ก่อนกลับถึงเมืองกีซ่า เราเห็นร้านค้าข้างทางที่จำหน่ายสตอเบอร์รี่สีแดงสด เมื่อวานได้ชิมสตอเบอร์รี่อียิปต์แล้ว ติดใจในรสชาติและความหวานฉ่ำยิ่งนัก เราจึงไม่รอช้า บอกให้คนขับจอดรถทันที เพื่อซื้อสตอเบอร์รี่ติดมือกลับไปอีก 2 กิโลกรัม
เอาเข้าแล้วไง เราเจอฤทธิ์ของแขกอียิปต์อีกจนได้ เมื่อคนขับแท็กซี่บอกว่าราคาเหมาที่ตกลงกันไว้นั่นหมายถึงจากเมืองกีซ่า ไปซัคคาร่า กับเมมฟิส และกลับมาส่งที่กีซ่าเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงช่วงแรกจากไคโรมากีซ่า แต่ในเวลานี้เราเพลียจากการท่องเที่ยวตลอดทั้งวันจึงหมดแรงที่จะต่อร้องต่อเถียง น้องหมีในฐานะเหรัญญิกจึงควักเงินปอนด์อียิปต์จ่ายไปให้จบเรื่องจบราว
แต่ละคนแยกย้ายกันกลับห้องพักเพื่อล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหามื้อเย็นทาน ทำให้ผมได้กลับมายืนอยู่ที่ดาดฟ้าหน้าห้องพักอีกครั้งในเวลาที่มหาพีระมิดดูสวยงามที่สุดจากแสงสุดท้ายแห่งวันที่อาบแผ่นฟ้าให้เป็นสีส้ม ตัดกับสีเข้มทมึนของมหาพีระมิด
นอกจาก KFC แล้ว บริเวณที่พักมีร้านอาหารอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นพวกปิ้งย่าง เราเลือกร้าน 3 Chefs ซึ่งรสชาติอาหารน่าจะอร่อย เพราะมีเชฟถึง 3 คนช่วยกันทำ เราสั่งอาหารแบบเซ็ตที่มีอาหารจานหลักประเภทไก่ย่าง ไส้กรอกหลากหลายรูปแบบ ที่มาพร้อมกับจาปาตี และน้ำอัดลมมาแบ่งกันกิน 3 เซ็ต เพราะดูแล้วอาหารแต่ละเซ็ตนั้นปริมาณหนักหนาเกินกว่าที่คนเดียวจะกินหมด
อาหารแต่ละเซ็ตที่ยกมาดูน่ากินและปริมาณเยอะมากกว่าที่คิดไว้ จึงถูกแล้วที่เราสั่งมาแค่ 3 เซ็ต สำหรับไก่ย่างนั้นรสชาติอร่อย แต่ย่างไหม้จนดำไปทั้งแถบ จึงต้องตัดหนังที่ไหมทิ้งทั้งหมด ส่วนไส้กรอกที่มีหลายแบบนั้นน่าสนใจสุดๆ เพราะดูแล้วเป็นไส้กรอกที่ทำเอง ไม่ใช่ไส้กรอกที่ผลิตจากโรงงาน รูปร่างและรสชาตินั้นให้ความรู้สึกเหมือนไส้กรอกอีสาน หรือไส้อั่วของเมืองไทยยิ่งนัก นอกจากเนื้อไก่บดและเครื่องเทศแล้ว ภายในยังมีข้าวผสมอยู่ในนั้น
เพื่อให้ครบอาหาร 5 หมู่ จึงสั่งสลัดผักมากินเป็นเครื่องเคียงด้วย แต่พอสลัดผักยกมาเสริฟ เราจึงได้รู้ว่าที่แท้สลัดผักของชาวอียิปต์นั้นก็คืออาจาดในบ้านเรา มากินอาหารอียิปต์จึงให้ความรู้สึกเหมือนกินอาหารในเมืองไทย ซึ่งนั่นเกิดจากการถ่ายเทวัฒนธรรมด้านอาหารการกินที่มีมาตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบัน
กินอิ่มจนแน่นท้อง แต่ละคนจึงเดินอุ้ยอ้ายแยกย้ายกันกลับห้องพัก ทิ้งน้องหมีกับผมให้เป็นคนจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่น้องหมีจะควักเงินจ่ายตามราคาที่เรียกเก็บ ผมนึกขึ้นได้ว่าราคาอาหารนี้รวมน้ำอัดลมด้วยนี่นา แต่นี้เรากินจนอิ่มและกำลังจะจ่ายเงินแล้วก็ยังไม่เห็นมีน้ำอัดลมมาเสริฟ มีแต่น้ำเปล่าที่เราสั่งเพิ่ม จึงท้วงถามน้ำอัดลม คนขายบอกว่าน้ำอัดลมหมด เดี๋ยวจะลดราคาให้ ซึ่งนั้นเองทำให้ผมเกิดเอ๊ะใจและลองคำนวณราคาของอาหารแต่ละเซ็ต ทำให้รู้ว่าคนขายคิดราคาเกินจริง จากที่คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานในการจ่ายเงินเพื่อจะได้กลับไปพักผ่อนจึงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในเวลานี้เชฟทั้ง 3 คนหยุดมือจากการทำอาหารมาเคลียร์และกดเครื่องคิดเลขคำนวณค่าอาหารให้เราดู ซึ่งคำนวณอย่างไรก็น้อยกว่าราคาที่เรียกเก็บ สุดท้ายจึงยอมลดราคาลง และอ้างว่าราคาที่เกินมานั้นคือค่าน้ำเปล่าที่เราสั่งเพิ่ม เฮ้อ...เจองูกับเจอแขก ต้องตีแขกก่อนจริงๆ
แม้อยากหลับตานอนใจจะขาด แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะกิจกรรมของวันนี้ยังไม่จบ โดยคืนนี้ผมยังมีนัดในการชมแสงสีเสียง ที่จัดแสดงหน้ามหาพีระมิด แต่ผมนั่งดูจากดาดฟ้าหน้าห้องพัก ซึ่งเห็นแบบเต็มๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อบัตรเข้าชม
การแสดงใช้เวลาประมาณ 50 นาที โดยเป็นการเล่าประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ซึ่งในเวลานี้มหาพีระมิดทั้ง 3 ถูกอาบไล้ด้วยแสงสีอย่างสวยงาม เมื่อจบการแสดงผมจัดแจงพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายและความเมื่อยล้า แต่แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าในแต่ละคืนมีการแสดงแสงสีเสียงถึง 2 รอบ แต่จะให้มาดูรอบ 2 อีกคงไม่ไหว จึงเข้าไปนอนหลับใหลบนที่นอน แต่แทนที่ผมจะหลับจนถึงเช้า ในเวลาราวตี 2 ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และเปิดประตูห้องพักไปยืนรับสายลมเย็นที่ดาดฟ้า ภาพเบื้องหน้าคือมหาพีระมิดที่เห็นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันจนถึงค่ำ แต่ภาพเดียวกันนี้ในเวลาที่ต่างกันนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันยิ่งนัก เพราะในเวลานี้ผมรู้สึกหลอนๆกับภาพที่เห็น จนรีบพาตัวเองกลับเข้าห้องและหลับยาวจนถึงเช้า
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.42 น.