กระทู้เที่ยวตามรอยแฟนเดย์
วันนี้ "พงพาเพลิน" มาพร้อมกับ ทริปเจแปน-แฟนเดย์ ทริปนี้เกิดขึ้นหลังจากได้ดูหนัง เรื่อง "แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว" ดูแล้วมันอิน ดูแล้วมันใช่ งั้นพวกเราไป แบกเป้เที่ยวกัน แฟนพันธ์ทิพย์หลายๆ ท่านคงเคยได้ดูหนังเรื่องนี้กันบ้างแล้ว งั้นเรามาดูกันดีกว่า เราจะไปโลเกชั่นในหนังแค่วันเดียว ได้เหมือนกับชื่อหนังหรือไม่? ตามมาดูกันเลย
ทริปของเรามีดังนี้ (23-31 ธ.ค. 2559)
วันที่ 1 กรุงเทพฯ - ไทเป - โตเกียว เข้าพักโรงแรมย่าน Ueno (บิน Transit)
วันที่ 2 ช๊อปปิ้ง ชินจูกุ และ ตึกม่วง ทาเคยะ - พักโตเกียว
วันที่ 3 โตเกียว - ซับโปโร - สวนโอโดริ (Odori) - ซับโปโร ทีวี ทาว์เวอร์ (Sapporo TV Tower) - พักซับโปโร
วันที่ 4 ซับโปโร - โอตารุ (Otaru) - คิโรโร่ สกีรีสอร์ท (Kiroro Ski Resort) - พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Emporium )- คลองโอตารุ (Otaru Canal) - พักซับโปโร
วันที่ 5 ซับโปโร - ฮาโกดาเตะ (Hakodate) - โกดังอิฐแดง (Kanemori Red Brick Warehouse) - เนินฮาจิมัน (Hachiman-Zaka Slope) - ภูเขาฮาโกดาเตะ (Hakodate Mount) - พักฮาโกดาเตะ
วันที่ 6 สวนพฤษศาสตร์ฮาโกดาเตะ (Hakodate Tropical Botanical Garden) - หุบเขานรก จิโกคุดาหนิ (Jigokudani-Noboribetsu) - พักซับโปโร
วันที่ 7 เดินช๊อปปิ้ง ย่านทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji) - แพ๊คกระเป๋ากลับโตเกียว - พักโตเกียว
วันที่ 8 Disney Sea - ช๊อปปิ้งตลาด อะเมโยโกะ (Ameyoko) - แพ๊คกระเป๋าเตรียมตัวกรุงเทพฯ - พักโตเกียว
วันที่ 9 โตเกียว - ไทเป - กรุงเทพฯ (บิน Transit)
ดูจากโปรแกรม ก็น่าจะรู้แหละว่า ไปวันเดียวไม่ได้นะจ๊ะ เพื่อนๆ
Day 1
แพ๊คกระเป๋าไปต่อกันเถอะ.... สำหรับทริปนี้ เป็นการวางแผนที่ผิดพลาดของผมเองในการบินไปญี่ปุ่น โดยเราบินไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน เถาหยวน - ไต้หวัน เพราะเห็นแก่ตั๋วที่ถูกกว่ากันแค่ไม่กี่พันบาท
แนะนำสำหรับเพื่อนๆ ที่จะไปญี่ปุ่น บินตรงน่าจะดีกว่า ไม่ควรไปเปลี่ยนเครื่อง เสียเวลาช๊อป เสียเวลาเที่ยว ที่สำคัญผมบินกับ
สายการบิน..ีน (ไม่เอยชื่อต่อดีกว่าใครอยากรู้หลังไมค์นะ) เครื่องดีเลย์เป็นเรื่องปกติเลยเชียว ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเวลาที่เสียไปของลูกค้าเลย แม้แต่นิสเดียว
เล่าต่อดีกว่า พิมพ์และมันขึ้น เราบินจาก กรุงเทพฯ เวลา 8.00 น.(เวลาไทย) ไปถึงญี่ปุ่น นาริตะ Terminal 2 จากเวลาปกติ ที่ควรจะถึงคือ 18.00 น. แต่เราไปถึง 20.20 น.(เวลาญี่ปุ่น)
ย้ำเตือน การผ่าน ตม. ญี่ปุ่นต้องใช้ปากกาหมึกสีดำในการเขียนใบ ตม. นะครับ ใช้สีอื่นโดนเขียนใหม่นะ
หลังจากผ่าน ตม.ออกมา รับสัมภาระแล้วเราก็เดินตามป้าย "Train" เพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟออกจากนาริตะ และ ตั๋วอีก 2 วัน ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียว
เราเดินไปซักพัก ป้าย Train จะพาเราลงบันไดเลื่อนลงข้างล่างไป 1 ชั้น เดินซักพักก็จะเจอ "Skyliner & Keisie information Center" เราก็ไม่รอช้าต่อคิวทันที
ตั๋วจะเป็นตั๋วรถไฟสำหรับออกจากนาริตะเข้าโตเกียว โดยรถไฟด่วน Skyliner จากนาริตะไปจอดแค่ 2 ป้ายคือ Nippori และ Ueno พร้อมด้วยตั๋วรถไฟใต้ดิน Tokyo Subway เลือกให้เหมาะสมกับทริปของท่านเอง ดูราคาได้ตามรูปด้านล่าง
พวกเราซื้อตั๋วแบบไปกลับ และ ตั๋ว Tokyo Subway อีก 2 วัน ราคา 5,100 เยน พร้อมทั้งจองที่นั่งตั๋วขาออกจากนาริตะ พร้อมกันทีเดียวเลยเพื่อล๊อคที่นั่ง และรอบรถไฟที่จะเดินทางเข้า Ueno หลังจากได้ตั๋วแล้วเราเดินเข้าสถานี อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่ขายตั๋ว โดยให้สังเกตุ "ป้ายสีส้ม"
รถไฟของเราหน้าตาแบบนี้ ใช้เวลา 40 นาที จาก นาริตะถึง Ueno
เมื่อถึงสถานี Keisie Ueno เราก็ลากกระเป๋าเดินหาโรงแรมทันที เราจองโรงแรมแถว Ueno (แนะนำสำหรับเพื่อนๆที่จะเที่ยวโตเกียว พักแถว Ueno สบายของกินเพียบ ของช๊อปเพียบ ใกล้ตึกม่วงด้วยนะ)
โรงแรมเราชื่อ "เซ็นจูเลียน โฮเทล อูเอโน (Centurion Hotel Ueno)" โรงแรมอยู่ในซอย ห่างจากสถานีที่เราลงรถไฟ
