"ไปเที่ยวเหนือฤดูฝนกันเถอะ"
เป็นประโยคธรรมดาๆ ที่เราคุยกับแฟน เพราะเราอยากลองไปภูเขา ไปดอย ในฤดูฝนดูบ้าง เราจะได้เห็นป่าเขียวขจี ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน และถ้าใครเป็นสายทะเลหมอก ฤดูฝนนี่แหละค่ะ ที่เราจะพบหมอกได้มากมาย เราเลยเลือกไปเชียงราย เพราะเรายังไม่เคยไป ^^
ทริปนี้เลยเป็นเชียงรายครั้งแรก ก็เลยอยากขอไปแบบไม่ธรรมดา อยากลองอะไรใหม่ๆ เปิดประสบการณ์ให้ชีวิต และเป็นรสชาติแก่ชีวิต นั่นคือ เราอยากลองเที่ยวแบบแบคแพคค่ะ ไม่ขับรถ ไม่เช่ารถ ไม่เหมารถ และไม่นั่ง taxi
เป้าหมายของเรา คือ จะนั่งรถสาธารณะ และโบกรถ (สมัยวัยรุ่น แฟนเราเคยโบกรถจากกรุงเทพฯ ไป ทีลอซู ฟังแล้วมันดูสนุกดี เราอยากลองบ้างแต่ไม่โบกจากกรุงเทพฯ นะ 55) แฟนเราก็ตามใจ ทริปนี้เลยเกิดขึ้น ^^
แผนที่เชียงรายจ้า เราเริ่มต้นจากการที่คิดว่า อยากไปที่ไหนบ้าง สถานที่หลักๆ ที่เราอยากไป คือ
อ.เมือง - วัดร่องขุน
อ.แม่จัน - ไร่ชาฉุยฟง
อ.แม่ฟ้าหลวง - ดอยแม่สลอง
อ.แม่สาย - ดอยผาฮี้ ดอยผาหมี ด่านพรมแดนแม่สาย
จะเป็นการขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จาก อ.เมืองเชียงราย ไปที่ อ.แม่สาย จริงๆ เราอยากไปภูชี้ฟ้าด้วย แต่อยู่ อ.เทิง ซึ่งไปคนละทางกันเลย เลยต้องขอตัดออกค่ะ
ปล. ข้อมูลการเดินทางของเรา คือ เดือนกันยายน 2565 นะคะ
Day 1 : กทม - เชียงราย
เราได้ตั๋วเครื่องบิน Air Asia ไปเชียงราย 0 บาท (จ่ายแค่ค่าภาษีสนามบินคนละ 100 บาท) เราซื้อแค่ตั๋วขาไป ส่วนขากลับ ยังไม่รู้จะกลับวันไหน แล้วตอนนั้นจะอยู่ตรงไหนในเชียงราย อาจจะไม่สะดวกกลับมาที่สนามบิน หรือเวลาไม่ได้ เพราะเป็นทริปแบคแพค อาจจะไม่เป็นไปตามแพลน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เราเลยไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับค่ะ
ไฟล์ทของเรา ออก 10.50 สนามบินดอนเมือง (เวลา boarding 10.15) ถือว่าเวลากำลังดี ไม่ได้เช้ามาก เราเลยมีเวลาเดินทางไปสนามบินแบบไม่ต้องพึ่ง taxi
ด้วยความที่เป็นเช้าวันธรรมดา การจราจรบนถนนไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร รถไฟฟ้าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลา 8.00 เราก็สะพายกระเป๋าขึ้นหลังคนละใบ แล้วออกเดินทางค่ะ
วิธีการเดินทาง
- เดินจากบ้าน 1 กม. ไปสถานี bts ช่องนนทรี
- นั่ง bts จากสถานีช่องนนทรี ไปสถานีวัดพระศรีมหาธาตุบางเขน (44 บาท/คน)
