สวัสดีคุณผู้อ่าน วันนี้เราจะมาเขียนรีวิว เที่ยวภูเขาไฟโบรโม่ ที่อินโดนีเซียกัน
จริงๆแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของทริปยาว เที่ยวอินโดนีเซีย 9 วัน ของเรา ซึ่งสามารถอ่านรีวิวการเดินทางทั้งหมดของเราได้ใต้ลิงค์นี้เลยค่ะ
แบ็คแพ็คเที่ยวลอมบอก เกาะกีลีทั้ง3เกาะ ปีนภูเขาไฟโบรโม่ 9 วัน ด้วยงบ 10,000 บาท
ขอเกริ่นนำนิดนุมนะ ^^
ภูเขาไฟโบรโม่ เนี่ย ใครๆก็คงรู้จักกันแหละ มีชื่อเสียงไม่ใช่น้อย บางคนก็อยากจะมาให้เห็นสักครั้งเหมือนกับเรา ถ้าเอาสะดวงสบาย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ก็สามารถหาซื้อทัวร์ นั่งรถเทห์ๆ ไม่ต้องลำบาก มาเที่ยวโบรโม่ได้ ราคาก็ประมาน 6-9,000 บาท แล้วแต่ทัวร์ ซึ่งเราคงไม่ไหวถ้าจะต้องซื้อทัวร์ เลยนั่งหาข้อมูลว่า ถ้าจะแบคแพ๊คไป ต้องเดินทางยังไงบ้าง ก็หาข้อมูลยากอยู่พอสมควร บางเจ้าใช้วีธีนั่งบัส แล้วต่อรถ เช่ารถ โอ้ยยหลายขั้นตอน หลายการเดินทางแท้ วันหนึ่งผมไปเจอพี่คนหนึ่งในยูทูป พี่แกขับมอไซต์ไปเที่ยวโปรโม่ เลยพุดไอเดียนี้ขึ้นมาว่า "เราน่าจะขับมอไซต์ไปเที่ยวโปรโม่ได้นะ คงใช้เงินไม่เยอะหรอก" ก็กลับมาหาข้อมูลอยู่นาน มันหาข้อมูลยากมาก ไม่มีใครเค้ามาเที่ยวโบรโม่ด้วยวิธีนี้กัน เราก็ไม่รู้ทำไม อะเคไม่เป็นไร งั้นเดี่ยวเรามาทำรีวิวให้ลอกละกัน ป่ะ ไปอ่าน รีวิวขับมอไซค์ไปเที่ยวภูเขาไฟโบรโม่ Let's Go !!
นับว่า Day 1 ละกัน
เรานั่งเครื่องบิน มาจาก สนามบิน LOP ลอมบอกมาลงที่ สนามบิน SUB สุราบายา รอบเวลาประมาน บ่าย2
ซึ่งเมือง สุราบายา เนี่ย น่าจะไกล้กับภูเขาไฟโบรโม่ที่สุดแล้ว จากระยะทาง ถ้าขับมอไซต์ไปก็ประมาน 130 โล ใช้เวลาประมาน 2-3 ชั่วโมง (เนื่องจากเราขับมอไซต์ ไม่ได้ใช้ทางด่วน)
นั่งเครื่องประมาน ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึง สนามบินสุราบายา ลงเครื่องมาพร้อมกับฝนตกหนัก เราลองกดเกรปจากที่สนามบินไปที่พัก ราคาประมาน 150,000rp พอเดินออกมาจากสนามบิน ก็มีบรรดาเทกซี่เข้ามาเสนอราคา จบราคาไปที่ 100,000 rp ถ้วน (ประมาน 250 บาท )รวมค่าทางด่วนกับค่าเข้าสนามบิน
ปล.ที่ประเทศอินโดนีเซีย สามารถเรียกใช้Grab ได้นะ แต่ราคาแพงค่ะ เราก็แค่เอาราคาเกรปเป็นบรรทัดฐานในการไปต่อราคากับเหล่าบรรดาแท๊กซี่ทั้งหลาย