ประมาณ 650 เมตร เดินไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง คืนนี้เราพักที่นี่ ห้องพักมีขนานเล็ก บรรยากาศงั้นๆ ค่าใช้จ่ายตกคืนละประมาณ 5,000 บาทต่อห้อง เราจะนอนที่นี่ 2 คืนก่อนไปบินไป ฮอกไกโด
Day2
วันนี้เราตื่นสายมาก ไม่ทันได้กินอาหารโรงแรม เราเดินทาง ออกจากที่พักประมาณบ่ายโมง วันนี้เราไปช๊อปปิ้งชิบูย่า และ ตึกม่วงทาเคยะ เท่านั้น เราเดินกลับมาที่สถานี Keisei Ueno ที่เดิมที่ลงรถไฟเมื่อวาน เพราะเราต้องมาจองตั๋ว Keisei Skyliner สำหรับขากลับไปนาริตะในวันพรุ่งนี้ (สถานีรถไฟที่ใกล้โรงแรมที่สุดคือ Ueno-Okachimachi ) เราจองตั๋วรอบเช้าที่สุดคือ 5.58 นาที เพื่อไปถึงสถานบินประมาณ 6.40 เครื่องเราออก 8.15น. เราจองตั๋วรถไฟข้ามวันเพื่อให้แน่ใจว่า รถไฟด่วน Skyliner ที่เราต้องการจะไป มีที่นั่งแน่นอน โดยไม่ต้องเสี่ยงในวันพรุ่งนี้
ห้องจองตั๋วเปิดทุกวัน 5.30-18.18 หน้าตาห้องจองตั๋วเป็นแบบนี้
เราเดินออกจากสถานี Keisei Ueno Station และเดินกลับไปที่สถานี Ueno-Okachimachi Station เพื่อความสะดวก ที่เราจะต่อรถไฟใต้ดินไป ชินจูกุ โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟ เรานั่งรถไฟสาย E- Oedo Line สายสีชมพู จากสถานี Ueno-Okachimachi Station ไปลง Shinjuku-nishiguchi Station โดยใช้ตั๋ว Tokyo Subway
ตั๋ว Tokyo Subway มีให้เลือกแบบ 1 วัน, 2 วัน และ 3 วัน โดยมันจะนับเวลาการใช้งานเป็นชั่วโมง
ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นตั๋วแบบ 1 วัน เราใช้ 6 โมงเย็นวันนี้ จะไปหมด 6 โมงเย็นของวันพรุ่งนี้ (ตั๋วอื่นๆ ไว้ค่อยอธิบายอีกที ทริปนี้มีหลายตั๋ว)
ขอบคุณรูปจากInternet
ลงสถานีปั๊ป ก็หิวปุ๊ป หิวๆๆๆ มื้อนี้กินราเมน หลังจากลงรถไฟ ขึ้นไปชั้น B1 หน้าร้านเป็นแบบนี้
ผมสั่ง ชาชู ราเมง เป็นหมูนุ่มชุ่มลิ้น อร่อยทีเดียวเสนอราคาที่ 850 เยน ร้านนี้อร่อยแนะนำครับ
เสร็จจากราเมง เราก็เดินออกจากสถานี Shinjuku-nishiguchi Station ประตู D1 ก็จะเจอกับร้าน Uniqlo Shinjuku Nishiguchi เราเดินสำรวจราคาแล้ว ปรากฎว่าราคาถูกกว่าเมืองไทย จะรออะไรหละ ช๊อปปิ้งกันนนน
เรียบร้อย Uniqlo กันคนละถุง 2 ถุง ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์กันหนาวเพิ่มเติมสำหรับลุย ฮอกไกโด โดยเฉพาะ หลังจากนั้นเราเดินต่อไปช๊อปใน ชินจูกุ สินค้าส่วนใหญ่ราคาไม่แตกต่างกับเมืองไทย เลยไม่ได้ช๊อปอะไรเพิ่ม เดินอยู่ซักพักก็ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ตกแล้ว เลยเดินทางต่อไปยังตึกม่วง เราเดินทางกลับไปในเส้นทางเดิม จาก Shinjuku-nishiguchi Station ไปลง Ueno-Okachimachi Station
พอลงสถานี Ueno-Okachimachi Station เราก็เดินต่อประมาณ 4 นาทีก็ถึงตึกม่วง โดยใช้ GPS ในโทรศัพท์นำทาง ทริปนี้ทั้งทริปเราใช้ SIM docomo ซื้อไปจากไทย ราคา "450 บาท" ใช้ Net ได้อย่างเดียว Unlimited 8 วัน สัญญาณดีใช้ได้นะ
ห้ามลืม ซื้อ SIM docomo ต้องเซ็ตมือถือเพื่อใช้งาน SIM ไปจากเมืองไทยก่อน (ใน Package มีคู่มือบอกวิธีการ Setup)
เดินช๊อปปิ้งซื้อของฝากอยู่ซักพัก เราก็เดินกลับที่พัก เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปให้ทันเครื่องที่จะออกเวลา 8.15 น. วันนี้เรากลับไปแพ๊คกระเป๋า เอาของบางส่วนฝากไว้ที่โรงแรม เพราะเราจะกับมาพักโรงแรมเดิมในอีก 5 วันข้างหน้า เป็นอันจบวันที่ 2 ลง
พรุ่งนี้เราจะไปกันแค่ "ฮอกไกโดดดดดดดด"
Day 3
วันนี้เราเดินทาง On Plan คือ ตื่นตี 4 > ออกจากโรงแรม ตอนตี 5 > เดินไปสถานีรถไฟ Keisei Ueno > นั่งรถไฟด่วนรอบ ตี 5.58 > ถึงสนามบิน 6.40 > Check-in 7.00 > บินจากโตเกียวไป ฮอกไกโด 8.15-09.55 > ลงสนามบิน "นิวชิโตเซะ ฮอกไกโด (Shin-Chitose Airport)" > เดินทางเข้าซับโปโรด้วยรถไฟ JR > เดินทางต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ลง Susukino > ลากกระเป๋าเข้าพัก "โรงแรม Route-in Hotel"
มาเริ่มกันเลย วันนี้เป็นวันที่ยาวนานอีกวัน เราเริ่มเดินทางด้วย อุณหภูมิ 10 องศา เราเดินออกจากโรงแรม ไปที่สถานี Keisei Ueno เพื่อนั่งรถไฟด่วนไปสนามบินนาริตะ "Terminal 2" และเดินต่อไปยัง "Terminal 3"
