คนขับพาเราลงใต้ ผ่านตัวเมืองอัสวาน เพื่อไปยังจุดหมายที่เขื่อนอัสวาน (Aswan dam) ซึ่งสร้างกั้นแม่น้ำไนล์ เมื่อปีค.ศ.1960 จนเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เพื่อประโยชน์หลักคือการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการเกิดเขื่อนอัสวานนี้เองที่ทำให้เกิดการย้ายวิหารหลายแห่ง อันเป็นมหาโปรเจตที่ยูเนสโกดำเนินการร่วมกับหลายประเทศเพื่อไม่ให้วิหารเหล่านั้นจมอยู่ใต้น้ำ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อรถแท็กซี่จอดที่สันเขื่อน แต่เพื่อนๆยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีที่จะขยับตัวลงจากรถกันสักคน นั่นเป็นเพราะความเกรงกลัวต่อความร้อนแรงของแสงแดด จึงมีเพียงผมที่ลงจากรถไปยืนมองความยิ่งใหญ่ของเขื่อนแห่งนี้ที่ทอดตัวขวางกั้นการไหลของมหานทีแห่งทวีปแอฟริกาเพียงลำพัง
เห็นแม่น้ำไนล์มาหลายวัน วันนี้พวกเราจะได้ลงเรือล่องแม่น้ำไนล์กันเสียที โดยเป็นการนั่งเรือสู่เกาะกลางแม่น้ำ นามว่า ฟิเล (Philae) ซึ่งบนเกาะแห่งนั้นเป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งวิหารขนาดใหญ่ในอียิปต์
ป้ายหน้าท่าเรือของทางการอียิปต์เขียนไว้ชัดเจนว่า เรือเช่าเหมาลำไปกลับ ราคา 120 ปอนด์อียิปต์ นั่งได้ไม่เกิน 8 คน แต่เอาเข้าจริงๆ คนขับเรือกลับบอกราคาเราที่ 150 ปอนด์ ราคาต่างกันมากขนาดนี้เราจึงไม่ยอมง่ายๆ โดยยืนยันที่ราคาที่ทางการกำหนดคือ 120 ปอนด์ แต่คนขับเรือไม่ยอม ส่วนเราก็ไม่ยอมเช่นกัน ทีแรกคิดว่าจะเดินกลับไปที่ห้องจำหน่ายบัตร ซึ่งเราได้ซื้อบัตรการเข้าชมวิหารฟิเลจากที่นั้น ว่าทำไมราคาเรือถึงไม่ตรงกับที่ระบุไว้ แต่ยังไม่ได้ทำตามที่คิด เจ้าของเรืออีกลำก็เดินมาบอกกับเราว่า ไปกับเขาก็ได้ ราคา 120 ปอนด์ เพียงแต่ว่าเรือของเขาเป็นเรือแบบเปิดประทุน
เรานั่งตากแดดที่แรงกล้าล่องไปตามแม่น้ำไนล์เพื่อมุ่งสู่เกาะฟิเล จริงๆแล้วเกาะที่เรากำลังจะไปนี้ไม่ใช่เกาะฟิเล หากแต่คือเกาะอากิลเคียยาห์ (Agilqiyyah) แต่ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่เรียกเกาะนี้ว่าเกาะฟิเล ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เกาะฟิเลจริงๆซึ่งบนเกาะเป็นที่ตั้งของวิหารฟิเลนั้นปัจจุบันได้จมอยู่ใต้น้ำจากการสร้างเขื่อนอัสวาน วิหารฟิเลก็พลอยจมน้ำไปด้วย แต่ก่อนที่จะจมน้ำจนมิดทั้งหลัง ยูเนสโกได้ดำเนินการชำแหละวิหารแห่งนี้ออกเป็นส่วนๆ แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่บนเกาะอากิลเคียยาห์ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นมาราว 500 เมตร เมื่อปีค.ศ.1980 ทำให้ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างถิ่นจึงเรียกเกาะแห่งนี้ว่า เกาะฟิเลไปโดยปริยาย
แม่น้ำไนล์บริเวณนี้มีเกาะซึ่งมีลักษณะเป็นแก่งหินน้อยใหญ่ขึ้นกระจัดกระจาย ธรรมชาตินั้นก็สวยงามอยู่ แต่แดดนั้นร้อนชมัด หันไปมองโดยรอบยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีเรือที่เรานั่งเพียงลำเดียวเท่านั้นที่ไม่มีหลังคา ในขณะที่เรือลำอื่นๆมีหลังคาทุกลำ หรือนี่คือการเตรียมตัวในการไปเยือนเกาะฟิเล เพื่อให้เรารับแสงอาทิตย์กันแบบเต็มๆ เพราะชาวอียิปต์โบราณถือว่าเกาะแห่งนี้เป็นเกาะแห่งเทพรา เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
แล้วเรือก็มาเทียบท่าที่เกาะอากิลเคียยาห์ คนเรือสอบถามเราว่าจะใช้เวลาเที่ยววิหารฟิเลนานแค่ไหน เรามองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปตอบว่าประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะวิหารแห่งนี้ดูแล้วมีขนาดใหญ่พอควร
วิหารฟิเลสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ปโตเลมีเหมือนเช่นวิหารคอมออมโบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายแด่เทพีไอซีส ราชินีของเทพโอซิรีส โดยชาวอียิปต์โบราณเชื่อกันว่า ก่อนที่ฟาโรห์จะเป็นมนุษย์เดินดินนั้น แต่เดิมฟาโรห์คือเทพเจ้า ซึ่งเทพโอซิรีสนี้ก็คือฟาโรห์ผู้ปกครองอียิปต์ต่อจากเทพรา เทพโอซิรีสกับเทพีไอซีสได้สอนให้ชาวอียิปต์รู้จักการทำเกษตรกรรม รวมถึงการวางรากฐานอารยธรรมในหลายๆด้าน ชาวอียิปต์จึงให้ความเคารพต่อเทพทั้ง 2 เหมือนดั่งบรรพบุรุษ
โดยมีการบูชาเทพีไอซีสที่วิหารฟิเลแห่งนี้สืบต่อมาอีกหลายร้อยปีนับตั้งแต่เริ่มสร้าง จนถึงยุคที่อียิปต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ในปีค.ศ.535 จักรพรรดิจัสตินจึงมีพระราชโองการสั่งปิดวิหารฟิเล และเป็นการปิดฉากการบูชาเทพีไอซีสไปตลอดกาล
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยผ่านการจมน้ำหรือเปล่า ทำให้ภาพสลักของวิหารแห่งนี้ค่อนข้างเลือนลาง ไม่คมชัดเหมือนกับวิหารคอมออมโบ ซึ่งสร้างในสมัยเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามภาพสลักในห้องที่อยู่ลึกเข้าไปยังคงมีความสมบูรณ์พอควร จึงได้เห็นรายละเอียดอันเป็นจุดประสงค์หลักของการสร้างวิหารแห่งนี้ โดยเป็นภาพสลักของฟาโรห์จำนวนหลายต่อหลายภาพที่กำลังนำเครื่องสักการะมาถวายแด่เทพีไอซีส
สำหรับจุดเด่นของวิหารแห่งนี้เห็นจะเป็นเสา เพราะมีเสาที่หัวเสาสร้างด้วยศิลปะแบบกรีกจำนวนนำสิบนับร้อยต้น สร้างเรียงรายเป็นแถว จนอดจินตนาการไม่ได้ว่า ในอดีตเมื่อครั้งที่วิหารแห่งนี้ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์จะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.25 น.