ทีแรกผมวางแผนในใจว่าบ่ายวันนี้จะไปเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวนูเบีย ภายในพิพิธภัณฑ์นูเบีย แล้วช่วงแดดร่มลมตกจึงค่อยไปนั่งเรือเฟลุกก้าชมความงามของแม่น้ำไนล์ แต่เอาเข้าจริงๆสิ่งที่วางแผนไว้ได้มลายลงในพริบตา เมื่อน้องเนยืนยันว่าจะไปดำน้ำดูปะการังและอาบแดดริมทะเลแดงที่มาร์สาอลัมเสียตั้งแต่บ่ายนี้ เพราะแผนที่วางไว้คือออกจากอัสวานในวันพรุ่งนี้แต่เช้านั้นเธอกลัวไม่ทัน ในเมื่อมาด้วยกันจึงต้องไปด้วยกัน แทนที่คืนนี้เราจะได้นอนหลับสบายๆในโรงแรม จึงต้องทิ้งโรงแรมทั้งๆที่จ่ายเงินค่าห้องพักไปแล้ว 2 คืน

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางจากทะเลทรายสู่ทะเลแดง ที่ยาวนานเกินกว่าที่คิด

เก็บกระเป๋าเสร็จยังไม่ถึงเวลาบ่าย 3 ดีนัก เราก็มายืนอยู่ริมถนนเพื่อหารถแท็กซี่ไปมาร์สาอลัม (Marsa Alam) เมืองริมทะเลแดง ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศอียิปต์ ดูจากแผนที่แล้วจากอัสวานไปมาร์สาอลัม ซึ่งมีระยะทางประมาณ 180 กม. น่าจะใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงนั้นใช้เวลานานกว่าที่เราคิดไว้เยอะ

แล้วเราก็ได้แท็กซี่คันใหญ่ที่ตกลงไปส่งเราที่มาร์สาอลัมด้วยค่าจ้าง 1,200 ปอนด์ ซึ่งเป็นราคาที่สูงเอาเรื่อง เพราะคนขับบอกว่าระยะทางไกลมาก อีกทั้งเมื่อไปส่งเราที่มาร์สาอลัมแล้ว เขาก็ต้องตีรถเปล่ากลับมาที่อัสวาน ซึ่งเรามากัน 5 คน หารเฉลี่ยกันก็ตกคนละไม่เท่าไหร่

ระหว่างการเดินทาง น้องเนกับโอก็ดำเนินการค้นหาที่พักและจัดการจองที่พักริมทะเลแดง ที่ถูกใจเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในเวลานั้นผมซึ่งนั่งด้านหน้าข้างคนขับไม่รู้เลบว่าที่พักที่จองไว้นี้คือที่ไหน และอยู่ ณ ตำแหน่งไหนของมาร์สาอลัม รู้เพียงว่าอยู่ริมทะเลแดงเท่านั้น

จากอัสวานการเดินทางไปมาร์สาอลัมจะต้องเดินทางขึ้นเหนือไปตามการไหลของแม่น้ำไนล์ ผ่านวิหารคอมออมโบ สู่เมืองเอ็ดฟู จากนั้นจึงแยกไปทางทิศตะวันออก แล้วผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้งปราศจากจากบ้านเรือนสู่ริมฝั่งทะเลแดง ซึ่งเป็นทะเลที่แยกทวีปแอฟริกากับเอเชียให้ออกจากกัน ฉะนั้นก่อนเข้าสู่เขตทะเลทรายที่ทางแยกบริเวณเมืองเอ็ดฟู เราจึงให้คนขับจอดแวะซื้อเสบียงที่ร้านค้าริมทางในเวลาประมาณ 5 เย็น เพราะเส้นทางข้างหน้าที่พาดผ่านทะเลทราย คงไม่มีร้านค้าใดๆ