เราเดินไม่นานก็ถึงสถานี เรานั่งรถไฟด่วน Keisei Skyliner โดยเราใช้ตั๋วที่จองไปเมื่อวาน เราเข้าสถานีได้ทันที ในตั๋วระบุหมายเลขขบวน เรายืนรอตรงเลขขบวนในสถานีที่ตรงกับตั๋ว
เราขึ้นรถไฟ ไม่นานเราก็มาถึง สนามบินนาริตะ Terminal 2 ลากกระเป๋าเดินออกจากสถานีและ ไม่ลืมที่จะซื้อบัตร "Suica Card" ตู้กดบัตรอยู่ตรงทางออกจากสถานีเลย บัตร Suica Card นอกจากใช้ในโตเกียวแล้ว ยังสามารถใช้ในฮอกไกโดได้ด้วย ใช้ในรถไฟใต้ดินในซับโปโร หรือ ใช้กับรถไฟ JR ระหว่างเมืองในฮอกไกโดก็ได้ แถมซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วยน้า
วิธีการซื้อก็ง่ายๆ 1.กดเลือกว่าจะซื้อบัตร Suica 2.เลือกจำนวนเงิน 3.ใส่เงิน 4.รับบัตร (บัตรมันกดได้ทีละใบ) เราเติมบัตรไปคนละ 5000 เยน
หลังจากซื้อบัตร Suica เราก็เดินตามป้าย Terminal 3
เดินไกลเหมือนกันครับ จาก Terminal 2 มา Terminal 3 ไม่นึกว่าจะไกลกันมาก
เมื่อมาถึง Terminal 3 ก็จะเห็นเป็นลู่วิ่ง เพื่อต้อนรับ Olympic 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ
เราก็รีบ Check-in และเดินเข้า Gate ทันที ก็ยังเหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องออกนะ เราบินกับ Vanilla Airline (หางเหลือง) เป็นสายการบิน Low Cost ภายในประเทศ ("แนะนำ" รักษาเวลาดี ที่นั่งก็ไม่แคบไปแต่โหลดกระเป๋าต้องจ่ายเพิ่มนะ)
หลังจากบินมาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง หิมะรอต้อนรับเราพร้อมด้วยอุณหภูมิ -5 องศา
"เริ่มทริปแฟนเดย์"
ลงเครื่องแล้ว สวัสดี "ฮอกไกโด" เรารับกระเป๋าแล้วเดินตามป้าย Train (เหมือนเดิม)
เราต้องแลกบัตร JR Hokkaido Rail Pass ที่เราจองผ่าน HIS ที่เมืองไทยมาแล้ว เราจะใช้ตั๋วนี้ในอีก 2 วันถัดไป และต้องซื้อ Sapporo - Otaru Welcome Pass เพื่อใช้ในวันพรุ่งนี้อีกด้วย เราเดินตามหา JR Information Deck เพื่อแลกบัตรและซื้อบัตรดังกล่าว เดินตามป้าย Train มาไม่นานก็เจอ คนเยอะเชียว
เราต่ออยู่ไม่นานก็มีพนักงานชาวญี่ปุ่น เดินเข้ามาหาเรา บอกเราว่าคนเยอะ จะซื้อตั๋วอะไร (เขาไม่เก่งภาษา จับใจความได้ประมาณนี้) พอคุยกันซักพักเห็นว่าเรายังไม่ได้ใช้ตั๋ว JR Hokkaido Rail Pass เขาจึงพามาที่ตู้กดบัตร ในใจคิดว่าคงมากดบัตร Sapporo - Otaru Welcome Pass เราให้เงินเขาไป เขาก็เสียบเงินเข้าไปในเครื่องกดบัตรอัตโนมัติ และ ปรากฎว่า เขากดบัตรรถไฟ JR ที่จะนั่งจากสนามบิน นิวชิโตเซะ เข้าซับโปโรให้ หลังจากที่เขากดเสร็จแล้ว ผมคิดในใจ "กูมีบัตร Suica" ที่เตรียมมาจากโตเกียวแล้ว ยื่นบัตร Suica ให้ดู พนักงานทำท่าตกใจ พนักงานคนนี้ทำให้เราต้องซื้อตั๋วรถไฟใหม่ (แม่...เอ้ย) ยังบอกให้เราไปแลกตั๋วทั้งหมดที่สถานี ซับโปโร เอาซี่ ทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องตามนั้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณ ในการตัดสินใจด้วยตนเอง แต่คิดในแง่ดี ก็ทำให้เราก็ได้รู้ว่า ตั๋วราคา 1,070 เยน เหรอออออออ รู้อยู่แล้วปะ
ถึงสถานี JR Sapporo เราก็ต้องตามหา "JR Information Deck" ใหม่ เพื่อต่อคิวแลกตั๋ว JR Hokkaido Rail Pass และซื้อ Sapporo - Otaru Welcome Pass เห้ออออ ปรากฎว่าคนเยอะกว่าที่สนามบิน "5555 ฮือออออ"
ต่อคิวอย่าเพลินนะ เพราะต้องกรองข้อมูลการแลกตั๋วด้วยนะจ๊ะ การแลกตั๋ว JR Hokkaido Rail Pass ต้องใช้ 1.Passport 2.เอกสารการจองตั๋ว 3.เอกสารข้อมูลส่วนตัว (ข้อ 3 มีให้ที่ JR Information Deck) เราแลกตั๋ว JR Hokkaido Rail Pass พร้อมกับจองที่นั่งรถไฟทั้งหมด ที่เราต้องการทุกเที่ยวทุกรอบ และซื้อตั๋ว Sapporo-Otaru Welcome Pass ด้วย
อธิบายตั๋ว JR Hokkaido Rail Pass เป็นตั๋วขึ้นรถไฟ JR รอบเกาะฮอกไกโด ตั๋วมีแบบ 3วัน, 5วัน, 7วัน และ พิเศษ 4 วัน(แบบพิเศษ 4 วัน เลือกวันที่จะใช้ตั๋วได้ เช่น ใช้วันที่ 1 และไปใช้อีกในวันที่ 4 ก็ได้ แบบอื่นต้องใช้ในวันที่ติดกัน) เราซื้อตั๋วแบบ 3 วัน ซื้อมาจากเมืองไทย 5,400 บาท เมื่อแลกตั๋วแล้ว ตั๋วจะระบุวันเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้งานไว้ที่หน้าตั๋ว ตั๋วสามารถนั่งรถไฟรอบเกาะฮอกไกโด กี่เที่ยว กี่รอบก็ได้ ตามอายุตั๋วในหน้าตั๋ว
แผนที่ที่เราสามารถใช้ JR Hokkaido Rail Pass ได้
