ลักซอร์เป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์โบราณ ในยุคอาณาจักรใหม่ ราว 1,075 – 1,539 ปีก่อนคริสต์ศักราช สมัยนั้นเมืองแห่งนี้มีชื่อว่า ธีบส์ (Thebes) โดยเป็นยุคสมัยที่อาณาจักรอียิปต์เจริญรุ่งเรืองที่สุด ซึ่งแม้ในยุคนั้นจะไม่มีการสร้างพีระมิดกันแล้ว แต่ก็มีการสร้างสุสานในหุบเขากษัตริย์ไว้อย่างอลังการ รวมถึงการสร้างวิหารขนาดใหญ่โตหลายแห่ง

ข้าวปลายังไม่ตกถึงท้อง เวลา 7 โมงเศษ เราก็ออกจากโฮสเทลมายืนอยู่หน้าสถานีรถไฟ เพราะอย่างที่บอกไว้ว่าสถานที่สำคัญในลักซอร์นั้นมีมากจริงๆ ซึ่งครอบคลุมทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ หากจะเที่ยวให้ครบแบบสบายๆต้องเที่ยวอย่างน้อย 2 วัน โดยแบ่งไปเลยฝั่งละวัน แต่เรามีเวลาเพียงแค่วันเดียว จึงต้องแบ่งเป็นภาคเช้ากับภาคบ่าย ภาคเช้าซึ่งอากาศน่าจะร้อนน้อยกว่า เที่ยวฝั่งตะวันตก เพราะเป็นหุบเขากษัตรย์ที่ต้องเดินกลางแจ้งตากแดด ส่วนภาคบ่ายหลบไปเที่ยววิหารในฝั่งตะวันออก ซึ่งน่าจะพอมีร่มเงาให้หลบแดดที่ร้อนแรงได้บ้าง

แท็กซี่ในเมืองท่องเที่ยวอย่างลักซอร์นั้นหาไม่ยาก ยืนรอแค่ไม่ถึงนาทีก็มีแท็กซี่วิ่งเข้ามาให้บริการ เราว่าจ้างแท็กซี่เพื่อไปยังสถานที่สำคัญทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกทั้งวันด้วยราคา 450 ปอนด์

จุดหมายแรกของเราคือหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาอันเป็นพื้นที่ทะเลทรายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ แน่นอนว่าในเมื่อตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งคนตาย หุบเขากษัตริย์แห่งนี้จึงเป็นสุสานของเหล่าฟาโรห์ ในยุคอาณาจักรใหม่ เมื่อราว 1100 – 1600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งสุสานของฟาโรห์ที่เลื่องชื่ออย่าง ตุตันคาเมน ก็อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย

เพราะการสร้างพีระมิดเพื่อใช้เป็นสุสานต้องใช้ทั้งเวลา แรงงาน และทรัพยากรมหาศาล อีกทั้งยังเป็นการบอกอย่างโจ่งแจ้งว่าสุสานของฟาโรห์อยู่ที่นี่ การโจรกรรมสมบัติที่เก็บไว้ในสุสานจึงเกิดขึ้นโดยง่าย พีระมิดทุกแห่งจึงถูกโจรกรรมเสียจนไม่เหลือสมบัติใดๆ ในยุคอาณาจักรใหม่จึงไม่มีการสร้างพีระมิดเหมือนเช่นอดีต แต่เลือกที่จะเจาะภูเขาให้เป็นสุสานแทน โดยเป็นภูเขาที่ห่างไกลจากผู้คน ซึ่งภูเขาบริเวณนี้มีรูปทรงยอดแหลมมองดูคล้ายกับพีระมิด ที่แห่งนี้จึงถูกเลือกให้เป็นสุสานของเหล่าฟาโรห์

เรายืนงงที่ช่องจำหน่ายบัตรเข้าชมว่าต้องซื้อกันอย่างไร ได้ชมทั้ง 62 หลุมไหม ซึ่งหากเปิดให้เข้าชมมากขนาดนั้นมีหวังคงใช้เวลาเป็นสัปดาห์จึงจะครบ และคงผวาสุสานไปอีกนาน

