โดยส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยวตามเขา (เขาว่าที่ไหนสวย ก็ตามเขาไป)

ทริปนี้เลยเกิดขึ้น



ไปสังขละบุรี กันป่ะ?

คำพูดของน้องๆที่ทำงาน ที่ชักชวนกันไปเที่ยว สังขละบุรี ที่ตัวเราเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า

' สั ง ข ล ะ บุ รี ' คืออะไร คือที่ไหน คือมีอะไร



คำถามแรกที่ถามน้องคือ สังขละบุรีมีอะไรหรอ

'สะพานมอญไง เพิ่งซ่อมเสร็จเลย' ได้ยินคำตอบก็เปิดมือถือ หารูป ไอสะพานมอญที่ว่าทันที พอเห็นภาพปุ๊ปก็ โอเคไป! (บอกเลยว่าเป็นคนใจง่าย)



ผู้ร่วมทริป มีเพียง เรา และ รุ่นน้องอีก 1 คน (ผู้ซึ่งอยากไปขั้น 100 เพราะน้องจะไม่ว่างเที่ยวอีกหลายอาทิตย์)

เวลาที่ไป มีเพียงแค่ 2 วัน 1 คืน เสาร์เช้า ยัน อาทิตย์ค่ำ เท่านั้น



ใครอยากติดตามเรื่องท่องเที่ยว หรือภาพเพิ่มเติมเชิญที่ https://www.facebook.com/asatraveller ได้เลยนะคะ



ไป ไป ไป



ขาไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาที่มีอันน้อยนิดของพวกเรา จึงตัดสินใจกันว่าต้องรถตู้นี่แหละ ทริปนี้จึงเริ่มต้น ณ เวลา 6 โมงเช้าของวันเสาร์

รถตู้บขส. ณ อนุสาวรีย์ จากกรุงเทพ - กาญจนบุรี

ต่อด้วยรถตู้จากท่ารถ บขส. กาญจนบุรี ไป สังขละบุรี



ถึงแม้เราจะออก 6 โมงเช้า แต่เราไปถึงสังขละบุรีก็ปาไป บ่ายโมงแล้ว


ตอนที่เก็บของไป ทีแรกคิดว่าเอาเสื้อหนาวไปดีไหมน๊า พอไปถึงก็รู้สึกขอบคุณความรู้สึกตัวเองที่ไม่เอาไป เพราะมันร้อนมันเผาสุกมาก

ร้อนจนตูบยังต้องบ่ายหน้าหนี

ความตื่นเต้นเล็กๆของการมาถึงสังขละคือ เราไม่ได้จองที่พักกันมา! เพราะที่พักที่เราจะไปพักไม่รับจอง walk-in เท่านั้นนะคะ


พอถึงเราก็รีบโทรไปหาที่พัก ชื่นใจเฮ้าส์ ว่าเต็มรึยัง พร้อมกับสวดไปในมือ เพราะถ้าเต็ม น้องที่มาวางแผนว่าจะไปนอนเต๊นท์ (นาทีนั้นถ้าเต๊นท์ อาจได้เต้นออกไปอาบน้ำทั้งคืนแน่ๆ)



พี่ตอบกลับมาทางปลายสายว่า ยังเหลือ 2 หลัง รีบบึ่งมาเลยน้อง เพราะนาทีนั้นก็ยังจองไว้ไม่ได้ ฮ่าๆๆ

เมื่อวางสายจึงรีบตามหาพี่วินเสื้อเขียวท่ามกลางแดดระอุ พี่วินคิดค่าเข้าไปคนละ 20 บาท เราสองคนไม่คิดอะไรเลยกระโดดซ้อนทันที



แล้วก็เป็นไปตามคาด



พวกเรา ได้ห้องพักค่ะ (ทำให้ตื่นเต้นนิดๆ) เหลือ 2 ห้องเหมือนเดิม

พี่ผู้ชายเจ้าของชื่นใจเฮ้าส์พูดกับเราสองคนว่า "ไปดูห้องก่อนนะ วางของไว้นี่ก็ได้เผื่อไม่ชอบจะได้ไม่ต้องขน"