- เดิน 2.2 กม. ไปรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีหลักสี่
- นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีหลักสี่ ไปสถานีดอนเมือง (18 บาท/คน)
ถึงแล้วสนามบินดอนเมือง มาทันแบบไม่ต้องวิ่ง 555 อีกแค่อึดใจเดียวก็จะถึงเชียงราย การที่ได้คิดว่า เราจะต้องนั่งรถสาธารณะเที่ยว และโบกรถคนแปลกหน้า บอกเลยว่าตื่นเต้นมาก
เพียง 1 ชั่วโมง เราก็บินมาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายแล้ว ตอนนี้ไม่มีรถ city bus เข้าเมืองแล้วนะคะ จะต้องเช่ารถ หรือ นั่ง taxi เท่านั้น เราเลยเดินออกไปหน้าสนามบิน แล้วโบกจ้าา #โบกรถครั้งที่ 1 รถที่เราจะโบก คือ รถกระบะเท่านั้น เพราะเราคิดว่า เขาจะสะดวกใจที่ให้เรานั่งท้ายกระบะมากกว่านั่งในรถด้วยกัน ซึ่งรถก็ผ่านไปหลายคันไม่จอด จนในที่สุด ใช้เวลาไม่นาน ก็มีรถกระบะจอดรับเราแล้วจ้า
โรงแรมที่เราพัก ชื่อ "น่ารักอ่ะรีสอร์ท" อยู่ใกล้ บขส แห่งที่ 1 (คนเชียงรายเรียกว่า บขส เก่า) เนื่องจากรถเมล์ที่จะไปอำเภอต่างๆ จะต้องขึ้นที่นี่ เราเลยเลือกโรงแรมใกล้ๆ ค่ะ พี่คนขับก็ใจดี ไปส่งให้ใกล้ๆ กับ บขส เลย เราเดินต่ออีก 500 เมตรก็ถึงโรงแรมแล้ว
การโบกรถไม่ยากอย่างที่คิด สนุกมาก 55 น่าจะเป็นเพราะคนไทยใจดี ^^ แต่นี่เพิ่งเริ่มต้นทริปเท่านั้น ลุ้นกันต่อไปว่าจะเจอคนใจดีแบบนี้ตลอดมั้ย
เรา Check in วางกระเป๋าเรียบร้อย ทานมื้อเที่ยง และจะไปวัดร่องขุ่นต่อ ซึ่งก่อนเดินทางมา เราหาข้อมูลในกรุ๊ปเที่ยวเชียงราย บอกว่าไม่มีรถไป ต้องเช่ารถ เหมาสองแถว แต่เราไม่เชื่อ เพราะวัดอยู่เกือบติด ถ.พหลโยธินเลย ซึ่งเป็นถนนหลักของเชียงราย จะไม่มีรถได้ยังไง ดังนั้น เราจึงเดินไป บขส เก่า ซึ่งเป็นแหล่งรวมรถนั่นเอง
วิธีการเดินทางจาก บขส เก่า ไปวัดร่องขุ่น
ขึ้นรถเมล์เชียงราย - แม่ขะจาน (คนละ 25 บาท) หรือ ขึ้นรถสองแถวเชียงราย - พาน (คนละ 25 บาท) ลงสามแยกวัดร่องขุน ข้ามถนน เดินเข้าไป 200 เมตร ก้อวัดร่องขุ่นละจ้า
เราไปที่ บขส. เก่า มีรถเมล์จอดรออยู่ แต่ไม่เห็นรถสองแถวนะ เราเลยไปด้วยรถเมล์ ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 30 นาทีก็ถึงวัดร่องขุ่น
ส่วนขากลับ เดินออกมา 200 เมตร แต่ไม่ต้องข้ามถนนนะ นั่งรอรถกลับได้เลย แล้วก็มีรถสองแถวผ่านมาตอน 17.00 (ยังมีรถผ่านอยู่นะคะเวลานี้) ก็ขึ้นเลยค่ะ มาลง บขส. เก่าเหมือนกันจ้า