การเดินทางน่าจะใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะระยะทางจากอัสวานสู่เอ็ดฟูมีระยะทางประมาณครึ่งหนึ่งของระยะทางจากเอ็ดฟูสู่มาร์สาอลัม ซึ่งจากจุดนี้ไปรถต้องเดินทางไปบนถนนที่ตัดผ่านทะเลทรายกินระยะทางอีกกว่า 120 กิโลเมตร จากที่คิดว่าน่าถึงมาร์สาอลัมในเวลา 1 ทุ่ม จึงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ แต่จะถึงดึกแค่ไหนอันนี้คงขึ้นอยู่กับสภาพถนนที่ทอดผ่านทะเลทรายว่าจะมีสภาพดีแค่ไหน แล้วเราก็รู้สึกโล่งใจเพราะสภาพถนนที่เห็นนั้นดีมากๆ ถนนเรียบทำให้รถวิ่งได้ฉิ่ว แต่ความโล่งใจนี้ก็เพียงแค่ไม่กี่นาที เพราะเข้าเขตทะเลทรายไปได้ไม่ถึง 10 กิโลเมตร สภาพถนนก็ย่ำแย่ เป็นหลุมเป็นบ่อ จนรถทำความเร็วไม่ได้ตามที่คิด

ท้องฟ้าเริ่มมืด การเดินทางอย่างโดดเดี่ยวซึ่งแทบไม่มีรถคันใดสวนมาให้เห็นบนเส้นทางทะเลทรายแห่งนี้จึงดูเดียวดายยิ่งนัก แม้บรรยากาศเวลานี้จะดูสวยงามและโรแมนติกยิ่งนักกับภาพท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่มีพระจันทร์ส่องแสงนวลผ่องอยู่เบื้องบน แต่ไม่อยากคิดเลยว่าหากเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสียระหว่างทาง พวกเราจะอยู่ในสภาพเช่นไร

“นี่ถ้าคนขับฆ่าพวกเราหมกทะเลทรายจะทำอย่างไง” อยู่ๆพี่น้องทรงก็พูดลอยๆขึ้นมา ทำเอาพวกเราคิดจินตนาการไปต่างๆนานา แต่เอาเข้าจริงๆคนขับคงไม่กล้าทำอะไรกับพวกเราที่มีกันถึง 5 คนหรอก เพราะดูแล้วคนขับรถแท็กซี่คันนี้ดูเป็นคนใจเย็น และไม่มีความเจ้าเล่ห์เหมือนคนขับรถแท็กซี่ที่เราเคยเจอ อีกทั้งพวกเราแต่ละคนต่างพกอาวุธมาด้วย ไม่ใช่ปืนหรือมีด แต่เป็นอาวุธที่ถูกฝังไว้บนหน้าตาของแต่ละคน

ยิ่งรถเขย่มจากผิวถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งนั่งบิดไปบิดมามากเท่านั้น สาเหตุเพราะแผลที่ก้นซึ่งเกิดจากการนั่งเสียดสีกับที่นั่งบนหลังอูฐเมื่อ 3 วันก่อน เริ่มเกิดอาการกำเริบหนัก ในใจเวลานั้นจึงคิดแต่ว่าเมือไหร่จะถึงเสียที แต่การเดินทางนอกจากไม่เร็วอย่างที่ใจคิดแล้ว กลับช้าหนักขึ้นไปอีก เพราะตลอดเส้นทางมีด่านตรวจเป็นระยะ การผ่านด่านตรวจแต่ละด่านใช้เวลานานหลายนาที บางด่านกินเวลาเป็น 10 นาที เพราะไหนเจ้าหน้าที่จะขอดูใบขับขี่ของคนขับ ขอดูพาสปอร์ตของพวกเรา เรียกคนขับลงจากรถ และทำท่าทีเหมือนไม่ยอมให้เราผ่าน จนคนขับต้องยัดเงินใส่มือ เราจึงผ่านด่านไปได้

คนขับบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่เวลาผ่านด่าน หากไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องยึดเงินให้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แค่ 20 ปอนด์เท่านั้น

แม้การมีด่านตรวจทำให้การเดินทางของเราล่าช้ามาก แต่หากมองในแง่ดี การเดินทางบนพื้นที่ทะเลทรายที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว อีกทั้งยังเดินทางในเวลาวิกาลเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้นคงจะเป็นสิ่งที่อันตรายไม่ใช่น้อย จึงถือเป็นความปลอดภัยที่มีด่านตรวจเป็นระยะๆเช่นนี้