เรารีบตอบกลับไปทันทีว่า ยังไหนูก็ชอบค่ะ มาถึงที่นี่ยังไงก็ต้องได้พัก 555

(เสียดายเล็กๆว่าปกติที่นี่จะมีคาเฟ่อยู่ แต่ตอนนี้ปิดปรับปรุงค่ะ)



หลังจากได้ห้องพักเรียบร้อย เราก็พร้อมออกไปตามหาว่ามีอะไรที่สังขละบุรีแห่งนี้

พี่ผู้หญิงเจ้าของอีกคนได้บอกทาง พร้อมแนะนำที่ๆให้เราเช่ามอเตอร์ไซค์



พวกเราก็ เ ดิ น ฝ่าความร้อนระดับมันเผาสุกกันออก หาที่เช่ามอเตอร์ไซค์ซึ่งอยู่ที่ P Guest House แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้เราสองคนต้องเป็นมันเผาไหม้กัน เพราะรถหมดค่ะ คนมาเอาไปหมดแล้ว นาทีนั้นเงิบเล็กๆ เราจึงตัดสินใจนั่งดับร้อนกันที่ Graph Cafe' ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันก่อน



เข้าไปนั่ง ก็สั่งน้ำพร้อมอาหารเล็กๆมากินกันทันที ตกลงกันว่ารออีกพักใหญ่ๆเถอะ (ตอนเข้าไป 2 โมง ออกมาอีกที 4โมง) เพราะอาจเป็นลมแดดกันได้ ตอนนั้นได้ปรึกษาพี่เจ้าของว่ามีที่ให้เช่ามอเตอร์ไซค์อีกไหม หรือจักรยานก็ได้ คำตอบที่ได้รับคือ อีกที่น่าจะหมดแล้วเหมือนกัน ในขณะที่จักรยานเนี่ยอย่าเอาไปเลย ถ้าขับไปน้องต้องคิดว่า เอาไปทำไมแน่นอน เพราะต้องไต่เนิน ที่ซึ่งเดินยังเมื่อย ได้ความดังนั้นความคิดที่จะเช่าจักรยานก็ขอโบกมือลาเบาๆทันที


เค้าว่ากันว่า(เค้านี่ใคร ยังไม่รู้นะ) เรามักเจอคนใจดี มีน้ำใจเวลาไปเที่ยว


เราได้เจอจริงๆค่ะ เพราะตอนที่นั่งอยู่ที่ Graph Cafe' สักพักก็มีพี่ผู้หญิงสองคนมานั่งเช่นกัน และพี่เค้าได้ทักทายเรา และได้พูดคุยพร้อมกับได้รับคำแนะนำว่าควรทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนตอนไหน เพราะพี่เค้าเคยมาแล้ว คุยสักพักก็ได้ความว่าที่นี่ก็มีห้องพักเลยเดินไปดูเล่น เดินอ้อมมาด้านหลังก็พบกับ แก๊งจักรยานที่ถูกจอดอยู่ ขอหนึ่งแชะแทนได้ขี่ละกัน

ประมาณ 4 โมงเราก็เดินออกจากร้าน จุดมุ่งหมายคือสะพานมอญ ที่ๆทุกคนที่เจอที่นี่บอกว่าไปตอนเย็นนะ ก่อนเย็นอาจจะเป็นมันเผาที่ไหม้และกลับมาสุกใหม่ได้



เดินไป มองความสงบรอบตัวไป คิดในใจว่า อืมมมมม มันเงียบดีจัง ทุกอย่างมันช่างสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนวันเสาร์ปกติในเมืองใหญ่

ฝ่าแดดไปพักใหญ่ก็ถึงสะพานมอญ สักที!