เราจองที่พัก แถวตัวเมือง ชื่อว่า Pana house ราคาประมาน คืนละ 650 บาท เป็นโรงแรมใหม่ และสะอาด ห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่อึดอัด แถมด้านล่างของโรงแรมมีร้านอาหารและคาเฟ่ ให้บริการด้วย ราคาเหมือนบ้านเรา ไม่ได้แพง
(รูปภาพโรงแรมจากในเน็ตนะคะ)
ระหว่างนั่งกิน ก็หา บริษัทเช่ารถ ซึ่งก็ค้นหาเอาจาก google map นี้แหละ พิมพ์ว่า motobike rental มีหลายเจ้าอยู่ แต่ที่นี่เค้าใช้ Whatapp กัน ทักไป เมล์ไป ไม่ค่อยมีใครตอบกลับมา มีอยู่เจ้าหนึ่งเราได้ลองทัก DM IG ไป แล้วปรากฎว่าเค้าตอบกลับมา ชื่อร้าน (จริงๆควรจะจองมาก่อนที่จะเดินทางนะ)
DM IG ไปโล่ดดดดดด ได้ทำการเช่ามอไซต์ NMAX 2 วัน หมวกกันน๊อก2ใบ ราคารวมมาส่งรถและมารับ โรงแรมเลย ตกลงราคากันที่ 400,000 rp ประมานเกือบๆพันบาท เงือนไขในการเช่า
จะมี 1.เอกสารการจองโรงแรม 2.ใช้ 3 ID card (พวกบัตรประชาชน ,ใบขับขี่ หรือพาสปอรท์ อะไรก็ได้ให้ครบ3) เมื่อถึงเวลานัด พนักงานก็จะขับมอไซต์มาส่งให้ที่โรงแรม
เค้าก็จะมีเอกสารรถมาให้ และก็ใบเสร็จการจอง เราก็เช็ครถ เช็คเบรค เช็คน้ำมัน เสร็จก็จ่ายเงินให้กับพนักงาน ก็ถือเป็นอันเรียบร้อย
Day 2 in Surabaya
ตื่นสายแล้ววววว เราได้ทำการเก็บของ เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม และขอฝากกระเป๋าไว้ที่เค้าท์เตอร์ของโรงแรม เพราะวันนี้ จะขับรถไปเที่ยวโบรโม่ แล้วก็กลับมานอนที่โรงแรมนี้ต่อ เตรียมเอาของ เสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น จะได้ไม่ต้องแบกหนัก จากตัวเมือง ขับไปโบรโม่ ใช้เวลาประมาน 3 ชั่วโมง ไม่รวมกับแวะพักทานข้าว เราขับออกจากโรงแรม 8โมงครึ่ง ขับไปเรื่อยตาม google map เลือกเป็นแบบไม่ขึ้นทางด่วนนะ เด๋วงานจะเข้าเอา ช่วงถนนหลักก่อนที่จะเริ่มขับขึ้นเขาไปยังโบรโม่ ให้ทำการเติมน้ำมันรถให้เต็ม จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเติมน้ำมันที่ด้านบนเขา
และแล้ว ที่นึกว่าจะรอด ก็ไม่รอด แวะจอดหลบฝน ช่วงขึ้นเขา ก่อนถึงโบรโม่ อีกนิดเดียวก็จะถึงที่พักที่โบรโม่อยู่แล้ว
จากถนนหลัก ขับขึ้นมาโบรโม่ ให้อารมณ์เหมือน ขับขึ้นภูทับเบิก แต่ทางแคบกว่า และก็ระยะไกลกว่าเท่าตัว
ใช้เวลาในการไต่ขึ้นมาประมาน 1 ขั่วโมง (ฝนตก) เราก็มาถึงที่พัก ปล.มีจ่ายค่าเข้าหรือค่าผ่านทางของหมู่บ้านด้วยนะ อันนี้ไม่ใช่ค่าเข้าอุทยานโบรโม่ 2 คน 63,000 rp