บรรยากาศในวัดร่องขุ่นวันนี้ ฟ้าแจ่ม ฝนไม่ตกจ้า และคนน้อยมากๆ เพราะเป็นวันธรรมดา ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ วัดสวยมากจริงๆ สำหรับคนไทยไม่เสียค่าเข้า (ต่างชาติ 100 บาท) และยังมีหอศิลป์ของอาจารย์เฉลิมชัยด้วย แวะเข้าไปดูกันนะ ไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกันค่ะ
หอนาฬิกาเชียงราย
หลักจากถึง บขส.เก่า เราเดินไปหอนาฬิกา เพื่อหาของกินมิ้อเย็น แล้วก็เดินกลับโรงแรม สบายๆ ไม่ไกลจ้า
Day 2 : ดอยแม่สลอง
เช้าวันนี้ เราจะเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย ไปดอยแม่สลองกัน เราออกจากโรงแรมเกือบ 9 โมงเช้า เพราะนอกจากทานอาหารเช้าแล้ว ก็ทำแซนวิชเตรียมไปเป็นมื้อกลางวันด้วย (โรงแรมมีครัวให้ทำอาหารได้เองเลย ดีมาก)
วิธีการเดินทางจาก บขส เก่า ไปดอยแม่สลอง
ขึ้นรถเมล์ เชียงราย - แม่สาย (คนละ 25 บาท) หรือ เชียงราย - เชียงแสน (คนละ 25 บาท) ลงที่ทำการไปรษณีย์แม่จัน แล้วเดินเข้าซอย 500 เมตร ไปคิวรถสองแถว (ตรงข้ามห้างทองเอกเซ่งเฮง) แต่กว่ารถจะออกอีกนานเลยค่ะ เราเลยเลือกไปรถตู้ เชียงราย - แม่สาย (คนละ 35 บาท) ระยะทาง 30 กม. ใช้เวลาประมาณ 45 นาที รถตู้ไปส่งถึงคิวรถสองแถวเลย ไม่ต้องเดิน
พอถึงคิวรถสองแถว เราอ่านข้อมูลเก่าๆ ว่า จะมีรถสองแถวไปถึงดอยแม่สลองเลย สะดวกมาก แต่ๆๆๆ ตั้งแต่โควิด คนขึ้นน้อย รถสองแถวไม่ไปดอยแม่สลองแล้วนะคะ จะไปจอดแค่สามแยกกิ่วสะไตเท่านั้น (คนละ 50 บาท) ระยะทาง 30 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
โอเค ก็ต้องไปค่ะ แล้วไปหารถโบกขึ้นดอยแม่สลองต่อละกัน ^^
มาถึงจุดจอดรถสามแยกกิ่วสะไตละจ้า ถ้าไปดอยแม่สลองจะต้องเลี้ยวขวา แต่ถ้าตรงไปจะไปเชียงใหม่ ซึ่งตรงสามแยกจะมีด่านตรวจอยู่ คนขับสองแถวบอกว่า ให้ตำรวจโบกให้ได้ พี่ๆ ตำรวจน่ารักมาก บอกให้ไปนั่งรอที่ศาลา เดี๋ยวเรียกให้จ้า เราคิดว่า พี่ๆ ด่านตรวจนี้คงชินแล้ว เพราะนอกจากนักท่องเที่ยว ก็มีชาวบ้านที่ไปธุระในอำเภอ นั่งสองแถวกลับมา แล้วให้พี่ตำรวจโบกให้เช่นกัน
ตอนนี้เป็นเวลา 11.00 ซึ่งจุดนี้รอรถนานนิดนึง เพราะรถผ่านมาน้อยมากค่ะ และบางคันก็ไปไม่ถึงดอยแม่สลอง แต่เราเตรียมอาหารกลางวันมาแล้ว ก็นั่งทานรอไปชิวๆ ค่ะ อากาศดี ไม่ร้อน และฝนไม่ตก แม้จะเป็นเดือนกันยายน โชคดีมากๆ ^^ จนกระทั่งผ่านไป 1 ชม. ก็มีรถชาวบ้านดอยแม่สลองผ่านมา เราเลยได้ติดรถไปดอยแม่สลองละค่ะ พี่ๆ ชาวบ้านให้เรานั่งด้านในเลย #โบกรถครั้งที่ 2