สะพานมอญ หรือชื่อเต็มๆคือ สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 850 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี



โดยช่วงกลางปีที่แล้วสะพานได้พังในช่วงกลางสะพานเพราะมีน้ำเชี่ยวกราก ที่พัดตอไม้มาปะทะกับเสาสะพาน ซึ่งเป็นสาเหตุให้สะพานถูกปิดซ่อมแซมและเพิ่งกลับมาใช้งานได้เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา

(cr: wiki)



สิ่งที่เราเห็นคือ นอกจากสะพานด้านบนแล้ว อีกหนึ่งทางที่ใช้ข้ามฟากได้คือแพด้านล่าง เราได้ลงไปเดินและได้พบกับดักบางอย่างคื

คือ

คืออออ

คือออออ...

ตุ๋มมมมม! เฮ้ย ขาขวาทะลุแพปักลงไปเลย น้ำเจิ่งนองเต็มขาหนึ่งข้าง สภาพเหมือนหมูติดกับดัก

ถ้าเดินไม่ระวังขาจะหายไปเหมือนดังเหยียบกับระเบิดทันที และเราคือผู้โชคดีที่เหยียบลงไปปุ๊ป 5555 หลังจากเราทำแพแตก คนด้านหลังก็เริ่มส่งเสียงกันว่า เราเดินกลับกันเถอะ กลัวตก ไม่เอาแล้ว ตอนนั้นรู้สึก .. อย่ากลัวไป พี่เปิดทางให้พวกน้องแล้ว 555


ทำให้รู้ว่า ไม่เกิดก็ไม่ระวัง นะคะ



โฉมหน้ากับดักระเบิด ใครจะมาโปรดเล็งทาง!

ถ้าแบบนี้แน่นไม่ต้องกลัวตก


หลังจากเดินเสร็จก็ข้ามกลับมากินกาแฟนั่งเล่นสักพักแล้วซ้อนพี่วินไปตลาด หาของกิน และเข้าที่พักกันต่อ


วันที่สอง



เช้าวันต่อมา เราสองคนรีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานมอญ และนั่งเรือไปดูวัดใต้น้ำ

แต่เช้าประมาณ ตี 5.40 จะให้เดินไปก็ไม่น่าจะเวิร์ค เมื่อคืนเราจึงขอเบอร์พี่วินไว้ ชื่อพี่ยุทธ นัดแนะดิบดีว่าโทรหาพี่ได้เลยเดี๊ยวมารับแน่นอน



ปรากฏว่าโทรไป พี่ยุทธบอก โอเคๆ แต่เสียงนี่หลับเลเวล 10

รอไปประมาณ 10 นาทียังเงียบ โทรไปอีกรอบไม่รับแล้ว นาทีนั้นบอกเพื่อนร่วมทริปว่าเดินไปเรื่อยๆเถอะเผื่อพี่ยุทธมาทางนั้น

เดินไปแปปนึง มีเสียงสวรรค์มา พี่วินนี่เองตอนแรกคิดว่าพี่ยุทธก็ถามพี่รู้ได้ไงว่าอยู่ตรงนี้กัน พี่เค้าบอกว่ารู้สิ ก็นั่งไปลงสะพานกัน ไปถึงลงรถ เพิ่งรู้ว่าไม่ใช่พี่ยุทธนี่หว่า ตอนนั้นคุยกับเพื่อนร่วมทริปว่า แล้วพี่ยุทธจะไม่โกรธใช่ไหม 5555



ไปถึงเราก็ตักบาตรกัน

พระอาทิตย์ไม่ต้องถามนะ มัวมาก หมอกมัวหม่น ไปหมด เลยเดินข้ามฝั่งไปหาของกินกัน


ข้ามไปก็พบกับโจ๊ก ปาท่องโก๋ รีบเลี้ยวกันแทบไม่ทัน

บรรยากาศตอนเช้าครึกครื้นมาก นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด


กินเสร็จก็เดินไปหาเรือไปวัดใต้น้ำ เรียกได้ว่าเยอะมาก


ทุกคนต่างตะโกนหานักท่องเที่ยว เราสองคนขอไปแจมกับคนอื่น เพราะถ้าไปกันแค่สองคน จะต้องเหมาเรือไป