วิวหมู่บ้านด้านบน ไม่รู้ว่าชื่อหมู่บ้านว่าอะไร แต่บรรยากาศดีมาก ฝนที่ตกตลอดทาง ทำให้เราได้เห็นเมฆ ก้อนบะละหิ่ม ตลอดสองข้างทาง
เช็คอินที่พัก เรานอนกันที่ cafe lava hostel 1 คืน ราคาประมาน 1400 บาท รวมอาหารเช้า ที่เลือกที่นี่เพราะว่า สะอาดและก็ไกล้กับทางลงที่ไปโบรโม่ คือเดินไปไม่กี่ก้าว ก็จะเจอกับภูเขาไฟโบรโม่แล้ว
ฝนหยุดตกแล้ว ได้เวลา ออกไปตามหาภูเขาไฟโบรโม่ สะที แต่เด่วววว
ชำระเงินค่าเข้าอุทยาน 2 คน 440,000 rp (ประมาน 1,100 บาทค่ะ) เหมือนมันจะใช้ได้วันต่อวันนะบัตร แต่เราก็ถามเจ้าหน้าที่ว่า บัตรยังใช้ได้ถึงวันพรุ่งนี้นี้ไหม เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าใช้ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจสำหรับคนที่จะอยู่ 5-6 วัน หรือเป็นweek ว่าต้องจ่ายค่าเข้ากี่ครั้ง เพราะราคาไม่ใช่ถูกๆเลย พยายามคุยกับเจ้าหน้าที่เยอะๆให้แก เห็นหน้าจำเราได้ เพราะถ้าเราขับผ่านบ่อยๆ นางก็จะเลิกตรวจแล้วปล่อยผ่านไปเเอง 555
ขับออกจากด่านตรวจ หายใจเข้า ยังไม่ทันได้หายใจออก ก็เห็น เทอคนนั่นละ คนที่ตามหา มันช่าง สวย อลังการงานสร้างจริงๆ มันสวยจนพูดไม่ออกจริงๆ กับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นหนึ่งในความฝันในการเดินทางท่องเที่ยวของเรา วันนี้เราได้มาเห็นมันด้วยตาของเราแล้ว
ฝนตกเป็นบางแห่ง ไล่มาไล่ไป เราก็ต้องรีบทำเวลา
ขับมอเตอร์ไซต์ไปทางถนนลงไปด้านล่าง ก็จะเจอกับถนนขาด ใช่แล้ว มันสุดตรงนี้แหละ ที่เหลือก็ทางดินทางทรายล้วนๆ แต่ขับง่าย ไม่ใช่ทรายทะเลขนาดนั้น ไม่ได้ยากอะไร แต่ก็ต้องระวัง เพราะไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ของเรา เด๋วล้ม หัก แตกอะไรมา ต้องมาเสียค่าปรับไรอีก
ตอนนี้แยกไม่ออกแล้ว ที่เห็นขาวๆนั้น หมอกลงหรือฝนตก
ขับมาเรื่อยๆตามทาง ซึ่งมันก็ไม่ได้กำหนดชัดเจน ว่าทางที่คุณไปเป็นทางที่ถูก หรือผิด
แวะถ่ายรูปไปด้วย ขับไปด้วย แปปเดียวเราก็มาถึง จุดจอดรถjeep เพื่อที่จะเดินไปต่อยังภูเขาไฟ
นักท่องเที่ยวคือ น้อยมาก เดินสวนกันอยู่ สิบกว่าคนได้ และที่สำคัญ อากาศดี เย็นๆ ไม่มีแดด และฝุ่นก็ไม่มี
ทางเดินในช่วงแรก จะเป็นทางเดินเรียบๆ ยาวๆ จนเลยวัด
วิวด้านหลังจะเป็น หมู่บ้านที่เราขับลงมากัน