ขอบคุณรูปจาก Internet
มาอธิบายตั๋ว Sapporo - Otaru Welcome Pass บ้าง ตั๋วราคา 1,700 เยน ตั๋วจะประกอบไปด้วย ตั๋วรถไฟ ไป-กลับ ซับโปโรและโอตารุ เท่านั้น ไปสถานีอื่นไม่ได้นะจ๊ะ กี่รอบก็ได้ภายใน 1 วัน และ มาพร้อมกับตั๋วรถไฟใต้ดินภายในเมืองซับโปโร 1 วัน
ตั๋วสามารถแยกกันใช้ได้
ยกตัวอย่าง ใช้ตั๋วรถไฟ ไป-กลับ ซับโปโรไปโอตารุ ในวันที่ 1 และ ใช้ตั๋วรถไฟใต้ดินภายในเมืองซับโปโรในวันที่ 2 ก็ได้ ตั๋วทั้ง 2 ใบนี้จะสามารถใช้ได้ถึงเที่ยงคืนของวันนั้นๆ หากคุณเริ่มใช้งานตั๋วตอน 6 โมงเย็นเที่ยงคืนของวันนั้นตั๋วจะหมดอายุ
เสร็จเรื่องรถไฟ ก็หิวอีกแล้วววว เราเดินเข้าไปในห้างอยู่ในตัวสถานี ซับโปโรเลย เรากินร้านนี้
ร้านเป็นสไตล์ จีนไต้หวัน ตกจานละ 1,300 เยน ราคาก็แรงพอสมควรถ้าเทียบกับปริมาณอาหาร
หลังจากอิ่มหน่ำ สำราญแล้ว เราก็เดินทางต่อด้วยรถไฟใต้ดิน เราใช้ Suica Card ในการจ่ายเงิน บัตรต่างๆที่แลกมาเก็บไว้ใช้สำหรับวันถัดๆ ไป เราเดินทางโดยใช้รถไฟใต้ดิน โดยขึ้นสายสีเขียว Nanboku Line จากซับโปโร ไปลง ซูซูกิโนะ แค่ 2 ป้ายเท่านั้น
ขอบคุณรูปจาก Internet
เมื่อเราเดินออกจาก สถานี ซูซูกิโนะ (Susukino) ประตูทางออกที่ 4 (เป็นทางออกที่ใกล้โรงแรมที่สุด) ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน ก็จะเจอกับถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่เปลี่ยนไปเป็นน้ำแข็ง ทำให้เราเดินยากมาก แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังลื่นล้มกันเลย
โรงแรมใกล้สถานีมากเดินทางสะดวก เราใช้ GPS นำทางเช่นเคย แผนที่ด้านล่าง จะเป็นทางเข้าด้านหลังของโรงแรม
โรงแรม Route Inn Hotel เป็นโรงแรมที่ดีในระดับนึง ห้องไม่แคบไป ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวก (โดยส่วนตัวแนะนำ)
แต่อาหารเช้าไม่อร่อยอย่างแรง
เราเช็คอิน และก็พักอยู่ในโรงแรมซักพัก ไม่นึกว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึง 4 โมงเย็น แล้ว ที่เกาะฮอกไกโด ในทุกๆเมืองที่ไป ช่วงหน้าหนาว เวลา 4 โมงเย็น พระอาทิตย์ก็ตกแล้วนะ ดูวิวจากห้องพักกันซะหน่อย
เราออกจากที่พักประมาณ 5 โมงครึ่งเราค่อยๆ เดินกันไป Sapporo TV Tower ซึ่งตั้งอยู่ในสวนโอโดริ ก่อนจะถึง Sapporo TV Tower เราแวะกินข้าวเย็นในห้างใกล้ๆ สวนโอโดริก่อน เราซื้อขนมปังที่ "ร้าน Donguri" ราคาตกประมาณก้อนละ 200-500 เยน อร่อยใช้ได้
เราเดินชมวิวไปเรื่อยๆ เพราะเดินได้ช้ามาก น้ำแข็งบนพื้นลื่นมาก รถรางกับรถยนต์ที่นี้ใช้ถนนร่วมกัน
มาถึงแล้ว Sapporo TV Tower เป็นเวลา 6 โมงเย็น 55 นาทีพอดี
แน่นอนเราต้องขึ้นไปดูวิวยามค่ำคืนของ สวนโอโดริ (Odori Park) เราขึ้นลิฟท์ไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 ของ Sapporo TV Tower
และขึ้นลิฟท์ต่อยังชั้นบนสุดเพื่อจะดูวิวของสวนโอโดริ ตั๋วราคา 720 เยน
1.สวนโอโดริ
เป็นสถานที่จัดงาน SAPPORO SNOW FESTIVAL หรือที่เราเรียกกันว่า "เทศกาลหิมะ" งานจัดขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นประจำทุกปี และสวนโอโดริ เป็นสถานที่ที่ เด่นและคุณนุ้ยมาดูงานเทศกาลหิมะกัน เราขึ้นลิฟท์มาชั้นบนสุด ก็จะเห็นวิว สวนโอโดริทั้งเส้น งดงามมากในเวลาค่ำคืน
เราชมวิวรอบเมืองบน Sapporo TV Tower อยู่ซักพัก หลังจากนั้นเราก็ลงมาดูเทศกาลคริสต์มาส ถูกจัดขึ้นในสวนโอโดริ เช่นกัน มีเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม มีหลากหลายบริษัทชั้นนำ มาจัดไฟคริสต์มาสในสวนโอโดริ สวยๆทั้งนั้น
อีกรูป
เราค่อยๆ เดินกลับจากสวนโอโดริ ไปที่พัก ใช้ GPS นำทาง วันนี้ เป็นวันที่ ยาวนานแต่สวยงามสุดๆ อีกวันนึงในชีวิต
ตอนต่อไปจะไปลุย โอตารุ > คิโรโระ รีสอร์ท > พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี > และปิดท้ายด้วยคลองโอตารุ รอติดตามกันน้าาาาาาาา
Day 4
ทริปวันที่ 4 มีดังนี้
ซับโปโร > โอตารุ > คิโรโร่ สกีรีสอร์ท >
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี > คลองโอตารุ >
กลับมาพักซับโปโร
วันนี้เราเดินทาง
โดยใช้ Sapporo - Otaru Welcome Pass ทั้งวัน
(ใครลืมกลับไปอ่านรายละเอียดตอน 3)
เราออกเดินทางจากที่พักประมาณ 9 โมงเช้า
