หนังสือหลายเล่มมักจะเขียนถึงการไหลของแม่น้ำไนล์ที่แตกต่างจากแม่น้ำทั่วไป เพราะแม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่ไหลจากใต้ขึ้นเหนือ จนเป็นเหตุให้การเรียกภูมิภาคอียิปต์นั้นขัดแย้งกับความรู้สึก คือ เรียกภูมิภาคที่อยู่ทางทิศใต้แต่อยู่ต้นแม่น้ำไนล์ว่า อียิปต์บน (Upper Egypt) และเรียกภูมิภาคที่อยู่ทางทิศเหนือแต่อยู่ปลายแม่น้ำไนล์ว่า อียิปต์ล่าง (Lower Egypt) ซึ่งผมเห็นว่าไม่เห็นจะแปลกหรือขัดแย้งกับความรู้สึกตรงไหน เพราะแม่น้ำทั่วโลกก็มีทั้งไหลจากเหนือลงใต้ จากใต้ขึ้นเหนือ จากตะวันออกไปตะวันตก หรือตะวันตกไปตะวันออก เพราะแม่น้ำนั้นไหลจากด้านบนลงล่างอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าด้านบนหรือพื้นที่ที่อยู่สูงกว่านั้นอยู่ทิศใด แม่น้ำก็จะไหลไปหาด้านล่างหรือพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่า นั้นเป็นกฎพื้นฐานของวิชาฟิสิกซ์
ฉะนั้นการที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกภูมิภาคทางทิศใต้ว่า อียิปต์บน กับเรียกภูมิภาคทางทิศเหนือว่าอียิปต์ล่าง ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะเขาเรียกตามการไหลของแม่น้ำหรือตามความสูงของพื้นที่ ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแม่น้ำไนล์ซึ่งเป็นสายน้ำสำคัญเพียงสายเดียวที่หล่อหลอมอารยธรรมอียิปต์มานานนับพันๆปี ซึ่งหากกางแผนที่ขึ้นมาดูก็จะพบว่า แม้อียิปต์จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่เมืองหรือจังหวัดเกือบทั้งหมดจะเรียงรายไปตามที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ เพราะเลยออกไปทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกนั้นเป็นทะเลทราย ที่นานๆจะมีโอเอซีสโผล่ขึ้นมากลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง
การเดินทางนับตั้งแต่วันนี้เราจะเดินทางไปยังเมืองสำคัญที่อยู่บนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ หรือจากอียิปต์ล่างไปจนสุดภูมิภาคอียิปต์บน โดยเราไปตั้งต้นกันก่อนที่กรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ในยุคปัจจุบัน
ยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะฉายแสงเต็มที่ เราก็ลากกระเป๋าออกจากที่พักเพื่อโบกแท็กซี่ไปสถานีรถไฟอเล็กซานเดรีย จริงอย่างที่คนขายตั๋วบอกว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ First Class หรอก ซื้อแบบธรรมดาก็พอแล้ว เพราะสภาพรถไฟของอียิปต์นั้นดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะ นอกจากราคาค่าโดยสารเทียบกับระยะทางจะถูกกว่ารถไฟบ้านเรา เพราะราคาเชื้อเพลิงถูกกว่าแล้ว ที่นั่งยังกว้างขวาง ออกและถึงจุดหมายตรงเวลา ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง 40 นาที เราก็เดินทางจากเมืองอเล็กซานเดรีย มายืนยิ้มแฉ่งกันอยู่ที่สถานีรถไฟกรุงไคโร
ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณรวมถึงอีกหลายชนชาติ ที่เชื่อกันว่าทิศตะวันออกเป็นฝั่งของคนเป็น ในขณะที่ทิศตะวันตกเป็นฝั่งของคนตาย ในอดีตผู้คนจึงอาศัยอยู่ฝั่งกรุงไคโร (Cairo) ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ ในขณะที่กีซ่า (Giza) ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์นั้นเป็นพื้นที่สำหรับสร้างพีระมิดเพื่อใช้เป็นสุสานของเหล่าฟาโรห์ แต่มาถึงยุคปัจจุบันที่ความเชื่อมีความสำคัญน้อยกว่าเงินตรา เมื่อมหาพีระมิดแห่งกีซ่าได้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและสถานที่ท่องเที่ยวระดับแนวหน้า กีซ่าซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกจากที่ไร้ร้างผู้คนก็เปลี่ยนเป็นชุมชนเมืองที่มากไปด้วยผู้คน ร้านค้า ร้านอาหารและโรงแรม แล้วจากแผนเดิมที่จะนอนกันที่ฝั่งกรุงไคโร เพราะเป็นฝั่งคนเป็น ก็มีอันต้องเปลี่ยน เพราะเมื่อคืนโอจัดการจองโรงแรมฝั่งกีซ่าไปเสร็จสรรพ โดยบอกว่าโรงแรมที่จองนี้อยู่ใกล้ประชิดติดมหาพีรมิดจนเกือบติดขอบรั้ว