พี่ม้า เดินตามมาถามว่า สนใจขี้ม้าไหม ราคา 300,000 rp ถ้าเดินไม่ไหวก็ใช้บริการได้นะคะ แต่เราเลือกที่จะเดิน ถ่ายรูปกันไปเรื่อย ๆ คืออากาศมันดีมาก น่าจะราวๆ18 องศา ไม่มีแดด เดินได้เรื่อยๆแบบไม่เหนื่อยเลย
หนทางยังอีกยาวไกล ถามว่ารีบไหม ก็ไม่ ^^
ข้อดีของการ ขับมาเที่ยวกันเองคือ เราไม่ต้องเร่งรีบใดๆ ที่ไหนก็อยากแวะเราก็แวะ ที่ไหนอยากถ่ายรูปนานๆ ก็ทำได้ตามสบายเลย มีเวลาว่างให้ทั้งวัน
เดินมาได้สักพัก ก็เหมือนจะถึงจุดพักแรก มีร้านค้าชาวบ้าน และๆๆ มันขับมอไซต์เข้ามาจอดตรงนี้ได้ OMG ก็เดินมาตั้งไกล หนทางยังอีกยาวไกล แวะซื้อน้ำดื่มก่อน อย่าลืมพกน้ำดื่มขึ้นไปด้วย
ช่วงที่2 ทางเดินจะเริ่มขึ้นเนินและชันมากขึ้น
วิวระหว่างทางขึ้น มาฮิลใจมาก ทำให้ต้องหยุดแวะถ่ายรูปอยู่ตลอด
ช่วงสุดท้าย จะเป็นบันได ขันๆขึ้นไปจนถึงปากปลองภูขาไฟ
ถึงแล้ว ภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟยังไม่ดับนะคะ ยังคงปะทุอยู่จนถึงทุกวันนี้ กลิ่นคือแรงมาก ยอมใจคนที่อยู่บนนี้นานๆ มีราวกั้นยาวประมาน 50 เมตร นอกนั้นไม่มีราวค่ะ เพียวๆเลย ไม่มีอะไรกั้นใดๆ กระผมที่กลัวความสูง มองลงไปนี้ขาสั่นเลย ไม่กล้าเดินออกจากราวเลย ไม่ไหวจริงๆ แค่เดินขึ้นมาขาก็สั่นแล้ว ถ้าจะให้เดินไปตามปากปล่อง คงมีร่วง ระวังๆกันด้วยเด้อ
ช่วงที่ขึ้นมาถึงยอด ฟ้าไม่เปิด มีเมฆฝน เข้ามาพอดี ทำให้ไม่เห็นวิวอะไรมาก แต่ก็สวยไปอีกแบบนะ แบบไม่ร้อน
ภูเขาไฟโบรโม่ มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,392 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะชวาตะวันออก
เดินออกไปจากราวกั้น(นิดเดียว555)ด้วยความระมัดระวังขั้นสุด
เราอยู่ด้านบนปลองภูเขาไฟได้ไม่นานมากนัก เนื่องจากมีฝนเริ่มกระหน่ำลงมา เนื่องจากไม่ได้ใส่เสื้อกันฝน จึงรีบลงไปหาที่หลบฝนด้านล่าง
ลงมาปุ๊ป ฝนหยุดตกปั๊ป
วิวยอดเขา ฝั่งหมู่บ้าน คือโหดมาก หมอกแบบอลังการงานสร้างเวอร์
ฝนจะตกอีกรอบ รีบจั๊ฟเท้าไปที่รถ
เย็นมากแล้ว เริ่มมืด ถ้ามีพระอาทิตย์โผล่มาให้เห็นช่วงตกดิน คงจะเป็นการจบวันที่เพอร์เฟค มากๆ
ขับรถกลับเข้าที่พัก ประมาน 5 โมงเย็น ก๊กตัวเองอยู่ในผ้าห่ม มันหนาวมาก 14 องศา ไม่แปลกเลย ทำไมที่พัก บนเขานี้ ไม่ต้องติดแอร์ ไม่ต้องติดพัดผม น่าจะหนาวกันตลอดทั้งปี