ปัจจุบันนี้หุบเขากษัตริย์เปิดสุสานให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้เข้าชมทั้งหมด 18 หลุม โดยบัตรราคาปกติ 160 ปอนด์ สำหรับเลือกเข้าชมได้ 3 สุสาน แต่หากต้องการเข้าชมสุสานที่โด่งดังและมีชื่อเสียง คือ สุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 5 และ 6 (ใช้สุสานร่วมกัน) และสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ต้องซื้อบัตรแบบ Extra ซึ่งเราพยายามสอบถามคนจำหน่ายบัตรในการซื้อบัตรแบบ Extra ดังกล่าว แต่คุยกันไม่เข้าใจ จึงได้บัตรแบบปกติมาคนละใบ

จากจุดจำหน่ายบัตรไปยังสุสานนั้นไกลพอควร แต่ก็มีรถลากไว้บริการ ซึ่งก็ต้องซื้อบัตรเพิ่มต่างหาก เมื่อลงจากรถเราชั่งใจอยู่นานว่าจะเข้าชมสุสานไหนดี โดยแต่ละสุสานจะมีการกำหนดรหัสว่า KV อันหมายถึง Kings Valley แล้วตามด้วยหมายเลข ซึ่งไม่ได้เรียงตามความเก่าแก่ของสุสาน แต่เรียงตามการค้นพบ

เราตัดสินใจเลือกเข้าชมโดยดูจากปริมาณนักท่องเที่ยว หากมีนักท่องเที่ยวเข้าชมสุสานไหนเยอะ สุสานนั้นก็น่าจะงดงามกว่าสุสานอื่น ซึ่งไม่รู้ว่าภายในสวยอลังการหรือว่าเป็นเพราะตั้งอยู่ด้านหน้าสุด จึงทำให้สุสาน KV2 ของฟาโรห์รามเสสที่ 4 นั้นมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเป็นจำนวนมาก เราจึงเข้าตามไป

เมื่อเดินลงบันไดไปยังพื้นที่ที่อยู่ใต้ดิน สิ่งที่สองตาเราเห็นคือความงดงามของฝาผนังทั้ง 2 ด้าน ที่ถูกสลักเป็นรูปภาพและอักษรภาพฮีโรกลีฟิคอย่างละเอียดยิบ ดูแล้วสวยงามกว่าสุสานภายในพีระมิดคูฟูที่ปราศจากภาพสลักใดๆเยอะ อีกทั้งเมื่อเดินลึกเข้าไป ภาพสลักเหล่านั้นยังคงสีสันที่สวยงาม ซึ่งมากันครบทุกแม่สี ทั้งแดง เหลือง น้ำเงิน จนให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งสลักเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา นั่นคงเป็นเพราะสุสานแห่งนี้ถูกปิดไม่ให้อากาศภายนอกมาสัมผัสนับพันๆปี แต่เมื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพสลักเหล่านั้นจะยังคงสีสันสวยงามไปได้อีกนานเท่าไหร่

ทางเดินค่อยๆไต่ระดับลึกลงไปเรื่อยๆ สู่ห้องในสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของโลงหินขนาดใหญ่ อันเป็นที่บรรจุพระศพของฟาโรห์รามเสสที่ 4 ห้องนี้มีสีพื้นของผนังเป็นสีเหลือง เพดานเป็นสีน้ำเงิน พร้อมภาพจิตรกรรมอีกมากมาย แน่นอนมีภาพเรือแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณว่าเรือลำนี้จะนำวิญญาณของฟาโรห์ไปสู่พระเจ้า จนรู้สึกทึ่งในความสามารถและความอุตสาหะของช่างชาวอียิปต์ที่สามารถสร้างงานศิลป์ที่งดงามได้ภายในพื้นที่ที่ถูกเจาะลึกลงไปใต้ดินเช่นนี้ แค่สุสานเดียวก็รู้สึกคุ้มค่ากับการเดินทางมาชมแล้ว