จากสถานีรถไฟกรุงไคโร เราหาแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมฝั่งกีซ่า แน่นอนเรายังต้องเผชิญกับการบอกราคาแท็กซี่ที่สูงลิบ เพื่อที่จะต่อราคาลงมาในระดับที่ควรเป็น ซึ่งนั่นทำให้เราต้องเดินหาแท็กซี่หลายคันกว่าจะได้คันที่ถูกใจ
ระหว่างที่นั่งแท็กซี่เพื่อเดินทางจากฝั่งไคโรข้ามแม่น้ำไนล์ไปฝั่งกีซ่า จากที่คิดจะว่าจ้างแท็กซี่เพื่อไปส่งที่โรงแรมเท่านั้น กลายเป็นว่าเกิดการเจรจาต่อรองกันขึ้นในการเหมารถแท็กซี่เพื่อพาเราไปเที่ยวที่เมมฟิส กับ ซัคคาร่าในช่วงบ่าย ด้วยราคาที่พอใจทั้งสองฝ่าย
โรงแรมที่ตั้งหน้ามหาพีระมิดที่โอจองให้เมื่อคืนนั้นมีห้องว่างไม่พอสำหรับเรา 5 คน โดยแต่ละโรงแรมเหลือห้องว่างเพียงแค่โรงแรมละห้องเท่านั้น คืนนี้เราจึงต้องกระจายกันนอน
จริงอย่างที่โอว่า โรงแรมที่ผมพักนั้นตั้งอยู่ด้านหน้าจนแทบจะประชิดติดกับรั้วมหาพีระมิด โดยมีแค่ถนนเล็กๆกั้นเท่านั้น ห้องที่ผมพักถือว่าเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงแรม โดยอยู่ที่ชั้น 5 ซึ่งชั้นนี้มีห้องพักเพียงแค่ 2 ห้องเท่านั้น เพียงแค่เปิดประตูออกมาก็จะเป็นดาดฟ้าที่สามารถสบตากับสฟิงซ์และมหาพีระมิดทั้ง 3 ได้อย่างเต็ม 2 ตา โดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง แต่นั้นก็แลกมาด้วยราคาห้องพักที่หากเทียบกับคุณภาพห้องแล้วแพงหูฉี่ นั้นคือคืนละ 35 เหรียญสหรัฐ ซึ่งราคานี้พอๆกับอพาร์ตเมนท์ที่อเล็กซานเดรีย ที่เราอยู่รวมกัน 5 คนได้อย่างสบายๆ
เรามาเจอกันอีกครั้งที่หน้าร้าน KFC ซึ่งตั้งอยู่ถัดโรงแรมที่ผมพัก และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูทางเข้ามหาพีระมิด คนขับรถแท็กซี่เดินมากดดันเราให้ทำเวลา โดยการซื้อไก่ทอดใส่ถุงแล้วไปนั่งกินในพื้นที่มหาพีระมิด จนเรางงๆว่าในเมื่อในร้าน KFC นั้นมีแอร์เย็นฉ่ำ แล้วใครจะเลือกไปนั่งกินตากแดดในพื้นที่มหาพีระมิด เราจึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคนขับแท็กซี่
ระหว่างนั่งกินไก่ทอดแต่ละคนก็บอกเล่าสภาพห้องและวิวที่ได้เห็นจากห้องพัก น้องเนกับน้องหมีนั้นพักด้วยกัน ในโรงแรมที่ถัดจากผมไปแค่ไม่กี่คูหา วิวที่ได้เห็นจึงไม่ต่างกัน คือเห็นมหาพีระมิดทั้ง 3 แบบเต็มๆ แต่เรื่องห้องพักและอาหารการกินสำหรับมื้อเช้าวันพรุ่งนี้นั้นดีกว่าผมเยอะ ในขณะที่พี่น้องทรงกับโอพักด้วยกัน ทั้งๆที่โอเป็นคนจองห้องพัก แต่กลายเป็นว่า แม้ว่าโรงแรมที่จองนั้นจะตั้งอยู่ใกล้มหาพีระมิดมากกว่าใครเพื่อน แต่ดันมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่หน้าโรงแรม แทนที่จะเห็นมหาพีระมิดเต็มๆทั้ง 3 อัน จึงเห็นแค่เพียง 2 อัน โดยไม่เห็นพีระมิดคูฟู ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เราไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะระหว่างที่เรารอไก่ทอด KFC น้องหมีกับน้องเนก็เดินข้ามถนนไปซื้อบัตรเข้าชมมหาพีระมิด ซึ่งต้องต่อแถวนานมากกว่าจะได้บัตรมาด้วยความงงๆ ว่าบัตรที่ซื้อมานี้แค่เข้าชมเพียงด้านนอก หรือสามารถเข้าไปภายในพีระมิดได้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราเข้าชมมหาพีระมิดติดต่อกัน 2 วัน เหนือกว่าที่วางแผนไว้
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.34 น.