ช่วงค่ำ ออกมาหาอะไรกิน แต่พอเปิดประตู โรงแรม ออกไปเท่านั่นแหละ เดินกลับเลยห่ะ มันหนาวเกินใจจะอดทน เลยตัดสินใจกินอาหารค่ำ กันที่โรงแรมที่พักเลย เมนูไม่เยอะมาก แต่รสชาติถือว่าให้ผ่าน ราคาก็เช่นกัน
งานงอก เพราะน้ำที่ห้องหมด จึงต้องออกมาซื้อข้างนอก
ค่ำมากแล้ว ยังมีคนสู้ชีวิต ขับรถขึ้นมาอยู่เลย
ลาไปแล้วสำหรับค่ำคืนนนี้ กู๊ดไนท์
Day 3 in Bromo
morning แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้อง ทำให้เรารับรู้ว่าเช้าแล้วนะ อ่าาา นี้เราตื่นสายหรอเนี่ย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เชี่ย!! ตี4ครึ่ง นั่นแหละ ภาพที่ได้เห็นอยู่นี้คือเวลาตื่สี่ครึ่ง อากาศหนาวมาก 16 องศา ทำให้ต้องช่างใจว่า จะไปเดินที่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น(ที่ขึ้นไปแล้ว) หรือจะกลับไปนอนต่อ
หลังจากหมกตัวอยู่ในผ้าห่มอยู่ จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ก็เลย เอาว่ะ ไปเดินชมวิว บรรยากาศยามเช้าหน่อย
ไม่ได้นั่งรถไปเด้อ ของคนอื่นเค้า เราขับไปชมวิวที่ ไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านนัก ที่ seruni point
จากที่พัก ขับมาประมาน 20 นาที เราก็มาถึงจุดจอดรถ หลังจากตรงนี้ ก็เดินขึ้นไปต่อจ้า รูปภาพจากวิวที่จอดรถ ก็จะได้ความสูงประมาณนี้
ท้องฟ้าแจ่มใส จริงๆ ผิดกับเมื่อวานที่มาถึง ทางฝั่งขวาทางที่จะไป เทเลทับบี้ฮิล มีทะเลหมอกด้วย
หมอกเหลืออยู่บางๆ นี่ฉันตื่นสายไปหรอเนี้ย ตอนนี้เวลาตีห้าเองนะ
มุมนี้เป็นอีกมุมที่ เคยเห็นมีนักถ่ายรูป ถ่ายลงมาอวดกันเยอะมาก จนทำให้คิดว่า นี้ภาพตัดต่อป่าวว่ะ มันมีเมือง ภูเขาที่แบ่งกั้นกับทะเลหมอกแบบนี้จริงหรอว่ะ โชคไม่ค่อยดีที่หมอกได้จางหาย เหลืออยู่น๋อย ไม่งั้นจะถ่ายรูปออกมาได้สวยมากๆ ฝั่งซ้ายเนินเขาหมู่บ้าน ฝั่งขวาเนินทะเลหมอก
ทางเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว seruni point
ถึงแล้วจุดชมวิว
วิวจากด้านบนก็ประมานนี้
วิวฝั่งหมู่บ้าน จะเห็นถนน เส้นที่เราขับขึ้นมา
ฝรั่งนี้ สายเดินที่แท้ทรูจริงๆ จากการพูดคุย งูปลาๆปลา ก็จับใจความได้ว่า เดินกันมาจากหมู่บ้าน ตั้งแต่ ตี3 อ่อ คือต้องตื่นตั้งแต่ตี3 นะ ถึงจะทันชมพระอาทิตย์ขึ้น
จากจุดชมวิว seruni point เราสามารถปีน เดินขึ้นไปยัง ยังยอดเขา เพื่อไปยัง จุดชมวิว king kong hill ได้ แต่ค่อยข้างอันตรายนะ (สำหรับคนกลัวความสูงอย่างเรา) แต่มันก็มีถนน ไปนะ คือต้องขับลงไปด้านล่าง แล้วก็ขับลัดเลาะเขาขึ้นมาอีกทาง ไกลมากอยู่