จากด่านกิ่วสะไต มาถึงหมู่บ้านบนดอยแม่สลอง ตรงป้ายดอยแม่สลอง 0 กม. เป็นระยะทาง 13 กม. ใช้เวลาประมาณ 30 นาที (ภาพนี้เอามาจาก google นะคะ เนื่องจากตอนเราไปป้ายจางมากแล้ว)
ถ้าขับรถมาเอง สามารถขึ้นทางไร่ชาฉุยฟงได้นะ เป็นเส้นขนานกัน แต่เส้นนั้นไม่มีรถสาธารณะเลย เราจึงนั่งสองแถวไปกิ่วสะไตแล้วโบกรถ แต่พรุ่งนี้ขาลงดอย เราจะไปทางไร่ชาฉุยฟงจ้า
เราพักที่โรงแรมซินแซ ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกบนดอยแม่สลอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แต่มีการ renovate นะคะ ห้องดี ทำเลดีมาก ใกล้แหล่งร้านอาหาร ใกล้ 7-11 ด้วย ซึ่งเราต้องเดินจากป้ายดอยแม่สลอง 0 กม. ไปโรงแรม ระยะทาง 1 กม. มาช่วงฤดูฝนแบบนี้ นักท่องเที่ยวไม่เยอะ walk in ได้เลยค่ะ ไม่ต้องจอง
แดดช่วงกลางวันจะแรงนิดนึง แต่ลมดีมาก ประมาณบ่าย 3 แดดก็ร่มแล้ว เราเลยอยากจะไปไร่ชาวังพุดตาล ซึ่งอยุ่บนดอยแม่สลองเลย ไม่ไกลมากจากโรงแรมนัก ระยะทางแค่ 3 กม. เราสามารถเดินไปได้ แต่โบกรถเถอะ #โบกรถครั้งที่ 3
พี่คนขับใจดี เข้าไปส่งให้ถึงไร่ชาวังพุดตาลเลย ไร่ชานี้ไม่ใหญ่ค่ะ และค่อนข้างเงียบนิดนึง แต่บรรยากาศดีมากนะ
ขากลับ เราเดินออกจากไร่ชามาที่ถนน แล้ว #โบกรถครั้งที่ 4 กลับไปยังโรงแรมจ้า เพื่อจะไปวัดสันติคีรีต่อ
ทางเข้าวัดสันติคีรีใกล้โรงแรมมาก เดินไปได้สบายๆ จากนั้นให้เดินขึ้นบันได 700 ขั้น เพื่อไปยัง พระบรมธาตุศรีนครินทราสถิตย์มหาสันติคีรี เดินเมื่อยมากค่ะ ณ จุดนี้ 55
ถึงด้านบนแล้ว สวยมากๆ สามารถชมวิวหมู่บ้านบนดอยแม่สลองจากมุมสูงได้ด้วย
หลังจากชื่นชมวิวตรงนี้เสร็จ เรากะว่าจะเดินลงกลับไปทางเดิม แต่ชาวบ้านแนะนำว่า ให้เดินต่อไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แล้วจะเดินลงไปตรงหมู่บ้านได้ อ่ะ เชื่อค่ะ เดินต่อไป เป็นทางเดียวกับที่รถวิ่ง ชันมากจ้า 1.6 กม. เหนื่อยมาก เพราะมันชันมาก ให้ ก ล้านตัวไปเลย ในที่สุด เราก็ถึงศาลาจุดชมวิวแล้ว
จากศาลาชมวิว ถ้าเราต้องเดินลงไปถึงโรงแรม ระยะทาง 3.1 กม. เดินไม่ไหวละจ้า หลังจากเดินขึ้นบันได 700 ขั้น และเดินถนนชันมาก 1.6 กม. ก็หมดพลังไปเยอะมากแล้ว เราเลยติดรถชาวบ้านลงไป #โบกรถครั้งที่ 5 พี่คนขับเล่าว่า ปกติคนที่นี่ จะมาเดินออกกำลังกายแบบนี้แหละทุกวันเช้าเย็น โอ้ววว แข็งแรงมากค่ะ ข้าน้อยขอคารวะ
