตอบแทนความหวังที่จะได้รับรางวัลจากการเอาใจ
จูเลียส ซีซาได้เผาศีรษะของปอมเปย์ ณ ตำแหน่งเสาต้นนี้ ซึ่งในอดีตในสมัยราชวงศ์ปโตเลมีบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวิหารอาโครโปลิส ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเซราพิส แต่ได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับจากชาวคริสต์ในคริสตวรรษที่ 4 ปัจจุบันจึงเหลือเพียงซากวิหาร และสฟิงซ์ที่สร้างจากหิน 2 ตัว ที่ตั้งอยู่เคียงคู่ด้านหน้าเสาปอมเปย์
ด้วยความร้อนแรงของแสงแดด หลังถ่ายรูปกับเสาปอมเปย์และสฟิงซ์เสร็จ เพื่อนๆก็พากันเข้าไปหลบร้อน ผมจึงต้องเดินสำรวจซากปรักหักพังของวิหารอาโครโปลิสที่จมอยู่ใต้ดินเพียงลำพัง แล้วผมก็พบป้ายที่ชี้ชวนให้เข้าไปสำรวจภายใน โดยเป็นทางที่ดิ่งลงใต้ดิน สู่ตัววิหารอาโครโปลิส แต่อย่างเพิ่งจินตนการว่าจะได้เห็นตัววิหารที่อลังการนะครับ เพราะตัววิหารนั้นจมอยู่ใต้ดินมานับพันปี จึงถูกโอบคลุมด้วยดินและหิน ซึ่งผมไม่แน่ใจนักว่าเส้นทางที่เป็นอุโมงค์นี้เป็นเส้นทางเดิมจริงๆของวิหารหรือเป็นเส้นทางที่เกิดจากการขุดเจาะขึ้นมาใหม่ แต่ที่รู้แน่ๆคือเส้นทางนั้นมืดมาก หากไม่มีไฟแสงสว่างก็คงไม่สามารถมองสิ่งใดเห็น และชวนให้คิดไปไกลว่าหากเกิดไฟดับขึ้นมา ผมจะสามารถหาทางออกจากใต้ดินนี้ได้หรือเปล่า
ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งชวนให้รู้สึกขนลุกมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดเส้นทางสายตาผมก็ได้พบกับรูปปั้นวัวที่สร้างจากหินแม้จะถูกฝังจมอยู่ใต้ดินมานานนับพันปี แต่ผิวของรูปปั้นยังคงเป็นสีดำขลับได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงได้แต่รอวันที่นักโบราณคดีจะสามารถขุดวิหารอาโครโปลิสให้พ้นจากการฝังกลบของดิน ในวันนั้นเราอาจได้เห็นความน่าอัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างยุคพันปีที่มีมากไปกว่านี้
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 16.47 น.