จากจุดชมวิว เราเดินทางกลับไปทานอาหารเช้าที่โรงแรม ทานเสร็จก็แว๊นส์มอไซต์ลงไปเที่ยวภูเขาไฟโบรโม่อีกรอบ โดยวันนี้มีเป้าหมายจะไปกันที่ teletubbies Bromo
ขับลงมา เจอกับขบวนคาราวาน รถjeep ที่กำลังพาทัวร์นักท่องเที่ยวอยู่ เป็นร้อยๆคัน น่ารักๆทั้งนั่นเลย
ที่นี่คือ ทุกอย่างโอเคมาก อากาศดี14 องษา กับซ้ายวิวภูเขาสูง ขวาวิวภูเขาไฟ มันถา่ยรูปได้เพลินมากๆ
เราแวะถ่ายรูประหว่างทาง กันเป็นว่าเล่น
แดดดี๊
อันนี้ไม่รู้ว่าเป็น Pasir Berbisik ที่เค้าเรียกกันว่า ทรายกระซิป หรือที่เราเห็นมันเป็นหมอกกระซิป
จอดถ่ายรูปเป็นพักๆ ในที่สุด เราก็ขับมอไซค์มาถึง teletubbies hill Bromo
ใช้เลนส์เทเลที่เรามีให้เป็นประโยนช์ ดึงรถที่อยู่ข้างหลังให้มันดูเหมือนว่าอยู่ไกล้ๆ เนียนๆเหมือนนั่งมา เอาจริงๆก็ขอไปถ่ายรูปรถเค้าได้แหละ คนที่นี่ใจดี ไม่หวงอะไร แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดไปปีนรถเค้า เพราะเราไม่ใช่ลูกทัวร์ของเค้า แค่ไปยืนถ่ายรูปเทห์ๆพอ เกรงใจ
น้องน่ารักทุกคันเลย อดถ่ายรูป น้องมาเก็บไว้ไม่ได้เลย เม็มเต็มเพราะรูปน้องจริงๆ
ถ่ายรูปหมู่กับป้ายหน่อยย ให้รู้ว่ามาแล้วนะ แต่เอ่!! ด้านหลังมันมืดแปลกๆนะ
ที่นี่เป็นเนินเขากลมๆ สลับกันไปมา ทำให้รู้สึกว่าเหมือน บ้านของ teletubbies จริงๆ
ป่ะ!! รีบถ่ายรูป ทำเวลากันสะหน่อย เด๋วถ้าฝนมาจะงานงอก เพราะที่นี่เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีที่หรือต้นไม้ไว้ให้หลบฝน
วิวฝั่งด้านหลัง
มีน้องม้า ไว้ให้นั่งถ่ายรูปเทห์ๆด้วยนะ (ไม่ทราบราคาเด้อ) ช่วยอุดหนุนน้องได้
ได้เวลาเดินทางกลับแล้ววววว
10 โมง เราขับมอไซค์กลับเข้าที่พัก เก็บของ แล้วก็เช็คเอ๊าท์ออกมาตอนช่วง11 โมง ขับไต่เขาลัดเลาะลงมาเรื่อยๆ ขาลงรู้สึกว่าจะไวแหะ แต่ก็ไม่วายโดนฝนอยู่ดี ขากลับเข้าเมืองตลอดทั้งเส้น รอบนี้ โดนฝนโจมตีหนัก ทำให้เราต้องหยิบเสื้อกันฝนมาใส่ แล้วก็ขับกันอย่างระมัดระวัง กว่าจะเดินทางมาถึงยังโรงแรม ที่เราได้ฝากกระเป๋าทิ้งไว้ในตัวเมือง สุราบายา ก็ช่วงประมาน 4โมงเย็น เราก็ทำการเช็คอินโรงแรมอีกรอบ นอนที่นี่กันอีก1คืน พรุ่งนี้ ก็ต่อเครื่องกลับกัวลาลัมเปอร์และต่ออีกรอบไปลงสุวรรณภูมิ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จก็ลงมาทานข้าว ที่คาเฟ่ Mandalika cafe