เดินทางโดยรถไฟใต้ดิน
สายสีเขียว Nanboku Line จาก ซูซูคิโนะ
กลับไปลง ซับโปโร
และนั่งรถไฟ JR จากสถานีซับโปโร ไปลง สถานีโอตารุ
ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง
นั่งรถไฟไป ก็หลับไป ไม่นานนักก็ถึง โอตารุ
เราเดินไปที่จุด Information และสอบถาม
ถึงการเดินทางไป Kiroro Resort
Information แนะนำว่าต้องนั่งแท๊กซี่ไป
ราคาประมาณ 7,000 เยน
เราไม่เชื่อและเดินหาที่จอดรถฟรีอยู่ซักพัก
ปรากฎว่าไม่มีจริงๆ เราจึงเรียกแท๊กซี่
นั่งมาไม่นานแท๊กซี่ก็ขับขึ้นภูเขา
วันนี้หิมะตกหนักมาก
ใช้เวลาพอสมควรประมาณ 40 นาที
เราก็ถึง คิโรโระ รีสอร์ท
หิมะตกหนัก ทุกอย่างขาวโพลน
2.รีสอร์ท คิโรโระ
โรงแรมมีอยู่ 2 โซน คือ โซนสกี และ โซนโรงแรม
ระฆังแห่งความรัก อยู่ในส่วนของโซนสกี
ถ้าจะลั่นระฆังจะต้องขึ้น กระเช้า ไปด้านบน
วันที่เราไปพึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
จึงไม่สามารถขึ้นไปเห็น ระฆัง ที่เด่นขอพรได้ ฮือๆ T T
จึงถ่ายรูปลานสกีไว้เท่านั้น
เราออกมานั่งรถบัสของโรงแรม
เพื่อเดินทางต่อไปยังโซนโรงแรมมีรถวิ่งทุก 15 นาที
รถบัสขับออกมาไม่ถึง 5 นาที
ก็ถึงโรงแรมที่เด่นและคุณนุ้ยพัก
จากรูปจะเห็นว่าหิมะตกหนัก
เป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยวมากๆ
ภาพก็ไม่กล้าถ่ายนานกลัวกล้องพัง
ถ่ายเท่าที่ถ่ายได้
จากรูปด้านบนถ้าเราหันหน้าให้โรงแรม
เดินไปทางด้านซ้าย ก็จะเจอ โบสถ์คริสต์
ที่เด่นกับคุณนุ้ยเข้าไปแต่งงานกันในนั้น
ตามเคยเราไม่ได้เข้าไปเพราะโบสถ์ปิด
แค่ดมกลิ่นก็ยังดีเนอะ
เสร็จจากโบสถ์ เราเดินกลับเข้าไปที่ในโรงแรม
โรงแรมนี้ชื่อ "Hotel Piano" ข้างในสวยงาม ตามท้องเรื่อง
เราถ่ายรูปอยู่ซักพักก็เดินไปที่เคาเตอร์ของโรงแรม
สอบถามถึงการเรียกรถแท๊กซี่
เขาแจ้งว่าต้องรอ 1 ชั่วโมงแท๊กซี่ถึงจะมาถึง
โอออออ เวลาหายไป 1 ชั่วโมงเต็มๆ
พวกเรายังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่เช้า
ทำอะไรไม่ได้ ถ่ายรูปเล่นละกัน ไปดูข้างนอกกันบ้าง
กลับเข้ามานั่งเล่นนอนเล่นซักพัก
พนักงานก็มาเรียกว่า รถแท๊กซี่มาแล้ว
เราก็ขอบคุณ แล้วเดินออกไปขึ้นแท๊กซี่
พี่ๆ ไป "พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี" เอารูปให้พี่แท๊กซี่ดู
ค่าแท๊กซี่ 7,000 เยน เหมือนเดิม
ประมาณ 40 นาทีเหมือนเดิมก็ถึง "พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี"
3.พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
เข้าไปดูข้างในกันนนนน
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
มีกล่องดนตรีให้เลือกหลากหลายชนิด
แต่ราคาก็แอบแรงอยู่นะ กล่องดนตรีสวยๆ เยอะเลย
แต่ นายเด่นชัยของเรา ทำหล่นซะหลายอันทีเดียว
ดูซักพักไม่ได้ซื้ออะไรเลย
ออกมาดูนาฬิกาไอน้ำ มุกเวทมนตร์กันบ้าง
เขาบอกว่าจะพ่นไอน้ำทุก 15 นาที
ไม่ได้รอหรอกเพราะหิมะตกหนักและหิวแล้ว
เราเดินข้ามฝั่งจาก พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหาร้านอาหาร
เดินไปเรื่อยๆ จนเจอร้านขาย
ข้าวหน้าปูต้ม ข้าวหน้าปลาแซลมอล ก็เลยเดินเข้าไปเลย
ราคาตกประมาณคนละ 850 เยน
ให้เยอะมากจนกินไม่หมด รสชาติพอใช้ได้
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินต่อ ทริปนี้ เดิน เดินและเดิน
จากร้านเรา เราเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม
กับพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
และเลี้ยวซ้ายเดินไปอีกซักพัก
สุดท้ายข้ามถนน (ใช้ GPS)
ก็จะพบกับ "คลอง"
4.คลองโอตารุ
คลองนี้เป็นฉากที่ทั้งบริษัทของเด่นและคุณนุ้ยถ่ายรูปกัน
หิมะยังตามมาตกอีกจนได้
หลังจากนั้นเราเดินกลับไปที่สถานี รถไฟโอตารุ
นั่งรถไฟ JR จากโอตารุ กลับ ซับโปโร
และนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปโรงแรม
เป็นอันสิ้นสุดวันนี้ไป
พรุ่งนี้เราจะไป ฮาโกดาเตะ กันแล้ว รอติดตามกันนะ
Day5
วันนี้เป็นการเดินทางไกลจาก
ซับโปโร ไป ฮาโกะดาเตะ
เราฝากของบางส่วนไว้ที่โรงแรมอีกแล้ว
วันพรุ่งนี้เราจะกลับมา
เริ่มเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเช่นเดิม
จากสถานี ซูซูกิโนะ ไป ซับโปโร
และนั่งรถไฟ JR จากซับโปโร ไป ฮาโกะดาเตะ
นั่งรอบ 10.24 น. ถึงฮาโกะดาเตะ 13.50 น.
ใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงครึ่ง
วิวระหว่างทาง
3 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงสถานี ฮาโกดาเตะ
ลากกระเป๋าออกจากสถานี
เราก็มองเห็น โรงแรมที่เราจะพักทันที
โรงแรมชื่อ "Smile Hotel"
เป็นโรงแรมที่สะดวก ห้องไม่แคบไป
แต่ห้องเก่ามาก อาหารเช้าไม่ไหวเลย
เราลากกระเป๋าเข้า Chack-in ฝากกระเป๋า
และออกเดินทางต่อไปยัง "อิฐแดง"
เราหันหลังให้โรงแรม > เดินไปทางซ้าย
ข้ามถนน จะเจอกับป้ายรถรางอยู่เกาะกลางถนน
รอรถรางสาย 2 หรือสาย 5
นั่งจากสถานี Hakodate-Ekimae ไป Jujigai
ค่ารถ 210 เยน (ใช้บัตรอะไรไม่ได้ทั้งนั้น)
สำคัญ เตรียมเงินค่ารถไปให้พอดี
เราลงรถราง และ ข้ามถนนไปอีกฝั่ง
เดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาที
ก็จะเจอ Kanemori Red Brick Warehouse หรือ "อิฐแดง"
แหล่งกินแหล่งช๊อปของ ฮาโกะดาเตะ
5. Kanemori Red Brick Warehouse (อิฐแดง)
เป็นฉากที่เด่นกับคุณนุ้ย กินไอติม ตอบคำถามกัน
เรายังไม่ไปไหนต่อ
แวะกินข้าวที่ร้านนี้ก่อน "Lucky Pierrot"
เราสั่งอาหารมา 4 อย่าง ราคาตก 2,000 เยนหน่อยๆ เท่านั้น
ราคาไม่แพง ให้เยอะ อร่อยด้วยน้า แนะนำครับ
หลังจากอิ่มแล้วเราเดินกันต่อไปยังเนิน "ฮาจิมัน"
เราหันหลังให้ร้าน "Lucky Pierrot" และเดินไปทางขวา
ตามรูป
เมื่อสุดถนนแล้วเราเลี้ยวซ้าย
เดินไปเรื่อยๆ และข้ามถนน ก็จะถึง
6.เนินฮาจิมัน
เนินนี้เป็นเนินที่เด่นและคุยนุ้ยเดินพูดคุยกัน
ต้องเดินด้วยระมัดระวัง เพราะเนินมีรถวิ่งไปมาตลอด
เราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บภาพ
เนินฮาจิมันสวยไหม? ถามใจดู
เราเดินขึ้นไปจนสุดเนินหลังจากนั้นเราเลี้ยวซ้าย
เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามถนน
ก็จะถึงสถานที่สุดท้ายที่เราจะมาในวันนี้
นั้นคือ "ภูเขาฮาโกะดาเตะ"
เดินขึ้นไปที่สถานีกระเช้า
ซื้อตั๋ว - ไปกลับ ราคา 1,280 เยน
เพื่อขึ้นไปชมความงามของ
7.ภูเขาฮาโกะดาเตะ
เป็นที่ที่ เด่นพาคุณนุ้ยขึ้นไปชมความงาม
ของวิว ติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น
วันนี้เหนื่อยกันทั้งวันแล้ว
แต่เรายังเดินกลับมานั่งรถรางกลับที่พักเราอยู่ดี
เป็นวันที่เดินหลายกิโลเมตร
อาจจะดีต่อสุขภาพแต่ไม่ดีต่อเท้าเราเลย
วันนี้ลาจากไปแล้ว
พรุ่งนี้ก่อนเราจะเดินทางกลับซับโปโร
จะไปแวะสวนพฤษศาสตร์ และ หุบเขานรกก่อน
เจอกันใหม่ตอนหน้านะ
Day 6
วันนี้เป็นวันที่เราจะเดินทางจาก
ฮาโกะดาเตะกับไปพักที่ซับโปโร
โดยเราจะไปแวะ 2 ที่คือ
- สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนฮาโกดาเตะ
(Hakodate Tropical Botanical Garden)
- หุบเขานรก จิโกคุดาหนิ
(Jigokudani)
เราออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมงเช้า
ฝากของทุกอย่างไว้
และนั่งแท๊กซี่ที่หน้าโรงแรมเลย
เอารูปให้พี่แท๊กซี่ดู
พี่แท๊กซี่รู้ในทันที
ค่าแท๊กซี่ 1,830 เยน เราถึงที่หมาย
8.สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนฮาโกดาเตะ
ในเดือน พ.ย.- มี.ค. เปิด9.30-16.30
ในเดือน เม.ย.-ต.ค. เปิด 9.30-18.00
เด่นพาคุณนุ้ยมาดูลิงแช่ออนเซ่น ที่นี่
เราซื้อบัตรเพื่อเข้าชม
ราคา 300 เยน เท่านั้น!!!
เดินเข้าไปก็จะเจอกับ
ลิงแช่ออนเซ่นอยู่ทางด้านซ้ายมือเลย
บางตัวก็สบาย บางตัวก็หาเหา บางตัวก็มองเหม่อ
เราเดินไปด้านหลังก็จะพบกับ
มหาสมุทรแปรซิฟิก
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไป
ในสวนพฤกษศาสตร์ฯ
เป็นโดมเล็กๆ
ที่มีต้นไม้ ดอกไม้ เหมือนบ้านเราเลย
ดูได้ไม่นาน เราก็ลาจาก สวนพฤกษศาสตร์ฯ
โดยเราออกมารอแท๊กซี่ ที่ถนน
(สวนพฤกษศาสตร์ฯ อยู่ในซอย)
กลับมาที่โรงแรม เพื่อรับกระเป๋า
และเดินไปที่สถานีรถไฟฮาโกะตาเตะ
ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโรงแรม
เรานั่งรถไฟเที่ยว 12.16 น. ไปถึง
สถานี โนโบริเบ็ทซึ (Noboribetsu) 14.50 น.