ยิ่งดึก อากาศยิ่งหนาว จนกระจกรถที่เคยเปิดรับลมนั้นถูกหมุนขึ้นมาจนแทบปิดสนิท แล้วในเวลา 3 ทุ่ม คนขับก็บอกว่าเรามาถึงมาร์สาอลัมแล้ว ซึ่งผมดู GPS จากมือถือก็ระบุเช่นนั้นเหมือนกัน คนขับหันมาถามว่าที่พักเราคือที่ไหน โอตอบว่า Resta Resort โดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ คนขับไม่รู้ว่า Resta Resort นี้อยู่ตรงไหน จึงขับรถเข้าไปในตัวเมืองแล้ววนหา แต่ก็หาไม่เจอ จนต้องจอดถามทาง ซึ่งในเวลานั้นร้านรวงปิดจนไม่เหลือแล้ว จึงต้องขับไปถามร้านอาหารที่ยังเปิดให้บริการอยู่ เจ้าของร้านบอกว่า Resta Resort นั้นไม่ได้อยู่บริเวณตัวเมือง แต่อยู่เหนือขึ้นไปอีก 65 กิโลเมตร!

65 กิโลเมตร! ผมได้แต่อุทานในใจ เพราะนั้นหมายถึงอีกราว 1 ชั่วโมงจึงจะถึง ในขณะที่โอบอกเป็นภาษาไทยว่า “ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ที่นี่ ต้องไปต่ออีก 60 กว่ากิโล”

???

บรรยากาศในเวลานั้นเหมือนตกอยู่ในความตึงเครียด เพราะตอนว่าจ้าง เราบอกคนขับเพียงว่าให้ไปส่งที่มาร์สาอลัม แต่กลายเป็นว่ารีสอร์ทที่เราจองนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองถึง 65 กิโลเมตร แต่คนขับที่ดูเป็นคนใจเย็นก็ยังใจเย็นอยู่เช่นเดิม โดยหันมาถามเราเป็นระยะว่าใกล้ถึงรีสอร์ที่จองไว้หรือยัง แต่โอซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้ที่ตั้งของรีสอร์ทกลับตอบเป็นภาษาไทยกลับไปว่า “ไปอีกๆ”

???

แล้วเวลาที่ผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมงก็พาเรามาถึง Resta Resort ในเวลา 4 ทุ่มเศษ คงเพราะมาในเวลาวิกาล ทำให้ รปภ.ที่ป้อมยาม ไม่ยอมให้รถเราเข้าไปในรีสอร์ท แต่โอซึ่งเป็นคนจองห้องพักก็ไม่ทำอะไร ยังคงนั่งอยู่บนเบาะอย่างไม่ไหวติง จนผมต้องขอมือถือจากโอแล้วลงไปคุยกับ รปภ. โดยเปิดหน้าจอที่แสดงการจองห้องพัก เพื่อยืนยันว่าเราจองห้องพักไว้แล้วจริง รปภ.จึงยอมปล่อยให้เราเข้าไปด้านใน

จากราคาที่ตกลงไว้ที่ 1,200 ปอนด์ คนขับแท็กซี่ขอเพิ่มอีก 100 ปอนด์ สำหรับระยะทางที่ไกลเกินกว่าที่คิด ทีแรกพวกเราบางคนไม่ยอมจ่าย เพราะบอกว่าให้มาส่งที่มาร์สาอลัม ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าให้มาส่งที่ตัวเมือง รีสอร์ทนี้ก็อยู่ที่มาร์สาอลัมเหมือนกัน แล้วทำไมต้องจ่ายเพิ่ม แต่สุดท้ายผมก็บอกน้องหมีซึ่งเป็นคนเก็บเงินกองกลางว่าจ่ายเพิ่มให้เขาไปเถอะ เพราะผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ารีสอร์ทจะอยู่ไกลขนาดนี้

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 16.25 น.

ความคิดเห็น