(รูปจากในเน็ตนะคะ ) พอดี ออกมาทานข้าวแล้วไม่คิดว่าคาเฟ่จะอลังการขนาดนี้ เลยไม่ได้พกกล้องมาด้วย คาเฟ่ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมเลย อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ระหว่างนั่น เราก็เรียกบริษัทที่เช่ามอไซต์ ให้เค้าเข้ามารับมอไซค์ได้เลย รอประมาน 1 ชม พนักงานบริษัทเช่ารถก็มาถึง ก็ทำการตรวจสภาพรถ ตรวจเช็คน้ำมัน (ต้องเติมคืนให้เต็มถังด้วยนะ) ก็ทำการคืนบัตรที่ได้ทำการมัดจำไว้ในตอนแรก ก็เป็นอันเรียบร้อย
ชื่งค่าใช้จ่ายๆ หลักๆ จะสรุปให้ตามนี้นะคะ ตัวเลขอาจจะไม่ได้แป๊ะๆมาก
1.ค่าแท๊กซี่จากสนามบินไปโรงแรม 100,000 rp (ประมาน 250 บาท )
2.ค่าที่พัก Pana house ที่ตัวเมืองสุราบายา คืนแรก 650 บาท (กดจากbooking ได้เลย)
3.ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ NMAX 2 วัน พร้อมมาส่ง-รับ ที่โรงแรม 400,000 rp (ประมาน1,000 บาท)
4.เติมน้ำมันก่อนขึ้นเขาโบรโม่ 40,000 rp (ประมาน 100 บาท)
5.ค่าเข้าหมู่บ้าน ด้านบนโปรโม่ 2คน 63,000 rp (ประมาณ 150 บาท)
6.ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติโปรโม่ 2 คน 440,000 rp (ประมาน 1,100 บาท)
7.ค่าโรงแรม cafe lava hostel 1 คืน ราคาประมาน 1400 บาท รวมอาหารเช้า
8.เติมน้ำมันก่อนส่งคืนรถ 50,000 rp (ประมาณ 120 บาท
9.ค่าที่พัก Pana house ที่ตัวเมืองสุราบายา คืนที่2 650 บาท
10.ค่าเรียกรถไปสนามบิน Grab 90,000 rp (ประมาน 200 บาท)
ส่วนค่าใช้จ่ายๆอื่น เช่นค่ากิน ค่าน้ำค่าขนม ไม่ได้นับไว้นะคะ ปกติกินกันไม่เยอะ มื้อละ 3-500 บาท
จบแล้ว กับทริป ขับมอเตอร์ไซค์แว๊นส์ไปเที่ยวภูเขาไฟโบรโม่ของเรา ใช้งบไม่เยอะ มีเวลาให้ดื่มด่ำกับธรรมาชาิต บรรยากาศแบบชิวล์สุดๆ เอาจริงๆ 2 วัน1 คืน บนโบรโม่นี้ไม่พอจริงๆ คือพลาดแบบพลาดมาก สำหรับคนที่จะตามรอยรีวิวนี้ แนะนำว่ายังไงก็ควรจะนอนสัก 2 คืน เพื่อความฟินล้วนๆ แต่ถ้าเอาเก็บหมด จริงๆวันเดย์ มันก็หมดแบบเหลือๆอยู่ หลงรักที่นี่จริงๆ รักแบบรักเวอร์ ถ้ามีโอกาศคงได้กลับมายังที่นี่อีกครั้ง
ลาก่อน โบรโม่ แล้วพบกันใหม่ ^^
ใจมันได้
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 13.33 น.