เราอยากทานอาหารยูนนาน พี่เค้าเลยแนะนำ "ร้านอาหารซื่อไห่" เราเชื่อคนท้องถิ่น ไปสิคะ เจอคนใจดีอีกแล้ว ไปส่งให้ถึงหน้าร้านเลยจ้า เลยโรงแรมเราไปหน่อยนึง ขากลับเดินกลับได้
ไม่พลาดค่ะ อาหารยูนนานขึ้นชื่อที่ต้องสั่ง นั่นคือ ขาหมูหมั่นโถว ร้านนี้อร่อยจริง หมั่นโถวก็นุ่ม แนะนำเลย
Day 3 : ไร่ชาฉุยฟง และ ดอยผาหมี
เช้าวันนี้ เราเดินไป "ร้านบะหมี่ยูนนาน" จัดอาหารยูนนานอีกแล้วจ้า อร่อย และราคาถูกมากค่ะ เกี๊ยวน้ำ (พิเศษ 50 บาท) และเกี๊ยวซ่า (40 บาท)
จากนั้นเราจะไปไร่ชาฉุยฟง จากโรงแรมไปไร่ชา 34 กม. แน่นอนว่าต้องโบกรถไปนะจ๊ะ #โบกรถครั้งที่ 6 โชคดีมากๆ โบกคันแรกก็เจอรถที่จะเข้าเมืองเชียงรายพอดี ซึ่งจะผ่านหน้าทางเข้าไร่ชา แล้วเดินเข้าไปอีก 4 กม. แต่พี่คนขับใจดีอีกแล้ว ไปส่งให้ถึงที่จอดรถไร่ชาฉุยฟงเลยค่ะ
เมื่อคืน ฝนตกหนักมาก ตอนเช้าเราเลยได้เห็นหมอก ระหว่างทางก็นั่งชมวิวไป อากาศดีมาก เย็นสบายจริงๆ
ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงไร่ชาฉุยฟงจ้า 9 โมงเช้า คนน้อยมากๆ แทบไม่มีคนเลย เราก็แบคแพคมาไร่ชาแบบเก๋ๆ
เมื่อมาไร่ชา ต้องไม่พลาดสั่งชา และขนมที่นี่ด้วยนะ ราคาไม่แพงเลย และอร่อยมาก เราสั่งชาเขียวปั่น (60 บาท) และเครปเค้กชาเขียว (110 บาท) ราคาน่ารักเนอะ ^^
เต็มอิ่มกับไร่ชา เราก็จะไปที่ดอยผาหมีกันต่อ ที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ ชาวอาข่า เราก็โบกรถที่ไร่ชาเลยค่ะ #โบกรถครั้งที่ 7 ได้รถที่จะไปทำธุระที่แม่สายพอดี เราเลยจะขอลงตรงร้านจันกะผัก ซึ่งเป็นทางขึ้นดอยผาหมี แล้วโบกรถขึ้นดอยต่อ ซึ่งเราจะไปพักที่ บูซอ โฮมสเตย์ ช่วงฤดูฝนแบบนี้ walk in ได้เลย แต่เราโทรเข้าไปถามก่อนเข้าไป เพราะถ้าเต็มจะได้หาที่พักอื่นแทน
คุยกันไปมา พี่เค้าก็อยากแวะเที่ยวขุนน้ำนางนอน เลยไปด้วยกันเลย อิอิ แต่น่าเสียดาย ขุนน้ำนางนอนยังคงปิดอยู่จนถึง 30 กันยายน เราเลยให้ไปคาเฟ่สวนคุณปู่ ซึ่งเป็นคาเฟ่ยอดฮิตบนดอยผาหมีที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแทน
วิวสวยมากๆ เลย แต่เครื่องดื่มราคาจะแรงกว่าที่ไร่ชาฉุยฟงนะคะ ถือว่าเป็นค่าวิวละกัน ^^ จากนั้น พี่เค้าก็ไปส่งเราที่โฮมสเตย์เลยค่ะ เจอคนใจดีอีกแล้ว
เรามาถึงโฮมสเตย์ตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ได้กินลมชมวิว นั่งดูหนังท่ามกลางวิวสวยๆ อากาศเย็นสบาย ช่างสโลว์ไลฟ์จริงๆ อาหารเย็นที่นี่ สามารถสั่งที่โฮมสเตย์ได้เลยจ้า