วิวจากบนเรือ รู้สึกเหมือนฟ้ามีออร่ามากค่ะ

พอไปถึงก็จะเจอกับน้องๆที่รอต้อนรับ โดยการขายธูป หรือ ขอเป็นไกด์เล่าประวัติให้ฟัง


โดยพี่คนขับเรือเราบอกว่า ปีนี้น้ำลงเยอะ หากเป็นปีที่แล้วช่วงนี้น้ำจะมิดวัด ขึ้นมายืนแบบนี้ไม่ได้ เราแหงนหน้าไปมองก็เจอรอยคราบน้ำที่สูงเกือนมิดเพดานวัดเลยค่ะ



บรรยากาศนอกวัด

ช่วง11โมง ถึงเวลาที่พวกเราต้องลาสังขละบุรีกลับกรุงเทพ


สาเหตุที่พวกเรากลับเร็วเพราะ เพื่อนร่วมทริปมีความตั้งใจ 1000% ที่จะนั่งรถไฟให้ได้



ที่ๆจะไปขึ้นรถไฟคือ น้ำตกไทรโยคน้อย

พวกเราไปถึงที่นั่นประมาณ 2 โมงโดยรถตู้แบบเดียวกับขามา

เมื่อไปถึง ก็รีบจ้ำอ้าวกันไปหาพนักงานรถไฟ ได้ความว่า

'นี่คือรถไฟนำเที่ยว จะออกตอน 15.00 และยิงยาวถึงกรุงเทพ ประมาณ 2ทุ่ม ค่ารถ 120 (เท่ากับรถตู้เข้ากรุงเทพ)'



ในใจตอนนั้น ขอตู้เถอะ 5555 แต่ด้วยความที่น้องอยากนั่งมาก จึงตกลง

ระหว่างรอก็กินข้าวกันไป ไม่ได้สนใจน้ำตกเล๊ย เพราะเหนื่อยและหมดแรง



พอถึงบ่าย3 รถไฟก็ออกตามเวลาจริงๆ

โดยเราได้นั่งท้ายขบวน เลยได้มุมท้ายขบวนมาให้ดูกัน


รถไฟจะมีการชะลอเป็นบางจังหวะ เมื่อผ่านจุดชมวิวให้ทุกคนได้ถ่ายรูป

อยู่ท้ายขบวนเลยได้ภาพนี้มา


บรรยากาศในรถไฟ ครึกครื้น และซื้อของกันจ้าละหวั่น


บางคนมาเที่ยวกับครอบครัว

บางคนมาเพราะอาจารย์สั่งให้มานั่ง

บางคนมารอแฟน

บางคนมาเพราะอยากผจญภัยกับเพื่อน

บางคนมาซื้อขนมหม้อแกงที่มาไกลจากเพชรบุรี...

ประมาณ20.30เราก็ถึงสถานีกรุงเทพ อย่างปลอดภัย (พี่พนักงานรถไฟบอกว่าไม่มีสถานีหัวลำโพง ขอเรียกตามนั้นละกันค่ะ)



สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้อยู่ที่ประมาณ 1600 บาท โดยเราหมดกับค่ากินเยอะ เพราะหิวตลอดเวลา 5555



หลังจากกลับมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ เออว่ะ 2ัวัน1คืน เราก็ไปถึงสังขละบุรี ที่ๆใช้เวลาเดินทางตั้งประมาณ 7 ชั่วโมงได้

ทำให้ยิ่งรู้สึกว่า อย่าเอาคำว่า ไปแปปเดียวก็กลับแล้วมาเป็นข้ออ้างให้เรารอวันหยุดเพื่อไปเที่ยว

จะไป หรือไม่ไป มันอยู่ที่ตัวเราจริงๆว่าจะล้มความขี้เกียจเพื่อไปเปิดโลกรึเปล่า



ปล.

- นี่เป็นการเขียนครั้งแรก หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

- ติดตามเรื่องราวเที่ยวของเรา หรือภาพได้ที่ https://www.facebook.com/asatraveller

- รูปทั้งหมดมาจาก Fuji X100s + VSCO cam



ขอบคุณค่ะ

ความคิดเห็น