หลังจากลงสถานีเราก็ฝากของไว้ที่ Locker
หาก Locker เต็มฝากไว้ที่นายสถานีได้
ราคา 500 เยน
หลังจากฝากของแล้ว
เราก็เดินออกไปเรียกแท๊กซี่
เหมือนเดิม เราเอารูปสถานที่ที่เราจะไป
ให้พี่แท๊กซี่ดู พี่แท๊กซี่ขับพามาถึง
ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น
ค่าแท๊กซี่ 2,000 เยน ถึงแล้ว
9.หุบเขานรก จิโกคุดาหนิ
ตอนที่ไปไม่ได้เก็บค่าเข้าชม
จึงไม่รู้ว่าต้องเสียค่าเข้าชมไหม
หุบเขานรก
เป็นฉากที่เด่นกับคุณนุ้ยจ้องตากัน 1 นาที
โรแมนติกมาก
แต่ของจริง เหม็นกลิ่นกำมะถันมาก
แต่ถ้าตัดเรื่องกลิ่นออกไป ก็สวยมากนะ
อีกซะรูปก่อนกลับ
ขากลับเราก็นั่งพี่แท๊กซี่กลับ
ไปหลายคนนั่งแท๊กซี่คุ้มกว่า
เรากลับมานั่งรถไฟ JR รอบ 17.30
จากโนโบริเบ็ทซึ ไป ซับโปโร
มาถึงสถานีซับโปโรเวลา 19.10 น.
นั่งรถไฟใต้ดินลง ซูซูกิโนะ เช่นเดิม
เราไม่เข้าโรงแรม
มากินข้าวเย็นที่ร้าน นันดะ (Nanda) ทันที
ร้านอยู่ในตึก Cyber World ชั้น B2
ร้าน นันดะ เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ "ปู" และอื่นๆ
มีพนักงานหลายคนเป็นคนไทย
ราคา 5,100 เยน ให้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง
มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดแล้วนะ สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ
ปูก้ามใหญ่ๆ มีหลายชนิดให้เลือก
กินดูแล้วปูบ้านเราอร่อยกว่า
หลังจากกินจนพุงกาง
พวกเราก็เดินกลับที่พัก
Check-in เอาของคืน
พรุ่งนี้เราจะไปเดินช๊อป
ย่านทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji)
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะ
Day 7
วันนี้เป็นวันที่ชิวๆ สำหรับเรา
เราให้สมาชิกได้ตื่นสายได้เต็มที่
เราออกจากโรงแรมตอนเที่ยง
และฝากกระเป๋าไว้
โปรแกรมวันนี้มีแค่ ช๊อปปิ้ง
"ย่านทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji)"
เราเดินจากโรงแรมโดยใช้ GPS นำทาง
เดินประมาณ 10-15 นาทีก็ถึง
ย่านทะนุกิโคจิ เป็นแหล่งช๊อปปิ้ง
ที่สำคัญของซับโปโร
และยังเป็นที่ที่เด่นและคุณนุ้ย
มากด "กาชาปอง" กัน
10.ย่านทะนุกิโคจิ
ย่านนี้จะเป็นถนนยาวติดกัน
ลักษณะเป็นโดม และ
มีร้านค้าขนาบอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง
เรามาช๊อปปิ้งร้านนี้ "ดองกี้"
เป็นร้านที่ซื้อของกิน ของใช้
ของฝาก ของเล่น มากมายเลย
มีทุกอย่าง มาที่เดียวจบ
ผมได้ Apple Watch มา 1 เรือน
ราคาไม่ถึง 5,500 บาท
หลังจากช๊อปปิ้งกันเสร็จ
เราก็เดินกลับโรงแรม
เอากระเป๋า Check-out
นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานีซับโปโร
ใช้บัตร Suica
ก่อนกลับ ประติมากรรมน้ำแข็ง
เราต่อรถไฟ JR ไป นิวชิโตเซะ แอร์พอร์ต
โดยใช้บัตร Suica อีกครั้งในการจ่ายเงิน
ค่ารถก็เท่าเดิม 1,070 เยน
ลาแล้วฮอกไกโด
เราจะกลับมาอีกแน่ถ้าเก็บเงินได้มากพอ 555
เรานั่งเครื่อง Vanilla Airline (หางเหลือง)
รอบ 1 ทุ่ม ถึงโตเกียว ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง
นั่งประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงโตเกียว
หลังจากลงเครื่องและรับกระเป๋าแล้ว
เราเดินกลับไปที่ Terminal 2
เราขึ้นรถไฟไม่ด่วน จากนาริตะไป Ueno
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
โดยใช้ Suica เหมือนเดิม
ไม่นานเราก็มาถึง Ueno
เราเติมเงินใส่ Suica Card
อีก 1,000 เยน ไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้
หลังจากนั้นลากกระเป๋า
ไปโรงแรม เซ็นจูเลียน โฮเทล อูเอโน
วันนี้ลาไปเท่านี้แหละนะ
พรุ่งนี้จะไป "Tokyo Disney Sea"
ลงรูปไว้เป็นน้ำจิ้มซะหน่อย
วันที่ 8
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว สำหรับทริปนี้
ยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่ต่อ ฮือๆ
วันนี้เราจะไปเที่ยว Tokyo Disney Sea
และ ตลาดอะเมโยโกะ เพื่อช๊อปกระเป๋า Anello
เราออกเดินทางจากที่พัก 9.40 น.