Day 4 : ด่านพรมแดนแม่สาย
เช้าวันนี้ตื่นมา ทะเลหมอกหนามากจ้า ใครชอบทะเลหมอกแบบไม่ต้องลุ้น ต้องมาฤดูฝนจริงๆ ได้เห็นหมอกจนอิ่มเลยล่ะ
เรานั่งตรงนี้จนถึง 10.30 หมอกก็ยังหนามาก พนักงานที่โฮมสเตย์บอกว่า หมอกน่าจะอยู่ทั้งวัน ^^ ทางเดินจากโฮมสเตย์ออกไปที่ถนน เต็มไปด้วยหมอกค่ะ แทบมองไม่เห็นทาง เราเลยขอติดรถนักท่องเที่ยวที่กำลัง check out เพื่อไปผาฮี้ ออกจากโฮมสเตย์ไปที่ถนน แล้วจะโบกรถต่อเพื่อลงดอย #โบกรถครั้งที่ 8 แต่พี่เค้าก็แวะไปส่งเราที่ร้านจันกะผักริมถนนใหญ่เลยค่ะ น่ารักมาก เจอคนใจดีอีกแล้วทริปนี้ จากนั้นเราก็โบกรถอีกคันนึงเพื่อไปด่านพรมแดนแม่สายจ้า #โบกรถครั้งที่ 9
เนื่องจากเราไม่ต้องต่อรถหลายคัน เลยมาถึงด่านพรมแดนแม่สายไว ซึ่งที่ด่านพรมแดนแม่สายยังปิดอยู่นะคะ ไม่สามารถข้ามไปพม่าได้ เราก็เดินเล่นตลาดแม่สาย ทานอาหาร แล้วเดินจากด่านพรมแดนไปสถานีขนส่งแม่สาย ระยะทาง 5 กม. ณ อุณหภูมิ 24.8 องศาค่ะ อากาศเย็นสบายมากๆ เพื่อเตรียมกลับกรุงเทพฯ โดยรถบัส แม่สาย - กรุงเทพฯ เป็นอันจบทริปธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ค่าใช้จ่ายทริปนี้ (ไม่รวมค่าอาหาร) 3,410 บาท หาร 2 คน เท่ากับคนละ 1,705 บาทค่ะ ค่าใช้จ่ายน้อยมาก แต่ประสบการณ์เยอะมาก ทริปนี้ นับว่าเราโชคดีมากๆ ไม่เจอฝนเลย และเจอแต่คนใจดีตลอดทั้งทริป ทำให้ความทรงจำทริปโบกรถ แบคแพคของเราสวยงาม ขอบคุณน้ำใจพี่ๆ ทั้ง 9 คันที่จอดรับเรา ให้ติดรถไปด้วยนะคะ ^^
ทริปนี้ เราสนุกมากจริงๆ พร้อมๆ กับความตื่นเต้นที่มากเช่นกัน เพราะต้องบอกว่า ปกติเราเป็นคนวางแผนชีวิตดีมาก ไม่เว้นแม้แต่การท่องเที่ยว เราจะวางแผนเป๊ะ แต่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ซึ่งการเที่ยวแบบแบคแพคนี้ เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเรามาก เพราะเราแพลนอะไรไม่ได้เลย คิดได้แค่ destination ที่อยากไปในหัว แต่ทุกอย่างต้องดูสถานการณ์จริง และทำเวลาไม่ได้ ไม่เหมือนขับรถเอง เพราะต้องใช้เวลารอรถสาธารณะเอย โบกรถเอย แต่สิ่งนี้แหละ คือ การก้าวออกจาก Comfort Zone ค่ะ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และไม่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทุกอย่างก็แค่ลอง ต้องมีครั้งแรกเสมอ ... ลองไปแบคแพคกันดูนะคะ
Travelholic
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 20.56 น.