เราเหลือโควต้าที่จะเข้าชมได้อีก 2 สุสาน จึงต้องเลือกให้ดีว่าจะเข้าสุสานไหน เราเดินผ่านทางเข้าสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ใช่แล้วหลุมฝั่งพระศพของฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอียิปต์นี้แหละที่เราต้องเข้าไปชม แต่ก็ต้องชะงักเพราะสุสานนี้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปอย่างเราเข้าชม

ในเมื่อไม่มีโอกาสเข้าชมสุสาน KV11 ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โอจึงขอเป็นคนใช้สิทธิ์ในการเลือกเข้าสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 3 แทน สุสานแห่งนี้ถูกเจาะลึกเข้าไปในภูเขา เราเดินๆ แล้วก็เดินๆบนเส้นทางที่ทอดยาวลึกลงไปใต้ดิน สุสานแห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในสุสานที่ลึกและยาวที่สุดในหุบเขากษัตริย์ ตลอดเส้นทางมีภาพสลักและภาพเขียนสีที่สวยงาม โดยภาพเขียนที่โดดเด่นคือภาพฟาโรห์รามเสสที่ 3 กำลังจับมือกับเทพฮอรัส อีกทั้งสุสานนี้ยังมีทางลับที่เชื่อมไปยังสุสานของฟาโรห์อเมนเมเสส

เหลือโควต้าอีกแค่สุสานเดียว เราจึงต้องทำการเลือกอย่างเข้มข้น ด้วยการเดินเข้าซอกนั้น ออกซอกนี้ ดูป้ายหน้าสุสานแต่ละแห่งที่แสดงเส้นทางภายในสุสานว่าลึก และซับซ้อนแค่ไหน สุดท้ายจึงเลือกเข้าสุสานหมายเลข KV14 เพราะภายในเป็นที่ฝังพระศพของฟาโรห์ถึง 2 พระองค์ จึงน่าจะอลังการและคุ้มค่าต่อการใช้โควต้าที่เหลือเพียง 1 เดียว

สุสานหมายเลข KV14 เป็นที่ฝั่งพระศพของของราชินีทาวเสร์ท (Tausert) ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์คนสุดท้ายของราชวงศ์ที่ 19 กับฟาโรห์เซทนัตท์ (Setnakht) ฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่ 20 และเป็นพระบิดาของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ซึ่งเราเพิ่งเข้าชมสุสานของพระองค์ ซึ่งสุสานนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะมีภาพเขียนสีที่ยังคงสีสันสวยงามของเทพฮอรัส โอซิริส และอะนูบีส ปรากฎให้เห็นตั้งแต่ปากทางเข้า

เทพเจ้าฮอรัส กับ โอซิริสนั้นสามารถพบเห็นที่วิหารทั่วไป แต่สำหรับเทพอะนูบีสนั้นจะพบเห็นภายในสุสาน เพราะเป็นเทพเจ้าที่ศีรษะเป็นหมาไนนี้ เป็นเทพเจ้าผู้ที่ตัดสินว่าผู้ตายทำบุญหรือบาปมากกว่ากัน โดยนำหัวใจของผู้ตายขึ้นตาชั่งเทียบกับขนนก หากหัวใจหนักกว่า จะหมายถึงผู้ตายทำบาปมากกว่าบุญ แต่หากหัวใจของผู้ตายเบากว่าขนนก นั่นหมายถึงผู้นั้นทำบุญมากกว่าบาป อีกทั้งยังเป็นเทพที่ทำพิธีศพ ในการทำพิธีศพของฟาโรห์ผู้ทำพิธีจึงสวมใส่หน้ากากที่เป็นรูปศีรษะของหมาไนอันหมายถึงเทพอะนูบีสนั่นเอง

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.16 น.

ความคิดเห็น