โดยเราเดินทางตามรูปด้านล่าง
เราเดินทางโดยใช้บัตร Suica มีขั้นตอนดังนี้
1.เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Naka-Okachimachi
2.นั่งรถไฟใต้ดินสาย Hibiya Line
3.ลงรถไฟที่สถานี Hatchobori (Tokyo) เดินตามป้าย JR Line
4.เดินไปซักพักจะเจอกับป้าย Keiyo Line เดินตามต่อไป
5.มายืนรอตรง Platform 1 "Maihama Soga"
6.เดินออกจากสถานี Maihama
เราเดินต่อเข้ามาจากรูปด้านบน
เพื่อมานั่งรถไฟ Disney Resort Line
ต่อไปยังจุดหมายของเรา Disney Sea
เราผ่านประตูโดยใช้ บัตร Suica
สถานี Resort Gateway คือสถานีเริ่มต้น
เรานั่งไป 3 สถานีก็จะถึง สถานี Tokyo Disney Sea
(รถไฟ Disney Resort Line วิ่งเป็นวงกลม)
ไม่นานนักเราก็มาถึง Tokyo Disney Sea
เราใช้ตั๋วที่ซื้อมาจากเมืองไทย
ราคา 2,400 บาท
สามารถผ่านประตูได้ทันที
ไม่ต้องเปลี่ยนตั๋วใดๆ ให้วุ่นวาย
ผ่านประตูเข้ามาก็จะพบกับรูปภาพด้านล่าง
Tokyo Disney Sea มีหลายโซนดังรูป
ขอบคุณรูปจาก Internet
เราเริ่มเดินเที่ยวจากโซนที่ใกล้ทางเข้าก่อน
1. Mediterranean Harbor
เป็นโซนด้านหน้าทางเข้าเลย
เราเดินไปทางซ้ายก็จะเจอกับ
สถาปัตยกรรมแบบ อิตาลี
เดินกลับออกมา
ก็จะเจอกับ "อ่าว"
ที่มีไว้สำหรับจัดการแสดงโชว์
เดินต่อไปโซนที่ 2
2.Mysterious Island
เหมือนเป็นเมืองแปลกๆ
ที่ล้อมรอบไปด้วยหุบเขา
และยังมีร้านอาหารในเรือด้วยนะ
ถัดไปทางขวามือ
เป็นทางวน เดินลงไปด้านล่าง
ก็จะเจอกับ โซนที่ 3
3.Mermaid Lagoon
โซนนี้จำลองโลกใต้น้ำ
ให้เราได้เห็นอะไรที่แปลกตา
เดินออกไปทางขวามืออีกนิด
ก็จะเจอกับโซนที่ 4
4.Arabian Coast
เป็นสถาปัตยกรรมอาหรับ
เหมือนได้ไปเดินอยู่ในเปอร์เซีย
เดินวกไปด้านหลัง
ก็จะเจอโซนที่ 5
5.Lost River Delta
เหมือนหลุดเข้ามาในโลกยุคเก่า
ยุคชนเผ่า หรือ ยุคล่าสมบัติ
เราเหนื่อยจะหาที่นั่งพักกินข้าว
ปรากฎว่าคนล้น คงต้องยืนรอเป็นชั่วโมงแน่ๆ
เราเลยพักแป๊บนึงและเดินต่อไปโซนที่ 6
6.Port Discovery
จะเป็นท่าเรือที่สามารถลงไป
ปั่นเรือจักรยานน้ำ กันได้นะ
ผมไม่ได้เดินลงไปเก็บภาพ
แต่ Port มีลักษณะเหมือนรูปด้านล่าง
ขอบคุณรูปจาก Internet
โซนสุดท้ายก่อนออก
7. American Waterfront
เป็นโซนเรือยักษ์และตึกแปลก
ที่เป็น Hi-light ก่อนออกจาก Disney Sea
หลังจากนั้นเราก็เดินออกกันแหละ
คนเยอะเกิ๊น ไม่ได้เล่นอะไรเลย
ไม่อยากต่อคิวเป็นชั่วโมงเสียเวลา
เรานั่งรถไฟสาย Disney Resort Line
กลับมาที่ Mihama แค่ สถานีเดียว
บาย Disney Sea
เรานั่งรถไฟ JR
จาก Mihama ไปลงสถานี HATCHOBORI(TOKYO)
และจากโตเกียวต่อ Hibiya for KITA-SENJU
ลงสถานี Ueno
จากสถานี Ueno
เราเดินประมาณ 5 นาที ตามแผนที่
ไม่นานเราก็มาถึงตลาด อาเมโยโกะ (Ameyoko)
ตลาด อาเมโยโกะ มีสินค้าหลากหลาย
ทั้งของสด ของแห้ง ของฝาก เสื้อผ้า รองเท้า
รวมไปถึงกระเป๋า Anello
คนเยอะมาก เราเดินสำรวจราคา
จนเจอร้านนี้ ราคาถูกที่สุดแล้วเท่าที่เดินสำรวจ
จบจากตลาดนี้เราก็เดินกลับที่พัก
ลาจากแล้ว "ญี่ปุ่น" และ
ลาจากทริป Japan-Fanday ไปเพียงเท่านี้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
งบประมาณที่ใช้จ่าย ต่อ 1 คนมีดังนี้
เราแลกเงินไปเรท 100 เยน = 33.5 บาท
1.ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-โตเกียว 16,500 บาท
2.ค่าตั๋วไปกลับ โตเกียว-ฮอกไกโด 5,500 บาท
3.ค่าที่พัก 9 วัน 8 คืน 20,000 บาท
4.ค่าตั๋วรถไฟ JR Hokkaido Rail Pass 5,400 บาท
5.ค่าตั๋วรถไฟ Sapporo - Otaru Welcome Pass 544 บาท
6.ค่าเติมเงินในบัตร "Suica Card" 2,100 บาท
7.ค่าแท๊กซี่ไป-กลับ Kiroro Resort 1,170 บาท
8.ค่าแท๊กซี่ไป-กลับ สวนพฤษศาสตร์ฯ 300 บาท
9.ค่าแท๊กซี่ไป-กลับ หุบเขานรก 330 บาท
9.ค่าตั๋วขึ้นไปดูวิว Sapporo TV Tower 240 บาท
8.ค่าตั๋วขึ้นกระเช้าภูเขาฮาโกดาเตะ 430 บาท
9.ค่าตั๋วเข้าสวนพฤษศาสตร์ฯ 100 บาท
10.ค่าตั๋ว Disney Sea 2,400 บาท
11.ค่าอาหาร ค่าน้ำ 7,000 บาท
12.ค่าซิม 450 บาท
รวมค่าใช้จ่าย 62,500 บาทโดยประมาณ
ราคาไม่รวมซื้อของ ช๊อปปิ้งเราไปในช่วงปีใหม่ราคาจะแพงกว่าปกติและเราแลกเงินก่อนที่ค่าเงินจะลด ฮือ
มีข้อซักถามสอบถามได้ที่เพจ "พงพาเพลิน-Pongpaplearn"
ลากันไปด้วยรูปนี้ แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวหน้า
Pongpaplearn
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 14.10 น.